วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559

All-New Volkswagen Atlas/Teramont รถ SUV เจ็ดที่นั่งจากค่ายยักษ์ใหญ่แดนไส้กรอก

   ค่ายยักษ์ใหญ่ในเยอรมันอย่าง Volkswagen ได้ทำการเปิดตัว All-New Volkswagen Atlas รถอเนกประสงค์รุ่นใหญ่สุดขนาด 7 ที่นั่งเป็นที่เรียบร้อย ก่อนนำไปโชว์ตัวภายในงาน Los Angeles 2016 ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่กำลังจะมาถึง

   สำหรับในตลาดจีนนั้นรถคันนี้จะถูกใช้ชื่อว่า Teramont ซึ่งรถคันนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อตอบสนองความต้องการรถ SUV ขนาดใหญ่ในตลาดอเมริกา และมาเพื่อต่อกรกับคู่แข่งไซส์เดียวกันภายใต้แบรนด์อเมริกาเลยก็ว่าได้

   Atlas จะถูกสร้างขึ้นที่เมือง Chattanooga รัฐ Tenneessee ของอเมริกา สำหรับ VW Atlas ใหม่ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม MQB (Modular Transverde Matrix) มีขนาดความยาวตัวถัง 5,033 มม. กว้าง 1,979 มม. และสูง 1,767 มม. ทำให้รถคันนี้กลายเป็นรถของทาง Volkswagen ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่จำหน่ายในอเมริกา

   แนวการออกแบบของ VW Atlas/Teramont จะอ้างอิงจากต้นแบบ VW CrossBlue Concept มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดบางจุดเพื่อให้เข้าสมัยยิ่งขึ้น จะมีเส้นสายตัวถังโดยรวมที่เหลี่ยมแต่ดูสบายตาและทันสมัย (รายละเอียดของเวอร์ชั่นอเมริกาและจีนจะมีความแตกต่างบางจุด)

ส่วนภายในห้องโดยสารก็มีการออกแบบรายละเอียดใหม่ให้ดูเป็นรุ่นจำหน่ายจริงมากขึ้นเช่นกัน ติดตั้งหน้าปัดแบบดิจิตอลแบบรถ VW Group ยุคใหม่ มีพื้นที่กว้างขวางสำหรับผู้ใหญ่ 7 คน หน้าจอสัมผัสตรงกลางรองรับทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto , MirrorLink เต็มอิ่มความบันเทิงด้วยลำโพงพรีเมียมจาก Fender 12 จุด พร้อมกำลังขับ 480 W

   Atlas/Teramont จะถูกนำเสนอในตลาดอเมริกาด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบ 4 สูบ พละกำลัง 238 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด และใครที่ชอบสูบเยอะๆก็จะมีเครื่องยนต์ 3.8 ลิตร V6 พละกำลัง 280 แรงม้า ระบบส่งกำลังเหมือนกับเครื่อง 2.0 ลิตร รุ่น 4 สูบจะมีให้เลือกแค่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าเท่านั้น ส่วนรุ่น 6 สูบจะมีให้เลือกทั้งระบบขับเคลื่อนล้อหน้าและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MOTION

   ส่วนตลาดจีนนั้นจะวางเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร TFSI ที่มีพละกำลัง 186 แรงบิด 320 นิวตัน-เมตร และ 220 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตัน-เมตร นอกจากนี้จะมีเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร V6 ให้เลือก ทุกรุ่นจะส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด DCT และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MOTION

  ระบบความปลอดภัยนั้นจะทำการติดตั้งระบบ Automatic Post-Collision Braking System ช่วยควบคุมการทรงตัวเมื่อเกิดการชนทางครั้งแรก ระบบจะช่วยดึงตัวรถกลับเข้าสู่ช่องทางเดินรถอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันชนสวนทางของรถอีกฝั่ง เป็นครั้งแรกของรถในระดับนี้ นอกจากนี้ยังมีระบบ Adaptive Cruise Control , ระบบเตือนการชนด้านหน้า  Forward Collision Warning , ระบบเตือนมุมอับสายตา Blind Spot Monitor , ระบบเตือนไม่ให้ออกนอกเลน Lane Departure Warning และ ระบบเบรกอัตโนมัติ Autonomous Emergency Braking

  All-New Volkswagen Atlas/Teramont  จะวางขายในอเมริกาช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2017 ของอเมริกา โดยยังไม่มีการประกาศราคาออกมา

  ส่วนตลาดจีนนั้น Atlas/Teramont จะวางตำแหน่งทางการตลาดระหว่าง Tiguan L และ Touareg เป็นคู่แข่งของ Toyota Highlander และ Ford Edge มีราคาค่าตัวเริ่มต้นที่ 300,000 หยวน (ประมาณ1,554,000 บาทไทย) จนถึง 450,000 หยวน (ประมาณ 2,331,000 บาทไทย)

ที่มา Carscoops1 / 2
 
มาร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่นี่ครับ 

ภาพหลุดด้านของ All-New Kia Picanto

   รถแฮตซ์แบ็คขนาดเล็กของเกาหลีอย่าง Kia Picanto ที่ตอนนี้ถึงเวลาสำหรับการเปลี่ยนโฉมแล้ว ซึ่งโฉมใหม่นั้นยังคงวิ่งทดสอบกันอยู่ แต่ล่าสุดมีภาพในส่วนของด้านหน้า  All-New Kia Picanto ก่อนการเผยโฉมที่น่าจะมีขึ้นไม่เกินปี 2017

   จากภาพนั้นเห็นชัดเจนเลยว่า All-New Kia Picanto จะนำแนวการออกแบบของรุ่นพี่อย่าง All-New Kia Rio ที่เปิดตัวก่อนหน้านี้มาปรับใช้ โดยหน้าตาของ Picanto โฉมใหม่นั้นจะเหมือนกับการนำ Rio โฉมล่าสุดมาบีบ ทำให้กระจังหน้าดูแคบลง และออกแบบชุดไฟหน้าใหม่ รวมทั้งออกแบบช่องระบายอากาศกันชนหน้าใหม่ให้โค้งมนกว่า Rio กรอบไฟตัดหมอกของ Picanto ใหม่จะออกแบบให้เป็นทรงเหลี่ยม ต่างจาก Rio โฉมล่าสุดที่เป็นทรงกลม

  ส่วนตัวถังนั้นดูผิวเผินแล้วน่าจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นพอสมควร และออกแบบเส้นสายใหม่ให้ดูเรียบง่ายเหมือนเช่นรุ่นพี่ Kia Rio โฉมล่าสุด

ภาพจาก Autoevolution
   ภายในห้องโดยสารนั้นจะออกแบบให้ดูดีและทันสมัยยิ่งขึ้นกว่าเดิม พวงมาลัยนั้นก็จะมาชุดเดียวกับ Kia Rio โฉมล่าสุดเลย

   สำหรับขุมพลังนั้นคาดว่าจะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตรแบบในรุ่นปัจจุบัน รวมทั้งเครื่องยนต์ 1.0 ลิตรเทอร์โบ  T-GDI ที่อยู่ใน Kia รุ่นอื่นๆ ก็มีโอกาสที่จะมาวางใน Picanto โฉมใหม่ด้วยเช่นกัน

   คาดว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าคงจะได้เห็นภาพคันจริงครับ

 
มาร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่นี่ครับ 

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Nissan March Midnight Edition เจ้าตัวเล็กสุดเท่ของบราซิล

  ค่าย Nissan ได้นำเสนอรุ่นพิเศษสำหรับตลาดบราซิลในชื่อ "Nissan March Midnight Edition" ก่อนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Sao Paulo International Motor Show 2016 ที่จะเริ่มขึ้นวันที่ 8-20 พฤศจิกายนที่กำลังจะถึงนี้


   ภายนอกของ Nissan March Midnight Edition ถูกออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ที่ทำงานในสตูดิโอการออกแบบในประเทศบราซิล ภายนอกโดดเด่นด้วยการพ่นสีแดงตัดสลับกับสีดำบริเวณหลังคา เสา A ถึง C และกระจกมองข้าง กันชนหน้ามีดีไซน์ที่คล้ายคลึงกับรถที่กำลังจะอ้าปาก ออกแบบสปอยเลอร์ด้านหน้าให้ดุดันและโฉบเฉี่ยวเข้ากับตัวรถ ล้ออัลลอยก็มีการพ่นสีดำเพื่อเติมความสปอร์ตเข้าไปอีก

   ภายในห้องโดยสารนั้นยังไม่มีภาพออกมา แต่คาดว่าน่าจะมีการตกแต่งด้วยโทนสีดำและสีแดงเช่นเดียวกับภายนอกของรภ

  คาดว่า Nissan March Midnight Edition จะถูกทำขึ้นมาแค่คันเดียวเท่านั้น เพื่อเป็นต้นแบบแสดงแนวการตกแต่งโชว์สำหรับผู้คนที่จะมาเดินในงาน Sao Paulo International Motor Show 2016 ครับ
มาร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่นี่ครับ 

มาอย่างไว!! ทีเซอร์แรก All-New Mazda CX-5 เตรียมเปิดตัวที่ลอสแองเจลิสเดือนหน้า

   นับว่าไวมากๆที่ Mazda CX-5 โฉมปัจจุบันนั้นมีอายุอานามกว่า 5 ปีแล้ว นับจากการเปิดตัวครั้งแรกในตลาดโลกช่วงเดือนกันยายนปี 2011 และในขณะที่เมืองไทยเพิ่งเปิดตัวรุ่นปรับโฉมเมื่อต้นปี 2016 ที่ผ่านมา แต่ล่าสุดที่อเมริกาเตรียมเปิดตัว All-New Mazda CX-5 อันเป็นเจเนเรชั่นใหม่กันแล้ว

   โดยทาง Mazda ได้เผยภาพทีเซอร์แรกของ Mazda CX-5 โฉมใหม่ออกมา ซึ่งจะทำการเปิดตัวต่อสาธารณชนครั้งแรกในวันที่ 16 พฤศจิกายน ในงาน Los Angeles Auto Show 2016 ที่จะจัดขึ้นกลางเดือนหน้านั่นเองครับ

   ดูจากภาพทีเซอร์และภาพรถทดสอบที่ผ่านมาก็พอรู้ว่า CX-5 เจเนเรชั่นใหม่จะยังคงใช้แนวการออกแบบ Kodo Design เหมือน Mazda รุ่นอื่นๆที่ผ่านมา และคาดว่าเส้นสายตัวรถและแนวการออกแบบนั้นจะยกมาจากรุ่นพี่อย่าง CX-9 ดูจากด้านข้างที่น่าจะมีการเสริมขอบโครเมียมเพิ่มความหรูหรา ส่อเค้ายกระดับความพรีเมียมและดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากกว่ารุ่นก่อน แต่อย่างไรก็ตามดีไซน์ด้านข้างก็ยังไม่ทิ้งดีไซน์การออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของ CX-5 เลย

   สำหรับขุมพลังนั้นยังไม่มีการเปิดเผย แต่ก็คาดว่าน่าจะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรและ 2.5 ลิตรตามสูตรเดิม รวมทั้งเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.2 ลิตร เว้นแต่ว่า Mazda อาจจะมีเซอร์ไพรซ์พิเศษที่ยังคงอุบทุกคนไว้ ระบบขับเคลื่อนก็น่าจะยังคงระบบขับเคลื่อนล้อหน้าและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเหมือนกัน

   ส่วนเมืองไทยนั้น คงต้องรออีกสักพักใหญ่ๆ ซึ่งคาดว่าไม่น่าเกินช่วงปี 2017-2018 ครับ

ที่มา Carscoops
มาร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่นี่ครับ 

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Mercedes-AMG E63 & E63 S อีกหนึ่งตัวแรงจากแดนไส้กรอก

  หลังจากเมื่อช่วงปีนี้มีการเปิดตัว Mercedes-Benz E-Class หลายรุ่นหลายตัวถังด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นตัวถังซีดาน แวกอน หรือจะเป็นรุ่น All-Terrain ล่าสุดค่ายดาวสามแฉกแห่งแดนไส้กรอกร่วมกับสำนักคู่บารมี AMG ได้ทำการเผยโฉมรถสมรรถนะสูงรุ่นใหม่ Mercedes-AMG E63 และ E63 S เป็นที่เรียบร้อย

   การเปิดตัวอย่างเป็นทางการจะมีขึ้นในงาน Los Angeles Auto Show 2016 ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่กำลังจะถึงนี้ โดยทาง AMG ได้ทำการลดความจุเครื่องยนต์จากเดิม 5.5 ลิตร ทวินเทอร์โบ V8 มาเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 Bi-Turbo แทน และได้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC มาเป็นมาตรฐานในทุกรุ่น

   ในรุ่น E63 จะมากับพละกำลัง 571 แรงม้า PS ที่ 5,750-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 750 นิวตัน-เมตรที่ 2,250-5,000 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.5 วินาที ส่วนรุ่น E63 S จะมากับพละกำลังมากถึง 612 แรงม้าที่ 5,750-6,500 รอบ/นาที พร้อมแรงบิดมากมายวัวตายควายล้มที่ 850 นิวตัน-เมตรที่ 2,500-4,500 รอบ/นาที และทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาแค่ 3.3 วินาทีเท่านั้น ความเร็วสูงสุดล็อคไว้ที่ 250 กม./ชม. แต่ลูกค้าสามารถจ่ายเงินเพิ่มเพื่อเลือก  AMG Driver’s Package ที่จะปลดล็อคท็อปสปีด ซึ่งจะทำให้ไปได้ถึง 300 กม./ชม.

   ทุกรุ่นจะส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด SPEEDSHIFT MCT ซึ่งเป็นเกียร์ที่จะถ่ายทอดกำลังไปสู่ล้อรถทั้งสี่ โดย Mercedes-AMG E63 / E63 S ไม่ได้มีแค่ระบบขับเคลื่อนล้อหลังให้เลือกเป็นออปชั่นเสริมเท่านั้น แต่สำหรับรุ่น E63 S จะมีออปชั่นพิเศษ "Drift Mode" อันเป็นระบบที่จะถ่ายทอดกำลังไปสู่ล้อหลังโดยเฉพาะ โดยโหมดนี้จะถูกใช้งานเมื่อขับขี่รถในโหมด Race แต่มีเงื่อนไขว่าระหว่างการขับขี่ต้องปิดระบบควบคุมการทรงตัว ESP และใช้ขับขี่ใน Manaul Mode ควบคุมเกียร์ผ่านแพดเดิลชิพ ซึ่งจะทำงานจนกว่าผู้ขับขี่จะหยุดนั่นเอง

   AMG ได้ทำการอัพเกรด E63 ให้ดียิ่งขึ้นกว่า E-Class ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นการอัพเกรดระบบช่วงล่าง Air Body Control อัพเกรดระบบกันสะเทือนใหม่ และระบบเฟืองท้ายแบบ Diff-Lock ติดตั้งระบบควบคุมการทรงตัวที่ปรับได้ 3 ระดับ พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้าแบบ electromechanical speed-sensitive sports steering และยังติดตั้งจานเบรกด้านหน้า-หลัง ขนาด 360 มม. ส่วนรุ่น E63s จะเป็นขนาด 390 มม. ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีออปชั่นเสริมซึ่งจะให้จานเบรกด้านหน้าขนาด 402 มม. และด้านหลัง 360 มม.

   ดีไซน์ภายนอกของของ E63 และ E63 S จะออกแบบให้ดุดันกว่า E-Class ธรรมดาค่อนข้างมากพอสมควร ภายนอกออกแบบกระจังหน้าใหม่ที่ดุดันกว่าเดิม พร้อมกันชนหน้าทรงเท่ที่คล้ายคลึงกับ AMG GT R กระจกมองข้างสีดำ เสริมหล่อด้วยล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว (รุ่น S จะได้ล้อขนาด 20 นิ้ว) ส่วนด้านท้ายจะมากับสปอยเลอร์สีดำ และท่อไอเสียคู่ 2 ข้าง ส่วนภายในจะมีการเสริมด้วยคาร์บอนไฟเบอร์เพิ่มความดุดัน

   Mercedes-AMG E63 และ E63 S จะวางขายในยุโรปช่วงเดือนมีนาคมปี 2017 เป็นต้นไป ส่วนรุ่น Estate นั้นจะมีการเปิดตัวตามมาในปีหน้า

ที่มา Carscoops
มาร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่นี่ครับ 

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2559

All-New MINI Countryman (F60) เปลี่ยนใหม่สู่ความใหญ่และทันสมัยขึ้น

  หลังจากที่วิ่งทดสอบมานาน ล่าสุดก็เปิดเผยโฉมแล้วสำหรับ MINI Countryman โฉมใหม่ ภายใต้รหัสตัวถัง F60 ซึ่งเป็นเจเนเรชั่นที่ 2 ก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการจะมีขึ้นใน Los Angeles Auto Show 2016 ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้

   MINI Coumtryman โฉมใหม่นั้น ถือว่ายกระดับสัดส่วนให้ใหญ่โตขึ้นผิดกับชื่อยี่ห้อของพวกเขา โดยมีขนาดความยาวมากขึ้น 200 มม. กว้างขึ้นอีก 30 มม. ในขณะที่ฐานล้อของรถถูกเพิ่มความยาวอีก 75 มม. ดังนั้นทำให้ Countryman โฉมใหม่จะไปวางตำแหน่งทางการตลาดที่ใกล้เคียงกับ Audi Q3 ซึ่งผลจากการขยายสัดส่วนนั้น มีผลต่อห้องโดยสารเต็มๆ โดยเฉพาะพื้นที่จุสัมภาระด้านหลังที่เพิ่มขึ้นอีก 220 ลิตร กลายเป็น 450 ลิตร และจะเพิ่มขึ้นอีก 1,309 ลิตรเมื่อพับเบาะหลังลงไป

   ภายนอกของรถนั้นยังคงกลิ่นอายและรักษาดีไซน์จากรุ่นเดิมอยู่พอสมควร ภายนอกจะมากับไฟหน้าทรงเหลี่ยมและเรียวมากขึ้น ออกแบบกันชนหน้าที่ดูมีมิติและลูกเล่นมากกว่ารุ่นเดิม เส้นสายด้านข้างยังดูทรงคล้ายๆรุ่นเดิมอยู่มากแต่สังเกตว่าช่วงกระจกบานท้ายจนไปถึงเสา C จะยาวขึ้น สำหรับด้านท้ายนั้นจะมากับชุดไฟท้ายทรงใหม่ที่ทันสมัยกว่าเดิม มีการย้ายตำแหน่งป้ายทะเบียนจากเดิมที่ติดบนกันชน มาติดบริเวณฝาท้ายแทน นอกจากนี้แล้วฝาท้ายยังมีระบบเปิด-ปิดฝาท้ายอัตโนมัติแบบ SUV หรูๆรุ่นอื่นๆด้วย (อาจจะมีเฉพาะรุ่นท็อปๆหรือไม่ก็มีให้เลือกเป็นออปชั่น)

   ภายในห้องโดยสารยังคงกลิ่นอายความเป็น MINI เหมือนเดิม มีการออกแบบช่องแอร์ใหม่ให้แตกต่างจากรุ่นอื่นๆ ยังคงมากับชุดมาตรวัดและชุดหน้าจอทรงกลมอันเป็นเอกลักษณ์ ดีไซน์ภายในโดยรวมจะมาแนวกลมๆเรียบๆ และดูเหมือนว่าจะจัดวางปุ่มต่างๆให้ดูใช้งานง่ายและสบายตากว่า MINI ตัวถังอื่นๆด้วย

  หนึ่งไฮไลต์สำคัญ ซึ่งเป็นครั้งแรกของรถกลุ่มเดียวกัน (หรือของโลกเลย) กับฟังก์ชันที่เรียกว่า Picnic Bench ซึ่งจะเป็นผ้าใบที่กางออกมาจากช่องเก็บสัมภาระ เพียงพอสำหรับผู้โดยสาร 2 คนที่จะมานั่งเล่นท้ายรถ

   MINI Countryman โฉมใหม่จะถูกสร้างบนพื้นฐานแพลตฟอร์ม UKL2 ที่ใช้ร่วมกับ MINI และ BMW รุ่นอื่นๆ และยังเป็นครั้งแรกของรถสัญชาติอังกฤษรายนี้ที่มีรุ่น Plug-In Hybrid มาให้เลือกด้วย

     ซึ่งในรุ่น Plug-In Hybrid จะมีชื่อรุ่นว่า MINI Cooper S E Countryman ALL4 จะยืมระบบขับเคลื่อนมาจาก BMW 225xe โดยจะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 3 สูบ พละกำลัง 136 แรงม้า PS ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 88 แรงม้า PS ที่ติดตั้งบริเวณล้อหลัง รวมพละกำลังทั้งระบบ 224 แรงม้า PS พร้อมแรงบิด 385 นิวตัน-เมตร ถ้าใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียวๆจะสามารถทำความเร็วได้ 125 กม./ชม. สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยได้ 2.1 ลิตร/100 กม. หรือ 47.62 กม./ลิตร พร้อมอัตราการปล่อยก๊าซ CO2 ที่ 49 กรัม/กม. มีระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าเพียวๆ 40 กม.

   ส่วนขุมพลังอื่นๆนั้นก็จะยกมาจาก MINI ตัวถังอื่นๆมา ได้แก่
- MINI Cooper Countryman: เครื่องเบนซิน 1,499 CC. 3 สูบ พละกำลัง 136 แรงม้า PS แรงบิดสูงสุด 220 นิวตัน-เมตร
- MINI Cooper S Countryman: เครื่องยนต์เบนซิน 1,998 CC. 4 สูบ พละกำลัง 192 แรงม้า PS แรงบิดสูงสุด280 นิวตัน-เมตร
- MINI Cooper D Countryman: เครื่องยนต์ดีเซล 1,995 CC. 4 สูบ พละกำลัง 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 330 นิวตัน-เมตร
- MINI Cooper SD Countryman: เครื่องยนต์ดีเซล 1,995 CC.4 สูบ พละกำลัง 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร

   ระบบส่งกำลังในรุ่นเบนซินและดีเซลบล็อกเล็ก (Cooper / Cooper S / Cooper D) จะส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดเป็นมาตรฐาน ส่วนเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดจะมีให้เลือกเป็นออปชั่นเสริม ส่วนเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดจะเป็นมาตรฐานในรุ่นดีเซลบล็อกใหญ่ Cooper SD และเป็นออปชั่นเสริมให้ในรุ่น Cooper S กับ Cooper D อีกด้วย

และสำหรับใครที่คิดว่าชอบความแรง ก็จงรอตัว John Cooper Works ที่น่าจะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบ พละกำลัง 228 แรงม้าแบบเดียวกับ JCW ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวตามมาในปีหน้าครับ

   สำหรับราคาค่าตัวนั้น MINI Countryman จะมีราคาเริ่มต้นที่ 22,465 ปอนด์ (ประมาณ 964,000 บาท) จนถึง 29,565 ปอนด์ (ประมาณ 1,265,000 บาท) ส่วนเมืองไทยคาดว่าน่าจะมีการนำเข้ามาขายในปีหน้าครับ สาวกมินิก็เก็บเงินรอได้เลย

ที่มา Carscoops / ภาพบางส่วน Netcarshow

มาร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่นี่ครับ 

Mercedes-Benz X-Class Pickup Concept ต้นแบบของกระบะคันแรกจากค่ายดาวสามแฉก

  เป็นหนึ่งในรถที่หลายคนเฝ้าจับตารอคอย สำหรับกระบะคันแรกจากค่ายรถหรู Mercedes-Benz ที่ได้ทำการเปิดตัวต้นแบบแสดงแนวคิดรถกระบะคันแรกของพวกเขา ในชื่อว่า "Mercedes-Benz X-Class Pickup Concept" ซึ่งเปิดตัวไปแล้วเมื่อวันที่ 25 ต.ค. ที่ผ่านมา

  โดยต้นแบบของ Mercedes-Benz X-Class Pickup Concept จะมี 2 คัน 2 สไตล์ด้วยกัน อย่างคันสีขาว Stylish Explorer จะแสดงถึงแนวคิดความสปอร์ตหรูหรามีสไตล์ ภายนอกจะมากับกันชนสไตล์สปอร์ต พร้อมล้ออัลลอยขนาด 22 นิ้ว ส่วนคันสีเหลือง Powerful Adventurer จะแสดงถึงความเป็นรถออฟโรดที่สมบุกสมบันไม่ยอมใครง่ายๆ ก็จะมีการตกแต่งรอบคันในภาพลักษณ์ขาลุย เสริมซุ้มล้อให้กว้างๆ และล้อกับยางในสไตล์ออฟโรด


  และสิ่งสำคัญเลย โครงสร้างตัวถังของรถหลายคนน่าจะคุ้นตาดี เพราะ Mercedes-Benz จะสร้างกระบะ X-Class ภายใต้พื้นฐานของ Navara โฉมปัจจุบันนั่นเอง แต่ทางค่ายดาวสามแฉกได้ลงทุนออกแบบหน้าตาใหม่ที่ยกแนวการออกแบบจากรถสปอร์ต AMG GT มีการออกแบบกรอบกระจกประตูหน้าใหม่เล็กน้อย ออกแบบเส้นมิติตัวถังใหม่ ออกแบบกระบะท้ายใหม่ให้แตกต่างจาก Navara อย่างสิ้นเชิงเลยก็ว่าได้

  ทางด้านภายในห้องโดยสารถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ เพราะ ทางค่ายดาวสามแฉกเล่นออกแบบคอนโซลหน้าและแผงประตูใหม่ทั้งหมด ซึ่งแตกต่างจากต้นฉบับ Navara แบบหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยก็ว่าได้ การออกแบบภายในห้องโดยสารของ Mercedes-Benz X-Class ยังคงกลิ่นอายแบบรถเบนซ์รุ่นใหม่หลายๆรุ่น คือจะมากับช่องแอร์ทรงกลม และหน้าจอทรง Tablet ติดบนคอนโซลหน้า รวมทั้งแผงควบคุมหน้าจอ Touchpad บริเวณฐานเกียร์ มีสิ่งเดียวที่ยังใช้ร่วมกับกระบะ Nissan ก็คือ เบรกมือนั่นเอง

   ระบบขับเคลื่อนของรถจะมากับระบบขับเคลื่อนล้อหลัง RWD เป็นมาตรฐาน ส่วนระบบขับเคลื่อน 4 ล้อจะมีให้เลือกเป็นออปชั่นเสริม ขุมพลังก็จะมีเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซิน 4 สูบ สำหรับเครื่องยนต์ที่ถูกนำเสนอในงานเปิดตัวนั้นจะเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ ซึ่งคาดว่าน่าจะถูกบรรจุในรุ่นบนๆ โดย X-Class จะสามารถรองรับการบรรทุกได้มากกว่า 1.1 ตัน และมีประสิทธิภาพการลากจูงถึง 3.5 ตันเลยทีเดียว และนอกจากนี้ X-Class จะได้ระบบกันสะเทือนหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัทและแบบ 5-Link ที่ด้านหลัง

   Mercedes-Benz X-Class จะถือว่าเป็นรถที่จะมาเติมเต็มช่องว่างในตลาดกระบะได้มากขึ้น และต้องขอบอกไว้ก่อนครับว่า X-Class จะไม่ได้มีราคาเทียบชั้นกระบะบ้านเราหรือ VW Amarok มันอาจจะแพงกว่านั้น เพราะ ความหรูหราพรีเมียมต่างๆที่เพิ่มเติมเข้ามานั่นเอง

   Mercedes-Benz X-Class จะขึ้นสายการผลิตจริงในช่วงปลายปี 2017 การผลิตที่ป้อนตลาดยุโรป ออสเตรเลีย และแอฟริกาใต้ จะมีขึ้นในโรงงาน Nissan ที่บาร์เซโลน่า ประเทศสเปน สำหรับตลาดละตินอเมริกาจะผลิตขึ้นในโรงงาน Renault ที่คอร์โดบ่า ประเทศอาร์เจนติน่าในปี 2018 ครับ ส่วนเมืองไทยก็ต้องรอดูว่าทางค่าย Mercedes-Benz บ้านเราจะนำเข้ามาขายหรือไม่ และถ้านำเข้ามาขายก็คงไม่ใช่ถูกๆแน่นอน
มาร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่นี่ครับ 

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Isuzu D-Max Minor Change เปิดตัวในมาเลเซียแล้ว ยังไร้เงาเครื่อง 1.9 ลิตร

  เมื่อปีที่แล้ว เมืองไทยได้ทำการเปิดตัว Isuzu D-Max Minor Change พร้อมไฮไลต์สำคัญคือเครื่อง 1.9 ลิตร Blue Power และล่าสุดผ่านมาเกือบ 1 ปีนับจากที่เมืองไทยเปิดตัวครั้งแรก ค่าย Isuzu ได้เปิดตัว D-Max Minor Change ในตลาดมาเลเซีย พร้อมแนะนำ 3 การตกแต่งใหม่ที่แตกต่างกัน

   รูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้ต่างจาก Isuzu D-Max ใหม่ที่เปิดตัวในไทยมากนัก โดยทุกรุ่นจะมากับไฟหน้าโปรเจคเตอร์ พร้อมไฟ LED Daytime Running Lights ภายในโคม (ยังไม่มี Silver Ring แบบ D-Max 2017 ในไทย) กระจังหน้าทรงใหม่ กันชนหน้าชุดใหม่ที่ดูดุดันและสวยกว่าเดิม และก็มีล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 16-18 นิ้วแบบบ้านเรา ด้านท้ายเปลี่ยนฝาท้ายใหม่และเซ็นเซอร์กะระยะถอยหลัง หรือ กล้องมองหลังเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

   ทางด้านขุมพลัง ชาวมาเลเซียคงน้อยใจ เพราะ ยังคงไร้เงาเครื่องยนต์ดีเซล  RZ4E-TC Ddi Blue Power 1.9 ลิตร พละกำลัง 150 แรงม้า พร้อมระบบส่งกำลังเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ 6 สปีดแบบบ้านเรา โดยชาวมาเลเซียยังคงมากับขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 4JK1-TCX 2.5 ลิตร พละกำลัง 136 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตรที่ 1,800-2,800 รอบ/นาที และเครื่องดีเซล 3.0 ลิตร 4JJ1-TCX 3.0 ลิตร พละกำลัง 177 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตรที่ 1,800-2,800 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด หรือ เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด แล้วแต่รุ่นย่อย

   การตกแต่งของรถจะมี 4 ระดับด้วยกัน ได้แก่ รุ่น Standard (มาตรฐาน) มี 4 รุ่นย่อย ได้แก่ 2.5L 4×2 MT Hi-Ride, 2.5L 4×4 MT, 2.5L 4×4 AT, และ 3.0L 4×4 AT ภายนอกจะมากับล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว สวมยางขนาด 245/70 เสาอากาศแบบธรรมดา ราวหลังคา สปอร์ตบาร์ด้านหลัง และ ไฟท้ายแบบธรรมดา (ไฟตัดหมอกหน้ามีในรุ่นย่อยสูงๆ)

 ภายในห้องโดยสารมากับพวงมาลัย 3 ก้านแบบยูรีเทน หรือ หุ้มหนังในรุ่น Hi-Ride ระบบปรับอากาศแบบปรับมือ วิทยุแบบ 2 Din พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว เบาะผ้า และลำโพง 8 ตัวรอบทิศทาง

  รุ่น Premium มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ 2.5L 4×4 MT และ 3.0L 4×4 MT สิ่งที่เพิ่มเติมจากรุ่น Standard ก็จะมากับล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 255/60 ตามด้วยไฟท้ายแบบ LED เสาอากาศครีบฉลาม และไฟตัดหมอกด้านหน้าทุกรุ่น

ภายในห้องโดยสารมากับชุดมาตรวัดใหม่พร้อมจอแสดงผลข้อมูลกับขับขี่ใหม่ชุดเดียวกับ D-Max บ้านเรา ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ระบบวิทยุแบบ 2 Din พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว มีปุ่มควบคุมบนพวงมาลัย ปุ่มสตาร์ท และ กุญแจ Keyless Entry

Urban Premium


Street Rugged



Adventure Rugged

   สำหรับเกรด Z-Prestige มี 2 รุ่นย่อยให้เลือก ได้แก่ 3.0L 4×4 AT และ 2.5L 4×4 AT จะมีการแบ่งการตกแต่งเป็น 3 แบบด้วยกัน ได้แก่
Urban Premium ตัวถังสีขาวมุก , Street Rugged สีแดงเลือดนก Velvet Red Mica และ Adventure Rugged สีดำ Stallion Black Metallic ก็จะมีอุปกรณ์บางจุดที่แตกต่างจากรุ่น Premium ได้แก่ ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วที่รมดำเพิ่ม โป่งล้อรอบคันสีดำ (ยกเว้นรุ่น Urban Premium จะได้โป่งล้อสีเดียวกับตัวรถ) ภายในห้องโดยสารจะได้เบาะหนังทุกรุ่น ในรุ่น Urban Premium จะได้เบาะสีน้ำตาลพร้อมขลิบสีดำ ตามด้วยรุ่น Street Rugged จะได้เบาะหนังสีดำขลิบสีแดง และรุ่น Adventure Rugged จะได้เบาะหนังสีดำพร้อมขลิบสีขาว และทุกรุ่นยังได้สปอร์ตบาร์แบบพิเศษและฝาปิดกระบะท้าย Flatbed เป็นมาตรฐานด้วย

สำหรับในรุ่น Standard และ Premium จะมีสีดำ สีน้ำเงิน Nautilus Blue Mica สีเงิน Titan Silver Metallic และ สีขาว Magnum White Solid ให้เลือกด้วยเช่นเดียวกัน
   
    ในส่วนของระบบความปลอดภัย ทุกรุ่นจะทำการติดตั้งระบบเบรก ABS EBD BA ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESC ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA มาเป็นมาตรฐาน

   Isuzu D-Max ในมาเลเซียมีให้เลือก 8 รุ่นย่อยด้วยกัน ได้แก่
Z-Prestige
3.0L 4×4 Automatic  128,052.12 ริงกิต (ประมาณ 1.075 ล้านบาท)
2.5L 4×4 Automatic  120,064.00 ริงกิต (ประมาณ 1.008 ล้านบาท)

Premium
3.0L 4×4 Manual 113,063.72 ริงกิต (ประมาณ 9.49 แสนบาท)
2.5L 4×4 Manual 103,405.04 ริงกิต (ประมาณ 8.68 แสนบาท)

Standard
3.0L 4×4 Automatic –115,690.40 ริงกิต (ประมาณ 9.71 แสนบาท)
2.5L 4×4 Automatic – 107,596.28 ริงกิต (ประมาณ 9.04 แสนบาท)
2.5L 4×4 Manual – 93,006.44 ริงกิต (ประมาณ 7.81 แสนบาท)
2.5L 4×2 Manual Hi-Ride – 82,978.84 ริงกิต (ประมาณ 6.97 แสนบาท

ที่มา Paultan
มาร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่นี่ครับ 

Like Box