วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

อัพเดตข่าวความคืบหน้า Nissan X-Trail 2014 : วุ่นเตรียมสายการผลิต เจอกันตุลาคม???

 ยังมีรถอีกคันที่เชื่อว่าชาวไทยหลายคนรอคอยมันไม่น้อย และก็ไม่น้อยไปกว่า Nissan Navara โฉมใหม่เลยละครับ นั่นก็คือ All-New Nissan X-Trail ที่เราต่างเฝ้ารอกันตั้งแต่ปีที่แล้วกันเลยละครับ ซึ่งเราก็พยายามติดตามข่าวสารและหาความคืบหน้ากันอย่างใกล้ชิด แต่ก็ยังไม่ค่อยมีข่าวความคืบหน้ามากเท่าไหร่ และเพื่อเป็นการกระตุ้นใครที่กำลังรอคอย เราเลยเขียนบทความนี้ขึ้นมาครับ
   ตอนแรกเราก็ได้ยินกันมาว่า Nissan X-Trail จะเปิดตัวในเมืองไทยช่วงเดือนมีนาคม และก็มีข่าวออกมาว่า Nissan เลื่อนการเปิดตัวซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอะไรครับ ซึ่งในช่วงเดือนมีนาคม ก็มีการปล่อยของใหม่ลงตลาดถึง 3 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ Nissan Livina ที่จำต้องพ่วงขายตาม Juke ตามเงื่อนไขของอินโดนีเซียเค้า ตามด้วยเวอร์ชั่นพิเศษ Nissan Juke Joint Edition และตัวจิ๊ด Nissan Pulsar Turbo ที่กะมากู้หน้า Pulsar แต่ก็กู้ไม่ขึ้นซักทีเลย
   ภายในงาน Bangkok Motor Show 2014 ที่เราหวังว่ามันน่าจะเอามาโชว์ตัวบ้างแหละน้า แต่ก็ไร้วี่แวว และก็ไร้เงา ไม่มีมาให้เห็นแม้แต่นิดเดียว

   และในช่วงกลางปีนี้เอง ในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมที่เราคิดว่า Nissan อาจใช้ช่วงเวลานั้นเปิดตัวก็ได้ ก็ไม่ใช่อีกเพราะในช่วงเดือนนี้ นิสสันได้ใช้เป็นคิวการเปิดตัวของ All-New Nissan Navara โฉมใหม่ที่คนรอคอยกันมานมนาน ขืนมาพร้อมกันก็แย่งซีนเดี๋ยวก็ขายกันไม่ได้หรอกครับ จริงมั้ย


   แต่ล่าสุดเราก็ได้ยินข่าวจากเพื่อนสมาชิกและตามโลกโซเชียล บอกว่าภายในปลายปีนี้ มันมาแน่ๆครับ แต่ก็มีเพื่อนสมาชิกในเพจมาเล่าให้ผู้เขียนฟัง ซึ่งผู้เขียนยอมรับว่าไม่รู้จริง เพราะมัวแต่ไปสนข่าวรถรุ่นใหม่คันอื่นๆ ซึ่งเขาบอกมาว่า Nissan มีปัญหาในเรื่องการเตรียมสายการผลิต เพราะโครงสร้างรถคันนี้ต้องใช้ร่วมกับ Renault (รุ่นไหนใครบอกที) จึงทำให้ล่าช้า และก็มีการคอนเฟิร์มว่า Nissan X-Trail จะเปิดตัวในช่วง "ตุลาคม" เป็นแน่นอน ฉะนั้น ใครที่กำลังรอคอยมันอยู่ภายในเดือนตุลาคมน่าจะรู้ครับว่ามันจะมาจริงหรือไม่มาจริง
   มาส่องข้อมูลตัวรถกันหน่อยดีกว่า หน้าตาของรถนั้นก็ไม่ต่างจากรุ่นไหนๆของ Nissan งานออกแบบถือว่าดูสวยหรูกว่ารุ่นเดิมมากมายเลยทีเดียว รูปลักษณ์ที่เน้นความโฉบเฉี่ยวด้วยเส้นสายเฉียบคมตั้งแต่กระจังหน้า ไฟหน้าทรงสวย ด้านข้างมีเส้นสายดูแกร่งตามแบบฉบับรถครอสโอเวอร์ ด้านท้ายโค้งมนลงตัว ไฟท้ายรูปห้าเหลี่ยมรับกับเส้นสายด้านหลังเป็นอย่างดี ล้ออัลลอยขนาด 17 และ 18 นิ้ว ดีไซน์สวยงาม นอกจากนี้ตัวถังและฐานล้อมีขนาดใหญ่โตกว่ารุ่นเดิม ทำให้มีพื้นที่ภายในมากขึ้นด้วยครับ
   ภายในดูกว้างขวาง และดูสะอาดตา ออกแบบเรียบง่ายตามสไตล์ของ Nissan มีการปรับเปลี่ยนเบาะนั่งให้รับกับสรีระของมนุษย์มากขึ้น ที่สำคัญวมันมี 7 ที่นั่งด้วยครับ เมื่อพับเบาะทั้งหมดจะมีพื้นที่กว่า 1,900 ลิตร สามารถบรรทุกของได้อย่างจุใจเลย
  นอกจากพื้นที่ห้องโดยสารและบรรทุกของขนาดใหญ่แล้ว All-New Nissan X-Trail ยังมาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่น ๆ เช่น จอสีแสดงผลขนาด 5 นิ้วบริเวณมาตรวัดความเร็ว, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแบ่งหน้าและหลัง, วิทยุเครื่องเสียงพร้อมช่องต่อ USB, Bluetooth และ AUX, ระบบโทรศัพท์แฮนด์ฟรี, กล้องมองหลัง, ระบบ NissanConnect แสดงผลแผนที่ วิทยุดาวเทียมพร้อมแอพฯ อื่น ๆ บนหน้าจอกลางรถขนาด 7 ที่นั่งนิ้
   ด้านเครื่องยนต์ในเมืองไทยคาดการณ์ว่าจะนำเครื่อง 2.0 ลิตร 136 แรงม้า และ 2.5 ลิตร 4 สูบ 173 แรงม้า ที่ประจำการใน Nissan Teana โฉมล่าสุดออกมาใช้ ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT ส่วนความปลอดภัยนั้น  Nissan ติดตั้งระบบใหม่ที่ชื่อว่า Around View Monitor (AVM) ซึ่งทำงานร่วมกับตัวจับการเคลื่อนไหว ทำให้ All-New Nissan X-Trail สามารถจับการเคลื่อนไหวของวัตถุได้รอบคันด้วยกล้องถึง 4 ตัวที่ติดตั้งทั้งหน้า หลัง และข้างรถ แถมยังสามารถแสดงภาพจำลองรถในมุมมองด้านบนหรือ Bird’s eye view ได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีระบบจับจุดบอดของรถ, ระบบรักษาการขับขี่ในช่องทาง และระบบเตือนระยะรถคันหน้าเพิ่มเติมเช่นกัน ไม่รู้ว่าของพวกนี้มาไทยจะตัดเปล่า

     นอกจากนี่ก็ยังมีระบบความปลอดภัยอื่นๆที่มากเกินใครระบบเบรก ABS, ระบบช่วยทรงตัว VDC, ระบบช่วยทรงตัวขณะโค้ง Traction Control, ระบบช่วยเหลือรถขึ้นลงเนินเขา, ระบบวัดแรงดันลมยาง ถุงลมนิรภัยด้านหน้าและด้านข้าง และระบบติดตั้งเบาะนังเด็กแบบ LATCH บอกเลยว่าถ้า Nissan เอามาทั้งหมดและตั้งราคาสวยๆ งานนี้ CR-V และค่ายอื่นๆ มีเงิบ


   ฉะนั้นภายในเดือนตุลาคมนี้ Nissan จะเปิดตัว X-Trail หรือไม่ และมาแล้วจะสวยถูกใจทุกท่านหรือเปล่า รอชมได้ครับ  
ขอบคุณเนื้อหาบางส่วน http://car.kapook.com/view70956.html
แนะนำ ติชม แสดงความคิดเห็น และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแฟนเพจ Cars New Update ที่นี่!!
 

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เปิดตัว Suzuki Celerio ใหม่ น้องนุชสุดท้องจากค่าย Suzuki กับราคาที่ถูกกว่าใครเพื่อน

   หลังจากมาโชว์ตัวต้นแบบ A-Wind เมื่อปลายปีที่ผ่านมา รวมทั้งการนำรถตัวจริงมาให้เราได้สัมผัสกันในงาน Bangkok Motor Show 2014 ณ ตอนนี้ ค่าย Suzuki พร้อมแล้วที่จะเปิดตัวอีโคคาร์รุ่นใหม่ล่าสุด และเป็นน้องนุชสุดท้องของตน นั่นคือ Suzuki Celerio ครับ
   วันนี้ (29 พ.ค.) ค่าย Suzuki ประเทศไทยได้ฤกษ์ลั่นระฆัง เปิดตัวรถรุ่นใหม่ Suzuki Celerio อีโคคาร์รุ่นใหม่ล่าสุดอย่างเป็นทางการ ภายใต้โครงการอีโคคาร์เฟสแรก ซึ่งขอบอกเลยว่าเจ้า Celerio ในบ้านเราถือเป็นอีโคคาร์ขนานแท้ของ Suzuki บ้านเราเลยครับ เพราะเจ้าสุดหล่อ Swift มันคือ รถซับคอมแพกต์ตีตั๋วเด็กเข้าโครงการอีโคคาร์ แต่ Celerio เป็นอีโคคาร์ตั้งแต่กำเนิดเลยละครับ งานนี้ได้พรีเซนเตอร์มาเป็นสองหนุ่มอารมณ์ดี ก็คือ เผือก-พงศธร และ ฟรอยด์-ณัฏฐพงษ์ มาร่วมเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับอีโคคาร์สุดน่ารักคันนี้ด้วย
   Suzuki Celerio คันนี้ มีจุดขายที่สำคัญ 3 อย่าง ก็คือ ความกว้างขวางของห้องโดยสาร สมรรถนะเกินตัวและความประหยัดเป็นเยี่ยม และที่สำคัญรถคันนี้ยังถูกวางตัวให้ต่ำกว่า Swift และแน่นอนครับว่าคันนี้ Suzuki เคยบอกไว้ว่า จะเป็นรถ "อีโคคาร์ที่ราคาถูกที่สุดในตลาด" ราคาเท่าไหร่ อ่านต่อไปเรื่อยๆครับ
   คุณทาคายูคิ ซูกิยามา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า กว่า 100 ปี ที่ซูซูกิคิดค้นเทคโนโลยี วิศกรรมและนวัตกรรม เพื่อตอบสนอง Way of Life! ของคนทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทย ซูซูกิได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง มั่นคง รวดเร็ว และได้รับการยอมรับจากลูกค้าในประเทศเป็นอย่างดีตลอดหลายปีที่ผ่านมา ดังเห็นได้จากตัวเลขการเติบโตของซูซูกิกว่า 200% ตลอดช่วงหลายๆ ปีต่อเนื่องกัน แม้ว่าจะมีปัจจัยต่างๆ ส่งผลให้ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงผันผวนขึ้นลงตลอดเวลา ทั้งนี้เรามี Suzuki Swift สปอร์ตคอมแพ็ค 5 ประตู เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนถึงความนิยมและเชื่อถือ จนเป็นอีโคคาร์ยอดนิยมในปีที่ผ่านมา และปีนี้ เป็นอีกครั้งที่ซูซูกิจะได้แนะนำรถยนต์รุ่นใหม่สู่ตลาดเมืองไทย ตลาดเอเชีย ยุโรป และตลาดโลก นั่นคือ All New Suzuki Celerio ที่จะมาสร้างมาตรฐานใหม่ของอีโคคาร์และตลาดรถยนต์นั่ง เพื่อที่จะสร้างความสุข สนุกสนาน ตื่นเต้นให้ทุก Way of Life! ให้ทุกเส้นทางเป็นของคนทุกคนได้อย่างง่ายดาย โดยรถยนต์รุ่นใหม่นี้จะทำการผลิตที่โรงงานในจังหวัดระยอง เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็นผู้เชี่ยวชาญในการผลิตรถเล็กของซูซูกิ


   ชิเกกิ ซูซูกิ หัวหน้าวิศวกร บริษัท ซูซูกิมอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น เผยว่า ทีมวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญของซูซูกิ คำนึงถึงความต้องการของผู้ใช้รถยนต์เป็นหลัก ผู้บริโภคบางกลุ่มรู้สึกว่า ยังไม่ได้รับการตอบสนองที่ดีพอ ทั้งในแง่ของการออกแบบ ประโยชน์ใช้สอย และความประหยัด เราจึงสร้างสรรค์และออกแบบรถยนต์รุ่นใหม่ ด้วยความเชี่ยวชาญขั้นสูงสุดในการผลิตรถยนต์นั่งขนาดเล็กของซูซูกิ จนได้ All New Suzuki Celerio ที่ออกแบบภายใต้แนวคิดเน้น 'ความพึงพอใจในการใช้งาน และ ความพึงพอใจในการขับขี่ ที่สามารถตอบสนองการใช้งานจริงได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีขนาดห้องโดยสารที่โอ่โถงกว้างสบาย มีพื้นที่บริเวณเหนือศีรษะ และพื้นที่วางขากว้างสบาย ทั้งที่นั่งตอนหน้าและตอนหลัง พร้อมด้วยพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ จุสัมภาระได้มากเกินคาด 

นอกจากนี้ ผู้ขับขี่ยังมั่นใจได้ในสมรรถนะ ด้วยเครื่องยนต์ K10B 1.0 ลิตรใหม่ ขนาดคอมแพ็คท์ ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ให้กำลังและความสามารถเกินตัว ปราดเปียวคล่องตัวสูง มีสมรรถนะการขับที่ดีเช่นเดียวกับ Suzuki Swit ในขณะที่มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำ ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ดี มากกว่า 20 กม./ลิตร เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  ผนวกกับรูปลักษณ์ภายนอก และภายในห้องโดยสารที่ได้รับการออกแบบให้ดูโดดเด่นสะดุดตา  เสริมความอุ่นใจด้วยระบบและอุปกรณ์เสริมความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลก เพิ่มความสะดวกสบาย และสุนทรียภาพในการขับขี่ ด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย ซึ่งทางซูซูกิมั่นใจว่า จะสามารถสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าชาวไทยได้อย่างแน่นอน


    หน้าตาของ Suzuki Celerio นั้น มากับหน้าตาที่ออกแนวเรียบง่าย แต่ก็ยังดูสวยงามและไม่เบื่อตา ด้วยเส้นสายที่ออกแบบมาและดูลงตัว ทำให้รถคันนี้มีความน่ามองอยู่ไม่น้อยเลย และเจ้ารถคันนี้มากับสัดส่วนความยาว 3,600 มม. กว้าง 1,600 มม. สูง 1,540 มม. ส่วนภายในห้องโดยสารก็ออกแบบให้ดูโดดเด่นและสวยงาม คอนโซลหน้าออกแบบปุ่มวิทยุให้ดูสวยทันสมัย น่าสัมผัส (กว่า Brio เยอะเลยละ) ชูจุดเด่นด้วยห้องโดยสารที่กว้างขวางและสะดวกสบาย ด้วยเฮดรูมเหนือศีรษะที่กว้างขวางสะดวกสบาย ฉะนั้นคนตัวสูงเอาอยู่ครับ


   ด้านเครื่องยนต์นั้น Suzuki ให้ทางเลือกด้วยเครื่องยนต์บล็อกเล็กกว่าใครในตลาดด้วยเครื่องยนต์  K10B 3 สูบ ขนาด 1.0ลิตร (998 ซีซี) ให้กำลังสูงสุด 68 แรงม้า ที่ 6,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 90 นิวตัน-เมตร ที่ 3,500 รอบต่อนาที พร้อมรองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด หรือเกียร์อัตโนมัติแบบอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง CVT Suzuki การันตีเครื่องยนต์ตัวนี้จะส่งผลให้ประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมแน่นอน โดยอัตราการสิ้นเปลืองเฉลี่ยจากโรงงานระบุเอาไว้ที่ 21.2 กม./ลิตร ในรุ่นเกียร์ธรรมดา ส่วนเกียร์อัตโนมัติ 20.8 กม./ลิตร


   ส่วนระบบความปลอดภัยหายห่วงครับ เพิ่มความมั่นใจยิ่งขึ้น ด้วยถุงลมนิรภัย SRS  บริเวณที่นั่งคนขับเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สำหรับรถทุกรุ่น และที่นั่งผู้โดยสารด้านหน้า (GLX) ช่วยลดการบาดเจ็บบริเวณศีรษะและหน้าอกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ทั้งสี่ล้อ พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD  ควบคุมและกระจายแรงเบรกด้วยอิเลคทรอนิกส์ (GL/GLX) ตัวถังที่ดูดซับแรงกระแทก น้ำหนักเบาแต่แข็งแกร่ง ด้วยโครงสร้างเหล็กชนิดพิเศษตามแนวคิด Total Effective Control Technology (TECT) วิศวกรรมขั้นสูงระบบ Computer-Aided Engineering (CAE) ระบบ NVH ป้องกันเสียงรบกวนและดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี ขณะขับขี่ และระบบกุญแจนิรภัยอัจฉริยะ Immobilizer Key


   Suzuki Celerio มีทางเลือกให้กับเรา 3 รุ่นย่อยด้วยกันด้วยราคาที่ถูกกว่าอีโคคาร์รุ่นอื่นๆในตลาด และเป็นอีโคคาร์ที่ถูกสุดในไทยจริงๆครับ ราคาค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว เริ่มที่รุ่น GA M/T ราคา 359,000 บาท ต่อที่รุ่น GL CVT ราคา 439,000 บาท และรุ่นท็อป GLX CVT ราคา 488,000 บาทครับ ราคานี้จะคุ้มหรือไม่กับสิ่งที่ได้มา รวมทั้งมีคู่แข่งรุมตอมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Mitsubishi Mirage,Nissan March หรือจะเป็น Honda Brio และอีกเพียบ ต้องรอดูกันระยะยาวครับผม

นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอพิเศษช่วงเปิดตัว เริ่มต้นเบาๆ กับสินเชื่อ My Way ผ่อนเริ่มต้น 2,222 บาท ใครสนใจก็สามารถจองได้ตั้งแต่วันนี้ (29 พฤษภาคม 2557) รับประกันภัยชั้น 1 และโปรแกรมช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ฟรีเป็นระยะเวลา 3 ปี นอกจากนี้ ซูซูกิยังจัดแคมเปญ 'กิจกรรมทดลองขับลุ้นรับโชค' ที่โชว์รูมซูซูกิทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 29 พฤษภาคม - 31 กรกฎาคม 2557 เพื่อลุ้นรับรางวัลใหญ่ Suzuki Celerio GLX พร้อมบัตรเติมน้ำมัน 100,000 บาท และฟรีค่าจดทะเบียน พรบ. ภาษีหัห ณ ที่จ่าย ประกันภัยชั้น 1 และปิดท้ายแคมเปญการเปิดตัวด้วยสติ๊กเกอร์ LINE ซึ่งจะเริ่มเปิดให้โหลดฟรีตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2557 เป็นต้นไปครับผม
แนะนำ ติชม แสดงความคิดเห็น และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแฟนเพจ Cars New Update ที่นี่!!
 

ด่วน! Nissan เตรียมเปิดตัว All-New Nissan Navara แบบสายฟ้าแลบ 11 มิ.ย. นี้!!!!



          ปีนี้ เป็นปีที่น่าจับตามองสำหรับรถกระบะเมืองไทย จริงๆเลยครับ โดยเฉพาะกระบะค่าย Nissan ที่มวลมหาประชาชนชาวไทยยังไม่เคยได้เห็นรถทดสอบหรือมีภาพ Spy Shot หลุดออกมาแม้แต่ภาพเดียว แต่ถึงแม้ไม่มีแม้แต่ภาพ Spy Shot แต่ก็ยังมีข่าวเกี่ยวกับข้อมูลตัวรถต่างๆหลายด้านออกมาให้เราได้เม้าท์มอยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเครื่องยนต์หรือเรื่องหน้าตารถ
ภาพประกอบบทความเท่านั้น ไม่ใช่ตัวรถ Nissan Navara ใหม่นะครับ
           ก่อนหน้านี้ เพื่อนสมาชิกในแฟนเพจผู้เขียนที่ทำงานให้กับบริษัทขายรถ Nissan ได้มาบอกผู้เขียนว่ากระบะ Nissan Navara ใหม่ เลื่อนเปิดตัวเป็นเดือนกรกฎาคม เพราะเหตุการณ์ทางการเมือง แต่แล้วเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังจากที่เพื่อนสมาชิกท่านนี้มาเล่าให้ผู้เขียนฟัง เราก็ได้รับข่าวจากทางเพจของเว็บหัวไฟว่า “Nissan Navara โฉมใหม่ จะทำการเปิดตัวแบบฉับไวสายฟ้าแลบ ภายในวันที่ 11 มิถุนายน นี้” อ้าว เจอข่าวแบบนี้ แฟนกระบะนิสสัน คงสตั้นกันไปตามๆกัน ที่สำคัญการเปิดตัวครั้งนี้เป็นการเปิดตัว “ครั้งแรกในโลก” ที่เมืองไทยด้วย ก็แหม่ ไม่เคยเห็นภาพหลุดตัวรถออกมาแม้แต่กระจุกเดียวเลย ไม่มีใครเดาได้เลยว่ามันจะมาในรูปแบบไหนกันแน่

          สงสัยสาเหตุการเปิดตัวแบบฉับไวของ Nissan Navara โฉมใหม่ที่ซุ่มเงียบพัฒนาอยู่นมนาน คงจะเป็นเพราะการกลบกระแสของ All-New Toyota Hilux ที่แอบมาวิ่งทดสอบเรียกร้องความสนใจบ่อยๆ และก็มากับจุดประสงค์เดียวกัน ก็คือเพื่อกลบกระแส Navara และ Triton โฉมใหม่ที่กำลังจะมานั่นเองครับ

          ว่ากันว่าเจ้ากระบะ All-New Nissan Navara จะมากับเครื่องยนต์บล็อกใหม่ดีเซล 2.3 ลิตร ที่มากับพละกำลังสูงถึง 200 แรงม้า เครื่องบล็อกเท่านี้ แต่แรงเท่า 3.2 ลิตร ของ Ford Ranger และ 2.8 ลิตร ของ Chevrolet Colorado เลยครับ

          ฉะนั้นอีกประมาณ 2 อาทิตย์ข้างหน้า เราชาวไทยจะได้เห็นหน้าค่าตาของ All-New Nissan Navara เป็นแน่นอนครับ มันจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ข้อมูลตัวรถจะออกมาเป็นแบบนี้ หากมีข้อมูลเพิ่มเติมหรือความคืบหน้า เราจะมาอัพเดตกันให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบแน่นอน และทุกท่านสามารถติดตามข่าวกับเพจของเราด้านล่างนี้ได้ครับ
แนะนำ ติชม แสดงความคิดเห็น และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแฟนเพจ Cars New Update ที่นี่!!
 

วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

วิจารณ์และคอมเม้นต์กันแบบสุดใจกับ Toyota Vios 2013 : สวยแต่รูป จูบไม่หอม

  ก่อนอื่นเราต้องบอกกล่าว ณ ตอนนี้เลยว่า ของอะไรที่ดีเราก็ต้องชื่นชมอยู่แล้ว ของที่เราไม่ปลื้มหรือมีอะไรที่ไม่ดีเราก็ต้องด่าเป็นธรรมดา แปลว่าเราต้องมาด่าหรือมาชมรถรุ่นใดรุ่นหนึ่งเป็นแน่นอน ถูกต้องครับ เราจะมาวิจารณ์และคอมเม้นต์กันแบบสุดใจกับรถเล็กคันเก่งของค่าย Toyota นั่นคือ Toyota Vios นั่นเองครับ มาเริ่มกันเลย
   ตลาด B-Segment ในปี 2557 ถือเป็นเวลาที่น่าจับตามองเพราะมีของใหม่ส่งมาเปิดตัวสำคัญๆอยู่ 2 ตัว นั่นคือ Honda City และ Honda Jazz ใหม่ ซึ่งแน่นอนงานนี้ Honda เล่นดันออปชั่นใส่เข้าไปใน 2 B-Segment ยอดนิยมจนค่ายอื่นยังต้องเงิบ โดยเฉพาะคู่กัดอย่าง Toyota ที่ได้รับแบบเต็มๆ จนต้องปล่อย Vios TRD Sportivo ออกมาแก้หมัดกันซะหน่อย แต่ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้ ต่อให้มีพรีเซนเตอร์เป็นพระเอกสุดฮอต เจมส์ จิรายุ ก็ตามทีเถอะ เอาละมาเริ่มการด่า เอ๊ย! การวิจารณ์ตั้งแต่หัวจรดหางเลยครับ
   ว่ากันก่อนที่หน้าตาของรถเลยดีกว่า ต้องยอมรับว่าเจ้า Vios โฉมล่าสุดนี้มันออกแบบมาให้หล่อโดนใจผู้เขียนมากจริงๆ แตกต่างจากโฉมที่แล้วโดยสิ้นเชิง โฉมที่แล้วมันดูตุ่นๆทำให้บางคนเรียกว่า Vios เห็บหมา ซึ่งในรุ่นใหม่สามารถลบภาพลักษณ์เชยๆเก่าๆออกได้หมดจริงๆครับ แน่นอนมันดูหล่อมีราศีขึ้น แต่แน่นอนหน้าตาดีแต่เนื้อในอาจจะคนละอย่างก้ได้ ค่อยว่ากันทีหลังละกันนะ

ต่อดีกว่า หน้าตาของรถนั้นมันได้รับแนวการออกแบบที่เรียกว่า Keen Look ด้วยกระจังหน้าทรงดุดัน และมากับเส้นสายที่เรียบง่ายและดูไม่เบื่อตา ด้านท้ายรถก็ออกแบบได้ดูดีพอสมควร แต่ขัดใจตรงฝากระโปรงท้ายที่ออกแบบมาซะเหมือน Honda Brio Amaze มันดูแปลกไปนิดๆ และด้านท้ายที่มีอิทธิพลหรือกลิ่นของ Vios ตัวเก่าอยู่ลางๆ มันเหมือนกับการเอาไฟท้าย Vios ตัวเก่ามาทำให้ย้อยลงยังไงยังงั้น ล้ออัลลอยที่ติดมาให้นั้นในตัวท็อป S จะได้ 16 นิ้ว เอาล้อจาก Toyota Vitz/Yaris โฉมญี่ปุ่นมานั่นเอง น่านไง ลดต้นทุนได้ละ ส่วนล้ออัลลอยในรุ่น E,G จะได้ 15 นิ้ว ส่วนรุ่น J จะเป็นล้อกระทะพร้อมฝาครอบ 15 นิ้วและสิ่งที่ทำให้เราชอบใจก็คือ การที่ Toyota ใส่ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์มาให้ เป็นรายเดียวในเมืองไทย! ที่ติดมาให้ โดยติดมาให้ในรุ่น G และ S ครับ

ก่อนอื่นบอกไว้เลย เบื้องหลังความหล่อของมัน เจ้าคันนี้ไม่ธรรมดาเพราะมันลดต้นทุนการแบบสุดซอย คืออะไรที่มันคิดว่าไม่จำเป็นก็ตัดออกซะ และยังเพิ่มราคาซึ่งมากับเหตุผลในใจที่ผู้เขียนขอเดา ของใหม่ดีขึ้น ย่อมขึ้นราคาเป็นธรรมดา รถคันนี้มันสร้างขึ้้นบนพื้นฐานตัวเก่า นี่ก็ลดต้นทุนได้ละ อีกจุดที่ภายนอกมีการลดต้นทุนคือโลโก้ท้ายรถ ปกติในรุ่น J จะมีการติดโลโก้บอกด้วย แต่รุ่นนี้ ไม่มีครับ!

   ว่ากันที่ภายในของรถดีกว่าครับ ภายในรถออกแบบได้ดูดีกว่าเดิมพอสมควรเลยละครับ การปฏิวัติภายในครั้งสำคัญอยู่ที่การย้ายหน้าปัดจากตรงกลางกลับมาที่ตรงพวงมาลัยเหมือนค่ายอื่นๆซักที สิ่งที่แปลกและแหวกแนวในตอนเปิดตัวก็คือ การขึ้นลายหนังเย็บตรงคอนโซลหน้าที่ให้อารมณ์หรู แม้ว่าเราจะรู้ว่ามันเป็นของปลอม แต่มันก็ยังดูดีอยู่นะ และความเลวร้ายของมันก็ได้บังเกิดขึ้นตรงมาตรวัดของรถ มันมีดีตรงที่ตัวเลขชัดเจนอ่านง่าย แต่ความเลวร้ายของอยู่ตรงลักษณะหน้าปัดครับ พื้นของหน้าปัดมันชวนให้เรานึกถึงสเกลของไม้บรรทัดของเด็กๆ และชวนให้นึกถึงการเอากระดาษปริ๊นมาตัดทรงกลมแปะหน้าคอนโซล ซึ่งเป็นสิ่งที่อยากจะติแบบสุดซอย ขอหยาบนะ มึงจะลดต้นทุนไปไหนฟระ ตรงๆเลยมาตรวัดรุ่นเดิมยังสวยกว่าเลย

และอีกจุดที่หลายคนบ่นกันก็คือพลาสติกที่ใช้ทำปุ่มที่ปัดน้ำฝน ก้านต่างๆตรงพวงมาลัยอะไรที่เป็นพลาสติกแบบไหนไม่รู้ที่มีหลายท่านบ่นว่า เราจะทำหักคามือมั้ยเนี่ย และอีกความเลวร้ายของภายในรถก็คือ เข็มขัดนิรภัยแบบปรับระดับสูง-ต่ำ อุปกรณ์มาตรฐานที่ต้องติดในรถปี 2010 เป็นต้นไป ของดีๆแบบนี้จะตัดออกทำไมครับ เพราะเหตุผลเดียว "ลดต้นทุน" อะไรที่ดีๆ ไม่คิดจะเก็บหรือยังไง อะไรต้องคิดลดต้นทุน ค่ายนี้ตลอดเลย

และอีกจุดหนึ่งที่ควรตำหนิ และไม่ใช่แค่รุ่นนี้ รุ่นอื่นๆที่อยู่ต่ำกว่า Camry ทั้งหลาย นั่นก็คือ เรื่องแอร์อัตโนมัติครับ ทำไมละครับ เพราะแอร์ของรถพวกนี้ มันไม่ยอดติดลมไล่ฝ้าหรือฮีตเตอร์มาให้ บางคนอาจบอกว่าไม่จำเป็น แต่ไม่ใช่ครับ เจ้าตัวที่ว่า มันคือตัวที่ทำให้เราสามารถปรับอุณหภูมิภายในรถได้จริงๆ ครับ ซึ่ง Toyota กลับเลือกที่จะตัดมันออกไป WTF แกคิดอะไรของแกฟระ ผู้บริโภคไม่ได้โง่นะครัส! บางครั้งนี่อาจเป็นความคิดของนายญี่ปุ่นที่อาจคิดว่า "มันไม่จำเป็น" นายญี่ปุ่นทั้งหลาย พวกท่านลงมาขับทดสอบรถในไทยสิครับ แนะนำให้ขึ้นเหนือ แล้วจะรู้ว่าฮีตเตอร์มันสำคัญแค่ไหน และการที่ตัดระบบควบคุมอุณหภูมิในรถแอร์อัตโนมัติที่รุ่นต่ำกว่า Camry ทั้งหลาย คิดยังไงครับ ก็เท่ากับว่าเราปรับยังไงอุณหภูมิก็เท่าเดิมไง แล้วจะใส่ระบบแอร์ออโต้มาทำหอยอะไรละครับ นับเป็นความเลวร้ายที่ Toyota ควรนำกลับไปคิดและแก้ไขอย่างด่วนด้วย 
   
   ส่วนในเรื่องการไม่มีจอสัมผัสมาให้เหมือนชาวบ้านนั้น แรกเริ่มเดิมทีเราคิดว่า ตอนที่ Toyota เปิดตัว ยังไม่มีคู่แข่งรายไหนติดมาให้ Toyota มันเลยยังไม่ใส่มาให้ และก็เป็นความประมาทจริงๆครับ และที่ทำให้เราขัดใจก็คือ ในรุ่นที่จำหน่ายในมาเลเซียกลับมีจอภาพสัมผัสมาให้พร้อมเลย แบบนี้คงต้องเรียกว่า ลดสเปก กั๊ก Option แล้วละครับ แต่ยังไงก็ไม่ว่าเพราะ มันเป็นความประมาทและเป็นไฟท์บังคับที่ต้องเปิดตัว ณ เวลานั้น ทั้งๆที่ตนควรจะรอคู่แข่งเปิดมาแล้วนำจุดดีมาใส่ในรถของตน


      มาพูดเรื่องเครื่องยนต์กันบ้างดีกว่าครับ แน่นอนว่าสิ่งนี้เป็นการลดต้นทุนอีกแล้วครับท่าน เพราะมันยังคงใช้เครื่องยนต์ตัวเดิมที่ใช้ตั้งแต่ Soluna Vios แล้ว คือแบบว่ามันเก่าและเริ่มล้าหลังแล้ว ไม่คิดจะเปลี่ยนเหรอ แต่มันก็มีดีที่ความทน ซ่อมง่าย หาอะไล่ได้แพร่หลาย เครื่องยนต์ 1NZ-FE 1.5 ลิตร มากับพละกำลัง 109 แรงม้าที 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตรที่ 4,200 รอบ/นาที และด้วยความที่ตัวรถมันหนักขึ้น ใหญ่ขึ้น เลยทำให้หลายคนที่ใช้บอกว่ามันกินน้ำมันมากกว่าเดิม ซึ่งอันที่จริงแล้วมันไม่ใช่อย่างที่คิดครับ ขอแนะนำว่าให้ลองไปอ่านบทความทดสอบ Vios ของเว็บหัวไฟ แล้วท่านจะรู้ครับ อัตราสิ้นเปลืองของรถคันนี้จะอยูแถว 14-15 กม./ลิตร ซึ่งก็ขึ้นอยู่การขับของแต่ละท่านด้วย หากท่านชอบขับรถในเมือง เจอรถติดบ่อยๆ และขับเร็วๆแบบฟึดฟัดๆ อัตราสิ้นเปลืองจะไม่มีวันเป็นเลขสองหลักแน่นอน ระบบส่งกำลังยังคงมากับเกียร์ธรรมดา 5 สปีดและเกียร์โบราณอัตโนมัติ 4 สปีดที่ควรปลดมันออกได้แล้วนะครับ


   มาพูดถึงระบบความปลอดภัยเลยดีกว่า ความเลวร้ายของมันอยู่ตรงที่ว่า ระบบเบรก ABS และระบบกระจายแรงเบรก EBD ที่ควรเป็นมาตรฐานในรถทุกๆคัน ทำไมกลับถูกตัดใน Vios ตัว J ไปได้ อย่ามาคิดว่าลดต้นทุนเลยครับ ค่ายอื่นเขาก็ให้มา ก็ควรให้เหมือนเขา ไม่ใช่เอะอะตัดสเปก นอกนั้นก็จะเป็นมาตรฐานเหมือนกันทุกรุ่น ถุงลมนิรภัยคู่หน้า SRS ไล่ฝ้ากระจกหลัง เข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับอัตโนมัติ กุญแจนิรภัย Immoblizer แต่ถ้าเอามาเทียบกับ Honda นี่ คนละเรื่องครับ เพราะ City ตัวท็อป เขามีถุงลม 6 ตำแหน่ง มี VSA HSA ESS กล้องมองหลังเยอะแยะเต็มไปหมด แต่ราคา Toyota ไม่ได้ต่างอะไรจาก City เลย บางรุ่นมีของน้อยกว่า City แต่เ_ือกขายแพงกว่าอีก อย่างนี้ Toyota ว่าไงครับ

    มาที่ราคาของรถกันบ้าง หลังจากที่เห็นราคาของ City แล้วกลับมาดูราคา Vios อีกที กลายเป็นว่า Toyota ตั้งราคาได้แพงไปและไม่สมกับของเล่นที่ติดมาให้เลยครับ ใครเห็นด้วยบ้างเอ่ย เริ่มด้วยรุ่นแรก J M/T ราคา 559,000 บาท,รุ่น J A/T ราคา 589,000 บาท,รุ่น E M/T ราคา 614,000 บาท,รุ่น E A/T ราคา 649,000 บาท,รุ่น G A/T ราคา 699,000 บาท และรุ่น S A/T ราคา 734,000 บาท บอกเลยตัวท็อปราคาเท่า City SV เลย แต่ได้ของเยอะกว่านี้อีกเพียบ แล้วหลังจากที่ผู้เขียนพิจารณาดูดีๆ รุ่นท็อปของ Vios ก็คือ S A/T มันมีออปชั่นภายในพอๆกับ City V A/T ของ Honda เลย ระบบความปลอดภัยยังน้อยกว่า City ด้วย อายมั้ยครับ?

   สรุปเลยละกัน...Toyota Vios รุ่นใหม่นี้ ยังมีอะไรที่ต้องปรับปรุงอีกเพียบกันเลยทีเดียว ขอบอกว่าโฉมใหม่นี้ รู้สึกเหมือน Toyota จะสักแต่ว่าทำออกมาเพื่อขายให้กับผู้บริโภค อาศัยความสดใหม่และเกมการตลาดในการแข่งขันกับค่ายคู่แข่ง ซึ่งเป็นอะไรที่ดูขัดใจไปนิด เพราะ Toyota เล่นลดต้นทุนแบบสุดๆโดยคิดว่ายังไงมันก็ขายได้อยู่แล้ว และการคิดแบบนี้นี่เอง ทำให้ในปีนี้ Honda City ตัวใหม่ ได้กลับมาครองยอดขายอันดับ 1 ของ B-Segment หลังจากห่างหายจากตำแหน่งกว่าทศวรรษ  ก็เห็นสมควรครับ ให้มันรู้บ้างว่า การกั๊กสเปกและลดต้นทุนมันเป็นยังไง ฉะนั้นเราหวังว่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นกว่าเดิมนะครับ ใน Vios ไมเนอร์เชนจ์เราคาดหวังว่าจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ และเชื่อว่า Toyota ต้องทำแน่นอน ไม่งั้นโดน City กินเรียบ ฉะนั้นเจอ City แบบนี้ Toyota ทำอะไรไม่ถูกแน่ ฉะนั้นเราจะมาลองแนะนำสิ่งที่ควรเพิ่มเติมใน Vios ตัวปรับโฉมครับ

- รุ่น J รุ่นนี้ควรเพิ่มระบบเบรก ABS และระบบกระจายแรงเบรก EBD มาได้แล้วนะ เพิ่มลำโพงเป็น 4 ตัว
- รุ่น E รุ่นนี้จัดออปชั่นลงตัวสุดแล้ว แต่ก็ขอแนะนำให้ติด Pust Start และ Smart Entry มาให้ตั้งแต่รุ่นนี้จะดีมากครับ ขอเข็มน้ำมันดิจิตอลมาเลยรุ่นนี้
- รุ่น G รุ่นนี้ต้องเพิ่ม Pust Start และ Smart Entry มีจอสัมผัสมาให้ (และขอจอสัมผัสรุ่นดีๆมีคุณภาพด้วย)
เข็มน้ำมันดิจิตอล
- รุ่น S ตัวท็อปสุด รุ่นนี้ต้องเพิ่ เข็มน้ำมันดิจิตอล ทางที่ดีน่าจะมี Paddle Shift มาให้ขับสนุกนิดนึงก็ดีครับ รอระบบควบคุมการทรงตัว VSC ติดมาให้ด้วยจะดีมาก
   ***และที่สำคัญ ทุกรุ่นควรเปลี่ยนเครื่องยนต์บล็อกใหม่ เปลี่ยนเกียร์ใหม่ และทำให้รองรับ E85 ได้ด้วย มาตรวัดไปออกแบบให้สวยๆกว่านี้ ขอแบบมีมิติหน่อย ไม่เอาแบบกระดาษปริ๊นแบบนี้ เข็มน้ำมันที่เป็นดิจิตอล จงเอากลับมาด้วย และอีกอย่างหนึ่งคือ เข็มขัดปรับสูง-ต่ำ จงเอากลับมาด้วย ระบบปรับอากาศอัตโนมัติจงติดลมไล่ฝ้ามาให้ (ไม่ใช่รุ่นนี้รุ่นเดียว ควรมีทุกรุ่นทุกคันที่ขายอยู่ แอร์มือหมุนไม่ติดไม่ว่า)

   ทั้งหมดนี้ก็คือการวิจารณ์และคอมเม้นต์กันสุดใจ บอกเลยครับ "ผมไม่ได้มีอคติต่อค่าย Toyota" และไม่เคยคิดเข้าข้างค่ายใดค่ายหนึ่ง ค่ายรถทุกค่ายย่อมมีดีและแย่ มีด้านบวกก็ต้องมีด้านลบ ไม่ได้ดีเลิศเลอเพอร์เฟกต์อะไรหมด อะไรก็ตามที่มันไม่ดี เราก็ต้องติเพื่อให้นำไปปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น สิ่งไหนที่ดีเราก็ต้องชื่นชม อะไรที่แย่เราก็ด่า ด่าเพราะความหวังดี เพราะความรัก ไม่งั้นเราไม่ทำครับ ค่าย Toyota ถือเป็นแบรนด์ในหัวใจผู้เขียนเลย หากคิดจะซื้อรถก็ต้องคิดถึงเจ้ายี่ห้อนี้ก่อน รถใหม่ๆแต่ละคันก็ทำออกมาสวยงาม ฉะนั้นสิ่งที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้หวังว่า ค่ายสามห่วง ควรเอาไปปรับปรุงใหม่ครับ แต่ถ้าไม่คิดเรื่องพวกนี้ รถ Vios คันนี้ก็ถือเป็นทางเลือกที่น่าใช้รุ่นหนึ่ง
แนะนำ ติชม แสดงความคิดเห็น และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแฟนเพจ Cars New Update ที่นี่!!
 

วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เปรียบเทียบมวยคู่เดือด ตอนที่ 17 : Honda Jazz 2014 VS. Mazda 2

  "เอาของสดมาเทียบกับของเปื่อยทำไมครับ" "รอเทียบ Mazda 2โฉมใหม่น่าจะสนุกกว่าเยอะ" "ของใหม่ได้เปรียบกว่าอยู่แล้ว" หลากหลายความเห็นจากเพื่อนสมาชิกแฟนเพจเมื่อผู้เขียนคิดจะนำของใหม่และของเก่ามาเปรียบเทียบกันซะหน่อย อันที่จริงความเห็นที่กล่าวว่าเนี่ย มันเป็นเรื่องจริงและผู้เขียนเห็นด้วยทุกประการ แต่ด้วยเหตุผลอย่างหนึ่ง ซึ่งเราขอกล่าวทีหลังนะครับ เดี๋ยวได้รู้แน่นอน ขอไปอารัมภบทแป๊บ...
   ตลาด B-Segment ท้ายตัด ถือเป็นหนึ่งในตลาดที่น่าจับตามองไม่น้อย เพราะเพิ่งมีของใหม่ซิงๆลงสู่ตลาด ซึ่งแน่นอนหนีไม่พ้น Honda Jazz โฉมใหม่ของเรานั่นเอง ที่มากับหน้าตาที่หล่อเอาการและดูทันสมัยสุดๆ งานนี้เราเลยขอจับมันมาเทียบกับคู่แข่งใกล้ตกรุ่นอย่าง Mazda 2 อ้า!!!! สาเหตุที่เรานำมันมาเทียบกับ Mazda 2 นั่นก็เพราะว่า ผู้เขียนเคยเอา Honda City มาเทียบกับ Ford Fiesta EcoBoost ไปแล้วครับ คลิกเลย! ซึ่งแน่นอนออปชั่นของ Honda Jazz และ City มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย ฉะนั้นเลยคิดว่า ยังไม่มีความจำเป็นที่จะเขียน ณ ตอนนี้ (แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เขียนนะครับ ไม่แน่เราอาจจะนำเครื่องยนต์ตัวปกติของ Fiesta มาเทียบกับ Jazz ในอนาคตตอนใดตอนหนึ่ง รอติดตามกันนะครับ) และอีกเหตุผลหนึ่งคือ เราต้องการนำมาเปรียบเทียบเผื่อใครที่กำลังมองหา 2 ตัวเลือกนี้อยู่ด้วย
   ว่ากันมายาวพอสมควรแล้ว อันที่จริง เราก็รู้อยู่แก่ใจว่าใครได้เปรียบ ของใหม่ได้เปรียบกว่าแน่ๆ แต่ยังไงเราก็ขอนำมาเปรียบเทียบกันหน่อยครับ งั้นไปชมกันเลย
รูปร่างหน้าตา
   ขอบอกเลยว่า รถทั้งสองคันมีหน้าตาที่ดีและชวนมองทั้งคู่เลยครับ Honda Jazz จะได้เปรียบเรื่องความสดใหม่กว่า ด้วยหน้าตาที่ดูหล่อและล้ำสมัย ด้วยกระจังหน้า Solid Wing Face ตามแนวการออกแบบ Exciting H Design!!! หล่อกันตั้งแต่หัวจรดท้ายกันเลยทีเดียว และยิ่งมากับสีเหลืองซึ่งเป็นสีโปรโมทรถรุ่นนี้ ยิ่งช่วยเพิ่มความน่ามองเข้าไปอีก แต่ภายในนั้นอาจทำให้เรานึกถึง Honda City บ้างครับ และที่น่าขัดใจนิดนึงคือคอนโซลหน้าที่มีเหลี่ยมเยอะไปนิดนึง และในส่วนกลางคอนโซลที่ออกแบบมันดูไม่สมมาตรไปหน่อย และยิ่งมีปุ่มสตาร์ทออกมา มันดูขัดตาไปนิด แต่ก็ยังน่าใช้สุดๆครับ 
   มาถึง Mazda 2 ตัวปัจจุบันที่กำลังจะตกรุ่นอีกไม่ถึงปีเท่านั้น ก็ยังมากับหน้าตาที่ดูหล่อและสปอร์ตไม่น้อย และดูไม่แพ้ Honda Jazz เลย มากับรูปลักษณ์ที่ดูสปอร์ตและโฉบเฉี่ยวตามแนวทางค่าย Mazda เค้าอยู่แล้ว สปอร์ตตั้งแต่หน้าจรดท้ายเช่นกันครับ ภายในของรถจะเน้นทรงกลมและเส้นโค้งเต็มไปหมดทั้งคัน อาจทำให้นึกถึงมิกกี้เม้าส์ไปบ้างนิดนึง แต่ก็ออกแบบให้ใช้งานได้ดีเยี่ยม
ฟังก์ชัน
   มาดูฟังก์ชันภายใน ไม่ต้องบอกอะไรเลย รู้กันอยู่แล้ว Honda เปิดตัวรถโฉมใหม่มาทีไร สกัดค่ายอื่นหลุดด้วย Option ภายในแทบจะทุกครั้งเลย และแน่นอนงานนี้มันก็มีสกัดทุกค่ายไปให้ไกลลิบโลกอีกตามเคย ไม่ต้องพูดพร่ำอะไรมากมาย Mazda แพ้ขาดลอยเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะ Honda แกมาเต็ม ถึง Mazda มีจอสัมผัสมาให้เล่นก็โอเคแล้ว แต่ที่ไม่มีก็คือ Paddile Shift หรือจะเป็น Cruise Control และยังมีอีก งั้นมาลองดูการเทียบของตัวท็อปทั้ง 2 รุ่นเลยครับ

ฟังก์ชัน
Honda Jazz SV+
Mazda 2 Sports Maxx
กุญแจรีโมท
มี
มี
ปุ่มสตาร์ท
มี
-
ระบบปรับอากาศ
อัตโนมัติ
มือหมุน
สัญญาณเตือน เมื่อถึงความเร็วที่กำหนด
-
มี
ระบบไล่ฝ้ากระจกหลัง
-
มี
ระบบควบคุมประตูอัจฉริยะ
มี
-
เบาะนั่งคนขับปรับสูง-ต่ำได้
มี
มี
เบาะนั่งด้านหลังพับแบบ 60 : 40
มี
มี
พวงมาลัย
ปรับระดับ 4 ทิศทาง
สูง-ต่ำ
Paddle Shift
มี
-
Cruise Control
มี
-
ไฟแสดงผลการขับขี่แบบประหยัด
มี
-
เซ็นทรัลล็อก
มี
มี
กระจกมองหลังแบบตัดแสง
มี
มี
ไฟเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยด้านคนขับพร้อมเสียงเตือน
มี
-
ระบบเครื่องเสียง
เครื่องเล่น CD/DVD/MP3 จอสัมผัส 7 นิ้วแบบ Advance Touch
วิทยุและเครื่องเล่น DVD/CD/MP3
และหน้าจอระบบสัมผัส 7”
Bluetooth
มี
มี
ช่องเชื่อมต่อ USB AUX
มี
มี
ช่องเชื่อมต่อ HDMI
มี
-
ระบบปรับเสียงอัตโนมัติตามความเร็ว (ALC)
-
มี
ลำโพง
6 ตัว
4 ตัว
ระบบสั่งการด้วยเสียง Siri
มี
-
รองรับการเชื่อมต่อ Smart Phone
มี
-
เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง
   ด้านเครื่องยนต์นั้น ของใหม่อย่าง Honda ยังยึดติดเครื่องเดิม (ตัวเดิมกะ City) เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร i-VTEC มากับพละกำลัง 117 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 147 นิวตัน-เมตรที่ 4,700 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด หรือจะเป็น เกียร์อัตโนมัติ CVT พัฒนาภายใต้เทคโนโลยี EarthDream Technology และแน่นอนรองรับเชื้อเพลิง E85 ได้ด้วยครับ และแน่นอนยังเพิ่มการขับขี่ที่สนุกด้วย Paddle Shift 7 สปีดเข้าไปด้วย
   และสำหรับ Mazda นั้น มากับเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร MZR พร้อมระบบวาล์วแปรฝันอัจฉริยะ S-VT และระบบ TSCV ให้แรงบิดต่อเนื่องตั้งแต่รอบต่ำ ตอบสองฉับไว รวดเร็ว มาพร้อมพละกำลัง 103 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 135 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีดและเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดควบคุมด้วยอิเล็กโทรนิกส์ พร้อมฟังก์ชัน Hold Mode เปลี่ยนเกียร์เองตามความต้องการและรักษากำลังได้ตามต้องการ โดยเกียร์ทั้งสองยังปรับอัตราทดให้เหมาะกับการขับขี่แบบสปอร์ตตามสไตล์มาสด้าด้วยเฉพาะด้วย
ระบบความปลอดภัย
   ไม่ต้องพูดถึง ดูตารางด้านล่าง Mazda แพ้ขาดลอยลิบลิ่วเลย ด้วยฟังก์ชันต่างๆที่มีให้มากกว่า Mazda ของ Honda Jazz ทำเอาหลายค่ายเงิบมาแล้วตอนอยู่ใน City บอกเลยถึงเอารุ่นรองท็อปของ Jazz มาเทียบ หรือรุ่นถัดไปอีก Mazda ยังแพ้ครับ เพราะงานนี้ค่าย Honda จัดเต็มระบบความปลอดภัยทั้งการป้องกันผู้ขับขี่และระบบช่วยเหลือต่างๆ ไปดูกันเลยครับ

ระบบความปลอดภัย
Honda Jazz SV+
Mazda 2 Sports Maxx
ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS
มี
มี
ระบบกระจายแรงเบรก EBD
มี
มี
ถุงลมนิรภัยคู่หน้า Dual SRS
มี
มี
ถุงลมนิรภัยด้านข้าง
มี
-
ม่านถุงลมนิรภัย
มี
-
ระบบควบคุมการทรงตัว VSA
มี
-
ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน HSA
มี
-
สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโมนัติขณะเบรกกะทันหัน ESS
มี
-
กล้องมองหลังปรับได้ 3 ระดับ
มี
-
เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติ
มี
-
กุญแจนิรภัย Immoblizer
มี
มี
ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ (Auto Door Lock By Speed)
มี
-
จุดยึดเบาะนั่งสําหรับเด็ก (ISOFIX & Child Anchor)
มี
-
สัญญาณกันขโมย
มี
มี
เซ็นเซอร์กะระยะถอยหลัง
-
มี
ราคา
   มาส่องกันที่ราคาบ้างคร้าบ... Honda Jazz มีทางเลือกให้เราได้เลือกใช้ 6 รุ่นด้วยซึ่งก็จัดราคาได้สมเหตุสมผลเช่นกัน โดยมากับราคาตามนี้ครับ รุ่น S M/T ราคา 555,000 บาท,รุ่น S M/T 594,000 บาท,รุ่น V A/T ราคา 654,000 บาท,รุ่น V+ A/T ราคา 694,000 บาท,รุ่น SV A/T ราคา 739,000 บาท และ รุ่นท็อป SV+ A/T ราคา 754,000 บาทครับ
   มาที่ Mazda 2 กันบ้าง ค่ายนี้จัดทางเลือกมาให้ลูกค้า 6 รุ่นเช่นกันครับ เริ่มที่รุ่น Groove M/T ราคา 550,000 บาท,รุ่น Groove A/T ราคา 595,000 บาท,รุ่น Spririt A/T ราคา 664,000 บาท,รุ่น Spirit A/T สีขาวมุก ราคา 671,000 บาท,รุ่น Maxx A/T ราคา 715,000 บาท และรุ่น Maxx A/T สีขาวมุก ราคา 722,000 บาท
  ดูราคาทั้งสองแล้ว Honda แพงกว่าแต่ของที่ได้มาเยอะกว่า ก็แปลว่ามันพอๆกันนั่นหละครับ งานนี้ก็ขึ้นอยู่กับท่านแล้วว่าชอบคันไหนมากกว่ากัน 
สรุป...
   อันที่จริงเราไม่จำเป็นต้องเอาของใหม่ซิงๆ กับของเก่าใกล้ตกรุ่นมาเทียบเลยครับจริงๆ เพราะ Mazda 2 นั้นก็จะเปิดตัวโฉมใหม่ในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคมที่งาน Paris Motor Show 2014 ตามข่าวแล้ว และเรายังได้ยินว่ามันจะมาไทยต่อจากนั้นในช่วงไตรมาสที่ 4 ด้วยครับ ซึ่งอันที่จริงผู้เขียนก็เห็นด้วยตามนั้นนะครับ แต่แน่นอนว่า ต้องมีคนที่ยังชอบสไตล์ที่สวยงามและดูดีของ Mazda 2 อยู่ แม้ว่าจะใกล้ตกรุ่น ขนาด City ยังมีคนยอมซื้อโฉมเก่ามาขับเพราะไม่ชอบโฉมใหม่ก็มีครับ ฉะนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก ผู้เขียนเคยเขียนบทความเทียบของเก่าและเก่าใกล้ตกรุ่นแล้ว ของใหม่กับของเก่าก็ไม่น่าแปลกอะไร ฉะนั้น องค์ประกอบทุกอย่างที่ทุกท่านได้อ่านและได้เห็นๆที่ผ่านมาก็พอบอกได้ว่า Honda Jazz รับโล่ไปเลยกับการเปรียบเทียบครั้งนี้ด้วยความสดใหม่และฟังก์ชันต่างๆนั่นเองครับ...
แนะนำ ติชม แสดงความคิดเห็น และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแฟนเพจ Cars New Update ที่นี่!!
 

Like Box