วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

Lexus RX Minor Change ปรับรูปโฉม SUV หรูทรงสวยพร้อมแนะนำเทคโนโลยีใหม่

    ค่าย Lexus ได้ฤกษ์สำหรับการปรับโฉมรถ SUV ทรงสวยบาดตาบาดใจอย่าง Lexus RX ให้มีความสวยงามและทันสมัยมากขึ้น อีกทั้งยังมีการแนะนำเทคโนโลยีใหม่ๆมากมาย

  การออกแบบภายนอกถูกปรับเปลี่ยนให้ดูสะอาดตามากขึ้น มากับโคมไฟหน้าดีไซน์ใหม่ที่เฉียบคมกว่าเดิม กระจังหน้ายังคงเป็นทรง Spindle Grille เหมือนเดิมแต่มีการปรับรายละเอียดใหม่ตาม Lexus รุ่นใหม่ๆ ในส่วนของไฟตัดหมอกมีการย้ายตำแหน่งไปที่บริเวณชายล่างกันชนหน้า ส่วนด้านท้ายจะมีการปรับรายละเอียดไฟท้ายใหม่ รวมทั้งปรับปรุงการตกแต่งกันชนท้ายใหม่ ทางด้านล้อก็มีลายใหม่ๆให้เลือกตั้งแต่ขนาด 18-20 นิ้ว สีตัวถังมีการแนะนำสีใหม่ ได้แก่ สีเบจ Moonbeam Beige Metallic และ สีเขียว Nori Green Pearl

  ภายในห้องโดยสารแม้ไม่มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ แต่ใน RX ใหม่ทุกรุ่น จะติดตั้งหน้าจอระบบอินโฟเทนเมนต์ตรงกลางขนาด 8 นิ้วมาให้เป็นมาตรฐาน ที่สำคัญเป็นหน้าจอแบบสัมผัสด้วย ลูกค้ายังสามารถอัปเกรดขนาดหน้าจอเป็น 12.3 นิ้ว จุดเปลี่ยนครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของค่ายรถหรูแดนซามูไรรายนี้ก็ว่าได้ เพราะรุ่นอื่นๆในค่ายจะไม่ใช้หน้าจอระบบสัมผัส แต่ควบคุมผ่านทาง Touchpad บริเวณคอนโซลกลางแทน แต่อย่างไรก็ตามใน RX ใหม่จะยังคงมี Touchpad มาให้ใช้เหมือนเดิม

  อีกหนึ่งการอัปเกรดก็คือ ระบบอินโฟเทนเมนต์ที่สามารถรองรับได้ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto นอกจากนี้ยังมีระบบจดจำเสียงขั้นสูง (Advance Voice-Recognition System) ซึ่งมีความสามารถในการจดจำคำหรือวลีมากกว่าล้านคำเลยทีเดียว

  ในด้านงานวิศวกรรม Lexus RX จะติดตั้งเหล็กกันโคลงใหม่ที่มีน้ำหนักเบาขึ้นพร้อมบูชเสริมเพื่อลดการโคลงตัวของรถและปรับปรุงการตอบสนองของพวงมาลัย นอกจากนี้ยังมีบาร์กันโคลงที่แข็งแรงมากขึ้นและโช้คอัพที่ปรับจูนใหม่ โดยทาง Lexus กล่าวว่าการอัปเกรดระบบช่วงล่างใหม่นี้ช่วยลดเสียงรบกวนและการสั่นสะเทือนจากพื้นถนนได้ดีขึ้นกว่าเดิม

   หากใครโหยหารุ่นที่ดูมีความสปอร์ตขึ้น แน่นอนว่าใน Lexus RX จะมีแพ็คเกจ F Sport ให้เลือก 2 รูปแบบ โดยรูปแบบแรกจะมุ่งเน้นไปที่ความสวยงามหรูหรา ส่วนอีกรูปแบบจะมีการปรับแต่งในส่วนของงานวิศวกรรมอื่นๆนอกจากรูปโฉมภายนอกด้วย โดยจะมากับกรองอากาศใหม่ , ระบบควบคุมเสียงรบกวนเข้าห้องโดยสาร Active Noise Control (ANC) และ Active Sound Control (ASC)  , พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าพร้อมระบบอุ่นพวงมาลัย การเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ก็จะมี ชุดโช้คอัพใหม่ที่ด้านหน้าและด้านหลังแบบสปอร์ต ตัวเลือกโหมดการขับขี่ Sport + และโหมด Custom ที่สามารถกำหนดรูปแบบการขับขี่ได้เอง

  ทางด้านขุมพลังนั้น ในตลาดสหรัฐฯจะมีทางเลือก 2 แบบได้แก่
- RX350L เครื่องยนต์เบนซินรหัส 2GR-FKS ความจุ 3.5 ลิตร V6 พละกำลังสูงสุด 295 แรงม้าที่ 6,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 362 นิวตัน-เมตรที่ 4,700 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด มีให้เลือกทั้งระบบขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อน 4 ล้อ
- RX450h , RX450hL เครื่องยนต์เบนซินรหัส 2GR-FXS ความจุ 3.5 ลิตร V6 พละกำลังสูงสุด 262 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 335 นิวตัน-เมตรที่ 4,600 รอบ/นาที ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวที่ด้านหน้าและด้านหลัง เมื่อรวมกำลังทั้งระบบแล้วจะได้ 313 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT มีให้เลือกเพียงระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้น 

  ตลาดอื่น (และไทย) ปัจจุบันจะมีรุ่น RX300 ที่มากับเครื่องยนต์เบนซินรหัส 8AR-FTS ความจุ 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุด 238 แรงม้าที่ 4,800-5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,650 – 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด มีให้เลือกทั้งระบบขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อน 4 ล้อ

   Lexus RX ใหม่ จะมาพร้อมกับระบบความปลอดภัยหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็น ระบบตรวจจับป้ายจราจร Road Sign Assist , ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในเลน Lane Tracing Assist , ระบบตรวจจับคนขี่จักรยานในเวลากลางวัน  Daytime bicyclist detection , ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ All-Speed Dynamic Radar Cruise Control และ ระบบเตือนภัยก่อนการชน Pre-Collision ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่

  Lexus RX Minor Change จะเริ่มผลิตและจำหน่ายในสหรัฐฯช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ส่วนไทยจะมีการเปิดตัวเมื่อไหรต้องติดตามครับ

ภาพจาก Carscoops / Netcarshow

ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
  

วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

Ferrari SF90 Stradale รถซูเปอร์คาร์ Plug-In Hybrid พลังแรง 1,000 แรงม้า

  นับตั้งแต่ที่ Ferrari ได้เปิดตัว LaFerrari ซึ่งถือว่าเป็น Ferrari รุ่นแรกที่ใช้เครื่องยนต์ Hybrid แต่ทว่ารุ่นนั้นเป็นรุ่นพิเศษที่ผลิตจำกัดจำนวน แต่ล่าสุดนั้นทาง Ferrari ได้ทำการแนะนำซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ซึ่งเป็นขุมพลัง Plug-In Hybrid และเป็นรุ่นปกติที่ไม่ได้ผลิตจำกัดจำนวนแล้ว ซึ่งมันมาในชื่อ "Ferrari SF90 Stradale"

  Ferrari SF90 Stradale ได้รับการขนานนามว่าเป็นรถซูเปอร์คาร์ที่ผลิตขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 90 ปีของ Scuderia Ferrari และเป็นการเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งระหว่างรถสปอร์ตในค่ายที่เป็นรถถนนทั่วไปและรถแข่ง

   ไฮไลต์สำคัญก็หนีไม่พ้นเครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 เทอร์โบชาร์จ ที่มากับพละกำลังสูงสุด 780 แรงม้า (PS) พร้อมแรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตร จับคู่กับระบบไฮบริดซึ่งมีมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว มอเตอร์ตัวใดตัวหนึ่งจะถูกประกบระหว่างเครื่อง V8 และเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 8 สปีด ในขณะที่มอเตอร์อีก 2 ตัวจะติดตั้งอยู่ที่เพลาหน้า

   มอเตอร์ไฟฟ้าจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 7.9 kWh และให้พละกำลังสูงสุด 220 แรงม้า (PS) ส่งผลให้รถซูเปอร์คาร์คันนี้มีพละกำลังรวมทั้งหมดมากถึง 1,000 แรงม้า ซึ่งนับว่าเร็วและแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Ferrari เลยก็ว่าได้

 อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. สามารถทำได้ในเวลา 2.5 วินาทีและจาก 0-200 กม./ชม. ทำได้ใน 6.7 วินาที และเมื่อมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการทำความเร็ว SF90 Stradale จะทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 340 กม./ชม. ยิ่งไปกว่ารถสามารถวิ่งได้ในระยะทาง 25 กม. ด้วยการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว และใช้ระบบเคลื่อนจากล้อหน้าเท่านั้น

  ซึ่งถ้าพูดถึงระบบ Plug-In Hybrid แล้ว หลายคนคงคิดว่ามันต้องมีน้ำหนักที่ไม่เบาแน่ๆ แต่ไม่ใช่กับรถคันนี้ ด้วยน้ำหนักแค่ 1,570 กิโลกรัม โดยทาง Ferrari ยอมรับว่าเป็นเรื่องท้าทายมาก เพราะต้องแบกน้ำหนักระบบ Hybrid ที่หนักถึง 270 กิโลกรัม แต่สุดท้ายพวกเขาก็ทำได้โดยการใช้วัสดุทำโครงสร้างตัวถังที่หลากหลาย ส่วนประกอบเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นจากวัสดุน้ำหนักเบาจำนวนมาก รวมถึงคาร์บอนไฟเบอร์และโลหะผสมอลูมิเนียมใหม่ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตัวถังนี้ไม่ได้ช่วยลดน้ำหนักเพียงอย่างเดียวแต่ยังมีความแข็งแรงที่ทนต่อการดัดงอถึง 20% และความแข็งแรงที่ทนต่อการบิดมากกว่าแพลตฟอร์มเก่าหน้าถึง 40%

   Ferrari SF90 Stradale ยังมีมีสวิตช์ eManettino ใหม่ติดตั้งอยู่บนพวงมาลัย ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่แบบต่างๆได้ 4 แบบด้วยกัน
- eDrive Mode เป็นโหมด EV ไฟฟ้าล้วนๆ ช่วยให้รถสามารถขับขี่แบบเงียบ ๆ ในเมือง
- Hybrid Mode เป็นค่าเริ่มต้นและปรับประสิทธิภาพโดยรวมของระบบส่งกำลัง 
- Performance Mode เป็นโหมดที่ช่วยให้เครื่องยนต์ V8 ทำงานตลอดเวลา ซึ่งมีกำลังที่สามารถเรียกใช้งานได้ทันทีเมื่อจำเป็น
- Qualify Mode เป็นโหมดที่รถสามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้อย่างเต็มศักยภาพ เนื่องจากตัวรถจะให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพในการชาร์จแบตเตอรี่และช่วยให้มอเตอร์ไฟฟ้าผลิตกำลังได้สูงสุดด้วย

   วิศวกรยังพัฒนาระบบช่วยควบคุมการทรงตัวแบบอิเล็กทรอนิกส์ electronic Side Slip Control (eSSC) ใหม่ซึ่งช่วยควบคุมการขับขี่ของรถโดยจะผสานการทำงานกับระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและกันลื่นไถลแบบอิเล็คทรอนิคส์ เพื่อช่วยจัดการกระจายแรงบิดอย่างเหมาะสมทั้งในโหมดเครื่องยนต์สันดาปและไฟฟ้า โดยกำลังจะถูกกระจายไปยังล้อแต่ละล้อเพื่อให้เหมาะกับสภาพการขับขี่ eSSC ยังมีฟังก์ชั่นระบบช่วยควบคุมแรงบิดที่ต้องอาศัยการทำงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้า และระบบเบรกที่ช่วยแยกและกระจายแรงบิดไปยังระบบไฮดรอลิกและมอเตอร์ไฟฟ้า

  สำหรับงานดีไซน์ของรถต้องบอกเลยว่า มีความดุดันและเกรี้ยวกราดสุดๆ ผสมผสานกับความล้ำสมัย มีการติดตั้งไฟหน้าแบบ LED Matrix ดีไซน์ล้ำ กระจกหน้าค่อนข้างมีความโค้งมนและมีเสา A ที่เพรียวบาง ในส่วนของประตูด้านข้างจนไปถึงสเกิร์ตได้รับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ ด้านท้ายถือว่ามีความดุดันแบบสุดๆ ด้วยครีบรีดอากาศ (Diffuser) ทรงดุดัน พร้อมทั้งท่อไอเสียคู่ทรงกลมขนาดใหญ่ แฃะไฟท้ายที่แอบชวนให้นีกถึง Chevrolet Camaro

   Ferrari SF90 Stradale ยังสามารถสร้างแรงกดได้ถึง 390 กิโลกรัม ที่  250 กม./ชม.) ถือว่าเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับรถสมรรถนะสูงในระดับนี้

   ภายในห้องโดยสารมีการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคอนโซลบนเครื่องบิน มากับแผงหน้าปัดดิจิตอลขนาดใหญ่ 16 นิ้ว พร้อมมาตรวัดความเร็วที่ติดตั้งตรงกลางซึ่งขนาบข้างด้วยระบบนำทางและระบบความบันเทิง

  สำหรับราคาจำหน่ายยังไม่มีการประกาศออกมาในขณะนี้ครับ..

ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
  

BMW X1 LCI (Minor Change) ปรับโฉมเพิ่มความทันสมัยพร้อมแนะนำขุมพลัง Plug-In Hybrid

   ค่ายใบพัดฟ้าขาว BMW ได้ทำการแนะนำ BMW X1 รุ่นปรับโฉมใหม่ ที่ได้รับการปรับให้มีความสวยงามและทันสมัยมากขึ้น พร้อมทั้งแนะนำขุมพลัง Plug-In Hybrid เป็นครั้งแรกในกลุ่มตลาดยุโรป หลังจากที่เคยแนะนำในตลาดจีนไปก่อนหน้านี้

  การเปลี่ยนแปลงดีไซน์ภายนอกค่อนข้างเห็นชัดเจน มีการออกแบบตามแนวทางของ BMW ยุคใหม่ โดยจะมากับกันชนหน้าดีไซน์ใหม่พร้อมช่องระบายอากาศขนาดใหญ่มากขึ้นและกรอบไฟตัดหมอกดีไซน์ใหม่ เช่นเดียวกับกระจังหน้าไตคู่ดีไซน์ใหม่ที่ออกแบบให้มีขนาดใหญ่โตขึ้นกว่าเดิม ไฟหน้าก็มีการปรับรายละเอียดใหม่เช่นเดียวกัน

  เช่นเดียวกับด้านท้ายที่มากับโคมไฟท้ายที่มีการออกแบบรายละเอียดไฟท้ายใหม่เป็นทรงตัว L ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ BMW ยุคใหม่ ปรับปรุงกันชนท้ายใหม่และท่อไอเสียคู่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น นอกจากนี้ยังมากับกระจกมองข้างฝั่งคนขับที่สามารถฉายภาพเป็นโลโก้ "X1" ส่องพื้นได้ มีล้ออัลลอยลายใหม่ๆให้เลือก 4 ลาย และทางเลือกสีตัวถังใหม่ ได้แก่ สีเบจ Jucaro Beige metallic , สีฟ้า Misano Blue metallic และ สีเทา BMW Individual Storm Bay metallic

  ภายในห้องโดยสารไม่มีการปรับดีไซน์ แต่เน้นตกแต่งให้หรูหรามากขึ้น โดยจะมากับหัวเกียร์ดีไซน์ใหม่ และระบบอินโฟเทนเมนต์ที่มีหน้าจอให้เลือกทั้งแบบ 8.8 และ 10.25 นิ้ว นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงเบาะนั่งใหม่ เพิ่มการเดินด้ายตะเข็บบริเวณคอนโซลหน้า และ พรมปูพื้นใหม่

  BMW X1 ใหม่จะมาถึงในตลาดยุโรปด้วยทางเลือกเครื่องยนต์ 3 และ 4 สูบ แต่ไฮไลต์สำคัญคงจะหนีไม่พ้นการนำเสนอเครื่องยนต์ Plug-In Hybrid ในชื่อ "X1 xDrive25e"

  โดยขุมพลังนี้จะเข้าสู่ตลาดยุโรปในช่วงเดือนมีนาคมปีหน้า ซึ่งจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร TwinPower Turbo ที่สร้างพละกำลังที่ 125 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร เครื่องยนต์จะขับเคลื่อนล้อหน้าในขณะที่ล้อหลังจะขับเคลื่อนโดยมอเตอร์ไฟฟ้าพละกำลัง 95 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 165 นิวตันเมตร มอเตอร์จะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 9.7 kWh ส่งผลให้ครอสโอเวอร์คันนี้สามารถเดินทางได้ไกลกว่า 50 กิโลเมตรเมื่อใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว

   ส่วนเครื่องยนต์อื่นๆก็จะมี X1 sDrive16d ซึ่งใช้เครื่องยนต์ดีเซล TwinPower Turbo ขนาด 1.5 ลิตร 3 สูบที่ให้กำลัง 116 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร , X1 xDrive25d เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบเทอร์โบชาร์จ 2.0 ลิตร พละกำลังสูงสุด 231 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร และมี X1 xDrive25i ที่มากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบ พละกำลัง 231 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร

   BMW X1 ใหม่จะมาถึงยุโรปในช่วงฤดูร้อนปีนี้ (ประมาณเดือนมิถุนายน) ส่วนเมืองไทยนั้นคาดว่าจะได้เห็นตัวจริงช่วงปลายปีครับ

ภาพจาก Carscoops

ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
  

วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

All-New BMW 1-Series พลิกรูปโฉมพร้อมเปลี่ยนไปใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า

   ค่าย BMW ได้ทำการเผยโฉม All-New BMW 1-Series ซึ่งไฮไลต์สำคัญคือเป็น BMW 1-Series รุ่นแรกที่ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปีเลยก็ว่าได้

  ดีไซน์ภายนอกถือว่ามีการพลิกโฉมจากเดิมไปค่อนข้างมากทีเดียว โดยมากับความโค้งมนและโฉบเฉี่ยวตามแนวทางการออกแบบ BMW ยุคใหม่ ด้วยการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากครอสโอเวอร์ในค่ายอย่าง BMW X2 ด้านหน้ามากับกระจังหน้าทรงไตคู่ที่ขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม และไฟหน้าทรงใหม่ที่ดูเรียวและเฉียบคมขึ้น ส่วนด้านท้ายก็มากับโคมไฟท้ายแบบ LED ทรงเรียว ย้ายตำแหน่งติดตั้งป้ายทะเบียนมาไว้ที่ฝาท้าย ส่วนตัวแรงอย่าง M135i xDrive จะมีความพิเศษด้วยภายนอกที่ดูสปอร์ตดุดันขึ้น กระจังหน้าที่ออกแบบรายละเอียดคล้ายๆกับ Z4 M40i และ M340i กันชนท้ายมาพร้อมครีบรีดอากาศดีไซน์ดุ และท่อไอเสียคู่

   BMW 1-Series โฉมใหม่จะมีขนาดตัวถังยาว 4,319 มิลลิเมตร (สั้นลง 5 มิลลิเมตร) กว้าง 1,799 มิลลิเมตร (เพิ่มขึ้น 34 มิลลิเมตร) และความสูง 1,434 มิลลิเมตร (เพิ่มขึ้น 13 มิลลิเมตร) ส่วนระยะฐานล้อนั้นอยู่ที่ 2670 มิลลิเมตร (สั้นลง 20 มิลลิเมตร)

  BMW กล่าวว่า ด้วยการออกแบบและทรวดทรงของ 1-Series โฉมใหม่ ที่แม้ตัวรถจะสั้นลงแต่ก็ส่งผลให้เพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสารได้อย่างมากทีเดียว ผู้โดยสารด้านหลังสามารถเพลิดเพลินพื้นที่เหนือศีรษะมากขึ้น 19 มิลลิเมตร , พื้นที่วางขาเพิ่มขึ้น 33 มิลลิเมตร และพื้นที่วางข้อศอกเพิ่มอีก 13 มิลลิเมตร นอกจากนี้ใน 1-Series โฉมใหม่ ยังมีความจุสัมภาระ 380 ลิตรซึ่งมากกว่ารุ่นก่อนหน้า 20 ลิตร และเมื่อพับเบาะหลังลงจะเพิ่มพื้นที่ขึ้นอีกเป็น 1,200 ลิตรเลยทีเดียว

  1-Series โฉมใหม่จะยังมากับหลังคาแบบ Panoramic ซึ่งเป็นครั้งแรกในรุ่นนี้และมีช่องเก็บของหลายจุดรอบๆห้องโดยสา รรวมถึงบริเวณด้านหน้าใกล้ๆคันเกียร์ที่มีออปชั่นระบบการชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สายให้เลิอก นอกจากนี้ยังมีหน้าจอระบบอินโฟเทนเมนต์ขนาดใหญ่ 8.8-10.25 นิ้วที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 7.0 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด และยังมีชุดหน้าปัดแบบดิจิตอลขนาด 10.25 นิ้ว และจอ Head-Up Display ขนาด 9.2 นิ้วออปชั่นเสริม

  ขุมพลังของรถนั้น เบื้องต้นทางค่ายใบพัดฟ้าขาวเปิดตัว 1-Series โฉมใหม่ด้วย 5 ขุมพลังด้วยกัน ซึ่งประกอบด้วย เบนซิน 2 บล็อกและ ดีเซลอีก 3 บล็อก อันประกอบไปด้วยง


- M135i xDrive เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ TwinPower Turbo พละกำลังสูงสุด 302 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.9 วินาที ติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อมาให้เป็นมาตรฐาน ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Steptronic Sport 8 สปีด ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.
- 118i เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 3 สูบ TwinPower Turbo พละกำลังสูงสุด 138 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดหรือเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 7 สปีดเป็นออปชั่นให้เลือก
- 120d xDrive เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบ TwinPower Turbo พละกำลังสูงสุด 188 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อมาให้เป็นมาตรฐาน ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 สปีดให้เลือก 
- 116d เครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตร 3 สูบ TwinPower Turbo พละกำลังสูงสุด 114 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดหรือเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 7 สปีดเป็นออปชั่นให้เลือก
- 118d เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบ TwinPower Turbo พละกำลังสูงสุด 147 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดหรือเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 สปีดเป็นออปชั่นให้เลือก
   
  ระบบความปลอดภัยของรถนั้น มีทั้งที่ให้เป็นมาตรฐานหรือให้เลือกเป็นออปชั่นเสริม ซึ่งจะประกอบด้วยระบบเตือนการชนด้านหน้าพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน Collision & Pedestrian Warning with City Braking Function , ระบบป้องกันไม่ให้ออกนอกเลนพร้อมระบบช่วงควบคุมพวงมาลัยให้กลับมาอยู่ในเลน Lane Departure Warning System with Active Lane Return นอกจากนี้ยังมีระบบควบคุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง  Park Distance Control , กล้องมองหลัง และ ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ Parking Assistant ให้เลือกเป็นออปชั่นเสริมอีกด้วย

  การจำหน่าย All-New BMW 1-Series จะเริ่มต้นในช่วงเดือนกันยายนนี้ โดยราคาจะประกาศในช่วงเวลาเดียวกัน ส่วนเมืองไทยจะเอามาขายหรือไม่ต้องติดตามครับ

ภาพจาก Carscoops

ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
  

Like Box