วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ข้อมูลสเปคและออปชั่น Toyota Hilux Revo Minor Change กับการปรับโฉมใหม่เป็นรอบที่ 2

   ปล่อยให้แฟนกระบะรอคอยกันมาพอสมควร คราวนี้ก็ได้ฤกษ์ที่เจ้าตลาดอย่าง Toyota เปิดตัว Hilux Revo Minor Change ที่ปรับโฉมภายนอกเป็นรอบที่ 2 เพื่อแข่งแย่งชิงยอดขายอันดับ 1 กับ Isuzu D-Max เจเนเรชั่นใหม่ที่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้วนั่นเอง
  

  รอบนี้ Toyota ได้ทำการยกเครื่องหน้าตาใหม่ในทุกรุ่นย่อยทุกตัวถัง ไม่กั๊กหน้าแบบแต่ก่อนแล้ว โดยภายนอกจะมากับกระจังหน้าทรงใหม่ที่มีขนาดใหญ่โตขึ้นกว่าเดิม พร้อมด้วยไฟหน้าใหม่ที่ออกแบบให้รับกับกระจังหน้าส่วนบน กันชนหน้าออกแบบให้รับกับกระจังหน้าใหม่ ส่วนด้านท้ายในตัวยกสูงทั้งหมดจะได้ไฟท้ายใหม่แบบ LED Light Guiding นอกจากนี้ตัวสูงทั้งหมดจะได้ล้อลายใหม่ขนาด 17-18 นิ้ว

  ในรุ่น Rocco ได้รับการออกแบบให้แตกต่างจากรุ่นมาตรฐานแบบค่อนข้างมากทีเดียว โดยมากับกระจังหน้าใหม่ที่ลากกินเนื้อที่แทบทั้งหมดของกันชน รวมทั้งออกแบบกรอบไฟตัดหมอกให้รับกับซุ้มล้อรอบคันรถ ยังคงมีการตกแต่งภายนอกที่ครบองค์ทรงเครื่องเหมือนเดิม และมาพร้อมกับล้อลายพิเศษ 18 นิ้ว

   อีกหนึ่งความน่าสนใจคือ Toyota ปรับการเรียกเกรดรถใหม่ทั้งหมด โดยเปลี่ยนจาก J/J Plus เป็น Entry, E/E Plus เป็น Mid และ G เป็น High ส่วน Rocco ยังใช้ชื่อเดิม 

   สำหรับภายในห้องโดยสารนั้น มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดหลายจุดและมีหลายสิ่งที่น่าสนใจ 
- รุ่น Mid ขึ้นไปได้หน้าปัดเรืองแสง Optitron พร้อมจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ MID แบบจอสี TFT 4.2 นิ้ว
- ครั้งแรกในวงการปิคอัพไทย! กับการติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว (Entry เป็นจอแบบ Resistive ส่วน Mid ขึ้นไปเป็นจอแบบ Capacitive) รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay ในทุกรุ่นย่อย...อ่านไม่ผิดจริงๆครับ ทุกรุ่นได้จอสัมผัสหมด นอกจากนี้ทุกรุ่นยังมาพร้อมกับะบบการเชื่อมต่อ T-Connect ที่ทำงานเชื่อมต่อกับ Smart Phone โดยมีฟังก์ชั่นต่างๆ ดังนี้
  • Find My Car เช็คตำแหน่งรถผ่านแอพ
  • TheftTrack ติดตามรถหายเมื่อถูกโจรกรรมพร้อมประสานงาน ความช่วยเหลือตลอด 24 ชม.
  • Geo-Fencing ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถเคลื่อนผ่านเขตพื้นที่ที่เจ้าของรถกำหนดไว้
  • SOS ประสานงานช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม. (อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมบางกรณี)
  • Maintenance Reminder แจ้งเตือนเข้าศูนย์บริการพร้อมประสานงานนัดหมาย
  • Vehicle Information แสดงสถานะรถยนต์ ข้อมูลการขับขี่ สรุปทริปการเดินทาง พร้อมแชร์ลงโซเชียลได้ อีกทั้งมีบริการแจ้งเตือนการต่อทะเบียนรถประจำปีด้วย
  • Insurance (PHYD) ประกันภัยรถ "ขับดี ลดให้" สิทธิพิเศษด้วยเบี้ยประกัน จ่ายตามพฤติกรรมการขับขี่และช่วยแจ้งเตือนต่อประกันภัยล่วงหน้าอัตโนมัติ (สำหรับการทำประกันภัยบริษัทฯ ตามที่กำหนดเท่านั้น)
  • Concierge Service บริการผู้ช่วยส่วนตัว
- ปรับปรุงการภายในใหม่แล้วแต่รุ่นย่อย โดยเฉพาะรุ่น Rocco ที่ตกแต่งคอนโซลและรอบคันด้วยสีเงินแบบ Hairline และโครเมียมรมดำ มีการตกแต่งเบาะภายในใหม่
- Push Start และ Smart Entry ที่เคยกั๊กไว้ในตัวสูง 2.8 ลิตร 4 ประตู ในตัวใหม่ใส่ให้ในเกรด High ทุกรุ่นทุกเครื่องยนต์ และมีใน Rocco ทุกรุ่น
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
- ระบบปรับอากาศอัตโนมัติมีให้ตั้งแต่เกรด High และ Rocco ทุกรุ่นย่อย ทุกตัวถัง
- เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทางมีให้ตั้งแต่เกรด High และ Rocco ทุกรุ่นย่อย ทุกตัวถัง


  ทางด้านขุมพลังเครื่องยนต์จะมีทางเลือกทั้งหมดดังนี้
- เครื่องยนต์ดีเซล 2GD-FTV 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว DOHC VN Turbo และ Intercooler พร้อมระบบจ่ายน้ำมันหัวฉีดไดเร็คอินเจ็คชั่นแบบคอมมอนเรล (แบบ i-ART) ขนาด 2.4 ลิตร พละกำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 343 นิวตันเมตรที่ 1,400-2,800 รอบ/นาที (เกียร์ธรรมดา 5 สปีดและ 6 สปีด) / 150 แรงม้าที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,000 รอบ/นาที (เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด)
- เครื่องยนต์ดีเซล 1GD-FTV 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว DOHC VN Turbo และ Intercooler ขนาด 2.8 ลิตร พละกำลังสูงสุด 170 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 343 นิวตันเมตรที่ 1,200-3,400 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด (เฉพาะตอนเดียว 2.8 ลิตรตัวเตี้ย)
เครื่องยนต์ดีเซล 1GD-FTV 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว DOHC VN Turbo และ Intercooler พร้อมระบบจ่ายน้ำมันหัวฉีดไดเร็คอินเจ็คชั่นแบบคอมมอนเรล (แบบ i-ART) ขนาด 2.8 ลิตร พละกำลังสูงสุด 204 แรงม้าที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตรที่ 1,400-3,400 รอบ/นาที (เกียร์ธรรมดา 6 สปีด) /204 แรงม้าที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,800 รอบ/นาที (เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด) 

  ช่วงล่างมีการปรับปรุงใหม่เพื่อเพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่ เปลี่ยนในรุ่น Smart Cab/Double Cab ทั้งใน Prerunnner และขับเคลื่อน 4 ล้อ
- ปรับปรุงการทำงานช็อคอัพใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซับแรงกระแทก
- ลดจำนวนแหนบจาก 5 เหลือ 3 แผ่น เพิ่มระยะห่างจุดสัมผัสระหว่างแหนบหลักและแหนบเสริม เพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่มากขึ้น
- ปรับวัสดุแหนบใหม่ให้แข็งแรงกว่าเดิม เพื่อรองรับน้ำหนักบรรทุกได้เท่าเดิมแม้แหนบจะลดลง

ระบบความปลอดภัยของรถนั้น โดยรวมจะมีดังนี้
  • ไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED (Prerunner เกรด Mid ขึ้นไป)
  • ไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED (Prerunner เกรด Mid ขึ้นไป)
  • ไฟเเบรกดวงที่ 3 แบบ LED
  • ไล่ฝ้ากระจกหลัง (Smart Cab และ Double Cab)
  • สัญญาณเตือนกะระยะด้านท้าย และมุมกันชนหน้า-หลัง (Prerunner เกรด High ขึ้นไป)
  • กล้องมองหลัง (Prerunner เกรด Mid ขึ้นไป)
  • เข็มขัดนิรภัย 3 จุด ทุกตำแหน่งพร้อมระบบดึงรั้งกลับ และผ่อนแรงดึงอัตโนมัติ สำหรับเบาะคู่หน้า
  • ระบบป้องกันล้อล็อก ABS และระบบกระจายแรงเบรก EBD
  • ระบบเสริมแรงแบรก BA (Prerunner เกรด Mid ขึ้นไป)
  • ระบบควบคุมการทรงตัว VSC (Prerunner เกรด Mid ขึ้นไป)
  • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC (Prerunner เกรด Mid ขึ้นไป)
  • ระบบควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย TSC (Prerunner เกรด Mid ขึ้นไป)
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC (Prerunner เกรด Mid ขึ้นไป)
  • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน DAC (รุ่น 4x4)
  • ระบบป้องกันการออกตัวฉุกเฉิน DSC (เฉพาะระบบเกียร์อัตโนมัติ เกรด High ขึ้นไป)
  • ระบบควบคุมเฟืองท้าย (Auto Limited Slip DIfferential) (รุ่น 4x4)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) เกรด High ขึ้นไป พิเศษใน Rocco ตัวถัง Double Cab จะเป็น ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ (Dynamic Radar Cruise Control) 
  • ระบบความปลอดภัยก่อนการชน PCS เฉพาะ Rocco ตัวถัง Double Cab
  • ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ LDA เฉพาะ Rocco ตัวถัง Double Cab
  • โครงสร้างนิรภัย GOA
  • คานเหล็กนิรภัยด้านข้าง
  • ถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS คู่หน้า และหัวเข่าด้านคนขับ
  • ถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS ด้านข้าง และม่านด้านข้าง (Prerunner เกรด High ขึ้นไป)
สีตัวถังภายนอกจะมีดังต่อไปนี้
- สีขาว Super White (ยกเว้นยกสูงรุ่น High)
- สีขาวมุก White Pearl Crystal (ยกเว้นตอนเดียวและ Smart Cab/Double Cab ตัวเตี้ย)
- สีบรอนซ์เงิน Silver Metallic (ยกเว้น Rocco)
- สีเทา Dark Gray Mica Metallic (ยกเว้น Rocco และ Cab-Chassis)
- สีดำ Atitude Black Mica (ยกเว้นตอนเดียว)
- ใหม่! สีน้ำเงิน Dark Blue Mica เฉพาะ Smart Cab & Double Cab ยกสูงทุกรุ่น
ใหม่!  สีแดง Emotional Red เฉพาะ Rocco
ใหม่! สีน้ำตาล Oxide Bronze Metellic เฉพาะ Rocco

ตอนเดียว 7 รุ่นย่อย
- 2.4 Entry Cab-Chassis 544,000 บาท (แพงขึ้น 11,000 บาทจาก 2.4 J Cab-Chassis เดิม)
- 2.4 Entry Cab-Chassis AT 594,000 บาท (แพงขึ้น 6,000 บาทจาก 2.4 J Cab-Chassis AT เดิม)
- 2.4 Entry 584,000 บาท (แพงขึ้น 18,000 บาทจาก 2.4 J เดิม)
- 2.4 Entry AT 634,000 บาท (แพงขึ้น 13,000 บาทจาก 2.4 J เดิม)
- 2.4 Entry ช่วงสั้น 584,000 บาท (ถูกลง 3,000 บาทจาก 2.4 J Plus เดิม)
- 2.8 Entry 604,000 บาท (ถูกลง 3,000 บาทจาก 2.8 J Plus เดิม)
- 2.8 Entry 4x4 704,000 บาท (แพงขึ้น 28,000 บาทจาก 2.8 J 4x4 เดิม)
Z-Edition 12 รุ่นย่อย
Smart Cab Z Edition
- 2.4 Entry STD 609,000 บาท (แพงขึ้น 14,000 บาทจาก 2.4 J Plus เดิม)
- 2.4 Entry 624,000 บาท (แพงขึ้น 29,000 บาทจาก 2.4 J Plus เดิม)
- 2.4 Mid STD 684,000 บาท (ถูกลง 1,000 บาทจาก 2.4 E เดิม)
- 2.4 Mid 699,000 บาท (แพงขึ้น 14,000 บาทจาก 2.4 E เดิม)
- 2.4 Mid STD AT 734,000 บาท
- 2.4 Mid AT 749,000 บาท
Double Cab Z Edition
- 2.4 Entry STD 689,000 บาท (แพงขึ้น 4,000 บาทจาก 2.4 J Plus เดิม)
- 2.4 Entry 704,000 บาท (แพงขึ้น 19,000 บาทจาก 2.4 J Plus เดิม)
- 2.4 Mid STD 754,000 บาท (ถูกลง 24,000 บาทจาก 2.4 E เดิม)
- 2.4 Mid 769,000 บาท (ถูกลง 9,000 บาทจาก 2.4 E เดิม)
- 2.4 Mid STD AT 794,000 บาท
- 2.4 Mid AT 809,000 บาท
Prerunner & 4x4 17 รุ่นย่อย
Smart Cab Prerunner/4x4
- 2.4 Entry 707,000 บาท (แพงขึ้น 35,000 บาทจาก 2.4 J Plus Prerunner เดิม)
- 2.4 Entry AT 757,000 บาท
- 2.4 Mid 787,000 บาท (แพงขึ้น 36,000 บาทจาก 2.4 E Plus เดิม)
- 2.4 Mid AT 837,000 บาท (แพงขึ้น 37,000 บาทจาก 2.4 E Plus AT เดิม)
- 2.4 High 864,000 บาท
- 2.4 High AT 914,000 บาท
- 2.4 Mid 4x4 862,000 บาท (แพงขึ้น 32,000 บาทจาก 2.4 E Plus 4x4 เดิม)
- 2.8 High 4x4 959,000 บาท (แพงขึ้น 50,000 บาทจาก 2.8 G 4x4 เดิม)
Double Cab Prerunner/4x4
- 2.4 Entry 807,000 บาท (แพงขึ้น 37,000 บาทจาก 2.4 J Plus Prerunner เดิม)
- 2.4 Entry AT 857,000 บาท
- 2.4 Mid 872,000 บาท (แพงขึ้น 32,000 บาทจาก 2.4 E Plus เดิม)
- 2.4 Mid AT 922,000 บาท (แพงขึ้น 33,000 บาทจาก 2.4 E Plus AT เดิม)
- 2.4 High 959,000 บาท (แพงขึ้น 50,000 บาทจาก 2.4 G เดิม)
- 2.4 High AT 1,009,000 บาท (แพงขึ้น 51,000 บาทจาก 2.4 G เดิม)
- 2.4 Mid 4x4 957,000 บาท (แพงขึ้น 22,000 บาทจาก 2.4 E Plus 4x4 เดิม)
- 2.8 High 4x4 1,109,000 บาท (แพงขึ้น 28,000 บาทจาก 2.8 G 4x4 เดิม)
- 2.8 High AT 4x4 1,159,000 บาท (แพงขึ้น 9,000 บาทจาก 2.8 G AT 4x4 เดิม)
Rocco 4 รุ่นย่อย
- Smart Cab 2.4 Rocco AT 949,000 บาท (แพงขึ้น 70,000 บาทจากรุ่นเดิม)
- Smart Cab 4x4 2.8 Rocco AT 1,079,000 บาท
- Double Cab 2.4 Rocco AT 1,079,000 บาท (แพงขึ้น 91,000 บาทจากรุ่นเดิม)
- Double Cab 4x4 2.8 Rocco AT 1,239,000 บาท (แพงขึ้น 40,000 บาทจากรุ่นเดิม)

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2563

เจาะข้อมูล Toyota Fortuner Minor Change กับการปรับโฉมครั้งแรกในรอบ 5 ปี!

   สิ้นสุดการรอคอยแล้ว ในปีที่ 5 ของการทำตลาด Toyota Fortuner โฉมปัจจุบัน ค่ายก็ได้ทำการปรับโฉมให้เป็นครั้งแรก พร้อมทั้งเพิ่มออปชั่นและความปลอดภัยหลายอย่างให้สมเหตุสมผลขึ้น เพื่อเข้ามาต่อกรกับคู่แข่งได้อย่างสมศักดิ์ศรี

   ความน่าสนใจคือ คราวนี้ Toyota Fortuner จะมาใน 2 รูปโฉม ได้แก่ รุ่นมาตรฐาน และตัวแต่งใหม่ที่มีชื่อว่า "Legender" ที่เข้ามาแทน TRD Sportivo มีการออกแบบภายนอกให้แตกต่างกันแบบค่อนข้างชัดเจนมากทีเดียว 
การเปลี่ยนแปลงภายนอก จะมีดังนี้
- กระจังหน้าดีไซน์ใหม่แบบโครเมียม (รุ่น Legender เป็นสีดำเงา)
- กันชนหน้าใหม่พร้อมชุดตกแต่ง
- ไฟหน้าดีไซน์ใหม่แบบ Bi-Beam LED Projector (รุ่น Legender เป็น LED Bi-Projector)
- ไฟท้ายแบบ LED (รุ่น Legender เป็นไฟท้าย LED แบบ Sequential)
- ล้อลายใหม่ขนาด 18 นิ้ว (รุ่น Legender 20 นิ้ว)
- กันชนท้ายดีไซน์ใหม่ในรุ่น Legender
- บันไดข้างสีเงิน (รุ่น Legender เป็นสีดำ)
- คิ้วประตูท้ายสีดำเงา เฉพาะรุ่น Legender
- ประตูท้ายไฟฟ้าแบบ Kick Activated เฉพาะรุ่น Legender

   ภายในห้องโดยสารหลักๆ จะมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดมาตรวัดใหม่ ในรุ่นมาตรฐานจะได้หน้าจอสัมผัสใหม่ขนาด 8 นิ้ว ส่วนตัวแต่ง Legender จะได้หน้าจอขนาด 9 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay ทุกรุ่นยังได้รับการติดตั้งระบบการเชื่อมต่อ T-Connect ที่ทำงานเชื่อมต่อกับ Smart Phone โดยมีฟังก์ชั่นต่างๆ ดังนี้
  • Find My Car เช็คตำแหน่งรถผ่านแอพ
  • TheftTrack ติดตามรถหายเมื่อถูกโจรกรรมพร้อมประสานงาน ความช่วยเหลือตลอด 24 ชม.
  • Geo-Fencing ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถเคลื่อนผ่านเขตพื้นที่ที่เจ้าของรถกำหนดไว้
  • SOS ประสานงานช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม. (อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมบางกรณี)
  • Maintenance Reminder แจ้งเตือนเข้าศูนย์บริการพร้อมประสานงานนัดหมาย
  • Vehicle Information แสดงสถานะรถยนต์ ข้อมูลการขับขี่ สรุปทริปการเดินทาง พร้อมแชร์ลงโซเชียลได้ อีกทั้งมีบริการแจ้งเตือนการต่อทะเบียนรถประจำปีด้วย
  • Insurance (PHYD) ประกันภัยรถ "ขับดี ลดให้" สิทธิพิเศษด้วยเบี้ยประกัน จ่ายตามพฤติกรรมการขับขี่และช่วยแจ้งเตือนต่อประกันภัยล่วงหน้าอัตโนมัติ (สำหรับการทำประกันภัยบริษัทฯ ตามที่กำหนดเท่านั้น)
  • Concierge Service บริการผู้ช่วยส่วนตัว
การเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจยังมีอีก ดังนี้
- เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางติดตั้งในทุกรุ่นย่อย
- ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ทุกรุ่นย่อย
- เพิ่มกระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ รุ่น 2.4 V ขึ้นไป
- เพิ่มระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control รุ่น 2.4 V ขึ้นไป
- เพิ่มช่อง USB สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง 2 ช่อง เฉพาะ Legender ทุกรุ่นย่อย
ใหม่! แท่นชาร์จไร้สาย เฉพาะ Legender ทุกรุ่นย่อย
ใหม่! ไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร เฉพาะ Legender ทุกรุ่นย่อย
- ลำโพง JBL 11 ตัว พร้อมซับวูฟเฟอร์ เฉพาะ 2.8 Legender

  ขุมพลังของรถจะมี 2 ทางเลือกเหมือนเดิม โดยเน้นไปที่การปรับปรุงสมรรถนะใน 2.8 ลิตร ส่วน 2.4 ลิตรยังคงพละกำลังเท่าเดิม แต่ปรับปรุงให้ประหยัดขึ้น
- เครื่องยนต์ดีเซล 2GD-FTV 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว DOHC VN Turbo และ Intercooler พร้อมระบบจ่ายน้ำมันหัวฉีดไดเร็คอินเจ็คชั่นแบบคอมมอนเรล ขนาด 2.4 ลิตร พละกำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดพร้อม Sequential Shift และ Paddle Shift

-เครื่องยนต์ดีเซล 1GD-FTV 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว DOHC VN Turbo และ Intercooler พร้อมระบบจ่ายน้ำมันหัวฉีดไดเร็คอินเจ็คชั่นแบบคอมมอนเรล ขนาด 2.8 ลิตร พละกำลังสูงสุด 204 แรงม้าที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,800 รอบ/นาที

  ตัวรถยังมีการเพิ่ม Balance Shaft เพื่อลดแรงสั่นสะเทือนและลดเสียงที่เข้าห้องโดยสาร มีการปรับรอบเดินเบาเหลือจาก 850 เหลือ 680 รอบ/นาที นอกจากนี้ยังมีระบบ Tire Turning Angle แสดงสถานะการเลี้ยวของล้อเป็นหน้าจอ MID อีกด้วย

ทางด้านระบบความปลอดภัยของรถนั้นจะมีดังต่อไปนี้
  • ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน (Daytime Running Lights) แบบ LED
  • ไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED
  • ไฟตัดหมอกหลัง
  • ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED
  • ไล่ฝ้ากระจกหลัง
  • กล้องมองหลัง
  • ใหม่! กล้องมองรอบคัน (PVM) พร้อมมุมมองแบบ 3D View (Legender ทุกรุ่นย่อย)
  • สัญญานเตือนกะระยะ 6 ตำแหน่ง
  • เข็มขัดนิรภัย 3 จุด ทุกที่นั่งพร้อมระบบดึงกลับ และผ่อนแรงดึงอัตโนมัติ สำหรับเบาะคู่หน้า
  • ระบบเตือนการโจรกรรมและ Immobilizer
  • ระบบป้องกันล้อล็อก ABS และระบบกระจายแรงเบรก EBD
  • ระบบเสริมแรงเบรก BA
  • ระบบควบคุมการทรงตัว VSC
  • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC (4WD ทุกรุ่นจะเป็นแบบ A-TRC)
  • ระบบควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย TSC
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC
  • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน DAC (เฉพาะ 4WD ทุกรุ่น)
  • ระบบควบคุมเฟืองท้าย (Auto Limited Slip Differential) (เฉพาะ 4WD ทุกรุ่น)
  • โครงสร้างตัวถังนิรภัย GOA
  • คานเหล็กนิรภัยด้านข้าง
  • ระบบถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS ด้านผู้ขับ ผู้โดยสาร และหัวเข่าผู้ขับ
  • ระบบถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS ด้านข้าง และม่านนิรภัย
  • ระบบความปลอดภัยก่อนการชน PCS (เฉพาะเครื่อง 2.8 ลิตร)
  • ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมเบรกหน่วงกลับอัตโนมัติ LDA (เฉพาะเครื่อง 2.8 ลิตร)
  สำหรับสีตัวถังภายนอกนั้นจะมีดังนี้
- สีขาวมุก White Pearl Crystal
- สีบรอนซ์เงิน Silver Metaliic
- สีเทา Grey Metallic
- ใหม่! สีแดง Emotional Red
ใหม่! สีน้ำเงิน Dark Blue Metallic
- สีดำ Attitude Black Mica
ส่วนรุ่น Legender มี 3 สี ดังนี้
- สีดำ Attitude Black Mica
- สีขาวหลังคาดำ White Pearl Crystal/Black Roof
ใหม่! สีแดงหลังคาดำ Emotional Red/Black Roof

  ราคาจำหน่ายมีดังนี้ครับ
* รุ่นมาตรฐาน *
- 2.4 G 2WD AT 1,319,000 บาท (+10,000 บาทจากรุ่นเดิม) จากราคาปกติ 1,349,000 บาท (+40,000 บาทจากรุ่นเดิม)
- 2.4 V 2WD AT 1,424,000 บาท (-5,000 บาทจากรุ่นเดิม) จากราคาปกติ 1,454,000 บาท (+25,000 บาทจากรุ่นเดิม)
- 2.4 V 4WD AT 1,494,000 บาท (-15,000 บาทจากรุ่นเดิม) จากราคาปกติ 1,524,000 บาท (+15,000 บาทจากรุ่นเดิม)
สีขาวมุกบวกเงินเพิ่มอีก 12,000 บาท
รุ่นมาตรฐานจะได้ราคาพิเศษช่วงเปิดตัวเท่านั้นถึงวันที่ 30 กันยายน ก่อนปรับราคาขึ้นอีก 30,000 บาท ส่วนตัว Legender ยังคงราคานี้และไม่ปรับเพิ่มแต่อย่างใด

* ตัวแต่งพิเศษ Legender *
- 2.4 Legender 1,564,000 บาท (รุ่นย่อยใหม่)
- 2.4 Legender 4WD 1,634,000 บาท (รุ่นย่อยใหม่)
- 2.8 Legender 1,769,000 บาท (แพงกว่า 2.8 TRD เดิม 60,000 บาท)
- 2.8 Legender 4WD 1,839,000 บาท (แพงกว่า 2.8 TRD 4WD เดิม 60,000 บาท)
สีทูโทน ขาวมุกหลังคาดำ / แดงหลังคาดำ +20,000 บาท

  นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าที่ซื้อ Toyota Fortuner ใหม่ จะได้แพ็คเกจรับประกันคุณภาพ 5 ปี 150,000 กม. และขยายค่าแรงเช็กระยะฟรี จนถึง 100,000 กม. มูลค่ากว่า 45,000 บาท พิเศษจนถึง 30 กันยายนเท่านั้น เริ่มเปิดจองแล้วตั้งแต่ตอนนี้แต่จะเริ่มส่งมอบรถได้ในเดือนสิงหาคมปีนี้ครับ

*****************************

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2563

Exclusive News! ข้อมูลเบื้องต้น Toyota SUV รุ่นใหม่ ก่อนเปิดตัวในไทยเร็วๆนี้

    Toyota C-HR นั้นอาจจะไม่ตอบโจทย์ใครหลายๆ คน แม้ตัวรถจะมีขนาดตัวถังที่คันใหญ่ แต่ในเรื่องความสะดวกสบายและมุมมองห้องโดยสารด้านหลังนั้นทำให้หลายคนต้องยอมถอยไปออกรุ่นอื่นแทน กลายเป็นว่าตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาต้องตกเป็นมวยรองโมเดลที่เก่ากว่าอย่าง Honda HR-V

   ดังนั้น Toyota จำเป็นต้องหาทางแก้ปัญหานี้ ด้วยการเตรียมแนะนำ Toyota C-SUV รุ่นใหม่ให้กับลูกค้าชาวไทย เพื่อมาปิดจุดบอดที่ C-HR มีอยู่ 

   โดยต้องรู้ไว้ก่อนว่า Toyota C-SUV จะไม่ใช่เป็นการนำ Toyota RAV4 เข้ามาจำหน่าย และไม่ใช่ Toyota Wildlander ที่ขายในประเทศจีนซึ่งเอา RAV4 มาปรับดีไซน์ใหม่ C-SUV คันนี้จะเป็นรถรุ่นใหม่ที่ยังไม่เคยเปิดตัวมาก่อน และไทยอาจเป็นประเทศแรกในโลกที่มีการเปิดตัว ให้คิดเสียว่าคันนี้จะเป็น C-HR เวอร์ชั่นที่อเนกประสงค์ขึ้น เสมือนกับว่า C-HR คือ BMW X2 และ C-SUV คันนี้คือ BMW X3 อะไรทำนองนั้นครับ

   เนื่องจากว่าวันนี้ (4 มิ.ย.) ผมเพิ่งได้ข่าวจากวงในหมาดๆ เกี่ยวกับ C-SUV คันใหม่ของ Toyota นี้ จึงมาบอกกล่าวข้อมูลเบื้องต้นของรถคันนี้ให้ทุกท่านได้รับชมก่อนใคร!

   Toyota C-SUV คันใหม่จะมีขนาดเมื่อเทียบกับ C-HR ตัวรถจะยาวกว่า 100 มิลลิเมตร กว้างกว่า 30 มิลลิเมตร สูงกว่า 55 มิลลิเมตร มีพื้นที่จุสัมภาระมากกว่า 162 ลิตร ซึ่งต่อให้เทียบกับ RAV4 แล้ว C-SUV คันนี้ก็ยังเล็กกว่าอยู่ดีครับ
* มิติตัวถัง Toyota C-HR : ยาว 4,360 มิลลิเมตร กว้าง 1,795 มิลลิเมตร สูง 1,565 มิลลิเมตร
* มิติตัวถัง Toyota C-SUV : ยาว 4,460 มิลลิเมตร กว้าง 1,825 มิลลิเมตร สูง 1,620 มิลลิเมตร
* มิติตัวถัง Toyota RAV4 : ยาว 4,595 มิลลิเมตร กว้าง 1,855 มิลลิเมตร สูง 1,700 มิลลิเมตร

   Toyota C-SUV จะมีขุมพลังให้เลือก 2 แบบคือ
- เครื่องยนต์เบนซิน 2ZR-FBE 4 สูบแถวเรียง 1.8 ลิตร พละกำลัง 141 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 177 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i 7 สปีด พร้อม Sequential Shift และ Shift Lock
- ขุมพลัง Hybrid 4th Generation : เครื่องยนต์เบนซิน 2ZR-FXE DOHC 4 สูบแถวเรียง Atkinson cycle 1.8 ลิตร พละกำลังสูงสุด 98 แรงม้าที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600 รอบ/นาที ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 72 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 163 นิวตัน-เมตร แบตเตอรี่แบบนิกเกิลเมทัลไฮไดรต์ รวมกำลังทั้งระบบ 122 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ E-CVT พร้อม Shift Lock

   แบ่งการจำหน่ายทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ได้แก่
- 1.8 SPORT
- HYBRID SMART
- HYBRID PREMIUM
- HYBRID PREMIUM SAFETY

โดยรายละเอียดตัวรถเบื้องต้นมีดังนี้
1.8 SPORT
  • เครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร
  • โครงสร้าง TNGA (แพลตฟอร์ม TNGA-C แบบเดียวกับ Toyota Corolla Altis รวมทั้ง C-HR)
  • เครื่องเสียงจอสัมผัส 9 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay
  • ระบบ Telematics
  • กล้องมองหลัง
  • เบาะหนังและวัสดุหนังสังเคราะห์
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ
  • ล้อขนาด 17 นิ้ว
HYBRID SMART (อุปกรณ์มาตรฐานที่เพิ่มจาก 1.8 SPORT)
  • เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร Hybrid
  • ไฟหน้าแบบ LED Projector
HYBRID PREMIUM (อุปกรณ์มาตรฐานที่เพิ่มจาก HYBRID SMART)
  • ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมเซนเซอร์เปิด-ปิดฝาท้ายแบบ Kick Activated
  • เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า
  • ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM
  • ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA
  • อัปเกรดจากล้ออัลลอยขนาด 17 เป็น 18 นิ้ว
HYBRID PREMIUM SAFETY (อุปกรณ์มาตรฐานที่เพิ่มจาก HYBRID PREMIUM)
  • หลังคามูนรูฟแบบไฟฟ้า 
  • กล้องมองภาพรอบคันพร้อมมุมมอง 3 มิติ (Panoramic View Monitor)
  • ชุดความปลอดภัย Toyota Safety Sense คาดว่าจะเป็นเวอร์ชั่น 2 เหมือนที่ติดตั้งใน Corolla Altis ที่ประกอบด้วย 
  1. ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ DRCC (Dynamic Radar Cruise Control) แบบ All-speed Range
  2. ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ AHB (Automatic High Beam)
  3. ระบบความปลอดภัยก่อนการชน PCS (Pre Collision System) 
  4. ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมพวงมาลัยหน่วงกลับอัตโนมัติ LDA (Lane Departure Alert with Steering Assist)
  5. ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน LTA (Lane Tracing Assist)

  สีตัวถังภายนอกจะมีทั้งหมด 7 สี 
- สีขาวมุก Platinum White Pearl
- สีดำ Attitude Black Mica 
- สีเทาฟ้า Celestite Grey Metallic
- สีบรอนซ์เงิน Metal Stream Metallic
- สีเทาอมน้ำตาล Graphite Metallic
- สีแดง Red Mica Metallic
- สีน้ำเงิน Nebula Blue

สีภายในห้องโดยสาร
- สีดำ ทุกรุ่น ยกเว้นรุ่น HYBRID PREMIUM / HYBRID PREMIUM SAFETY สีขาวมุก, ดำ และ เทาฟ้า
- สีแดง Terra Rossa เฉพาะ HYBRID PREMIUM / HYBRID PREMIUM SAFETY สีขาวมุก, ดำ และ เทาฟ้า

  ทั้งหมดนี้คือข้อมูลของ Toyota C-SUV คันใหม่ที่ได้มาครับ มีอีกเรื่องที่ต้องลุ้นคือชื่อในการทำตลาด ว่ารุ่นนี้จะใช้ชื่อว่าอะไร แต่ก็มีหลายกระแสบอกว่าอาจชื่อ "Corolla Cross" อย่างไรก็ตาม อะไรๆ ก็พลิกผันเกินคาดเดาได้ ยังไงก็ต้องรอติดตามครับ คาดว่าในอีกเดือนสองเดือนนี้จะมีการเปิดตัวอย่างแน่นอน ยังไงสาวก Toyota ต้องรอชมครับ

เรียงเรียงข้อมูลโดย Car News Update

Like Box