วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

First Meeting EP.1 All-New Mitsubishi Triton : กระบะที่ทำให้เปลี่ยนทุกความเชื่อเดิมๆจริงๆ

  เคยมีโมเม้นต์แบบนี้กันมั้ยครับ...ความรู้สึกที่ว่า เวลาไปเดินงานรถยนต์ บางค่ายที่น่าเบื่อๆ มีแต่รถเดิมๆโชว์ เราจะเดินเข้าไปดูแล้วก็ผ่านไปแบบรวดเร็ว แต่ถ้าบูธนั้นมีของใหม่มานำเสนอ โดยเฉพาะรุ่นใหม่ล่าสุดที่เป็นหัวหอกสำคัญของตลาด เราจะสนใจมันและเข้าไปดูบูธของรถยี่ห้อนั้นนานเป็นพิเศษกันเลยทีเดียว และความรู้สึกอะไรแบบนี้นั้น มันได้เกิดผู้เขียนเป็นที่เรียบร้อย กับกระบะ All-New Mitsubishi ที่ท่านผู้อ่านเห็นอยู่ตรงหน้านี้


   ยอมรับเลยว่าช่วง 1-2 ปีมานี้ ผู้เขียนแทบจะเดินผ่านบูธ Mitsubishi ไปแบบรวดเร็วอย่างไร้เยื่อใย ด้วยความที่ว่ามีแต่รถหน้าเดิมๆที่อยู่ในตลาดไม่ว่าจะงานไหนๆ แม้ว่า Mitsubishi จะมี Pajero Sport Minor Change ออกมาเมื่อต้นปี และแล้วบังเอิญว่ามันมีรถมาจอดโชว์ที่ห้างแถวบ้าน ผู้เขียนก็ได้มีโอกสาลองนั่ง ก่อนที่งาน Motor Show 2014 จะมา ซึ่งพองานเริ่ม ผู้เขียนก็เข้าไปดู ไปหยิบโบรชัวร์แป๊บเดียว ก็วาร์ปไปที่อื่นเลย ที่จะทำให้อยู่นานก็คือพริตตี้ค่ายนี้นี่หละ เห็นทีไรเป็นต้องถ่ายรูป ฮาๆๆ...

   ก่อนอื่นต้องย้อนความกันไปตั้งแต่หลังการเปิดตัว All-New Nissan NP300 Navara เมื่อมีภาพหลุดกระบะสีขาวออกมาจากโรงงาน ซึ่งดูจากรูปก็รู้เลว่ามันต้องเป็น All-New Mitsubishi Triton แน่ๆ แต่ด้วยภาพที่ถ่ายจากโรงงาน และคงจะเป็นเพราะมุมกล้องและแสงภายในโรงงานทำให้ตัวรถดูขี้เหร่ไปหน่อย และทำให้หลายๆคนบ่นถึงหน้าตาของมันว่าเป็นรถจีน กระบะลิเก สารพัดเยอะแยะ แม้แต่ผู้เขียนยังบ่นเลย อย่างไรก็ตามก็ยังมีคนออกโรงมาปกป้อง อ้างว่า เป็นภาพตัดต่องั้นงี้ แล้วก็จับผิดไปเรื่อย แต่อย่างไรก็ตามมันก็ยังเป็นภาพจริงวันยังค่ำ ไม่งั้นพวกคนในทั้งหลายไม่มาตามลบกันหรอก และยิ่งตามลบ มันก็ยิ่งทำให้รู้ว่ามันคือภาพหลุดของจริง แต่แล้วก็มีภาพหลุดสร้างความตื่นเต้นไปเรื่อยๆ รวมถึงภาพหลุดชุดที่มีจักรยานในกระบะท้าย คนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือ พวกที่แสดงความเก๋า โชว์เหนือว่าข้ามีรูป ก็เอาไปอวดชาวบ้าน แต่ไม่สนใจถึงความเดือดร้อนที่จะตามมาทีหลังเลย เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ก็จบๆกันไปครับ

   และเมื่อการเปิดตัวของ All-New Mitsubishi Triton มาถึงในวันที่ 18 พฤศจิกายน ทำให้ความคิดของผู้เขียนต้องเปลี่ยนไปทันที เพราะ ความรู้สึกแรกหลังจากเห็นหน้าตาของมันผ่านภาพ Official ของ Mitsubishi ก็ต้องบอกเลยว่า มันสวยกว่ารูปหลุดเอามากๆเลย และการที่นำพรีเซนเตอร์อย่าง ติ๊ก เจษฎาภรณ์มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับตัวรถ ก็ช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ของรถได้ดีที่เดียว สงสัยรายการเนวิเกเตอร์คงได้เห็นเจ้าไทรทันแทนแน่ๆ ส่วนตัวโดยรวมนั้น ตัวผู้เขียนถึงกับเปลี่ยนทัศนคติทางลบที่เคยคิดกับภาพหลุดมาตลอด จากที่เคยคิดว่าเป็นกระบะลิเกเจ๊กงิ้วอะไรนั่น ก็ลืมไปหมดแล้วครับ และนั่นทำให้เมื่อคราวที่ผู้เขียนไปงาน Motor Expo 2014 ผู้เขียนขลุกอยู่ในบูธค่ายนี้นานเป็นพิเศษ ไม่ใช่เพราะพริตตี้ แต่เพราะเจ้า Triton นี่ละครับ เราเลยจะมาบอกเล่าความรู้สึกแรกเมื่อได้ไปสัมผัสเจ้า Triton กันเลยดีกว่า...

   มาเริ่มที่ภายนอกของรถกันเลยดีกว่า ความรู้สึกแรกที่เห็นตัวจริงนั้น รู้สึกว่ามันค่อนข้างที่จะดูดีกว่าในรูปกันเลยละครับ คงจะเป็นเพราะราศีความใหม่จับ ทำให้ตัวรถดูดีเอามากๆเลยทีเดียวละครับ แม้ว่ากระจังหน้าของรถ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ขัดขวางความสวยงามของรถมากๆ เพราะกระจังหน้าที่ดูลิเกไปนิด อาจทำให้บางมุมมันดูคล้ายกระบะจากจีนไปบ้าง แต่ที่ไปดูที่งาน Motor Expo 2014 ผู้เขียนไม่ได้ทึกทักในเรื่องกระจังหน้าแม้แต่น้อยเลย แล้วก็ถ่ายรูปเก็บไว้ตามปกติ และดูจะชอบเจ้ากระบะคันนี้เป็นพิเศษเลยละครับ 


   และสิ่งที่สะดุดตาเป็นอันดับแรกก็คือโคมไฟหน้าโปรเจคเตอร์ LED พร้อมไฟ Daytime Running Lights ในโคมไฟหน้า อันเป็นลูกเล่นใหม่ๆที่กระบะรุ่นใหม่ๆแทบจะต้องมีกันทุกรุ่น ซึ่งดูเหมือนจะเป็นไฟท์บังคับกันไปแล้ว เพราะแม้แต่กระบะรุ่นใหม่ๆอย่าง Ranger MC และ Hilux ก็จะมีให้มาด้วยเช่นกัน ซึ่งตัวโคมไฟนั้นก็ออกแบบตัวโคมให้ดูสวยงามพอสมควร กันชนหน้ารถที่ออกแบบให้ดูโฉบเฉี่ยว ดูมีมิติกว่าเดิม เอาอิทธิพลจาก GR-HEV มานิดๆ 


และขอเขียนตัวโตๆ และย้ำไว้ ณ จุดๆนี้ว่า GR-HEV Concept ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกแบบและการพัฒนา Triton ใหม่ทั้งสิ้น และใครเคยคิดว่าต้นแบบกระบะดูสวย พอทำรถจริงออกมาเป็นแบบนี้ จงเลิกมโนและล้มเลิกความคิดแบบนี้ไปได้เลยครับ จะว่าไปแล้วกระจังหน้าของ Triton ตอนเดียวมันดูดีกว่ากระจังหน้ารุ่นบนๆอีกนะครับ


    ดูเส้นสายด้านข้างตัวรถ มันก็ยังคงมาแนวปลัดขิกเช่นเดิม แต่ดูสวยและดูหรูหรามากกว่าเดิม กระจกมองข้างและมือจับประตูสหกรณ์ที่ยกมาจาก Triton โฉมเดิม ยังคงมาให้เห็น แล้วมันแปลกเหรอ...ขนาด Hilux Vigo ยังเอากระจกมองข้าวสหกรณ์จากพวก Harrier หรือแม้แต่มือจับประตูยังเป็นแบบเดียวกับ Vios Camry Yaris ได้เลย นี่ยังไม่นับพวงมาลัยสหกรณ์จาก Camry นะแจ๊ะ... ต่อที่เรื่อง Triton ถ้าลองมาดูในรุ่นตอนครึ่ง เราก็จะพบว่า แค็บมันเปิดได้แล้วนะครับ เป็นเรื่องปกติที่กระบะรุ่นใหม่ๆแค็บต้องเปิดได้แล้วครับ และอีกจุดที่สำคัญคือ เรายังเห็นเจ้า Triton ใหม่ติดโป่งพลาสติกที่ซุ้มล้ออยู่ และก็มีหลายๆคนบ่นว่า ค่ายอื่นเค้าตีโป่งกันหมดแล้ว แล้ววววววไงครับ...ติดโป่งมันผิดเหรอ อยากรู้จริง เพราะแม้แต่กระบะรุ่นใหม่ๆที่ออกมาก่อนหน้านี้ที่ไม่มีโป่งพลาสติกติดแล้ว มันยังเอามาแต่งติดโป่งกันเลยครับ แต่ความเห็นผู้เขียน คิดว่าติดโป่งแล้ว มันดูเป็นเอกลักษณ์และอินดี้กว่าใครเขาดี ถ้าไม่ติดมันก็คงจะขัดตาอยู่อะนะ

   รายละเอียดด้านท้ายรถนั้น มองแล้วก็ดูเฉยๆ แต่ก็ทำออกมาดี กันชนท้ายที่ทำออกแบบเข้ายุคเข้าสมัยมากขึ้น ผิดกับจากรุ่นเดิมที่กันชนท้ายทำออกมาแนวอวกาศไปนิดหน่อย ไฟท้ายรถที่มีติ่งย้อยๆยาวออกมาชวนนึกถึงไฟท้ายของ Nissan Almera แต่ก็ดูโอเคไม่ได้มีอะไรมากหรอก โลโก้บนฝาท้าย มีคำว่า "MIVEC Clean Diesel" แสดงถึงจุดขายใหม่ของรถได้เป็นอย่างดี

  มาดูล้ออัลลอยของรถกันบ้าง เบื้องต้นนั้นในรุ่นยกสูงทั้งหลาย Mitsubishi มีล้อให้เลือก 2 ลายด้วย ได้แก่ ลาย 16 นิ้ว ในรุ่น Double Cab Plus GLX และ Double Cab 4x4 GLS นอกนั้นจะเป็นล้อลาย 17 นิ้ว 6 ก้านคู่ทั้งหมด ซึ่งล้อ 16 นิ้วนั้นออกแนวเรียบง่ายไม่หวือหวาเท่าไหร่ ส่วนล้อ 17 นิ้วนั้นดูดีกว่าแบบเห็นได้ชัด ลายล้อชวนให้นึกถึง Hilux Vigo Champ ยกสูง 4 ประตูเล็กน้อย





    เข้ามาดูรายละเลียดภายในรถกันบ้างดีกว่าครับ ภายในรถนั้นถือว่าพลิกการออกแบบภายในแทบจะทั้งหมดกันเลยละครับ ก่อนหน้านี้ที่รุ่นเดิมทำคอนโซลออกมาดูล้ำโลกและดูแปลกตาไปนิด และเอาวิทยุแบบติดข้างนอกมาใส่ ทำให้มันดูธรรมดามากๆ แต่ภายในของ Triton ใหม่ ต้องเปลี่ยนความคิดกันเลยทันที มันดูหรูหรากว่าเก่ามากและให้สัมผัสที่ดีกว่ารุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัดเจน และสิ่งที่จะตะลึงตึงโป๊ะกันเลย ก่อนอื่นจะบอกว่าภายในรถคันนี้ รวบรวมของจากสหกรณ์ Mitsubishi มาเยอะเลยทีเดียว เข้ามาครั้งแรก สิ่งที่คุ้นก่อนเลย พวงมาลัยที่หน้าตาละม้ายคล้าย Mirage/Attrage เป๊ะ (แท้ที่จริง ยกมาจาก Outlander ของเมืองนอก ซึ่งพวงมาลัยมันคล้าย Mirage เช่นกัน)หรือแม้แต่แอร์อัตโนมัติของ Mirage ทั้งแผง รวมถึงหน้าจอสัมผัสที่เอามาจาก Pajero Sport ด้วย แต่ถ้ารุ่นไม่มีกล้องหลัง ก็จะได้หน้าจอของ Mirage/Attrage ครับ เป็นการลดต้นทุนไปในตัวด้วย ไม่ต้องมานั่งออกแบบใหม่ให้เสียเวลา

ของเล่นภายในรถนั้น เหมือนจะไม่มีอะไร ให้ถ้าให้ไล่ๆของเล่นภายในดูแล้ว ก็มีออปชั่นเพียบๆ อย่างพวงมาลัยที่มีปุ่มควบคุมแบบ Outlander ของเมืองนอกเลย มีปุ่มมัลติฟังก์ชันควบคุมระบบเครื่องเสียงและ Cruise Control ครบครัน

 เข้ามาดูรายละเอียดที่คอนโซลหน้า มากับคอนโซลแบบ Piano Black ตัดกับวัสดุสีเทา ซึ่งให้สัมผัสวัสดุที่ดีกว่ารุ่นก่อนแบบเห็นได้ชัดเจน และ Mitsubishi ยังใจดีที่มีหน้าจอสัมผัสมาให้ตั้งแต่รุ่น Double Cab Plus GLS เป็นต้นไป และตั้งแต่รุ่น GLS LTD เป็นต้นไป แต่ยังแอบงกนิดๆด้วยการให้กล้องมองหลังเฉพาะรุ่น Double Cab Plus GLS Navi และ Double Cab 4x4 GLS LTD เท่านั้นเองครับ แต่อย่างไรก็ตามทุกรุ่นที่มีหน้าจอก็ยังให้ระบบนำทางมาให้ ระบบสตาร์ทอัจฉริยะหรือปุ่มสตาร์ทก็มีมาให้ตามยุคตามสมัย

เกียร์ของรถที่ในรุ่น 4x4 นั้นได้เปลี่ยนเกียร์ที่ควบคุมระบบขับเคลื่อน กลายเป็นสวิตซ์การปรับโหมดแทน (เสียดายลืมถ่ายรูปมา) แต่ฐานเกียร์นั้นออกแบบให้ดูเรียบร้อย ดูน่าใช้กว่าเก่ามากเลย 


แผงประตูรถนั้น ออกแบบมาแนวธรรมดา แต่ใช้งานได้ค่อนข้างดี มีช่องเก็บขวดน้ำที่น่าจะใส่ได้ซัก 2-3 ขวดโดยประมาณ 

 มาดูที่ด้านหลังของรถนั้น แม้ว่าจะไม่มีแอร์ด้านหลังมาให้แบบ NP300 Navara ไม่เป็นไร นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรเอามาเป็นประเด็นมากนัก ในรุ่น 4 ประตูนั้น ที่เขาร่ำลือกันว่าเบาะหลังนั้นนั่งสบายสุดในบรรดากระบะ 4 ประตูทั้งปวง ซึ่งผู้เขียนไปลองมาแล้วครับ ซึ่งก็ไม่ผิดที่ใครๆเขาพร่ำบอกจริงๆ แม้ว่าวันที่ไปงาน Motor Expo จะไม่ได้ลองนั่งกระบะทุกรุ่น แต่เท่าที่จำความได้ ลองนั่ง D-Max หรือ Vigo หรือ Ranger ก็ตาม มันก็ไม่ได้ให้ความสบายดุจนอนเล่นบนสวรรค์เท่ากับเจ้า Triton เลย ถือว่าจุดขายที่ดีของเค้าเลยหละ..จะบอกให้



   มาดูที่พละกำลังของรถกันบ้าง ที่เป็นไฮไลต์ของค่ายนี้ที่นำเอาระบบวาล์วแปรผัน MIVEC มาใช้กับรถกระบะครั้งแรก ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตร 4 สูบ มากับพละกำลัง 181 แรงม้าที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตัน-เมตรที่ 2,500 รอบ/นาที  มากับเทคโนโลยีเทคโนโลยีการลดน้ำหนักด้วยเครื่องยนต์อลูมินัม อัลลอย บล็อค ช่วยให้สามารถลดน้ำหนักเครื่องยนต์ได้ 35 กก. แต่ยังคงความแข็งแกร่งและทนทาน ใช้กระบอกสูบแบบเหล็กกล้า (Steel Cylinder Liner) และการติดตั้งโซ่ไทม์มิ่ง ช่วยเพิ่มความทนทาน ยืดอายุการใช้งาน และลดค่าใช้จ่ายเรื่องการบำรุงรักษาเครื่องยนต์ด้วยครับ

   นอกจากนี้ยังมีเครื่องยนต์เบนซินตัวเดิม 2.4 ลิตร พละกำลัง 128 แรงม้าที่ 5,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 194 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบนาที และยังคงมีเครื่องดีเซลบล็อกเก่า 4D56 เวอร์ชั่น N/A และ VG Turbo Intercooler 178 แรงม้า ยกชุดมาครบ  ระบบส่งกำลังมีให้เลือกตั้งแต่เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด เกียร์ธรรมดา 5 และ 6 สปีด

   ในด้านระบบความปลอดภัยของรถนั้นถือว่ามาครบครันตามสไตล์ของใหม่ และยังคงกระจุกในตัวท็อป สไตล์ของใหม่เช่นกันครับ อย่างไรก็ตาม Triton ใหม่นั้น มากับถุงลมคู่หน้าทุกรุ่นย่อยแล้ว เข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับอัตโนมัติคู่หน้า ระบบล็อกกันเด็กเปิดประตูจากภายใน ระบบเบรก ABS EBD ระบบเสริมช่วยเบรก BA กุญแจ Immoblizer ตั้งแต่รุ่น Double Cab Plus GLS เป็นต้นไป ในรุ่น Double Cab 4x4 GLS Limited เกียร์อัตโนมัติ จะมีระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASTC ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist System  เฟืองท้ายแบบลิมิเต็ดสลิป เฉพาะรุ่น 4x4 เกียร์ธรรมดา และกล้องมองหลัง เฉพาะรุ่น Double Cab Plus GLS Navi และ Double Cab 4x4 GLS Limited ทุกระบบเกียร์

   สำหรับราคาค่าตัวของรถนั้น ตอนนี้ Mitsubishi เปิดจองแค่ตัว Double Cab Plus และ Double Cab 4x4 เท่านั้น ส่วนตัวอื่นๆ รวมทั้งรุ่นตอนเดียวและรุ่น 2 ประตูตอนครึ่งจะประกาศรุ่นย่อยและราคาในช่วงกุมภาพันธ์ปี 2015 ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ค่ายสามเพชร ให้เหตุผลประมาณว่า "ตลาดกลุ่มรถ 4 ประตูยกสูงเป็นตลาดขายดีและเป็นตลาดกลุ่มใหญ่" ซึ่งมันก็จริงครับ โดยมีราคาค่าตัวดังนี้
Double Cab Plus

Mitsubishi Triton GLX 2.4 ลิตร เครื่องยนต์ดีเซล 6MT ราคา 791,000 บาท
Mitsubishi Triton GLS 2.4 ลิตร เครื่องยนต์เบนซิน 5MT ราคา 791,000 บาท
Mitsubishi Triton GLS 2.4 ลิตร เครื่องยนต์ดีเซล 6MT ราคา 838,000 บาท
Mitsubishi Triton GLS 2.4 ลิตร เครื่องยนต์ดีเซล 5AT ราคา 882,000 บาท
Mitsubishi Triton GLS Navi 2.4 ลิตร เครื่องยนต์ดีเซล 6MT ราคา 881,000 บาท
Mitsubishi Triton GLS Navi
Double Cab 4x4 
2.4 ลิตร เครื่องยนต์ดีเซล 5MT ราคา 925,000 บาท
Mitsubishi Triton GLS 2.4 ลิตร เครื่องยนต์ดีเซล 6MT ราคา 837,000 บาท
Mitsubishi Triton GLS-LTD 2.4 ลิตร เครื่องยนต์ดีเซล 6MT ราคา 950,000 บาท
Mitsubishi Triton GLS-LTD 2.4 ลิตร เครื่องยนต์ดีเซล 5AT ราคา 1,008,000 บาท
   
  แม้ว่าราคาค่าตัวนั้นจะโดดขึ้นมาพอสมควรกันเลยทีเดียว และยังแพงกว่า NP300 Navara เล็กน้อย ผู้ซื้อคงต้องชั่งใจแล้วละครับ

   สรุปภาพรวมเลย...Mitsubishi Triton คันนี้ถือว่าเป็นการมาที่ดูดีและมีราศีกว่าเก่ามาก ซึ่งน่าจะทำให้คู่แข่งรายอื่นๆรวมถึง Toyota และ Isuzu ต้องช็อกไปในชั่วขณะ ด้วยตัวรถที่มากับออปชั่นครบครัน และเทคโนโลยีที่เพียบพร้อม ทำให้รถคันนี้มีดีอย่างมากมาย และทุกคนคงจะลืมภาพหลุดสีขาวไปเลย เพราะตัวจริงดูดีกว่ารูปถ่าย แม้กระจังหน้าจะดูขัดตาไปนิด แต่เชื่อว่าพวกแต่งรถต้องทำกระจังหน้าสวยๆออกมาแน่นอน แล้วก็พวงมาลัยด้วยนะ กรุณาเปลี่ยนเถอะ อย่างไรก็ตาม หลายๆคนก็คงจะรอคอยการเปิดตัวของกระบะรุ่นใหม่ๆ โดยเฉพาะ Hilux โฉมใหม่และ Ranger MC ที่จะตามออกมาในปีหน้าว่าจะเทพแค่ไหน ซึ่งจะบอกเลยว่าปีหน้าตลาดกระบะมันสุดติ่งกระดิ่งแมวแน่นอนครับ และก่อนจะจบ จะขอบอกว่า Mitsubishi Triton มันเปลี่ยนทุกความเชื่อ..สมกับที่โฆษณาไว้จริงๆ
แนะนำ ติชม พูดคุย ติดตามข่าวสารรถใหม่ฉับไวก่อนใครกับ Cars New Update ที่นี่!!  

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ภาพแรก Ford Ranger Minor Change เจอกันกลางปีหน้า

  ความเดือดของศึกกระบะนั้นยังไม่มีวันจางหาย เมื่อต่างค่ายต่างเผยไต๋ของตัวเองออกมาเรื่อยๆเพื่อสกัดคู่แข่งที่กำลังมาแรงหรือสกัดรถที่กำลังจะเปิดตัว ให้บ่ายเบี่ยงมาดูค่ายตน บอกเลยศึกนี้ยังไม่มีทางจบง่ายๆแน่นอนครับ อย่างล่าสุดค่าย Ford ก็ได้ทำการสกัดดาวรุ่งด้วยการเผยภาพของ Ford Ranger Minor Change ออกมาล่วงหน้าแล้ว


   การเปลี่ยนแปลงภายนอกเด่นชัดสุดที่ด้านหน้าของรถ ที่มากับแนวการออกแบบที่สอดคล้องกับ Ford Everest โฉมใหม่ที่เพิ่งเผยโฉมไปไม่นาน โดยเฉพาะไฟหน้าที่ยกโคมเดียวกันมาเลย ซึ่งมีเดย์ไลท์เข้ามาด้วย กระจังหน้าออกแบบใหม่ให้แตกต่างจาก Everest รวมถึงกันชนหน้าที่ออกแบบให้แตกต่างกัน และล้อแม็กลายดูแข็งแกร่ง ทำให้รถกระบะคันนี้ดูมีความบึกบึนและความเป็นมะกันจ๋ามากเลยทีเดียวครับ ต่างจากกระบะรุ่นอื่นที่เน้นความสบายแบบเก๋ง ส่วนรายละเอียดภายในยังไม่มี

   คาดว่าขุมพลังนั้นยังคงไว้ซึ่งขุมพลังเดิม 2.2 ลิตร และ 3.2 ลิตร กับเบนซิน 2.5 ลิตร แต่ปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดียิ่งกว่าเก่า

   การเปิดตัวของ Ford Ranger Minor Change ในไทยคาดว่าจะมีขึ้นในช่วงกลางปี 2015 เป็นต้นไปครับ ฉะนั้นสาวก Ford รอชมได้เลย
แนะนำ ติชม พูดคุย ติดตามข่าวสารรถใหม่ฉับไวก่อนใครกับ Cars New Update ที่นี่!!  

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เปรียบเทียบมวยคู่เดือด ตอนที่ 29 : Isuzu D-Max VS. Nissan NP300 Navara

  ปีนี้ ตลาดกระบะมันช่างร้อนแรงและลุกเป็นไฟเสียจริงๆเลยครับ เพราะปีนี้ก็มีกระบะโฉมใหม่เปิดตัวล่อตาล่อใจลูกค้ากันถึง 2 ยี่ห้อด้วยกัน ซึ่งตอนนี้ก็เหลือเจ้าตลาดที่กำลังรอกำหนดคลอดอยู่ แต่ยังไงก็ตาม ตลาดกระบะที่เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่มผู้ใช้บนถนนอยู่แล้ว ก็ยังมีความตื่นเต้นให้เราได้ติดตามกันเสมอครับ

   การเปรียบเทียบครั้งนี้ก็ยังคงเหมือนครั้งก่อนๆ ถ้าใครติดตามอ่านของผมมาอ่ะนะ เราไม่ได้เปรียบเทียบการขับขี่หรือดูประสิทธิภาพ เราเปรียบเทียบแค่รูปร่างหน้าตาและออปชั่นเบื้องต้นก็เท่านั้น ส่วนเรื่องการขับขี่นั้น ท่านผู้อ่านควรจะเป็นผู้ตัดสินเองว่าใครดีกว่า เพราะ ความชอบแต่ละคนไม่เหมือนกันครับ ซึ่งการเทียบครั้งนี้เราจะนำเอากระบะรุ่นใหม่สุดหล่ออย่าง Nissan NP300 Navara มาเทียบกับพี่ใหญ่ของวงการอย่าง Isuzu D-Max เราจะมาดูกันเบื้องต้นว่า สองกระบะคันนี้มีดีมีเด่นและแตกต่างหรือเหมือนกันตรงไหนบ้าง และใครเหนือกว่าใคร นับจากนี้เป็นต้นไปเชิญชมได้ ณ บัดนาว



   มาเริ่มดูกันก่อนที่หน้าตาของรถกันเป็นอันดับแรก ซึ่งดูๆแล้ว ยังไงก็แล้วแต่คนชอบดีกว่าครับ แต่เราจะบอกว่าหน้าตาของ Nissan นั้นมากับหน้าตาที่ดูหล่อเหลา คมเข้ม ทันสมัยด้วยไฟหน้า Projector พร้อม DRL ที่ช่วยเพิ่มดีกรีความหล่อได้มากเลยทีเดียว ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 18 นิ้วในรุ่นท็อป บวกกับราวหลังคาอันเป็นเอกลักษณ์ยิ่งเพิ่มความหล่อเหลาไปอีก แม้ว่าตัวรถจะไม่ได้สูงเหมือนชาวบ้าน แต่ยังไงมันก็หล่อไม่น้อย ส่วน Isuzu ก็มีความหล่อเหลาในตัวของมัน ซึ่งก็มากับหน้าตาที่ดูหล่อคมเข้ม หน้าตาที่ดูเหมือนรถไฟหัวกระสุนทำให้มันดูดีไม่น้อยเช่นกัน เส้นสายตัวรถก็ดูลงตัวและสวยงามลงตัว แต่ไฟเดย์ไลท์ไม่ได้อยู่ที่โคมแบบค่ายอื่นๆ แต่ขออินดี้ด้วยการใส่เดย์ไลท์แทนกรอบไฟตัดหมอกไปเลย



    ภายในรถนั้น ถ้าจะบอกว่าอันไหนสวยกว่า ต้องยอมรับแบบตรงๆว่า ห้องโดยสารของ Nissan นั้นถือว่า สวยกว่า หรูกว่า และดูมีลูกเล่นเยอะกว่า แค่คอนโซลหน้าก็กินขาดแล้วละครับ คอนโซลหน้าของ Nissan นั้นออกแบบให้ดูหรูหราประดุจนั่งบนรถเก๋งกันเลยทีเดียว ส่วน Isuzu นั้นคอนโซลอาจจะดูธรรมดา แต่ก็มีลูกเล่นด้วยกันทั้งคู่ ทั้งสองต่างมีหน้าจอสัมผัสให้เราได้เล่นกัน แต่สิ่งที่ Isuzu ไม่มีคือ แอร์อัตโนมัติแบบปรับแยกซ้าย-ขวา และครูสคอนโทรลเท่านั้นเอง ส่วนความกว้างในห้องโดยสาร อันไหนนั่งสบายกว่ากัน ต้องให้ท่านตัดสินแล้วละครับ

   พละกำลังของ Isuzu D-Max มีทั้งหมด 3 รูปแบบด้วยกัน เครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร มากับพละกำลัง 116 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 280 นิวตัน-เมตรที่ 1,800-2,200 รอบ/นาที และ เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร VGS มากับพละกำลัง 136 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตรที่ 1,800-2,800 รอบ/นาที และปิดท้ายด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร VGS มากับพละกำลัง 177 แรงม้าที่ 380 นิวตัน-เมตรที่ 380 นิวตัน-เมตรที่ 1,800-2,800 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีดและเกียร์อัตโนมัติแบบ 5 สปีด

   ส่วนฝั่งของ Nissan ยังคงมากับเครื่องรหัสเดิม YD25DDTi ที่มีการปรับแต่งขุมพลังให้แรงขึ้น มาพร้อมทางเลือก 2 ขุมพลัง ได้แก่ 163 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 403 นิวตัน-เมตรที่ 2,000 รอบ/นาที และพละกำลัง 190 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตรที่ 2,000 รอบ/นาที เครื่องยนต์ตัวนี้สงวนสิทธิ์เฉพาะตัวท็อปชของแต่ละตัวถังครับ ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดและเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดพร้อมโหมดแมนวล ครังแรกในวงการกระบะไทยระบบกัน สะเทือนหน้าแบบอิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง กันสะเทือนหลังแบบแหนบซ้อนพร้อมโช็คอัพ เบรกหน้าเป็นดิสก์เบรกและเบรกหลังเป็นดรัมเบรก

   สำหรับเรื่องระบบความปลอดภัยนั้นค่าย Isuzu และ Nissan ต่างจัดมาเต็มพอๆกัน ในด้าน Nissan ซึ่งกระจุกอยู่แต่ในรุ่น 4WD เท่านั้น ซึ่งก็มีระบบ ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (VDC) เฟืองท้ายแบบลิมิเต็ดสลิป (LSD) ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA) และระบบช่วยควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC) ระบบป้องหมุนล้อหมุนฟรีขณะออกตัว ส่วน Isuzu ก็มีระบบเกือบทั้งหมดนี้ ยกเว้น HDC HSA และ เฟืองท้าย LSD เท่านั้นเอง ซึ่งล่าสุด Isuzu ได้เพิ่มถุงลมคู่หน้าทุกรุ่นย่อยแล้ว ในขณะที่ Nissan ยังไม่ได้ใส่ครบทุกรุ่นย่อยเลย

   สำหรับราคาค่าตัวนั้น Isuzu D-Max จะมีค่าตัวระหว่าง 582,000-1,017,000 บาท และในส่วนของ Nissan NP300 Navara นั้นมีค่าตัวระหว่าง 575,000-996,000 บาท ดูจากราคาก็รู้แล้วว่าของใครถูกกว่ากัน แล้วใครให้ของคุ้มกว่ากัน

Function

Nissan NP300 Navara Double Cab 4WD VL  7AT
Isuzu D-Max V-Cross Z-Prestige Navi AT
ช่องปรับอากาศตอนหลัง
มี
-
ระบบเครื่องเสียง
จอ Touch Screen 7 นิ้ว DVD MP3
จอ Touch Screen 7 นิ้ว DVD MP3
ระบบนำทาง
มี
ระบบเพื่อนนำทาง ไอ-จินนี่
ช่องต่ออุปกรณ์ USB/AUX
มี
มี
ระบบปรับอากาศ
อัตโนมัติแบบปรับแยกซ้าย-ขวา
อัตโนมัติพร้อมระบบลมไล่ฝ้า
มาตรวัดแสดงผลข้อมูลการขับขี่
พร้อมจอแสดงผลแบบ 3 มิติ
แบบ Super Vision พร้อมจอ MID
เชื่อมต่อ Bluetooth
มี
มี
เบาะนั่งด้านคนขับ
ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง  พร้อมที่ดันหลังไฟฟ้า
ปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง
เบาะนั่งด้านหลัง
มี
ปรับพับได้แบบ 60:40
กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อน
มี
มี
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ
มี
-
ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์
มี
มี
ลำโพง
6 ตัว
8 ตัว
Engine
เครื่องยนต์ดีเซลรุ่น
YD25DDTi
4JJ1-TCX
กำลังสูงสุด
190 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที
177 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด
450 นิวตัน-เมตร
ที่ 2,000 รอบ/นาที
380 นิวตัน-เมตร
ที่ 1,800-2,800 รอบ/นาที
ระบบส่งกำลัง
เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด
เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด
Safety
ระบบเบรก ABS EBD
มี
มี
ระบบเสริมแรงเบรก BA
มี
มี
ถุงลมคู่หน้า SRS
มี
มี
ระบบควบคุมการทรงตัว
มี
มี
ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีขณะออกตัว
มี
มี
ระบบช่วยในการออกตัวบนทางลาดชัน HDC HSA
มี
-
กุญแจ Immoblizer
มี
มี
Price
ราคา
996,000
1,017,000 บาท

   สรุปภาพรวม...ทั้ง Isuzu D-Max และ Nissan NP300 Navara ต่างเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่กำลังเลือกซื้อกระบะรุ่นใหม่เพราะกระบะสองคันนี้ต่าวมีดีด้วยกันทั้งคู่ ทางด้าน Isuzu อาจได้ใจในเรื่องชื่อเสียง ศูนย์บริการที่ไว้ใจได้ ทำให้มันยังคงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีเสมอ ส่วนทางด้าน Nissan NP300 Navara แม้จะไม่ใช่ค่ายที่ทำอะไรยิ่งใหญ่อลังเวอร์ๆ เท่า Isuzu นัก แต่ Nissan NP300 Navara ก็ได้แสดงให้เห็นว่า..ข้าก็เทพเหมือนกันนะ เลือกศูนย์บริการไปอีซูซุ...แต่ถ้าอยากแตกต่าง ไม่ซีเรียสเรื่องศูนย์ เรื่องขายต่อ  Nissan NP300 Navara จะเป็นทางเลือกที่ดีแน่นอน ฉะนั้นงานนี้ผู้เขียนขอให้ Nissan เป็นผู้ชนะในการเปรียบเทียบครับผม...

Score
รูปร่างหน้าตา 5
4.5
4
ฟังก์ชัน 5
4.5
4.5
เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง 5
4
4
ระบบความปลอดภัย 5
4.5
4
ราคา 5
5
4
ศูนย์บริการ 5
4
5
รวม 30
26.5
25.5
แนะนำ ติชม พูดคุย ติดตามข่าวสารรถใหม่ฉับไวก่อนใครกับ Cars New Update ที่นี่!!  

Like Box