วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

All-New Honda S660 Roadster การกลับมาอีกครั้งของตำนานสปอร์ตคันจิ๋วบนท้องถนน

 หลายท่านอาจจะรู้จัก Honda Beat รถสปอร์ตขนาดเล็กที่เคยโลดแล่นในเมืองไทยเมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่ผ่านมา แล้วก็เลิกขายไปตามอายุในการตลาดของมัน จากนั้นก็เงียบหายไปนาน จนมีข่าวเกี่ยวกับการพัฒนาทายาทของมันอีกครั้งเมื่อปี 2009 จนล่วงเลยผ่านมา 6 ปี ก็ได้คลอดออกมาเป็นทายาทคันใหม่ซึ่งมีนามว่า Honda S660 Roadster 
 





    All-New Honda S660 Roadster ใหม่ถือเป็นรถสปอร์ตขนาดเล็กระดับ Kei Car ที่มากับการออกแบบภายนอกไม่ต่างจากรถต้นแบบที่เคยเผยโฉมมาก่อนหน้านี้เลย ซึ่งมันมากับแนวการออกแบบที่ดูล้ำสมัยสมกับยุค TV Digital หน้าตาที่ยังคงมาแนว Exciting H Design!!! ไฟหน้าทรงโฉบเฉี่ยวพร้อมกระจังหน้าทรงดุดัน เส้นสายที่ดูโฉบเฉี่ยวลงตัวจนถึงด้านท้ายที่ออกแบบไฟท้ายและกันชนสุดเท่ ประกอบกับล้อแม็กลายใบพัด ส่งผลให้องค์รวมรถดูสวยงามลงตัวไม่น้อย นอกจากนี้ Honda ยังมี S660 Concept Edition รุ่นพิเศษจำกัดแค่ 660 คัน ที่เพิ่มความแตกต่างด้วยการแต่งกระจกมองข้างทูโทน และหลังคาผ้าใบแบบ Targa สีแดง Bordeaux กระจกมองข้างสีทูโทน ท่อไอเสียแบบพิเศษ สีภายนอกและกระจกแบบ Ultra Glass Coating NEO ป้องกันน้ำเกาะ ตกแต่งภายในแบบพิเศษพร้อมโลโก้บริเวณฐานเกียร์ระบุว่ารถคันนี้เป็นรถคันที่เท่าไหร่จากสายการผลิต


   ภายในห้องโดยสารนั้นออกแบบมาแนวสปอร์ตขนานแท้ การจัดวางตำแหน่งปุ่มต่างๆและการออกแบบคอนโซลเหมือนรถสปอร์ตระดับซูเปอร์คาร์ มาพร้อมมาตรวัดสุดล้ำ พวงมาลัยทรงสวยๆ จัดวางตำแหน่งที่นั่งแบบรถโกคาร์ท รวมทั้งแป้นคันเร่ง เบรก ฯลฯ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมขนาดพวงมาลัยที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางแค่ 350 มม. เป็นขนาดพวงมาลัยที่เล็กสุดเท่าที่ Honda เคยผลิตมาเลยก็ว่าได้ โดยรวมนั้นภายในก็น่าดึงดูดสุดๆ และตัวรถยังมีการจัดวางน้ำหนักแบบ 45/55 ด้วย



   ด้านเครื่องยนต์นั้น Honda ได้วางเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาดความจุ  660 ซีซี 3 สูบ มากับพละกำลัง 64 แรงม้า แรงบิด 104 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดและเกียร์อัตโนมัติ CVT 7 สปีด และมี Paddle Shift ให้เลือกใช้

   ทางด้านระบบความปลอดภัยของรถก็จัดมาเต็มตั้งแต่ ถุงลมนิรภัย 4 จุดรอบคัน ระบบควบคุมการทรงตัว VSA ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist ระบบไฟฉุกเฉินอัตโนมัติ ESS และระบบเบรกอัตโนมัติในกรณีเกือบจะชนรถคันหน้า City Brake Active

  สำหรับราคาค่าตัวนั้น All-New Honda S660 Roadster วางจำหน่ายในราคา 1,980,000 เยน (ราวๆ 534,600 บาท) ถึงรุ่นท็อป 2,180,000 เยน (ราวๆ 588,600 บาท) ส่วนรุ่นพิเศษ All New Honda S660 Concept Edition ที่จำนวนจำกัดแค่ 660 คัน มีราคาที่ 2,380,000 เยน (ราวๆ 642,600 บาท) และพร้อมลงโชว์รูมในญี่ปุ่นวันที่ 2 เมษายนนี้ (และคงไม่พ้นเกรย์มาร์เก็ตไทยนำเข้ามาขายคันละราวๆ 1.5 ล้านแน่ๆ) ส่วนตลาดต่างประเทศจะวางจำหน่ายในชื่อ Honda S1000 Roadster ในช่วงปีหน้าครับ 
   
  อยากติดตามข่าวสารรถใหม่ อัพเดตเร็วทันใจ คุยสารพัดเรื่องรถ 
กดไลค์แฟนเพจของ Cars New Update ด้านล่างได้เลยครับ!!!
   

วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

หลุดไฟล์สิทธิบัตร All-New Honda Fit/Jazz Shuttle สวยโฉบเฉี่ยวน่ามองกว่าเดิม

   หลายคนอาจจะไม่รู้จักว่า Honda Fit/Jazz Shuttle มันคือรถแบบไหน ซึ่งมันก็คือการนำ Honda Jazz ปรับท้ายใหม่ให้มีความยาวมากกว่าเดิม และปรับหน้านิดๆเพิ่มความต่าง ซึ่งโฉมปัจจุบันนั้นออกแบบยังดูไม่เข้าตากรรมการมากเท่าไหร่นัก และตอนนี้ก็น่าจะได้เวลาปล่อยของใหม่กันมาแล้ว
   ล่าสุดก็มีภาพหลุดไฟล์สิทธิบัตรของ All-New Honda Fit/Jazz Shuttle มาให้เราได้รับชมก่อนเรียบร้อย ซึ่งทำให้เราได้เห็นสัดส่วนรถกันแบบชัดเจน ถึงใจ ถึงอารมณ์กันเลยทีเดียวครับ

   แน่นอนที่สุดว่า ดูจากรูปกายภายนอก ส่วนที่ใช้ร่วมกับ Jazz ตัวธรรมดาคือ ประตูคู่หน้า-หลัง ส่วนด้านท้ายได้รับการยืดให้ยาวขึ้นกว่าเดิม จนทำให้ด้านข้างของรถนั้น มีคนหวนกลับไปนึกถึงมินิแวนรุ่นเก่าอย่าง Honda Airwave ได้ แต่กระนั้นแล้ว มันก็อดใจไม่ได้ที่จะทำให้เรานึกถึงเจ้ามินิ MPV อย่าง Mobilio ด้วย แต่ยังไงเส้นสายมันก็ดูดีทีเดียว เมื่อประกบกับใบหน้าใหม่อันสวยงามโฉบเฉี่ยวและออกแบบฝากระโปรงหน้าใหม่ให้ดูมีมิติกว่าเดิม และด้านท้ายกับไฟท้ายทรงงาม ทำให้รถดูสวยลงตัวไม่น้อยเลย

   คาดการณ์ว่าตัวรถจะใหญ่กว่ารุ่นเดิมนิดหน่อย ส่วนขุมพลังก็คาดว่าจะมีทั้งเบนซินธรรมดาและเครื่องยนต์ระบบไฮบริดไว้เป็นตัวเลือก และมารอดูกันครับว่ามันจะใช้ชื่อ Fit/Jazz Shuttle ทำตลาดหรือชื่ออื่นๆ แต่ที่แน่ๆคันนี้ไม่เข้าไทยครับ 

ที่มา http://jokeforblog.blogspot.com/2015/03/honda-fit-jazz-shuttle-leaked.html 
 
  อยากติดตามข่าวสารรถใหม่ อัพเดตเร็วทันใจ คุยสารพัดเรื่องรถ 
กดไลค์แฟนเพจของ Cars New Update ด้านล่างได้เลยครับ!!!
   

วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2558

All-New Jaguar XF ยังคงเรียบหรูแบบผู้ดีตามเคย

 Jaguar XF ซีดานคันเก่งตัวปัจจุบันอยู่ในตลาดมานานโขพอสมควร ก็ได้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปลี่ยนถ่ายสู่โฉมใหม่กันอีกครั้ง เพื่อพร้อมรบและต่อกรกับคู่แข่งได้สมเกียรติและสมศักดิ์ศรีมากกว่าเดิมสำหรับค่ายรถแดนอังกฤษรายนี้ นั่นเป็นที่มาของการเผยโฉม All-New Jaguar XF ใหม่ อีกหนึ่งรุ่นที่ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้ชายคา Tata Motors


   รูปร่างหน้าตาของรถยังคงเอกลักษณ์การออกแบบสไตล์เดิมๆแทบไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่เห็นการเปลี่ยนแปลงเด่นชัดคือกระจกด้านข้างรถที่ทำให้เรานึกถึง BMW 4-Series Gran Coupe ขึ้นมาในทันที ไฟหน้าทรงแหลมเฟี้ยวแบบ LED พร้อมกระจังหน้าขนาดใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์ เส้นสายด้านข้างตัวรถดูเรียบง่ายและชัดเจนดี ส่วนด้านท้ายมากับไฟท้ายทรงสวยพร้อมเส้นโครเมียมพาดผ่านด้านท้าย เมื่อใส่ล้อลายสวยๆก็ดูดีขึ้นทันตาเห็น




   ทางด้านมิติตัวรถนั้นถูกลดความยาวลง 7 มม. ลดความสูง 3มม. แต่ระยะฐานล้อหน้า-หลังยาวขึ้นเป็น
เป็น 2,960 มิลลิเมตรแทน ว่ายาวมากเมื่อเทียบกับรถยนต์ในคลาสเดียวกัน ส่งผลให้ Jaguar เคลมว่าเป็นรถที่มีพื้นที่ด้านหลังกว้างนั่งสบายและดีที่สุดในกลุ่มนี้กันเลยทีเดียว


   ตัวถังของรถนั้นเปลี่ยนมาใช้วัสดุอะลูมิเนียมมากมายถึง 75% ส่งผลให้ลดน้ำหนักตัวถังได้ถึง 190 กก. กันเลยทีเดียว ในทางกลับกันจะมีความแข็งแรงกว่าเดิมราวๆ 28% นอกจากนี้ยังถูกออกแบบให้กระจายน้ำหนักหน้า-หลังในอัตราส่วน 50:50 เพื่อการทรงตัวในการขับขี่ที่ดีกว่าเดิม และยังติดตั้งโช้คอัพความหนืดพิเศษเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และยังมีระบบ Adaptive Dynamicsซึ่งจะปรับความหนืดได้อัตโนมัติตามลักษณะการขับขี่ ให้เป็นออปชั่นเสริมด้วยครับ

   ภายในห้องโดยสารนั้น หลายคนถึงกับออกปากว่ามันดันไปคล้ายกับรถซีดานรุ่นขายดีอย่าง Toyota Corolla Altis แต่พอมาอยู่ใน Jaguar มันกลับมีบรรยากาศที่ดูหรูหรา เรียบง่าย สุขุมเรียบร้อยอย่างไม่น่าเชื่อ ใช้วัสดุคุณภาพเยี่ยมในการตกแต่งภายใน (กลับกันถ้าเป็นรถซีดานคันเก่งค่ายเจ้าตลาดละก็ จะโดนด่าฉอดๆเลย) มาพร้อมระบบอินโฟเทนเมนต์อันทันสมัยด้วยหน้าจอสัมผัสตรงกลางขนาด 10.2 นิ้ว ที่มากับระบบ CPU แบบ Quad-core และเก็บข้อมูลใน Solid State Drive แสดงผลเร็วทันใจ และยังใช้มาตรวัดแบบหน้าจอสี 12.8 นิ้วเหมือนรุ่นพี่ XJ ด้วย

   ด้านเครื่องยนต์นั้น ทางด้านเครื่องยนต์ดีเซลจะเป็นขุมพลังใหม่ 4 สูบ 2.0 ลิตร มากับพละกำลัง 2 ระดับ ได้แก่ 163 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตรและ 180 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 430 นิวตัน-เมตร ส่วนขุมพลังเบนซินก็จะมีเครื่องยนต์เบนซิน V6 ทวินเทอร์โบ 3.0 ลิตร พละกำลัง 300 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร และถ้าอยากได้แรงๆก้ต้องเป็นเวอร์ชั่นซูเปอร์ชาร์จ มากับพละกำลัง 380 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ทั้งหมดส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด (เกียร์ธรรมดา 6 สปีดมีให้เลือกในรุ่นดีเซลเท่านั้น)

   All-New Jaguar XF จะเริ่มส่งมอบได้กันในช่วงปีหน้า คาดว่าในเมืองไทยก็น่าจะได้สัมผัสภายในปีหน้าโดยการนำเข้าของตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
  อยากติดตามข่าวสารรถใหม่ อัพเดตเร็วทันใจ คุยสารพัดเรื่องรถ 
กดไลค์แฟนเพจของ Cars New Update ด้านล่างได้เลยครับ!!!
   

Mercedes-Benz GLE-Class (ML-Class Minor Change) ปรับโฉมครั้งใหญ่พร้อมเปลี่ยนชื่อใหม่

  หลังจากที่ค่าย Mercedes-Benz ได้ออกมาประกาศเรื่อง การจัดระเบียบชื่อรุ่นใหม่ของพวกเขาเพื่อให้ไม่เกิดความสับสนและดูเป็นระบบมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็ได้ประเดิมใช้กับรถคันแรกก็คือ Mercedes-Benz GLE Coupe ซึ่งคันต่อมาที่จะมากับชื่อใหม่ก็คือ Mercedes-Benz GLE-Class หรือ Mercedes-Benz ML-Class รุ่น Minor Change นั่นเอง


   มันก็แปลกๆนะที่จู่ๆมาเปลี่ยนชื่อรุ่นตอน Minor Change (ถ้าเป็นการเพิ่มชื่อพ่วงท้ายอย่าง Hilux Vigo เป็น Hilux Vigo Champ ก็ว่าไปอย่าง) แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าสนับสนุนเพราะจะได้ลดการสับสนลงไปซักหน่อย ซึ่งชื่อ GLE-Class นั้นก็มาจากการที่ว่าตระกูล G และ GL จะเป็นกลุ่มรถ SUV ส่วนตัว E ก็มาจากการเป็นรถระดับหรูพอๆกับ E-Class ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกครับว่า ประชาชนจะเลิกสับสนหรือไม่


   หน้าตาของรถนั้นก็แทบจะยกหน้าตาแบบ GLE Coupe มาทั้งดุ้นกันเลยทีเดียว มีเพียงแค่การปรับหน้าตาให้ดูสมบุกสมบันขึ้นเท่านั้นเอง และมีการลบเส้นสายที่ต่อจากซุ้มล้อหน้า พ่นชายล่างขอบประตูด้วยสีดำ ตกแต่งด้วยแถบโครเมียม ด้านท้ายก็ปรับกันชนท้ายใหม่ แล้วก็เปลี่ยนไฟท้าย LED ใหม่..แค่นั้นเอง


 
   ภายในก็ยกมาจาก GLE Coupe ทั้งกระบิ ซึ่งมันก็คือการนำคอนโซลของ ML-Class รุ่นก่อนมาปรับปรุงใหม่ให้หรูหราขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง ซึ่งมากับความหรูหราและใช้วัสดุชั้นดีในการปรุงแต่งห้องโดยสารให้มีความสวยงามจนชวนมองได้ทันที


    ด้านเครื่องยนต์นั้น ได้มีการแนะนำขุมพลังบล็อกใหม่ โดยมาในรุ่น  GLE 500e 4MATIC ซึ่งเป็น Plug-in Hybrid คันแรกที่สร้างอัตราสิ้นเปลืองแค่ 3.3 ลิตร/100 กม. เท่านั้น ซึ่งเครื่องตัวนี้มากับเครื่องยนต์เบนซิน BlueDIRECT V6 พละกำลัง 333 แรงม้า ผนวกกับมอเตอร์ไฟฟ้า 116 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 650 นิวตัน-เมตร และผู้ขับขี่สามารถวิ่งในโหมดรถไฟฟ้าด้วยความเร็วสูงสุด 130 กม./ลิตร ระยะทางวิ่ง 30 กม. ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7G Tronic Plus ซึ่งในรุ่นเครื่องยนต์ตัวนี้ ผู้ขับขี่สามารถเลือกการขับขี่ได้ 4 แบบด้วยกัน ได้แก่ โหมด Hybrid ซึ่งจะจัดการเรื่องการขับขี่อัตโนมัติเพื่อสร้างสมดุลพลังขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โหมด E-Mode ขับเคลื่อนพลังงานจากไฟฟ้า โหมด E-SAVE ช่วยกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่สำหรับไว้ใช้ทีหลัง และโหมด Charge สถานะแบตเตอรี่กำลังถูกชาร์จขณะรถกำลังวิ่ง และยังติดตั้งระบบช่วยชะลอกำลังรถเพื่อให้ลดภาระการเบรกจากผู้ขับขี่

   ส่วนในรุ่นเครื่องยนต์ธรรมดาก็จะมี GLE 250 d และ GLE 250 d 4MATIC มากับเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ พละกำลัง 204 แรงม้า และ GLE 350 d 4MATIC มากับเครื่องยนต์ดีเซล V6 กำลัง 258 แรงม้า แรงบิด 620 นิวตัน-เมตร ต่อด้วย GLE 400 4MATIC มากับเครื่องยนต์ V6 ฉีดตรง เทอร์โบคู่ มากับกำลังสูงสุด 333 แรงม้า แรงบิด 480 นิวตัน-เมตรที่ 1,400 รอบ/นาที  และเครื่องยนต์ที่แรงสุดในรุ่น GLE 500 4MATIC มากับงเครื่องยนต์ V8 ฉีดชตรง เทอร์โบคู่พละกำลัง 435 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตัน-เมตร ทั้งหมดนี้ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9G Tronic และเป็นครั้งแรกติดตั้งจังหวะเกียร์สำหรับการลุยออฟโรด
และ differential lock ระหว่างเพลาทั้งสอง และยังมีโหมด Dynamic Select เลือกการขับขี่ต่างๆให้อีกด้วยครับ


   และรุ่นท็อปสุดๆก็ต้อง GLE 63 AMG ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ AMG 5.5 ลิตร เทอร์โบคู่ มากับพละกำลัง 557 แรงม้า และ GLE 63 AMG S 585 แรงม้า ซึ่งในรุ่นนี้แชสซีส์ถูกปรับจูนให้ขับขี่เร้าใจและคล่องตัว รวมทั้งการตอบสนองลิ้นปีกผีเสื้อเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังตอบสนองให้สปอร์ตขึ้นกว่าเดิม

   Mercedes-Benz GLE-Class ใหม่ จะเปิดตัวในงาน New York Auto Show 2015 ส่วนกำหนดการขายในไทยนั้นคาดว่าอีกสักพักใหญ่คงมา คิดว่าอาจจะไม่เกินปีนี้ เพราะ GLE Coupe ยังเร็วทันใจ แล้ว GLE-Class หละ จะเหลือเหรอ..

   

   
  อยากติดตามข่าวสารรถใหม่ อัพเดตเร็วทันใจ คุยสารพัดเรื่องรถ 
กดไลค์แฟนเพจของ Cars New Update ด้านล่างได้เลยครับ!!!
   

วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558

จะคิดยังไงถ้า Mercedes-Benz จะลงเล่นตลาดกระบะในอีก 5 ปีข้างหน้า

 กลุ่มตลาดรถอเนกประสงค์ SUV ถือว่าเป็นกลุ่มตลาดที่ค่อนข้างเติบโตเร็ว ทำให้หลายค่ายต่างออกรถแนวนี้มาแข่งขันกันอย่างสนุกสนาน ตลาดกระบะก็เป็นหนึ่งในตลาดที่จะทำให้เกิดการเติบโตในตลาดมากพอสมควร นั่นเลยเป็นเหตุที่ค่ายดาวสามแฉกสนใจในการลงเล่นในตลาดกระบะในปี 2020 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า


   โดย Mercedes-Benz เล็งเห็นว่า กลุ่มรถกระบะขนาดกลางกำลังเติบโตอย่างมากและไม่หยุดยั้ง จึงน่าจะเป็นโอกาสอันดีถ้าทางค่ายจะใช้โอกาสตรงนี้ในการเจริญเติบโตในตลาดกลุ่มนี้ได้ ซึ่งบริษัท Mercedes-Benz ก็จะกลายเป็น ค่ายรถระดับพรีเมียมรายแรก ซึ่งจะทำตลาดในประเทศแถบลาตินอเมริกา แอฟริกาใต้ ออสเตรเลียและยุโรปเป็นหลัก ส่วนในแถบเอเชียก็รอต่อไป

    โดยทางฝั่งของ Mercedes-Benz Van ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผู้รับผิดชอบในโปรเจกต์ชิ้นนี้ และจะเป็นผู้บุกเบิกตลาดกระบะของค่าย โดยโวลเกอร์ มอร์นฮินเวก ผู้อำนวยการ Mercedes-Benz Vans ได้บอกว่า
ทางค่ายต้องการมุ่งตอบสนองลูกค้าที่มองหารถกระบะที่มีความอเนกประสงค์ ความสะดวกสบาย ความปลอดภัยและการออกแบบสไตล์รถยนต์นั่งของเมอร์เซเดส-เบนซ์ และจะสานต่อความสำเร็จของแบรนด์ของเราด้วยรถกระบะรุ่นแรก


   ก็มารอชมนะครับว่าอีก 5 ปีข้างหน้ากระบะค่ายดาวสามแฉกจะหน้าตาเป็นยังไง...
  อยากติดตามข่าวสารรถใหม่ อัพเดตเร็วทันใจ คุยสารพัดเรื่องรถ 
กดไลค์แฟนเพจของ Cars New Update ด้านล่างได้เลยครับ!!!
   

วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2558

ชมรุ่นพิเศษแดนจิงโจ้กันดีกว่ากับ Isuzu D-Max X-Runner

  เราได้นำเสนอกระบะ Isuzu D-Max รุ่นพิเศษจากหลากหลายรุ่น โดยเฉพาะประเทศมาเลเซียซึ่งเพิ่งเปิดตัวรุ่น D-Max รุ่นพิเศษ Diablo ไปหมาดๆ ล่าสุดนี้ทางประเทศออสเตรเลียซึ่งเป็นประเทศที่นิยมใช้กระบะ Isuzu ไม่แพ้เมืองไทยและมาเลเซียเลย ก็เปิดตัวรุ่นพิเศษกับเขาบ้างเหมือนกัน

   รุ่นพิเศษที่ว่าก็คือ Isuzu D-Max X-Runner ชื่อคล้าย X-Series บ้านเราเลย ซึ่งตัวแทนจำหน่ายในออสเตรเลียอย่าง Isuzu UTE ก็ได้ทำออกมาขายให้กับกลุ่มคนออสซี่ผู้มีใจรักในกระบะตรีเพชร ทำออกมาแค่ 360 คันเท่านั้นครับ โดยงานนี้ Isuzu D-Max X-Runner นำเอาพื้นฐานของรุ่น LS Terrain 4WD หรือในบ้านเราเรียกว่ารุ่น V-Cross มาจับตกแต่งนิดหน่อยเพิ่มความเท่ขึ้นไปอีกหน่อยนึง 

   ภายนอกติดตั้งสเกิร์ตหน้า-หลังแบบเดียวกับ X-Series ในเมืองไทยพร้อมคาดลายสติ๊กเกอร์ X-Runner เพิ่มความแตกต่างจากรุ่นธรรมดา โรลบาร์ด้านหลังรถ และติดตั้งระบบสัญญาณเตือนถอยจอดด้านหลังซึ่งทำงานคู่กับกล้องมองหลัง อุปกรณ์มาตรฐานของรถก็เหมือนกับรุ่น LS Terrain 4WD ซึ่งก็มีไฟหน้า Projector ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว เสาอากาศแบบครีบฉลาม ปุ่ม Push Start พร้อมกุญแจแบบ Keyless Entry พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน ระบบล็อคความเร็วอัตโนมัติ ระบบอินโฟเทนเมนต์ยังคงมาครบครัน ซึ่งก็มีหน้าจอ DVD พร้อมระบบนำทาง ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และเบาะหนังสีดำ

   เครื่องยนต์นั้นมากับขุมพลังตัวเดียวกับบ้านเรานั่นคือ เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร พละกำลัง 177 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติและธรรมดาแบบ 5 สปีด ระบบความปลอดภัยก็ให้ถุงลมนิรภัยรอบคัน ระบบเบรก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเสริมแรงเบรก BA และยังมีโครงสร้างตัวถังที่ผ่านมาตรฐาน 5 ดาวจาก Australia NCAP อีกด้วย

   สนนราคาค่าตัวนั้น Isuzu D-Max X-Runner มีราคาเริ่มต้นราวๆ 51,990 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 1.31 ล้านกว่าบาท) ผลิตจำนวนจำกัดแค่ 360 คันและไม่มีขายในไทยครับ
   
  อยากติดตามข่าวสารรถใหม่ อัพเดตเร็วทันใจ คุยสารพัดเรื่องรถ 
กดไลค์แฟนเพจของ Cars New Update ด้านล่างได้เลยครับ!!!
   

คอหนังรถซิ่งเซ็ง! เมื่อศาลสั่งระงับฉาย Fast & Furious 7 ในเมืองไทย

 ทั้งคอหนังรถซิ่งชาวไทยและเทศ ต่างพากันรอคอยภาพยนตร์แฟรนไซส์ภาคต่ออย่าง Fast & Furious 7 ซึ่งมีกำหนดเข้าฉายในไทยในวันที่ 1 เมษายนนี้ และน่าจะเป็นภาคที่หลายคนต้องอำลาอาลัยและคิดถึง Paul Walker ผู้ล่วงลับ ซึ่งเป็น Fast & Furious ภาคสุดท้ายที่เขาเล่น แต่แล้วแฟนคลับชาวไทยก็ต้องเกิดอาการเซ็งและไม่พอใจกันเป็นทิวแถว

   เพราะล่าสุด เย็นวันที่ 26 มีนาคม รายงานข่าวระบุว่าภาพยนตร์เรื่อง Fast & Furious 7 มีการระงับการฉาย เหตุเพราะศาลแพ่งได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว อันเนื่องมาจาก "เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ" ได้เข้ายื่นฟ้องนักแสดงบู๊ชื่อดัง "จา พนม" หรือ "โทนี่ จา" ฐานละเมิดผิดสัญญา โดยศาลนัดไกล่เกลี่ย 15 เมษายน 2558


   นอกจากนี้แล้วนั้น เสี่ยเจียงยังได้ฟ้องบริษัท ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส บริษัทอำนวยการสร้างภาพยนตร์ Fast and Furious 7  และบริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด หรือ ยูไอพี ประเทศไทย ฐาน ละเมิด ผิดสัญญา จากกรณี จาพนมได้ผิดสัญญาการแสดงกับทางสหมงคลฟิล์ม ซึ่งจะสิ้นสุดสัญญาในปี 2566 พร้อมเรียกค่าเสียหายถึง 1,600 ล้านบาท

    ซึ่งหลังจากข่าวนี้ได้แพร่สะพัดตามโลกโซเชียล ก็ได้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์และกระแสที่ไปในทางลบมากมาย ซึ่งหลายคนต่างไม่พอใจกับสิ่งที่เสี่ยเจียงได้ทำลงไป และต่างเข้าไปกระหน่ำถล่มเพจของ Sahamongkol Film อย่างไม่ขาดสาย แน่นอนละครับคอหนังรถซิ่งทั้งหลายต่างไม่พอใจกับเรื่องนี้ (แม้แต่ผู้เขียนเองก็ยังเคืองไม่น้อย) 

แน่นอนที่สุด ละครเรื่องนี้ยังไม่จบแน่นอน! สุดท้ายแล้วก็ขอให้ Fast & Furious 7 เข้าฉายวันที่ 1 เมษายนเหมือนเดิมนะครับ
  อยากติดตามข่าวสารรถใหม่ อัพเดตเร็วทันใจ คุยสารพัดเรื่องรถ 
กดไลค์แฟนเพจของ Cars New Update ด้านล่างได้เลยครับ!!!
   

วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558

เปิดตัว All-New Mazda 2 SkyActiv-G เบนซิน ทางเลือกประหยัดสำหรับคนชอบของงามๆ

  ถือว่าเป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจในตลาดตอนนี้ สำหรับ All-New Mazda 2 ใหม่ที่กำลังจะไปได้สวยในตลาด ซึ่งปริมาณในรถบนถนนที่เริ่มมากขึ้นและเห็นบ่อยขึ้นกลายเป็นสิ่งที่ชี้ชัดว่า รถมันดีแค่ไหน ซึ่งล่าสุด Mazda ได้นำรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน SkyActiv-G 1.3 ลิตรมาเพิ่มเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าเดิม และราคาดีกว่าเดิมด้วย


   เรื่องหน้าตาและส่วนประกอบต่างๆไม่กล่าวอะไรมากเพราะเหมือนกับตัวดีเซลหมดทุกอย่าง แต่ความแตกต่างก็คือล้อกระทะขนาด 15 นิ้วพร้อมฝาครอบที่เพิ่มเข้ามาในรุ่นต่ำสุด Standard ของตัวเบนซิน ส่วนรุ่น High และ High Plus ก็จะเป็นล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้วแทน

   ภายในห้องโดยสารยังคงมีของเล่นต่างๆครบถ้วน(ในรุ่นท็อป) มากับจอสัมผัส 7 นิ้วตรงกลางพร้อม MZD Connect เชื่อมต่อได้สารพัด และมี Active Driving Display ตามเคย และยังคงมีงานประกอบในห้องโดยสารที่เนี้ยบเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือปุ่ม Sport Mode ตรงฐานเกียร์นั่นเองครับ 

   ด้านเครื่องยนต์นั้นมากับเครื่องยนต์เบนซิน SkyActiv-G 1.3 ลิตร พละกำลัง 93 แรงม้าที่ 5,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 121 นิวตันเมตร  ที่ 4,000 รอบ/นาที มากับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่น่าจะอยู่ราวๆ 23.25 กม./ลิตร ซึ่งประหยัดเข้าเงื่อนไขอีโคคาร์ เฟส 2 เป็นที่เรียบร้อยครับ อีกเรื่องคือ ระบบเบรกดิสก์เบรก 4 ล้อจะไม่มี แต่จะแทนที่ด้านหลังเป็นแบบดรัมเบรกแทน และเครื่องตัวนี้รองรับถึงแค่ E20 เท่านั้นครับ

   สำหรับระบบความปลอดภัยก็เหมือนกับตัวดีเซลทุกอย่าง ตั้งแต่ระบบเบรก ABS EBD ระบบควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ DSC (Dynamic Stability Control) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System) ระบบช่วยออกตัวของรถขณะอยู่บนทางลาดชัน HLA (Hill Launch Assist) ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินเตือนอัตโนมัติ เมื่อเบรกกะทันหัน ESS (Emergency Signal System) พวงมาลัยยุบตัวแปรผันตามการทำงานของถุงลมนิรภัย เข็มขัด นิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ และยังมากับโครงสร้างตัวถัง SKYACTIV-BODY น้ำหนักเบาแต่แข็งแรง รวมทั้งช่วงล่าง SKYACTIV-CHASSIS เซ็ตให้การขับขี่เป็นไปอย่างสนุกสนา

   สำหรับค่าตัวของ Mazda 2 SkyActiv-G 1.3 มีให้เลือก 3 รุ่นย่อยเท่ากันทั้ง 2 ตัวถัง ได้แก่ รุ่น Standard ราคา 550,000 บาท รุ่น High ราคา 610,000 บาท และรุ่น High Plus ราคา 665,000 บาทครับ

  อยากติดตามข่าวสารรถใหม่ อัพเดตเร็วทันใจ คุยสารพัดเรื่องรถ 
กดไลค์แฟนเพจของ Cars New Update ด้านล่างได้เลยครับ!!!
   

เปิดตัว All-New Ford Everest ในเมืองไทย ถูกสร้างมาเพื่อเป็นที่หนึ่ง (ยกเว้นยอดขาย)

   หลังจากที่ Ford เปิดตัว Everest โฉมใหม่ในประเทศจีนจนสร้างความสนใจแก่ชาวไทยทั้งหลายที่รอคอยการมาของมัน ซึ่งบอกเลยว่ามันจะมากับออปชั่นชนิดจัดเต็มแบบสุดติ่งกระดิ่งแมว ในเวลาต่อมา Ford ก็นำ Everest โฉมใหม่มาวิ่งอาบแดดกันบนถนนในประเทศไทย ยั่วผู้บริโภคกันไปเรื่อยๆและแล้วตอนนี้ Ford ก็พร้อมเปิดตัว Everest โฉมใหม่ในไทยอย่างเป็นทางการแล้วครับ


   Ford Everest โฉมใหม่มากับหน้าตาที่ดูหล่อเหลาสุดๆชนิดที่ว่าหน้าตาเทียบชั้น SUV หรูได้สบายเลยทีเดียว ด้วยหน้าตาและการออกแบบของรถที่ดูแข็งแกร่งในสไตล์อเมริกัน ทำให้รถคันนี้มีความหล่อเหลาและโดดเด่นในสายตาใครๆหลายคน ยิ่งมากับล้ออัลลอยขอบ 20 นิ้วที่มากับรถละก็ ยิ่งเสริมความเท่ของรถได้มากเลยทีเดียว

   ภายในห้องโดยสารนั้นยกระดับความหรูหราแบบสุดๆ มากับการออกแบบที่ดูหรูหราเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยคุณภาพในห้องโดยสารชั้นเยี่ยม และมากับความกว้างขวางสบาย ตกแต่งภายในห้องโดยสารด้วยสีเบจเพิ่มความหรูหราเหนือระดับ อัดแน่นด้วยฟังก์ชันและระบบความปลอดภัยมากมาย ก็มารอดูกันนะครับว่า Ford Everest จะสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน ใครสนใจก็ไปชมกันได้ที่งาน Bangkok Motor Show 2015 แต่ต้องทำใจนิดนึง เพราะ รถโชว์มีคันเดียว ให้ต่อแถว 10 คน ไปดูครั้งละ10 นาทีครับ


สเปกของ Ford Everest โฉมใหม่ โดย คุณ Moo Cnoe จากบอร์ด Headlightmag
รุ่น 2.2 Titanium 4x2 A/T ราคา 1,269,000 บาท
อุปกรณ์มาตรฐาน
เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง
- เครื่องยนต์ดีเซล ดูราทอร์ค TDCi 2.2 ลิตร VG Turbo
- กำลังสูงสุด 160 แรงม้า ที่ 3,200 rpm
- แรงบิดสูงสุด 385 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,500 rpm
- เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดพร้อมโหมดเปลี่ยนเกียร์แบบธรรมดา
- ระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระ พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง
- ระบบกันสะเทือนหลังแบบคอยล์สปริงพร้อมวัตต์ลิงค์

อุปกรณ์ภายนอก
- กันชนหน้าและหลังสีเดียวกับตัวรถ
- กระจังหน้าโครเมียม
- กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยว
- ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์
- ไฟตัดหมอกหน้า/หลัง
- ราวหลังคา / บันไดข้าง
- สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกดวงที่สาม
- ล้ออัลลอย 18 นิ้ว พร้อมยาง 265/60 R18


อุปกรณ์ภายในและความสะดวกสบาย
- ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
- ระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ
- กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ( Cruise Control )
- ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา
- ระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลังแบบแยกส่วน
- กระจกไฟฟ้าหน้า-หลัง พร้อมระบบเปิด-ปิดสัมผัสเดียวด้านคนขับ
- พวงมาลัยและหัวเกียร์หุ้มหนัง
- เบาะนั่งหุ้มหนัง
- เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง
- เบาะแถวที่ 2 พับเรียบได้แบบแยกส่วน 60 : 40
- เบาะแถวที่ 2 ปรับเอนและเลื่อนหน้า-หลังได้
- เบาะแถวที่ 3 พับเรียบได้แบบแยกส่วน 50 : 50
- ช่องต่อไฟ 12V จำนวน 3 จุด
- วิทยุ CD / MP3 / AUX / USB 2 จุด / SD Card
- ระบบสั่งด้วยเสียง SYNC พร้อมเชื่อมต่อ Bluetooth
- สวิตซ์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย

ระบบความปลอดภัย
- ระบบป้องกันล้อล็อค ABS / EBD
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP
- ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัด HLA
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและป้องกันการลื่นไถล TRC
- ระบบป้องกันรถพลิกคว่ำ RSC
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
- ถุงลมนิรภัยด้านข้างและม่านถุงลมนิรภัย
- เซนเซอร์กะระยะถอยจอด
- สัญญาณกันขโมย
- กุญแจ Immobilizer
- จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX



รุ่น 3.2 Titanium 4x4 A/T ราคา 1,459,000 บาท
( สิ่งที่จะได้เพิ่มจากรุ่น 2.2 Titanium 4x2 A/T )
- เครื่องยนต์ดีเซล ดูราทอร์ค TDCi 3.2 ลิตร VG Turbo
- กำลังสูงสุด 200 แรงม้า ที่ 3,000 rpm
- แรงบิดสูงสุด 470 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 rpm
- ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบอัตโนมัติ พร้อมระบบ Terrain Management
- เฟืองท้ายแบบ Locking Rear Differential


รุ่น 3.2 Titanium Plus+ 4x4 A/T ราคา 1,599,000 บาท
( สิ่งที่จะได้เพิ่มจากรุ่น 3.2 Titanium 4x4 A/T )
- ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ HID ปรับระดับสูงต่ำอัตโนมัติพร้อมที่ฉีดทำความสะอาด
- ไฟ Daytime Running Light
- หลังคา Panoramin Sunroof ไฟฟ้า
- ไฟส่องสว่างข้างตัวรถ
- ล้ออัลลอย 20 นิ้ว พร้อมยาง 265/50 R20
- กระจกไฟฟ้าหน้า-หลัง พร้อมระบบเปิด-ปิดสัมผัสเดียวทุกบาน
- เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง
- เบาะแถวที่ 3 ปรับไฟฟ้า
- ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า
- ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ Active Park Assist
- ไฟตกแต่งห้องโดยสารพร้อมโหมดเปลี่ยนได้ 7 สี
- ชุดชายบันไดแสตนเลส LED
- ถุงลมนิรภัยหัวเข่าด้านคนขับ
- สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้า
- กล้องมองภาพขณะถอยจอด
- ระบบตรวจจับรถในจุดบอด BSIS
- ระบบตรวจจับรถขณะออกจากช่องจอด CTA

สีภายนอกมีให้เลือก 5 สี
- สีขาว Cool White
- สีดำ Black Mica Metalic
- สีเงิน Aluminum Metalic
- สีน้ำตาลทอง Sparking Gold Metalic
- สีแดง Sunset Metalic


ที่มา 
headlightmag  

  อยากติดตามข่าวสารรถใหม่ อัพเดตเร็วทันใจ คุยสารพัดเรื่องรถ 
กดไลค์แฟนเพจของ Cars New Update ด้านล่างได้เลยครับ!!!
   

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558

All-New Toyota Alphard/Vellfire สองคู่หูจากค่ายสามห่วงที่พร้อมส่งมอบความหรูหราให้กับเหล่าเศรษฐ๊เซเลบทั้งหลาย

  หลังจากที่ปล่อยให้เราต้องรอคอยลอยคอกันมานาน เพราะได้ยินข่าวการมาประกอบในเมืองไทยของ Toyota Alphard โฉมใหม่ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าสนใจให้กับชาวโซเชียลไม่น้อยเลยครับ แต่แล้วพอมาถึงช่วงการเปิดตัวจริงๆเข้า Toyota ไม่ได้มาแค่คันเดียว แต่มาเป็นแพ็คคู่ ซึ่งล่าสุดวันที่ 23 มี.ค. Toyota ก็ได้ทำการเปิดตัว Alphard ใหม่ แล้วมี Vellfire ใหม่เข้ามาเปิดตัวเป็นแพ็คคู่กันเลยทีเดียว


   Toyota Alphard และ Veilfire โฉมใหม่นั้น หลายคนก็ถกเถียงกันครับว่ามันเป็นรถประกอบในไทยหรือประกอบนอกการแน่ ซึ่งคำตอบที่ยินยันความถูกต้องชัวร์แล้วก็คือ เป็นรถประกอบในประเทศซึ่งนำเข้าชิ้นส่วนจากต่างประเทศเข้ามาประกอบในเมืองไทย หรือ Semi Knocked Down (SKD) ครับผม


   ว่ากันด้วยหน้าตาของ Toyota Alphard โฉมใหม่ก่อนซึ่งมากับกระจังหน้าขนาดใหญ่แบบโครเมียม ซึ่งมากับความหรูหราและดูไฮโซสุดๆไปเลย พร้อมติดตั้งสเกิร์ตรอบคันเพิ่มความสปอร์ตหรูลงตัว ชุดโคมไฟหน้าควบรวมไฟ Daytime Running Lights เส้นสายตัวรถมากับแนวการออกแบบสไตล์เดิมๆแต่ออกแบบตัวถังให้ดูมีมิติกว่าเดิม ไฟท้าย LED ทรงย้อยที่หลายคนอาจจะขัดใจบ้าง แต่พอไปเจอของจริงก็นับว่ารับได้ ในรุ่น 2.5 Hybrid จะได้ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ส่วนในรุ่น 3.5 V6 จะเป็นล้อขนาด 18 นิ้ว

     ส่วนหน้าตาของ Toyota Veilfire โฉมใหม่ ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์จากโฉมที่แล้วไว้ ด้วยไฟหน้าแบบ 2 ชั้นแบบ Projector LED พร้อมกันชนหน้าโครเมียมขนาดใหญ่แบบสุดๆ พร้อมติดตั้งสเกิร์ตรอบคัน เพิ่มความสปอร์ต ไฟท้ายแบบ LED หลอดสีขาวแตกต่างจาก Alphard ที่เป็นหลอดสีแดง โดยรวมแล้วทางฝั่ง Veilfire จะเน้นความสปอร์ตดุดัน ส่วน Alphard จะเน้นไปทางความหรูหราเสียมากกว่า

  ภายในห้องโดยสารนั้นมากับภายในที่หรูหราเหนือระดับ ภายใน Alphard จะเป็นสีเบจ ส่วน Veilfire จะเป็นสีดำ คอนโซลหน้าที่ออกแบบให้ดูสวยงามน่าใช้กันพอสมควร ทั้งรุ่น Alphard และ Veilfire จะมากับเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมระบบบันทึกตำแหน่งผู้ขับขี่ เบาะผู้โดยสารด้านหลังแถวที่ 1 ปรับไฟฟ้าแบบ Executive Lounge พร้อมที่รองขา แถวที่ 2 นั้นเบาะจะสามารถปรับและพับได้หลายแบบ เพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับสัมภาระ และยังมีหลังคา Moonroof คู่มาให้ด้วย

 ระบบอินโฟเทนเมนต์จะมากับเครื่องเล่น DVD CD และ MP3 พอร์ท USB iPod AUX รองรับการเชื่อมต่อบลูทูธพร้อมจอขนาด 8 นิ้ว (เฉพาะรุ่น Alphard 3.5V6 ในรุ่น 2.5 Hybrid จะได้จอ 7 นิ้ว) และยังมากับลำโพง JBL 17 จุดรอบคัน (Veilfire จะได้ลำโพงแค่ 8 จุด) จอสำหรับผู้โดยสารด้านหลังขนาด 9 นิ้ว (Veilfire 10.2 นิ้ว) พร้อมเครื่องเล่น Blu-Ray (เฉพาะรุ่น 3.5) จอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID แบบ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว Cruise Control และแผงควบคุมการโทร-รับโทรศัพท์เฉพาะรุ่น 3.5 เท่านั้น ระบบฟอกอากาศ Nanoe ไฟส่องสว่างในห้องโดยสารแบบซ่อนฝ้า ปรับความสว่าง 4 ระดับ เปลี่ยนสีได้ 16 เฉดสี ไฟอ่านหนังสือส่วนตัว ระบบเปิดประตูอัจฉริยะ Smart Entry ควบคุมการเปิดและปิดประตูซ้าย-ขวา และประตูหลังด้วยระบบไฟฟ้า หรือปุ่มควบคุมบริเวณคนขับ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control ระบบนำทางแบบ 2 ภาษา ไทย/อังกฤษ พร้อมแอพลิเคชันอัจฉริยะ Smart G-BOOK พร้อมจอ TFT ขนาด 4.2 นิ้วบริเวณมาตรวัด
   
     ด้านเครื่องยนต์นั้นมีขุมพลังให้เลือก 3 แบบด้วยกัน เริ่มที่รุ่น 2.5 Hybrid (อยู่ในรุ่น Alphard 2.5 Hybrid)จะมากับเครื่องยนต์ 2AR-FXE Atkinson-cycle มากับพละกำลัง 152 แรงม้า PS ที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิด 206 นิวตัน-เมตรที่ 4,400 – 4,800 รอบต่อนาที ผนวกกับกับมอเตอร์ ไฟฟ้า 2 ตัว ด้านหน้ามี 68 แรงม้า แรงบิด 139 นิวตัน-เมตร ด้านหลังนั้นมี 143 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ E-Four

  เครื่องยนต์อีกตัวก็คือ เครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร 2AR-FE (ในรุ่น Veilfire)มากับพละกำลัง 182 แรงม้า PS ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 235 นิวตัน-เมตรที่ 4,100 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Sports Sequential Shiftmatic 7 สปีด 

 
   ปิดท้ายด้วยขุมพลังใหญ่ตัวแรง เครื่องยนต์เบนซิน 3.5 ลิตร 2GR-FE  V6 3.5 ลิตร (ในรุ่น Alphard 3.5 V6) มากับพละกำลัง 280 แรงม้า PS ที่ 6,200 รอบต่อนาที แรงบิด 344 นิวตัน-เมตรที่ 4,700 รอบต่อนาที  ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Sequential Shiftmatic 6 สปีด จังหวะพร้อม ECT



   ด้านระบบความปลอภัยนั้นก็จัดมาให้ครบครันทุกรุ่นย่อย ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัย 9 จุดรอบคัน ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง ด้านข้าง 2 ตำแหน่ง แบบม่าน 4 ตำแหน่ง และที่เข่าผู้ขับ 1 ตำแหน่ง, กุญแจอิเล็กทรอนิกส์ Immobilizer ป้องกันกุญแจเลียนแบบ, ระบบควบคุมการทรงตัว VSC (เฉพาะ Alphardตัว 3.5 และ Veilfire ส่วนรุ่นไฮบริด 2.5 เป็นระบบ VDIM), ระบบเบรก ABS, ระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบเสริมแรงเบรก BA, ระบบช่วยออกตัวในทางลาดชัน HAC, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC, ระบบสัญญาณเตือน VPNS :ซึ่งระบบนี้จะปล่อยเสียงสัญญาณเบาๆ ขณะขับขี่ เพื่อเตือนคนเดินถนนเมื่อขับด้วยความเร็วไม่เกิน 20 กม./ชม. หรือเมื่อความเร็วเท่ากับ 0 กม./ชม. โดยไม่เหยียบเบรค และเกียร์ไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่ง P มีเฉพาะรุ่น 2.5 Hybrid ครับ

   สำหรับราคาค่าตัว แม้ว่าจะนำเข้าชิ้นส่วนมาประกอบในไทย แต่ก็มากับราคาที่สูงพอสมควร แต่ก็ได้มาซึ่งออปชั่นที่ครบครัน โดยมีค่าตัวดังนี้ครับ
Toyota Veilfire 2.5 ราคา 3,399,000 บาท
Toyota Alphard 2.5 Hybrid ราคา 3,549,000 บาท
Toyota Alphard 3.5 V6 ราคา 4,649,000 บาท

   ท่านที่สนใจก็สามารถไปชมตัวจริงได้ในงาน Bangkok Motor Show 2015 ตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค.-5 เม.ย. 58 ที่ Impact Arena เมืองทองธานีครับ และชมได้ที่โชว์รูม Toyota 413 แห่งทั่วประเทศ
  อยากติดตามข่าวสารรถใหม่ อัพเดตเร็วทันใจ คุยสารพัดเรื่องรถ 
กดไลค์แฟนเพจของ Cars New Update ด้านล่างได้เลยครับ!!!
   

Like Box