วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2565

รวมรถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวภายในปี 2022

   ปี 2021 ยังคงเป็นปีที่โลกต้องเผชิญกับการระบาดของโควิด-19 แถมยังหนักขึ้นยิ่งกว่าปี 2020 อีกด้วย โดยเฉพาะประเทศไทยที่ทำยอดป่วยสะสมมากกว่า 2 ล้านคน และคนเสียชีวิตอีกหลักหมื่น แถมยังส่งผลกระทบต่อหลากหลายอุตสาหกรรม รวมทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวิกฤตการณ์ "ชิปหาย" (ชิปขาดตลาด) นั้นส่งผลกระทบต่อบริษัทรถยนต์หลายค่ายไม่น้อย

   นอกจากนั้นยังส่งผลให้หลายค่ายรถยนต์ต้องปรับแผนการเปิดตัวรถและกิจกรรมทางการตลาดเสียใหม่ที่เน้นช่องทางออนไลน์มากขึ้น หรือแม้แต่งานรถใหญ่ ๆ ก็ยังต้องมีรูปแบบเสมือนจริง (Virtual) สำหรับคนที่ไม่อยากออกไปเสี่ยงติดโรคภายนอก

   ต่อเนื่องมาในปี 2022 นี้เอง โควิด-19 ก็ยังคงไม่จบสิ้น เมื่อตอนนี้หลายประเทศต้องเผชิญกับโควิดสายพันธุ์ใหม่ "โอมิครอน" รวมถึงประเทศไทย ซึ่งดูทรงแล้วนั้นเราน่าจะต้องใช้ชีวิตร่วมกับโรคนี้ไปอีกนานแสนนาน สุดท้ายทุกอย่างก็ต้องก้าวต่อไป เช่นเดียวกับรถแต่ละรุ่นที่เมื่อถึงเวลาปรับเปลี่ยนโฉมก็ยังปรับเหมือนเดิมตามแผนที่วางไว้เพื่อกระตุ้นตลาดและเสริมสร้างยอดขายให้ดีขึ้น

----------------------------------------

   ปี 2021 ที่ผ่านมา ข่าวใหญ่ในวงการรถยนต์คงจะหนีไม่พ้นการเดบิวต์อย่างเป็นทางการของแบรนด์จีน Great Wall Motors (GWM) ที่เรียกได้ว่าเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงเลยก็ว่าได้ การมาของแบรนด์นี้ทำให้ตลาดรถยนต์ในไทยค่อนข้างคึกคักดีทีเดียว ซึ่ง GWM เป็นเพียงส่วนหนึ่งในแบรนด์จีนที่จะมาบุกไทย เพราะหลังจากนี้จะมีอีกหลายบริษัทรถจีนที่เข้ามาทำตลาดในไทย ซึ่งก็จะกล่าวในเนื้อหาหลังจากนี้อีกด้วย

   บทความนี้จะพยายามรวบรวมรถใหม่ที่เปิดตัวในตลาดไทยและต่างประเทศให้ได้มากที่สุดเท่าที่ความรู้ในหัวจะมี บางรุ่นนั้นก็อาจจะไม่ได้นำเสนอในบทความนี้ (เช่น รถ K-Car หรือรถนำเข้าจากเกรย์มาร์เก็ต) รวมทั้งบางค่ายที่คุณผู้อ่านเห็นว่าอาจจะไม่มี นั่นแปลว่าไม่ทราบข่าวชัดเจนหรืออาจจะยังไม่มีความเคลื่อนไหวในปีนี้ครับ

และต้องขอย้ำก่อนว่าช่วงเวลาเปิดตัวของรถหลายรุ่นในบทความนี้นั้นมีหลายอันที่เป็นเพียง "การคาดการณ์" เท่านั้น ไม่ได้มีกำหนดการที่ตายตัวหรือเป๊ะๆ 100% บางรุ่นก็มีกำหนดการที่แน่นอนแล้วถึงยืนยันได้ แต่ก็มีหลายรุ่นที่ยังไม่ทราบกำหนดการซึ่งแน่นอนว่าผมหรือคนอื่นๆก็ไม่สามารถจะบอกกำหนดการต่างๆได้ตรง 100% กำหนดการที่คาดการณ์นั้นอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์โลกตอนนี้

   และขอเตือนก่อนว่าบทความนี้โคตรยาว! ใช้เวลาพิมพ์สะสมเป็นเดือน
ถ้าขี้เกียจอ่านจนหมด ก็เลือกอ่านเอาเฉพาะค่ายที่เราสนใจก็ได้ แต่ถ้าใครอยากอ่านจนหมด ถ้าพร้อมแล้วก็เลื่อนอ่านกันต่อได้เลยครับ

Aston Martin
รถใหม่ในตลาดโลก (และน่าจะมาไทยด้วย) : DBX S / Vantage V12
   ค่ายรถสปอร์ตหรูแดนผู้ดี หลังจากที่มีรถอเนกประสงค์อย่าง DBX เข้ามาเติมเต็มไลน์อัพ กลายเป็นว่าประสบความสำเร็จด้านยอดขายเป็นอย่างดี และทำยอดขายได้มากกว่าครึ่งของยอด Aston Martin ทั้งปี ไม่แปลกใจที่ทางค่ายมีแผนที่จะขยายทางเลือกด้วยการเตรียมเพิ่มทางเลือกใหม่ในตระกูล DBX

ภาพจาก Motor1

  ที่กำลังทดสอบอยู่ขณะนี้ก็คือ Aston Martin DBX S ที่จะมีการอัปเกรดดีไซน์ภายนอกให้ดูโหดขึ้นกว่า DBX มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม กันชนหน้าดีไซน์ดุดันขึ้น ด้านท้ายยังเพิ่มท่อไอเสียเป็น 4 ท่อ ฝั่งละ 2 ท่อ โดย ณ ตอนนี้ก็ยังไม่มีข้อมูลออกมาว่ารถจะใช้ขุมพลังใด แต่ก็มีข่าวลือว่ารุ่นนี้อาจจะมากับขุมพลัง V12 หรือไม่ก็อาจจะเป็นขุมพลัง V8 เดิมที่อัปเกรดให้แรงขึ้น สุดท้ายก็ต้องรอชมเมื่อรถเปิดตัวออกมา โดยล่าสุดมีรายงานแล้วว่ารถเตรียมเปิดตัวในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้แล้ว

ภาพจาก Motor1

   และอีกหนึ่งสปอร์ตคันเก่งอย่าง Aston Martin Vantage นั้น ก็เตรียมเปิดตัวอีกหนึ่งตัวแรงอย่าง "V12 Vantage" ที่ทางค่ายได้ปล่อยทีเซอร์ออกมาเรียกน้ำย่อยแล้ว แน่นอนว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะต้องถูกอัปเกรดให้โหดขึ้นกว่า Vantage ขุมพลัง V8  โดยคาดว่าขุมพลังนั้นอาจจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 5.2 ลิตรเทอร์โบชาร์จคู่ V12 ที่น่าจะปล่อยพละกำลังได้มากกว่า 700แรงม้า ที่สำคัญรุ่นนี้อาจจะมาในจำนวนจำกัดอีกด้วย ภายในช่วงต้นปีนี้เปิดตัวแน่นอน! แต่จะมาไทยตอนไหนต้องรอชม

Audi
รถใหม่ในไทย : A8 Minor Change / Q4 e-tron & Q4 Sportback e-tron 
   ค่ายสี่ห่วงเยอรมันยังคงรุกตลาดไทยอย่างต่อเนื่อง เดินหน้าเปิดตัวรถรุ่นใหม่หลายรุ่นมากเพื่อต่อกรกับสายแข็งอย่าง Mercedes-Benz และ BMW สำหรับในปีนี้คาดว่าน่าจะได้เห็นรุ่นใหม่อีกหลายรุ่นเช่นกัน รุ่นที่มีแววจะมาก็คือ Audi A8 รุ่นปรับโฉม Minor Change ที่เพิ่งเปิดตัวในตลาดโลกเมื่อปลายปีที่ผ่านมา 

  การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดอยู่ในส่วนด้านหน้าที่มีการออกแบบกระจังหน้าใหม่ ไฟหน้าปรับรายละเอียดให้ดูดีขึ้น และ กันชนหน้าใหม่ ด้านท้ายมากับการปรับรายละเอียดไฟท้ายใหม่แบบ OLED ที่มีเป็นมาตรฐาน มีคุณสมบัติใหม่ที่ไฟจะสว่างขึ้นเมื่อรถเข้าใกล้ในระยะ 2 เมตร นอกจากนั้นแล้วยังมีตัวเลือกล้อลายใหม่ และสีใหม่ด้วย

ภายในห้องโดยสารยังคงดีไซน์เดิม ที่ประกอบด้วยแผงหน้าปัดดิจิตอลขนาด 10.1 นิ้ว ตรงกลางมากับหน้าจอสัมผัสขนาด 12.3นิ้ว และจอขนาด 8.6 นิ้วด้านล่างที่ใช้ควบคุมระบบปรับอากาศ

คาดว่าขุมพลังเครื่องยนต์ของ A8 สเปคไทยน่าจะเหมือนเดิม นั่นคือ
- 55 TFSI quattro เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร  V6 TFSI พละกำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร

ความปลอดภัยที่ติดตั้งมาให้นั้น ทาง Audi บอกว่า A8 ใหม่มีตัวเลือกช่วยเหลือผู้ขับขี่ถึง 40 รายการ แต่จะตกทะเลแล้วข้ามน้ำข้ามทะเลจากเยอรมันมาถึงไทยได้กี่รายการนั้นก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องมีให้ก็คือระบบ Audi pre sense basic และระบบเตือนความปลอดภัยด้านหน้า Audi pre sense front เป็นมาตรฐาน 

คาดว่า Audi A8 Minor Change จะนำเข้ามาจำหน่ายในไทยช่วงต้นปีหรือกลางปีนี้ครับ 

   อีกหนึ่งรุ่นที่เชื่อว่า Audi คงต้องเอามาเสริมตลาดรถไฟฟ้าบ้านเราอีกคันก็คือ Audi Q4 e-tron และ Q4 Sportback e-tron รถอเนกประสงค์ EV ขนาดกะทัดรัดคันใหม่ที่เปิดตัวเมื่อปีที่ผ่านมา ขนาดมิติตัวถังยาว 4,588 มิลลิเมตร กว้าง 1,865 มิลลิเมตร สูง 1,632 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,764มิลลิเมตร ถือว่าขนาดตัวถังจะอยู่ระหว่าง Q3 และ Q5 

Audi Q4 e-tron และ Q4 Sportback e-tron จะมีขุมพลัง 3 ทางเลือก ได้แก่
- 35 e-tron มอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลังสูงสุด 170 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 9 วินาที แบตเตอรี่ขนาด 52 kWh ระยะทางวิ่งสูงสุด 341-349 กม.
- 40 e-tron (ยกเว้น Q4 Sportback) มอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 8.5 วินาที แบตเตอรี่ขนาด 77 kWh ระยะทางวิ่งสูงสุด 520 กม
- 50 e-tron มอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลังสูงสุด 299 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 460 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 6.2 วินาที แบตเตอรี่ขนาด 77 kWh ระยะทางวิ่งสูงสุด 488-497 กม.

  รุ่น 35 จะรองรับระบบการชาร์จไฟกระแสสลับ 7.2 kW / ไฟกระแสตรง 100 kW 
ส่วนรุ่น 40 และ 50 จะรองรับระบบการชาร์จไฟกระแสสลับ 11 kW / ไฟกระแสตรง 125 kW ที่ชาร์จเพียง 10 นาที ก็สามารถวิ่งได้ในระยะทางสูงสุด 208 กม.

ก็หวังว่าทาง Audi Thailand จะนำเข้ามาจำหน่ายให้คนที่กำลังสนใจรถพลังงานไฟฟ้าที่กำลังมีความต้องการมากขึ้นเรื่อย ๆ ครับ

   อันนี้เป็นบางส่วนที่ยกมานะครับ คาดว่าอาจจะมีมากรุ่นกว่านี้ก็เป็นได้ ไม่นับรุ่นปรับอุปกรณ์ ตัวแรงที่อาจจะเปิดตัวออกมาอีก นอกจากการแนะนำรุ่นใหม่แล้ว อีกสิ่งที่สำคัญที่จำเป็นต้องบอกก็คือ ในปีนี้ Audi จะมีการปรับราคารถขึ้นในหลายรุ่น ซึ่งทางค่ายก็แจ้งข้อมูลในเว็บแล้ว

รถใหม่ในตลาดโลก (และบางคันน่าจะมาไทยด้วย) : A6 Minor Change / e-tron Minor Change / Q6 e-tron /
ภาพจาก Carscoops

    เริ่มที่รถซีดานหรูขนาดกลางอย่าง Audi A6 ที่ดูเหมือนว่ามีแผนจะเปิดตัวรุ่น Minor Change เร็ว ๆ นี้ ดังจะเห็นได้จากภาพรถทดสอบและภาพหลุดจากประเทศจีน มีการปรับรายละเอียดกระจังหน้าใหม่และกันชนหน้าใหม่เล็กน้อย รวมทั้งกันชนท้ายใหม่ ส่วนภายในห้องโดยสารคาดว่าไม่น่าเปลี่ยนอะไรมากมาย นอกจากการอัปเดตซอฟท์แวร์ระบบหน้าจอและเพิ่มตัวเลือกการตกแต่งใหม่ นอกนั้นก็แทบไม่มีข้อมูลอะไรเลย เอาเป็นว่ารอดูเมื่อรถเปิดตัวแล้วกัน

ภาพจาก Carscoops

  ต่อด้วยรถพลังงานไฟฟ้าล้วนอย่าง Audi e-tron ที่มีแผนจะปรับโฉมใหม่ตามมาเช่นเดียวกัน สิ่งที่เห็นได้ชัดจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือการปรับดีไซน์กระจังหน้าใหม่ กันชนหน้าใหม่ ส่วนด้านท้ายจะมากับไฟท้ายใหม่และกันชนท้ายใหม่เช่นเดียวกัน ส่วนภายในก็อาจจะมีการปรับปรุงการตกแต่งใหม่และปรับเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ก็เป็นได้ ด้านข้อมูลทางเทคนิคยังไม่มีข้อมูล และเป็นไปได้ว่าอาจจะปรับเพิ่มความจุแบตเตอรี่และเพิ่มพิสัยทางวิ่งให้มากขึ้น การเปิดตัวคาดว่าจะมีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

  และรถอเนกประสงค์ไฟฟ้าอีกหนึ่งคันที่จะเปิดตัวก็คือ Audi Q6 e-tron อเนกประสงค์ไฟฟ้าที่จะใหญ่ขึ้นกว่า q4 e-tron ไปอีกสเต็ป และขนาดตัวถังจะมีความใหญ่กว่า Q5 เล็กน้อย โดย ณ ตอนนี้ก็ยังไม่มีข้อมูลอะไรมากเกี่ยวกับรุ่นนี้ 

ภาพจาก Motorauthority

   Q6 e-tron จะสร้างบนแพลตฟอร์ม PPE ที่พัฒนาสำหรับรถพลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะ ต่างจาก Audi SUV รุ่นอื่น ๆ แพลตฟอร์มนี้จะถูกนำไปใช้กับ A6 e-tron และ Porsche Macan EV เจเนเรชั่นใหม่ที่จะเปิดตัวในอนาคตอันใกล้อีกด้วย ณ ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลสมรรถนะออกมาชัดเจน ยังไงก็ต้องรอติดตามกันต่อไป คาดว่าช่วงกลางปีนี้ถึงปลายปีนี้น่าจะมีการเปิดตัว

Bentley
รถใหม่ในไทย : Flying Spur Hybrid
   ค่ายอัครมหายานยนต์หรู Bentley ปีที่ผ่านมาซุ่มเงียบเปิดราคา Bentley Bentayga Hybrid รุ่นปรับโฉมใหม่ ที่มาพร้อมกับขุมพลัง Plug-In Hybrid และจำหน่ายในราคาเริ่มต้นแค่ 13.2 ล้านบาท ถือว่าถูกกว่าโฉมก่อน ๆ ที่ขายกันในราคาเกือบ 18-20 ล้าน

   ปีนี้จะได้เห็นการเปิดตัวอีกหนึ่งรุ่นที่ใช้ขุมพลัง Hybrid นั่นคือ Bentley Flying Spur Hybrid ที่จะมาพร้อมกับขุมพลังแบบ Plug-In Hybrid เครื่องยนต์เบนซิน 2.9 ลิตร V6 ให้พละกำลังสูงสุด 416 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร + มอเตอร์ไฟฟ้าพละกำลัง 136 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร รวมพละกำลังทั้งระบบ 544 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่งได้จาก 0-100 กม./ชม. ใน 4.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 285 กม./ชม. 

   รถสามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดถึง 700 กม. และวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าล้วนได้ในระยะทางสูงสุด 40 กม. ตามมาตรฐาน WLTP เห็นว่าต้นปีนี้เปิดตัวให้เศรษฐีชาวไทยได้จับจองแน่นอน

รถใหม่ในตลาดโลก (และน่าจะมาไทยด้วย)
    รถที่คาดว่าน่าจะมีการเปิดตัว ก็คือ Bentley Bentayga Extended Wheelbase หรือเวอร์ชั่นฐานล้อยาว ที่วิ่งทดสอบมานานแรมปีแล้ว ตอนแรกหลายสื่อบอกว่าจะมาตั้งแต่ปลายปี 2021 แต่ก็ไม่มีการเปิดตัวเสียที ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ว่ารถอาจถูกเลื่อนเปิดตัวด้วยผลกระทบจากโควิด-19 จากการขาดแคลนไมโครชิป

ภาพจาก Motor1

  แต่ก็หวังว่าภายในปีนี้คงได้เห็นกันแล้ว ดีไซน์ภายนอกไม่ได้ต่างจาก Bentayga มาตรฐาน มีสิ่งที่แตกต่างแบบเห็นชัดคือ ประตูหลังที่ดูยาวขึ้น พร้อมฐานล้อที่ยาวขึ้น ซึ่งน่าจะส่งผลให้ผู้โดยสารตอนหลังนั่งสบายขึ้น และคาดว่าน่าจะมากับเบาะหลังปรับเอนได้แบบ VIP เสมือนอยู่บนเครื่องบิน First-Class 
 
   ขุมพลังคาดว่าจะมีทางเลือกทั้งแบบ V8 และ W12 รวมทั้งอาจมีขุมพลัง Plug-In Hybrid ด้วย ก็ต้องติดตามกันต่อไป คาดว่าการเปิดตัวน่าจะมีขึ้นช่วงต้นปีถึงกลางปีนี้

BMW / MINI
รถใหม่ในไทย : X4 LCI / i4 
   ค่าย BMW เมื่อปีที่ีผ่านมาถือว่าจัดหนักจัดเต็มพอสมควรกับการนำเสนอรถรุ่นใหม่ มีทั้งรุ่นปรับโฉมและปรับอุปกรณ์หลากหลายรุ่น แต่ความน่าสนใจก็คือ การที่ค่ายได้เปิดตัวรถพลังงานไฟฟ้า 2 รุ่นอย่าง iX และ iX3 ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าค่อนข้างเยอะพอสมควร โดยเฉพาะ iX3 ที่ตอนนี้หลายคนทยอยรับรถและเริ่มเห็นกันตามท้องถนนแล้ว

   ไฮไลต์ที่น่าติดตามในปีนี้น่าจะเป็น BMW i4 รถสปอร์ตซีดานพลังงานไฟฟ้าที่โดยพื้นฐานแล้วก็คือ 4-Series Gran Coupe เวอร์ชั่นไฟฟ้าล้วนนั่นเอง ดูทรงแล้ว BMW บ้านเราน่าจะทำตลาดตัวนี้แทน 4 Gran Coupe ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปไปเลย อีกทั้งรุ่นนี้ที่ขึ้นข้อมูลบนเว็บ BMW Thailand แล้ว ก็ยิ่งตอกย้ำชัดเจนว่ายังไงก็มาไทยแน่นอน

  ขุมพลังของรถนั้นจะมีทางเลือก 2 แบบคือ
- eDrive40 มอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 5.7 วินาที ท็อปสปีด 190 กม./ชม. 
- M50 รุ่นนี้ถือว่าเป็นรถไฟฟ้ารุ่นแรกภายใต้แบรนด์ M เลยก็ว่าได้ (จากรหัสรุ่น น่าจะเป็น M Performance มากกว่า)
มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวหน้า-หลัง พละกำลังรวมสูงสุดภายใต้โหมด Sport Boost จะสร้างพละกำลังสูงสุด 544 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 795 นิวตันเมตรในระยะเวลา 10 วินาที พละกำลังที่แท้จริงจะเหลือ 476 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 726 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 3.9 วินาที ท็อปสปีด 225 กม./ชม. 

   ทุกรุ่นมาพร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนความจุสูงสุด 83.9 kWh 
* eDrive40 ระยะทางวิ่งสูงสุด 482 กม. ตามมาตรฐาน EPA หรือ มากกว่า 590 กม. ตามมาตรฐาน WLTP
* M50 ระยะทางวิ่งสูงสุด 395 กม. ตามมาตรฐาน EPA หรือ มากกว่า 510 กม. ตามมาตรฐาน WLTP
สำหรับการชาร์จไฟนั้น หากใช้ระบบการชาร์จเร็วกระแสตรง 210 kW จะใช้เวลาชาร์จจาก 10-80% ใน 31 นาที หรือหากชาร์จเพียง 10 นาทีจะเพิ่มระยะทางได้ราวๆ 145 กม. 
แต่ถ้าหากใช้ระบบการชาร์จไฟกระแสสลับ 8.5 kW ใช้เวลาชาร์จจาก 0 จนเต็มในเวลา 8.5 ชั่วโมง

   BMW i4 เตรียมเปิดตัวในไทยภายในช่วงเดือนมีนาคมนี้ ยังไงก็ต้องรอติดตามชมข้อมูลสเปคไทยกันครับ

  อีกคันที่น่าจะเปิดตัวอีกก็คือ BMW X4 LCI (Minor Change) หลังจากที่ปีที่แล้วเปิดตัว X3 LCI แล้ว ปีนี้ X4 คงจะตามมา และถ้ามาก็คงมาในรหัส X4 xDrive20d M Sport เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบ TwinPower Turbo พละกำลังสูงสุด 190 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดแบบ Steptronic คาดว่าช่วงต้นปีนี้อาจจะมีการเปิดตัว
   
รถใหม่ในตลาดโลก (และบางคันน่าจะมาไทยด้วย) : 3 LCI / All-New 7-Series & i7 / 8 LCI / All-New X1 / X5, X6 & X7 LCI / X8 / M2 / M3 Touring /  XM
ภาพจาก Motorauthority

    เริ่มที่รถซีดานคันงามอย่าง BMW 3-Series ที่เตรียมตัวที่จะปรับโฉม LCI (Minor Change) โดยเมื่อปีที่ผ่านมาก็มีภาพหลุดด้านหน้าออกมาแล้ว  เห็นชัดว่า 3 LCI จะมากับไฟหน้าดีไซน์ใหม่หมดที่ดูเรียบร้อยขึ้นกว่าเดิม ชวนให้นึกถึงทรงไฟของ 4-Series หรือ X3/X4 LCI เลย เช่นเดียวกับกันชนหน้าที่มีดีไซน์เป็นไปในทิศทางเดียวกับ X3/X4 LCI เช่นเดียวกัน ที่สำคัญเลย..ยังน่าดีใจที่กระจังหน้าไตคู่ก็ยังไม่ได้ดูใหญ่โตเกินเหตุแบบ BMW รุ่นอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีภาพหลุดกันชนท้ายใหม่ที่เป็นไปตามธีม BMW ยุคใหม่เช่นเดียวกัน

ภาพจาก Carscoops

   แต่ภายในห้องโดยสารคาดว่าจะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยคาดว่าอาจจะได้หน้าจอคู่ขนาดใหญ่แบบเดียวกับ i4 ได้หน้าปัดดิจิตอลสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ต่อเนื่องกับหน้าจออินโฟเทนเมนต์ขนาด 14.9 นิ้ว  หน้าจอชุดนี้ยังมีกระจกที่ป้องกันแสงสะท้อนอีกด้วย รองรับระบบ iDrive 8 พร้อมรองรับการอัปเดตไร้สาย รองรับ Apple CarPlay ไร้สายและ Android Auto

ภาพจาก Carscoops
   คาดว่าขุมพลังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก จะยังคงมีเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลเหมือนเดิม แต่อาจจะมีการติดตั้งเทคโนโลยี Mild Hybrid 48V ที่เพิ่มพละกำลังได้ 11 แรงม้าในช่วงระยะเวลาหนึ่งได้ และแน่นอนที่ขาดไม่ได้ก็คือขุมพลัง Plug-In Hybrid แต่ที่น่าสนใจคือรอบนี้อาจจะมีเวอร์ชั่นขุมพลังไฟฟ้าจำหน่าย พร้อมแปะป้าย i3 ขาย และอาจจะติดตั้งขุมพลังแบบเดียวกับ i4 คาดว่าการเปิดตัวของ 3-Series LCI อาจมีขึ้นช่วงต้นปีถึงกลางปีนี้ ส่วนไทยก็รอติดตามได้หลังจากนั้น

   ขยับมาที่พี่ใหญ่อย่าง 7-Series ที่ได้เวลาสำหรับการเปิดตัวเจเนเรชั่นใหม่เสียที ซึ่งดูจากรถทดสอบจะเห็นถึงรูปลักษณ์ที่ค่อนข้างล้ำและแปลกตาขึ้น รถจะถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม CLAR เวอร์ชั่นอัปเดตจากโฉมปัจจุบัน โดยจะรองรับขุมพลังหลายแบบทั้งสันดาปธรรมดา แบบไฮบริดและไฟฟ้าล้วน  และอาจมีการเพิ่มระบบบังคับเลี้ยวล้อหลังแบบ Mercedes-Benz S-Class โฉมล่าสุดด้วย

ภาพจาก Carscoops

   อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ แพลตฟอร์มรถจะรองรับทั้งขุมพลังสันดาปธรรมดา แบบไฮบริดและไฟฟ้าล้วน ซึ่ง 7-Series โฉมใหม่รอบนี้จะมีเวอร์ชั่นขุมพลังไฟฟ้าล้วนออกมาจำหน่ายเช่นกัน ภายใต้ป้ายชื่อ "i7" ซึ่งมีข่าวร่ำลือว่าอาจจะติดตั้งแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 120 kWh รองรับระยะทางวิ่งสูงสุด 700 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง มีทางเลือกขุมพลังสูงสุดที่อาจมากับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว พละกำลังมากถึง 750 แรงม้า

  นอกจากนั้นแล้ว 7-Series โฉมใหม่จะมากับเทคโนโลยีที่แน่นมากขึ้น ซึ่งเป็นไปได้ว่ารถอาจติดตั้งเทคโนโลยีช่วยการขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 มาให้ ยังไงก็ต้องติดตามชมให้ดี ปีนี้เผยโฉมแน่นอน น่าจะมาภายในช่วงกลางปีนี้ ไทยก็รอติดตามได้หลังจากนั้น

ภาพจาก Motorauthority
   ในส่วนของรถสปอร์ตหรูรุ่นใหญ่อย่าง 8-Series เองก็มีแผนจะปรับโฉมใหม่เช่นเดียวกัน โดยจากภาพรถทดสอบจะเห็นว่ามีการพรางหน้าและท้าย ซึ่งก็น่าจะมีการปรับดีไซน์ส่วนด้านหน้าและด้านท้ายใหม่ ภายในจะมีการปรับจอกลางให้มีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมระบบ iDrive เวอร์ชั่นล่าสุด ณ ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลเรื่องขุมพลัง แต่คาดว่าคงใช้ขุมพลังเดิมและอาจเพิ่มระบบ Mild Hybrid เข้าไป คาดว่าการเปิดตัวคงมีขึ้นช่วงกลางปีถึงปลายปีนี้

ภาพจาก Carscoops

   มาดูในส่วนรถอเนกประสงค์กันบ้าง เริ่มกันที่ BMW X1 ที่เตรียมเปิดตัวเจเนเรชั่นใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้ อเนกประสงค์รุ่นเล็กคันนี้ดูเหมือนจะออกแบบให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและดูบึกบึนขึ้น โดยรถจะพัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์ม FAAR ที่พัฒนาต่อยอดจากแพลตฟอร์ม UKL (แพลตฟอร์มเดียวกับ 1-Series โฉมล่าสุด และ 2-Series Gran Coupe) ที่ใช้ใน X1 โฉมปัจจุบัน โดยถูกพัฒนาให้รองรับระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ใช่ครับ X1 โฉมใหม่จะมีทางเลือกขุมพลังไฟฟ้าล้วนด้วย (คาดมาในชื่อ iX1)

ภาพจาก Motorauthority
   นอกจากขุมพลังไฟฟ้าล้วนแล้ว แน่นอนว่าขุมพลังดีเซลและเบนซินจะยังมีให้เลือกเหมือนเดิม และอาจมาพร้อมกับเทคโนโลยี Mild Hybrid 48V แบบเดียวกับ X3/X4 LCI อีกด้วย นอกจากนั้นแล้ว ความน่าสนใจคือครั้งนี้ BMW อาจเพิ่มตัวแรงสุดเพดาน "X1 M35i" เพื่อมาฟาดฟันกับ Mercedes-AMG GLA 35 และ GLB 35 คาดจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จ ที่น่าจะปล่อยพละกำลังได้ประมาณ 340 แรงม้า คาดว่าการเปิดตัวน่าจะมีขึ้นช่วงกลางปีถึงปลายปีนี้ ไทยก็ติดตามได้ช่วงปลายปีไม่ก็ปีหน้าเลย
 
ภาพจาก Carscoops
   นอกจากนี้ในส่วนของรถอเนกประสงค์รุ่นอื่น ๆ นั้นก็มีแผนที่จะ LCI ตามกันมาอีกเพียบ...
   ไม่ว่าจะเป็น BMW X5 และ X6 ที่เหมือนจะได้คิวปรับโฉมแล้ว ซึ่ง ณ ตอนนี้ภาพที่อัปเดตล่าสุดนั้นจะเป็นของ X5 ที่เพิ่งถูกจับได้ต้นเดือนมกราคมนี้เอง เห็นชัดว่าน่าจะมีการออกแบบด้านหน้าใหม่ ได้ไฟหน้าที่เรียวขึ้น และกันชนหน้าใหม่ ส่วนด้านท้ายน่าจะมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดกันชนท้ายใหม่ แม้ว่าตอนนี้ยังไม่มีภาพล่าสุดของ X6 แต่คาดว่าคงมีการปรับไปในทิศทางเดียวกัน

   แต่ภายในนั้นจะเห็นชัดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของหน้าปัดดิจิตอลและหน้าจอกลางใหม่ โดยจะได้หน้าจอคู่ขนาดใหญ่แบบเดียวกับ i4 ซึ่งเป็นหน้าจอสี่เหลี่ยมผืนผ้าตั้งตระหง่านบนคอนโซล ขุมพลังยังไม่มีข้อมูลตอนนี้ คาดว่าการเปิดตัวจะมีขึ้นช่วงปลายปีนี้ ส่วนไทยก็รอติดตามได้เลยช่วงปีหน้า

   เช่นเดียวกับรุ่นพี่ใหญ่อย่าง X7 ที่มีแผนอัปเดตรูปโฉมเช่นกัน รุ่นนี้น่าสนใจเพราะว่าจะมีการปรับปรุงใบหน้าครั้งใหญ่ให้ดูแปลกตายิ่งกว่าเดิม โดยจะมากับไฟหน้าแบบแยกส่วน โดยไฟหน้าจะถูกวางตำแหน่งให้ต่ำลงกว่าเดิม ส่วนกระจังหน้าไตคู่ยังคงใหญ่น่ากลัวเหมือนเดิม ด้านหลังจะมากับไฟท้ายใหม่ และกันชนท้ายใหม่เช่นกัน

ภาพจาก Motorauthority

   ห้องโดยสารยังไม่มีภาพหลุดออกมาแต่คาดว่าอาจจะมีการอัปเดตหลายอย่างให้ทันสมัยขึ้นแบบรุ่นอื่น ๆ อีกทั้งคาดว่าอาจจะยกระดับดีไซน์และเทคโนโลยีใหม่ที่จะมีใน 7-Series ในอนาคตอันใกล้อีกด้วย คาดว่าการเปิดตัวอาจมีขึ้นช่วงกลางปีหรือช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้

      แต่บรรดารถ SUV ตระกูล X ที่น่าจับตาที่สุดคงหนีไม่พ้นรถคันนี้ "BMW XM" รถอเนกประสงค์พันธุ์แรง M ซึ่งความน่าสนใจก็คือ รถคันนี้จะเป็น "M Standalone" (M ตั้งแต่เกิด ไม่ใช่ตัวแรงของรุ่นที่มีอยู่) คันที่ 2 ของ BMW นับจาก BMW M1 ที่ออกมาช่วงปลายทศวรรษ 1970s โดยรูปลักษณ์คาดว่าจะอิงมาจากต้นแบบ BMW Concept XM ที่เผยโฉมเมื่อปลายปีที่ผ่านมา 

ภาพจาก Motorauthority

   ขุมพลังนั้นก็น่าสนใจเพราะว่าจะใช้ขุมพลังแบบ Plug-In Hybrid ที่ประกอบด้วย เครื่องเบนซิน + มอเตอร์ไฟฟ้า ที่อาจปล่อยพละกำลังสูงสุดได้ถึง 750 แรงม้า พร้อมทั้งแรงบิดสูงสุดมหาศาลถึง 1 พันนิวตันเมตร ซึ่งก็น่าจะทำให้เป็นรถตัวแรงตระกูล M คันแรกที่มากับขุมพลังแบบ Plug-In Hybrid

   ถือว่าโคตรน่าสนใจและน่าจับตาสุด ๆ คาดว่าเราน่าจะได้เห็น BMW XM คันนี้เผยโฉมออกมาในช่วงครึ่งปีหลังของปีหรือปลายปีนี้เป็นอย่างช้าครับ

ภาพจาก Motor1
   คันต่อมาที่น่าติดตามเช่นกันก็คือ BMW M3 Touring หรือ M3 เวอร์ชั่นแวกอน ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ที่พวกเขาจะทำตัวแรงเวอร์ชั่นพ่อบ้านออกมาจำหน่ายแบบจริงจังเสียที หลังจากเมื่อหลายปีก่อนเคยทำ M3 Touring ในพื้นฐานของ 3-Series E46 แต่เป็นแค่ต้นแบบที่ไม่ได้ไฟเขียวให้ผลิตจำหน่ายจริง

  งานดีไซน์ด้านหน้าแน่นอนว่าก็จะเหมือนกับ M3 และ M4 ทุกประการ ผสมผสานกับ 3-Series Touring จนกลายเป็น M3 Touring นั่นเอง พละกำลังแน่นอนว่าจะมาจากเครื่องยนต์ S58 twin-turbo ความจุ 3.0 ลิตรรุ่นล่าสุดของ BMW M ซึ่งจะมากับพละกำลัง 480 แรงม้า (PS) ในรุ่นมาตรฐานและ 510 แรงม้า (PS) ในรุ่น Competition คาดว่าช่วงกลางปีถึงปลายปีนี้น่าจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเสียที

ภาพจาก Carscoops

   ปิดท้ายด้วยสปอร์ตตัวแรง M อีกคันที่น่าจะเปิดตัวก็คือ All-New BMW M2 ซึ่งต่อเนื่องจาก 2-Series Coupe รหัสตัวถัง G42 ที่เปิดตัวเมื่อปีที่ผ่านมา รุ่นปกติก็ว่าประหลาดพอแล้ว ตัว M น่าจะยิ่งแปลกตาขึ้นไปอีก โดยปีที่ผ่านมามีภาพหลุดที่คาดว่าจะเป็นชิ้นส่วนกันชนหน้า รวมไปถึงกระจังหน้าออกของ M2 โฉมใหม่มาให้ชม

ภาพจาก Carscoops
   เห็นชัดว่า M2 โฉมใหม่จะมากับกระจังหน้าไตคู่ที่มีตะแกรงเป็นเส้นแนวนอนเหมือนกับ M3 / M4 แต่ไม่ได้มากับขนาดที่ใหญ่เกินงาม และเมื่อดูจากภาพหลุดกันชนหน้าก็จะเห็นว่ามีการออกแบบช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ทรงเหลี่ยม รวมทั้งทรวดทรงกันชนที่ไม่ได้รับกับไฟหน้า เลยคาดว่าอาจจะมีรายละเอียดไฟหน้าที่แตกต่างกัน

    ขุมพลังคาดว่าจะยกจาก M3 และ M4 เวอร์ชั่นล่าสุด ขุมพลังเบนซิน 3.0 ลิตร 6 สูบเทอร์โบชาร์จที่สร้างพละกำลังได้ราวๆ 480-490 แรงม้า การเปิดตัวน่าจะมีขึ้นช่วงครึ่งปีหลังของปีถึงปลายปีนี้

Chery
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทย : Omoda 5 ? (เดบิวต์แบรนด์อย่างเป็นทางการให้ได้ก่อน เรื่องรถว่ากันที่หลัง)
   ค่ายรถจีน "เฌอรี่" ที่เคยมาทำตลาดในไทยภายใต้ชายคาของ "ยนตรกิจ" มีรถมาจำหน่ายหลากหลายรุ่น แต่สุดท้ายแล้วก็ยุติการจำหน่ายไป กลุ่มผู้ใช้ก็เสมือนถูกลอยแพตามระเบียบ แต่ล่าสุดนี้ดูเหมือนว่าแบรนด์จีนรายนี้มีความสนใจที่จะกลับมาบุกตลาดไทยอีกรอบ แต่ไม่ได้มาภายใต้ยนตรกิจอีกต่อไป เพราะบริษัทแม่เข้ามาดูแลเองเลย

       ซึ่งตอนนี้ทาง Chery ก็ได้สร้างเพจ "Chery Thailand" ไว้เรียบร้อย ซึ่งเป็นอีกเครื่องยืนยันว่ายังไงค่ายนี้กลับไทยแน่ ปัจจุบันมีผู้ติดตามแล้วกว่า 33,000 คน (เพจ Official เองเลย ไม่ใช่แฟนคลับสร้างกันเอง) บริษัทยังวางแผนขยายกลุ่มตลาดมายังตลาดอาเซียน และหมายมั่นให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญในการผลิตและส่งออกไปยังประเทศกลุ่มอาเซียนด้วย

     โดย Chery จะนำเอาประสบการณ์นวัตกรรมยานยนต์ใหม่แบบ "LIFE PLUS" มาใช้กับกลุ่มลูกค้าชาวไทย และติดตามแนวโน้มการพัฒนารถยนต์พลังงานใหม่ในประเทศไทยอย่างใกล้ชิดอีกด้วย รวมทั้งมีแผนเปิดตัวรถยนต์พลังงานใหม่ชั้นนำของโลกเพื่อช่วยยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

   แต่ ณ ตอนนี้เราก็ยังไม่ทราบว่ารถรุ่นไหนของ Chery จะเป็นคันแรกที่จะเป็นตัวเปิดในการบุกตลาดไทยครั้งใหม่นี้ แต่ล่าสุดเหมือนจะมีข้อมูลว่ารถที่ทาง Chery จะเอามาเปิดตลาดไทยก็คือ Chery Omoda 5 ครอสโอเวอร์ทรงสวยที่เพิ่งเปิดตัวในจีนเมื่อปลายปีที่ผ่านมา มาพร้อมกับขนาดตัวถังยาว 4,400 มิลลิเมตร กว้าง 1,830 มิลลิเมตร สูง 1,585 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาว 2,630 มิลลิเมตร ดูจากขนาดก็พอรู้ว่ารถน่าจะวางตลาดในกลุ่ม B-SUV

ภาพจาก Autohome.com.cn
  ขุมพลังจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน TGDI ความจุ 1.6 ลิตรเทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 197 แรงม้า แรงบิดสูงสุด  290 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดพร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหน้า โดยรถเปิดตัวอย่างเป็นทางการช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ท้ายสุดต้องมาติดตามก่อนว่า Chery จะเปิดตัวแบรนด์อย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ และจะเอารถ Omoda 5 เข้ามาจำหน่ายหรือไม่ ต้องรอชม

Changan
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทย :  เดบิวต์แบรนด์อย่างเป็นทางการให้ได้ก่อน เรื่องรถว่ากันที่หลัง
   แบรนด์จีนอีกหนึ่งแบรนด์ "ฉางอัน" ซึ่งหลายคนคงจะไม่คุ้นชื่อเลย แต่ก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่มีความสนใจในการทำตลาดในไทยเหมือนกัน พวกเขาได้มาศึกษาตลาดไทยได้สักพักแล้ว และมีการตั้งทีม PR ในการประชาสัมพันธ์ข่าวความเคลื่อนไหวของรถค่ายนี้ให้สื่อสายรถได้รับทราบข้อมูล เพื่อสะท้อนถึงความพร้อมในการทำตลาดในไทยอีกด้วย

   ผมเองก็ได้ไปส่องรถในไลน์อัพของ Changan ผ่านเว็บไซด์ของพวกเขา ก็เห็นว่ามีรถที่น่าสนใจหลายรุ่นเหมือนกัน ความน่าสนใจคือ ทางค่ายมีการนำเข้ารถรุ่นหนึ่งเข้ามาทดสอบในไทยแล้วและมีคนสามารถจับภาพได้เมื่อช่วงปีก่อน ๆ รถที่ว่านี้ก็คือ Changan UNI-T รถอเนกประสงค์ที่มีดีไซน์สวยโฉบเฉี่ยวไม่น้อย

  รถจะมีมิติตัวถังยาว 4,515 มิลลิเมตร กว้าง 1,870 มิลลิเมตร สูง 1,565 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,710 มิลลิเมตร ไซส์รถก็จะประมาณ Compact SUV อย่าง Haval H6 หรือ Honda CR-V แต่ก็จะมีความเตี้ยและหลังคาลาดเทสไตล์สปอร์ต 

   เช่นเดียวกับภายในที่ดูมีความล้ำและทันสมัย ซึ่งมากับหน้าปัดดิจิตอลขนาดใหญ่ 10.3 หรือ 12.3 นิ้ว แล้วแต่รุ่นย่อย หน้าจอนี้จะเป็นชุดเดียวกับจอกลางที่มีขนาด 10.3 หรือ 12.3 นิ้ว แล้วแต่รุ่นย่อยเช่นเดียวกัน

    ส่วนความปลอดภัยที่มีให้นั้นก็ต้องบอกเลยว่า มาเต็ม ซึ่งในภาพรวมของรถ ก็จะประกอบด้วย
- ระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ APA5.0 Smart Parking System
- ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะแบบแปรผัน Intelligent Adaptive Cruise Control
- ระบบช่วยตรวจจับและอ่านป้ายจราจร Traffic Sign Recognition 
- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาด้านข้าง
- ระบบช่วยป้องกันการชนที่มุมอับสายตาด้านข้าง Blind Spot Detection
-ระบบช่วยเตือนขณะเปลี่ยนเลน Lane Change Assist
- ระบบช่วยเตือนการชนขณะถอยจอด Cross Traffic Warning 
- ระบบช่วยแจ้งเตือนรถขณะเปิดประตูรถ Safe Exit Warning
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Warning
- ระบบช่วยเตือนการชนด้านหน้า Front Collision Warning
- ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ Automatic Emergency Braking
- กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวว่าค่ายนี้จะพร้อมทำตลาดในไทยแบบจริงจังเมื่อไหร่ ตอนนี้อาจจะอยู่ในขั้นสำรวจตลาด รวบรวมคนในการสร้างแบรนด์ในไทย เอาเป็นว่าต้องรอดูกันต่อไป น่าติดตามไม่น้อยเลย

Ferrari
รถใหม่ในไทย : 296 GTB / 812 Competizione & 812 Competizione A
  ค่ายม้าลำพองที่หลายคนอาจไม่ได้สนใจมากนัก อาจมองว่าไม่มีเงินเลยไม่สนใจตามข่าว แต่ยังไงก็จะอัปเดตข่าวให้คนที่ชอบรถได้ติดตามกันอยู่ดีครับ    ในปีนี้ คิดว่าทาง Cavalino Motors ซึ่งเป็นผู้แทนจำหน่าย Ferrari รายเดียวในไทย น่าจะมีการเปิดตัว Ferrari 296 GTB รถ Supercar 6 สูบไฮบริดเสียบปลั๊กพลังแรงคันใหม่จากค่ายม้าลำพอง ที่เปิดตัวในต่างประเทศกลางปีที่แล้ว
   รุ่นนี้น่าสนใจเพราะเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษที่ Ferrari กลับมาทำเครื่อง V6 ใน Supercar ของพวกเขานับตั้งแต่ Ferrari 246 GT ในช่วงยุค 70s แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือรถคันนี้ยังมาพร้อมขุมพลังแบบ Plug-In Hybrid อีกด้วย

  รถมาพร้อมกับขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 2.9 ลิตร V6 เทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 663 แรงม้า ผสานกำลังกับมอเตอร์ไฟฟ้า 167 แรงม้า รวมพละกำลังทั้งระบบที่ 830 แรงม้าที่ 8,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 740 นิวตันเมตรที่ 6,250 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด F1 DCT ถือว่าแรงยิ่งกว่า F8 Tributo หรือ McLaren Artura เสียอีกครับ

   เครื่องยนต์นี้สามารถทำอัตราเร่งได้จาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาแค่ 2.9 วินาที / 0-200 กม./ชม. ในเวลา 7.3 วินาที ท็อปสปีดทำได้มากกว่า 330 กม./ชม. ระยะเบรกจากความเร็ว 200-0 กม./ชม. อยู่ที่ 107 เมตร เอาเป็นว่าแฟน ๆ ม้าลำพองต้องติตตามชมกันต่อไปครับ เห็นในเว็บขึ้นข้อมูลให้แล้ว รอดูกันดีกว่าว่ารถจะมาถึงไทยตอนไหน

   และอีกรุ่นที่น่าจะมาเช่นกันก็คือ Ferrari 812 Competizione & Competizione A ตัวแรงสุดพิเศษลำใหม่จากม้าลำพอง ที่สร้างบนพื้นฐานของ 812 Superfast และอัปเกรดทั้งภายนอกและภายในให้ดุขึ้น  มี 2 รูปแบบตัวถังก็คือ คูเป้ (812 Competizione) และเปิดประทุน (812 Competizione A)

    มาพร้อมกับขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 6.5 ลิตร V12 ที่ไร้ระบบอัดอากาศ มาพร้อมพละกำลังสูงสุด 830 แรงม้าที่ 9,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 692 นิวตันเมตรที่ 7,000 รอบ/นาที (เทียบกับ 812 Superfast แล้ว ตัวพิเศษนี้แรงขึ้น 30 แรงม้า แต่แรงบิดลดลง 25 นิวตันเมตร)  ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติคลัตซ์คู่ 7 สปีด ที่ปรับลดความเร็วในการเปลี่ยนเกียร์ลง 5% เมื่อเทียบกับ 812 Superfast  อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 2.85 วินาที ความเร็วสูงสุดทำได้มากกว่า 340 กม./ชม.

   ตัวเครื่องยนต์ยังมีการปรับปรุงองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น ก้านสูบไทเทเนียมที่เบาขึ้น 40%, เคลือบคาร์บอนแบบใหม่ที่เพลาลูกเบี้ยว, ปรับปรุงเพลาข้อเหวี่ยงให้เบาขึ้นและปรับสมดุลใหม่ เป็นต้น อีกทั้งยังมีการออกแบบท่อไอเสียและดิฟฟิวเซอร์ใหม่ ส่งผลให้มีแรงกดเพิ่มขึ้น และอีกหลายๆอย่างที่ส่งผลให้รถคันนี้ทั้งแรงและดิบเถื่อนกว่า 812 Superfast เอามากๆ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ส่งผลให้รถสามารถลดน้ำหนักได้จาก 812 Superfast ได้ราวๆ 38 กก. 

   มารอดูกันว่าเมื่อมาถึงไทย ทั้ง 2 รุ่นนี้จะมีราคาค่าตัวเท่าไหร่

รถใหม่ในตลาดโลก (และน่าจะมาไทยด้วย) : 296 GTB Spider / Purosangue
ภาพจาก Carscoops

   แน่นอน หลังจากปีที่แล้วเปิดตัว Ferrari 296 GTB ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นหลังคาแข็งไปแล้ว แต่ Ferrari ก็ยังมีแผนเปิดตัวเวอร์ชั่นเปิดหลังคาด้วยเช่นกัน จากรถทดสอบที่เห็นรอยต่อหลังคาของรถ เห็นชัดว่ารุ่นนี้จะมาพร้อมกับหลังคาแข็งพร้อมกลไกพับเก็บได้ด้วยระบบไฟฟ้าเหมือนอย่าง Ferrari เปิดหลังคารุ่นอื่น ๆ ส่วนขุมพลังแน่นอนว่าจะไม่ต่างจากรุ่นหลังคาธรรมดา แต่อาจจะมีอัตราเร่งที่ช้าลงเล็กน้อยจากกลไลการทำงานของหลังคา คาดว่าช่วงต้นปีถึงกลางปีนี้น่าจะมีการเปิดตัว

   แต่ไฮไลต์ที่น่าจับตาที่สุดคงจะหนีไม่พ้น Ferrari SUV ที่อาจจะมาพร้อมกับชื่อ "Ferrari Purosangue" จัดว่าเป็นก้าวกระโดดสำคัญที่ค่ายม้าลำโพงก้าวเข้ามาสู่ตลาดรถ SUV ที่ยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่อง

   จากภาพรถทดสอบล่าสุดที่เห็นนี้จะเห็นว่า อันนี้น่าจะเป็นตัวถังของเวอร์ชั่นใกล้ผลิตจริงแล้ว หลังจากที่ครั้งก่อน ๆ ยังคงนำตัวถังของ Ferrari รุ่นอื่น ๆ รวมทั้ง Maserati Levante มาสวมกระดองทับงานวิศวกรรมของ Ferrari ซึ่งจากภาพชุดนี้เราจะเห็นว่า SUV คันนี้จะยังคงเอกลักษณ์สไตล์ Ferrari ไว้อยู่ ด้วยด้านหน้าที่ยื่นยาว พร้อมแนวหลังคาสไตล์รถคูเป้ และระยะห่างจากพื้นที่ยังดูต่ำเมื่อเทียบกับ SUV ในท้องตลอดหลายรุ่น ซึ่งดูทรงแล้วว่ารถน่าจะไม่เน้นประสิทธิภาพออฟโรดมากนัก จะเน้นการตกแต่งตามสไตล์ SUV Crossover ธรรมดามากกว่า

ภาพจาก Carscoops

   Ferrari ไม่ได้เรียก Purosangue ว่า SUV แต่เรียกว่าเป็น "FUV – Ferrari Utility Vehicle" ซึ่งคาดว่าอาจสร้างบนแพลตฟอร์มอะลูมิเนียมเช่นเดียวกับ Ferrari Roma แต่มีการขยายให้รับกับการสร้างรถรุ่นนี้ จะมาพร้อมที่นั่งภายในห้องโดยสารจุสูงสุดได้ 4 คนและพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่

  ขุมพลังคาดว่าอาจจะมีการติดตั้งขุมพลัง V8 ในรุ่นพื้นฐาน ที่มีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเป็นตัวช่วย และรุ่นท็อปสุดที่อาจจะได้เครื่อง V12 สุดท้ายมาลุ้นกันว่ารถคันนี้จะเปิดตัวในช่วงไหนของปีนี้ แต่ขอคาดเดาแล้วกันว่ากลางปีนี้อาจจะได้เห็นรูปโฉมกัน
  
Ford
รถใหม่ในไทย : All-New Ranger / All-New Everest
  ค่ายวงรีฟ้าที่ ณ ตอนนี้มีโมเดลหลัก ๆ ขายอยู่ 2 คันก็คือ Ranger และ Everest ในที่สุดปีนี้ พวกเขาน่าจะได้กระตุ้นตลาดครั้งใหญ่เสียที เพราะล่าสุด Ford ก็เพิ่งเผยโฉม All-New Ford Ranger เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา

   แม้จะดูเหมือนว่ารถจะยังนำพื้นฐานของ T6 มาปรับและต่อยอด แต่ Ford ก็ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ส่งผลให้รถมีระยะความกว้างเพิ่มขึ้นอีก 50 มิลลิเมตร และมีฐานล้อยาวขึ้น 50 มิลลิเมตร และมีการขยับช่วงล้อหน้าขึ้นไปด้านหน้าเพิ่มขึ้น 50 มิลลิเมตร เพื่อเพิ่มมุมเงยในการไต่ ปรับจูนช่วงล่างให้รับการขับขี่ออฟโรดได้ดีมากขึ้น ทั้งนี้ยังไม่มีตัวเลขมิติตัวถังที่ชัดเจน

   Ford Ranger ใหม่จะมาพร้อมกับอัปเกรดออปชั่นและเทคโนโลยีหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็น
- แผงหน้าปัดแสดงผลแบบดิจิตอล (ครั้งแรกในวงการกระบะไทย)
- หน้าจอสัมผัสใหม่ที่มีขนาดใหญถึง 10.1 - 12 นิ้ว (ใหญ่สุดในกระบะที่มีขายในตลาดไทย) รองรับระบบอินโฟเทนเมนต์ SYNC4 เวอร์ชั่นล่าสุดที่รองรับการอัปเดตหน้าจอแบบ Over-the-air รวมทั้งรองรับการแสดงผลกล้องรอบคัน 360 องศา รองรับการควบคุมโหมดการขับขี่ต่าง ๆ ได้
- จอรองรับการเชื่อมต่อแอพฯ FordPass ที่สามารถการสตาร์ทรถจากระยะไกล ตรวจเช็คข้อมูลสภาพรถเบื้องต้น และสามารถล็อคและปลดล็อคจากระยะไกลได้ผ่านสมาร์ทโฟน
- น่าจะเป็นกระบะค่ายแรกในไทยที่ติดตั้งเบรกมือไฟฟ้ามาให้ (ทั้งนี้ทั้งนั้นน่าจะอยู่แค่รุ่นบน ๆ รุ่นล่างจะได้เบรกมือดึงอยู่)
- มือเปิดประตูภายในแบบใหม่ที่ซ่อนกลไกการเปิดตัวไว้ที่บริเวณที่วางแขน ไม่ใช่งัดดึงแบบรุ่นก่อนแล้ว

  ขุมพลังเครื่องยนต์นั้น เวอร์ชั่นไทยมีการยืนยันชัดเจนว่าจะทำตลาดด้วย 2 เครื่องยนต์ นั่นคือ 
- เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรเทอร์โบ มีพละกำลัง 2 ระดับ ได้แก่ 180 แรงม้าที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที 
- และเทอร์โบคู่ พละกำลัง 213 แรงม้าที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750-2000 รอบ/นาที ทุกรุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด
  ใครที่รอเครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร V6 คาดว่าน่าจะไม่มาทำตลาดในไทยแต่อย่างใด

  คาดว่าการเปิดตัว Ford Ranger โฉมใหม่ในไทยจะมีขึ้นช่วงต้นปีนี้ ราว ๆ เดือนมีนาคม-เมษายน ช่วงงาน Motor Show นั่นเอง

ภาพจาก Motor1

  นอกจากนั้นแล้ว เรายังต้องรอการเปิดตัวของ Ranger รุ่นท็อปสุดกระดานอย่าง Ranger Raptor โฉมใหม่ ซึ่งน่าจะมีการอัปเกรดการตกแต่งให้โหด ดิบเหมือนรุ่นปัจจุบัน ไม่ว่าจะซุ้มล้อขนาดใหญ่ที่รับกับยางออฟโรด การตกแต่งภายนอกที่เน้นลุยโดยเฉพาะ เช่นเดียวกับภายในที่น่าจะอัปเกรดให้ดุขึ้นเช่นกัน การเปิดตัวครั้งแรกในโลกจะมีขึ้นช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้

   คันต่อมาที่จ่อรอคิวเปิดตัวอยู่เหมือนกันก็คือ All-New Ford Everest ที่ดูจากภาพรถทดสอบแล้วนั้น เห็นชัดว่างานออกแบบด้านหน้ายังอิงจาก Ford Ranger เหมือนเคย แต่มีความแตกต่างในส่วนของกันชนและทรวดทรงตัวถัง เส้นสายตัวถังก็ยังคงมีความคล้ายรุ่นปัจจุบัน แต่มีการเสริมเส้นโครเมียมเพิ่มเติมไปถึงกระจกถัดจากประตูหลัง ส่วนภายในก็น่าจะไม่ต่างจาก Ranger มากนัก

   บ้านเราเชื่อว่าน่าจะมากับ 2 ขุมพลังเหมือน Ranger นั่นคือเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรเทอร์โบเดี่ยวและคู่ การเปิดตัวน่าจะมีขึ้นในช่วงต้นปีนี้

Great Wall Motors (Haval / ORA / Tank)
รถใหม่ในไทย : Haval H6 PHEV / ORA Good Cat GT / Tank 500 HEV / Poer Pickup
   ค่ายจีนน้องใหม่ในไทยที่เพิ่งบุกตลาดได้ปีเดียว ก็มีรถใหม่เปิดตัวพร้อมวางขายแล้วถึง 3 รุ่นด้วยกัน และปีนี้พวกเขาก็ยังมีแผนเปิดตัวจะยังคงตามมาอีกเรื่อย ๆ ในปีนี้และปีต่อ ๆ ไป 

  คันแรกที่จะมาแน่นอนก็คือ Haval H6 PHEV ซึ่งมีการนำรถมาโชว์ตัวแล้วภายในงาน Motor Expo 2021 ที่ผ่านมา     ความโดดเด่นของ Haval H6 PHEV นั้นก็คือ การออกแบบดีไซน์ด้านหน้าให้แตกต่างจาก H6 รุ่นมาตรฐาน สำหรับผมถือว่าสวยดูดีไม่น้อย แต่ทว่างานออกแบบด้านหน้านั้นก็ชวนให้นึกถึงรถฝรั่งเศสอย่าง Peugeot 3008 ไม่น้อย ไม่ว่าจะ "บังเอิญ" หรือ "จงใจ" เหมือน ขอบอกไว้ก่อนว่าหน้าตาแบบนี้ Peugeot เขาทำออกมาก่อนครับ

    ความน่าสนใจของรุ่นนี้คงเป็นขุมพลังแบบ Plug-In Hybrid เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตรเทอร์โบ ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า และเพลาขับเคลื่อนอิเล็กทรอนิค Multi-Mode DHT ที่ให้กำลังรวมสูงสุด 326 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดทั้งระบบ 530 นิวตันเมตร มีโหมดการขับขี่ให้เลือกสูงสุดถึง 8 โหมด 
 
    และที่น่าสนใจสุด ๆ ก็โหมดไฟฟ้าล้วน 100 % ที่ทางค่ายเคลมว่าวิ่งได้ระยะทางสูงสุดถึง 201 กม. ตามมาตรฐาน NEDC ซึ่งตัวเลขใช้งานจริงคงไม่มากเท่านี้ และอีกอย่างคือมาตรฐาน WLTP อาจจะใกล้เคียงความจริงกว่า แต่ก็ต้องยอมรับว่าตัวเลขขนาดนี้ค่อนข้างโหดเอาเรื่องและมากกว่า PHEV หลายรุ่นในตลาดบ้านเราเลย เพราะหลายค่ายวิ่งไฟฟ้าล้วนไม่ถึง 100 กม. ด้วยซ้ำ

  คาดว่า Haval H6 PHEV น่าจะมีการเปิดตัว เปิดราคาอย่างเป็นทางการช่วงต้นปีนี้ และก่อนเปิดตัวก็น่าจะมีไล่สเต็ปเปิดจองสิทธิ์ เปิดตัว เปิดราคาเหมือนเคย

   คันต่อมาที่มีแววเปิดตัวต่อจากนี้เช่นกันก็คือ ORA Good Cat GT ที่ตอนนี้มีรถทดสอบออกมาวิ่งในไทยแล้ว ซึ่งตัว GT ก็คือการเอาน้องแมวไฟฟ้ามาตกแต่งภายนอกด้วยชุดแต่งรอบคันให้ดูเท่และสปอร์ตมากขึ้น ส่วนภายในจะเน้นการตกแต่งสีทูโทนแดง-ดำ มาพร้อมกับเสริมโลโก้บริเวณหมอนรองศีรษะ เสริมความเท่ด้วยสายเข็มขัดนิรภัยสีแดงด้วย

   ทางด้านขุมพลังจะมากับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบซิงโครนัสแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnet Synchronous Motor) พละกำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 171 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 6.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม. 

    ติดตั้งติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียม Ternary ความจุแบตเตอรี่ 59.1 kWh ระยะทางวิ่งสูงสุดตามมาตรฐาน NEDC 480 กม. การชาร์จเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC 30-80% ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ส่วนการชาร์จด้วยไฟบ้านแบบ AC ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง

    ราคาของ ORA Good Cat GT ในจีนจะอยู่ที่ 135,000 หยวน หรือประมาณ 706,000 บาทไทย ซึ่งราคาก็จะมีความใกล้เคียง Good Cat 500 Km. ในจีน (ราคา 133,900-143,900 หยวน หรือประมาณ 7-7.52 แสนบาท) คาดว่าถ้ารุ่นนี้ทำตลาดในไทยก็น่าจะมีราคาใกล้เคียง Good Cat 500 Ultra สุดท้ายก็ต้องรอชมเมื่อรถเปิดตัวในไทยครับ ช่วงต้นปีถึงกลางปีน่าจะมีการเปิดตัว

   อีกคันที่น่าจะเปิดตัวตามมาเช่นกันก็คือ  TANK 500 HEV รถอเนกประสงค์รุ่นใหญ่สุดหรูกับขุมพลัง Hybrid ที่นำมาโชว์ตัวเรียกน้ำจิ้มภายในงานเป็นครั้งแรกในโลกที่ไทยเมื่องาน Motor Expo 2021 ที่ผ่านมา โดย TANK ถือว่าเป็นแบรนด์ใหม่ที่เพิ่งแยกอิสระมาจาก WEY ซึ่งเป็นแบรนด์รถ SUV ระดับหรูในเครือ GWM เช่นกัน TANK จะทำหน้าที่เป็นแบรนด์ SUV ที่เน้นภาพลักษณ์ความแกร่ง บึกบึนและดูลุยมากกว่า WEY นั่นเอง

  TANK 500 HEV ถือว่าเป็นรถ SUV ขนาดใหญ่ที่ผสมผสานความแข็งแกร่ง บึกบึน และหรูหราในคันเดียวกัน ที่ทาง GWM ชูว่าเป็นคู่แข่ง Toyota Land Cruiser Prado จากเมืองจีน โดยมากับมิติตัวถังยาว 5,070 มิลลิเมตร กว้าง 1,934 มิลลิเมตร สูง 1,905 มิลลิเตร ฐานล้อยาว 2,850 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้น 224 มิลลิเมตร รองรับการลุยน้ำสูงสุด 800 มิลลิเมตร

   ภายในยังโดดเด่นด้วยหน้าปัดดิจิตอลขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว และหน้าจอกลางแบบสัมผัสขนาด 14.6 นิ้ว อีกทั้งยังมีหน้าจอควบคุมด้านหลังด้วย รถยังสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะที่สามารถรับรู้ฟังก์ชันต่างๆ ตามการนำทางได้ เช่น การขึ้นลงทางลาด การเปลี่ยนเลน การเปลี่ยนเลนเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวาง และระบบช่วยบังคับเลี้ยวฉุกเฉินทั้งบนถนนทางหลวงและทางด่วนในเมือง อีกทั้งยังมีโหมดกาาขับขี่ที่สามารถเปลี่ยนด้วยคำสั่งเสียงได้

   ด้านขุมพลังจะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบ + มอเตอร์ไฟฟ้า ให้พละกำลังรวมทั้งระบบ 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 HAT สุดท้ายต้องมารอดูว่าเจ้า TANK คันนี้จะเปิดตัวในไทยตอนไหน แต่คาดว่าช่วงกลางปีถึงครึ่งปีหลังน่าจะได้เห็นกัน

   และอีกรุ่นที่ไม่คาดคิดว่าจะมา แต่ก็มีข่าวว่าจะมาเช่นกัน นั่นคือ กระบะ Poer ที่เคยนำมาโชว์ตัวภายในงาน Motor Show 2021 ปีที่แล้ว ซึ่งถือว่าน่าสนใจมาก ๆ เพราะอย่างที่รู้กันว่าตลาดกระบะบ้านเรานั้นโคตรหิน! ถ้าไม่มีอะไรโดดเด่นจริงก็จะเกิดยาก คู่แข่งสายแข็งเยอะ แปลว่า GWM ต้องมั่นใจจริงว่าเขามีจุดเด่นมากพอที่จะขายได้

  จุดเด่นสำคัญของกระบะ Poer คงจะเป็นที่ "ขนาดตัวรถ" โดยมีมิติตัวถังยาว 5,410 มิลลิเมตร กว้าง 1,934 มิลลิเมตร สูง 1,886 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 3,240 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้นรถ 194 มิลลิเมตร ทำให้เป็นกระบะที่ใหญ่กว่ากระบะที่จำหน่ายในบ้านเราแทบทุกมิติเลยก็ว่าได้

   ทว่าขุมพลังของรถนั้น มีข่าวว่าจะไม่ได้ใช้ขุมพลัง Hybrid หรือ ไฟฟ้าล้วนแบบรถรุ่นอื่น ๆ ในบริษัทตอนนี้ ซึ่งก็ดูจะสวนทางกับแนวทางของบริษัทที่จะเน้นรถกลุ่ม HEV, PHEV และ PHEV เป็นหลัก โดยขุมพลังที่คาดว่าจะติดตั้งให้กระบะคันนี้น่าจะเป็น เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรเทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 163 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีด ทุกรุ่นติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Torque On Demand พร้อมเฟืองท้ายด้านหลัง Diff-Lock ทางด้านระบบเบรกยังได้ดิสก์เบรก 4 ล้อ รวมทั้งมีเบรกมือไฟฟ้าและ Auto Brake Hold อีกด้วย

  ท้ายสุดแล้ว น่าติดตามไม่น้อยว่ากระบะ Poer คันนี้จะมาไทยตามที่ลือ ๆ กันหรือไม่ และจะมาเมื่อไหร่ ต้องติดตามชม

Honda
รถใหม่ในไทย : Civic e:HEV / All-New BR-V / All-New CR-V
  ค่าย Honda ปีที่ผ่านมา มีรถโมเดลสดใหม่ถึง 2 คันเปิดตัวในไทย นั่นคือ Honda Civic และ HR-V ซึ่งทั้งสองถือว่าสร้างกระแสความสนใจให้กับค่ายนี้เยอะทีเดียว และดูเหมือนจะได้เสียงตอบรับจากลูกค้าที่ดีด้วย นอกนั้นก็จะเป็นแค่การปรับอุปกรณ์หรือเพิ่มรุ่นย่อยใหม่เท่านั้น

   สำหรับในปีนี้เอง ก็มีหลายรุ่นที่น่าจับตา ในส่วนของ Honda Civic ถ้าใครรอโฉม Hatchback นั้น ต้องบอกเลยว่า "ขอแสดงความเสียใจด้วย" เพราะน่าจะไม่มาทำตลาดในไทยแล้ว เนื่องจากรุ่นเก่าไม่ประสบความสำเร็จด้านยอดขายมากนัก ยอดขายน้อยกว่าตัวซีดานเป็นทุ่ง รวมทั้งไม่คุ้มค่าในการตั้งไลน์ผลิตส่งออกในต่างประเทศต่อ จึงทำให้ Civic Hatchback ใหม่ไม่มาทำตลาดอีกต่อไปแล้ว ฉะนั้นใครอยากช้อนรุ่นเก่าก็ช้อนได้ตามสบาย


  ทว่าในปีนี้ Honda Civic โฉมใหม่จะมีการเพิ่มขุมพลัง Hybrid e:HEV เข้ามาเป็นทางเลือกเพิ่มเติม โดยรายงานล่าสุดนั้นมีข่าวว่า Civic e:HEV อาจจะใช้ขุมพลังเบนซิน 2.0 ลิตร Hybrid บล็อกเดียวกับ Accord โดยเป็นเครื่องเบนซิน 2.0 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC พละกำลังสูงสุดที่ 145 แรงม้าที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 175 นิวตัน-เมตรที่ 3,500 รอบ/นาที ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าพละกำลัง 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 315 นิวตัน-เมตร รวมพละกำลังทั้งระบบที่ 215 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT แต่เพื่อไม่ให้เกินหน้าเกินตา Accord ก็อาจจะมีการตอนพละกำลังลงมา 
 
   นอกจากนี้ต้องมาลุ้นว่า Civic e:HEV คันนี้จะมีการเพิ่มออปชั่นอะไรให้แตกต่างจากขุมพลังเทอร์โบบ้าง โดยสิ่งที่มีแววจะมาแน่ก็คือ ล้อ 18 นิ้ว และ แอร์หลังก็น่าจะตามมาด้วย (e:HEV รุ่นอื่นในไลน์อัพมีหมด City e:HEV ยังมี รุ่นนี้ถ้าไม่มีมาสิจะแปลก) คาดว่าช่วงต้นปีนี้น่าจะได้เห็นการเปิดตัวครับ

   ส่วนอีกหนึ่งคันที่น่าจับตาไม่น้อยก็คือ All-New Honda BR-V รถอเนกประสงค์ MPV สไตล์ Crossover แต่การมาครั้งนี้จะไม่ใช่รถที่ผลิตจากไทยอีกต่อไปแล้ว เพราะเห็นว่าทาง Honda บ้านเราจะยุติสายการผลิตทั้ง Mobilio และ BR-V จึงทำให้ BR-V โฉมใหม่จะเข้ามาไทยโดยนำเข้าจากอินโดนีเซียนั่นเอง

   ความน่าสนใจก็คือ Honda BR-V โฉมใหม่จะเป็นอีกรุ่นที่ให้ความปลอดภัย Honda Sensing อีกด้วย ซึ่งคงมาแต่รุ่นท็อปตามระเบียบ อันประกอบด้วย
 * ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ Lead Car Departure Notification System (LCDN)
 * ระบบเตือนการชนด้านหน้าและตรวจจับคนเดินถนนด้วยกล้องและเรดาร์พร้อมระบบช่วยเบรก Collision Mitigation Brake System (CMBS)
 * ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Lane Keeping Assist System (LKAS)
 * ระบบแจ้งเตือนและช่วยเหลือเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ Road Departure Mitigation (RDM)
 * ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control (ACC) 
 * ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Auto-High Beam

   ส่วนขุมพลังจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร DOHC i-VTEC พละกำลังสูงสุด 121 แรงม้าที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 145 นิวตันเมตรที่ 4,300 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT คาดว่า All-New Honda BR-V น่าจะเปิดตัวในไทยช่วงต้นปีนี้ครับ

  และปิดท้ายที่อีกรุ่นที่ได้เวลาเปลี่ยนโฉมแล้ว เพราะโดนคู่แข่งจีนแย่งส่วนแบ่งไปเยอะทีเดียว All-New Honda CR-V ที่กำลังจะเปิดตัวเจเนเรชั่นที่ 6 ในอนาคตอันใกล้นี้ และกำลังวิ่งทดสอบอยู่ในต่างประเทศ

   จากภาพรถทดสอบ จะเห็นว่ารถจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นปัจจุบัน และจะมีแนวทางการออกแบบตามสไตล์ Honda ยุคใหม่ จะเห็นว่ามีช่วงด้านหน้าที่ยาวขึ้น  เส้นไหล่ด้านข้างตัวรถที่เด่นชัดกว่าเดิม รวมทั้งกระจกบังลมด้านหลังที่ลาดเทลงกว่าเดิมด้วย  ด้านหน้าจะมาพร้อมไฟหน้าแบบ LED ที่เพรียวบางลงกว่าเดิม พร้อมแถบโครเมียมที่ลากเชื่อมไฟหน้า รวมทั้งมีกระจังหน้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่นเดียวกับไฟท้ายใหม่ที่วางตำแหน่งแนวนอน

ภาพจาก Carscoops
   ภายในห้องโดยสารยังไม่มีภาพที่ชัดเจน แต่คาดว่าน่าจะมากับหน้าจอระบบอินโฟเทนเมนต์ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม อาจจะได้หน้าปัดจอสีขนาดใหญ่เหมือนใน Civic และด้วยตัวรถที่ใหญ่ขึ้นนั้น ก็คาดหวังว่ารุ่น 5 และ 7 ที่นั่งก็น่าจะนั่งสบายขึ้นกว่าเดิม

   ขุมพลังก็ยังไม่มีข้อมูลออกมา แต่เป็นไปได้ว่ารถอาจจะมีขุมพลังทางเลือกใหม่ Hybrid (e:HEV) มาเป็นทางเลือกเพิ่มเติม ยิ่งเฉพาะในตลาดยุโรปที่มีกฎระเบียบการปล่อยมลพิษที่เข้มงวด คาดว่า All-New Honda CR-V จะเปิดตัวภายในปี 2022 ครับ ส่วนไทยก็ต้องมาดูว่าจะมีการเปิดตัวทันภายในปีนี้หรือไม่

Hyundai
รถใหม่ที่คาดว่าจะมาไทย : Creta / Stargazer (MPV 7 ที่นั่ง) 
   ค่ายเกาหลีรายนี้ที่เห็นขาย H-1 อยู่ตั้งนาน ปีที่ผ่านมาได้ฤกษ์เปิดตัวรถตู้คันใหม่ Staria แต่ก็ยังมี H-1 ขายอยู่ในราคาถูกด้วยเช่นกัน ปีนี้ก็ดูมีแววเหมือนกันว่า Hyundai อาจจะเพิ่มรถกลุ่มใหม่ที่ไม่ใช่เพียงรถตู้แล้ว


  คันที่น่าจับตาคันแรกก็คือ Hyundai Creta อเนกประสงค์รุ่นเล็กที่มากับหน้าตาสุดล้ำที่เพิ่งเปิดตัวที่อินโดนีเซียหมาด ๆ ภายในงาน Gaikindo Indonesia International Auto Show 2021 ปลายปีที่้ผ่านมา โดยตลาดอินโดนีเซียมีการผลิตรุ่นนี้จำหน่ายในประเทศที่โรงงานใหม่ Cikarang อีกด้วย และปลายปีที่ผ่านมาก็มีคนสามารถจับภาพรุ่นนี้วิ่งทดสอบบนท้องถนนเมืองไทย ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า เมืองไทยอาจได้ Creta คันนี้เข้ามาจำหน่ายโดยการนำเข้าจากอินโดนีเซียก็เป็นได้

  รุ่นนี้ถือเป็นการปรับโฉมครั้งแรกของเจเนเรชั่นที่ 2 ที่เปิดตัวช่วงปี 2019 ซึ่งได้รับการออกแบบภายนอกให้ทันสมัยขึ้นในส่วนด้านหน้าดีไซน์ใหม่เหมือนกับ Tucson เจเนเรชั่นล่าสุด โดยรวมก็ดูล้ำสมัยไม่น้อยไม่ว่าจะด้านหน้า หรือด้านท้ายที่มีไฟท้ายแปลกตา

   
มิติตัวถังของรถจะยาว 4,315 มิลลิเมตร กว้าง 1,790 มิลลิเมตร สูง 1,630 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,610 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้น 200 มิลลิเมตร จากขนาดแล้ว เห็นชัดว่ารถวางตัวเป็นคู่แข่ง Honda HR-V, Toyota Corolla Cross, Nissan Kicks, MG ZS, Mazda CX-3 & CX-30, Toyota C-HR และ Peugeot 2008 นั่นเอง

   ขุมพลังทุกรุ่นจะทำการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน Smartstream ความจุ 1.5 ลิตร 4 สูบแถวเรียง พละกำลังสูงสุด 115 แรงม้าที่ 6,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 144 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด หรืออัตโนมัติ IVT (ถ้ามาไทยก็คงได้เกียร์อัตโนมัติ)

  ล่าสุดมีข่าวจากสื่อหลายสำนักบอกแล้วว่า Hyundai Creta น่าจะทำการเปิดตัวในไทยเดือนมีนาคมนี้ ยังไงก็รอติดตามสเปคและราคากัน

  และอีกคันที่น่าจับตาไม่แพ้กัน และกำลังอยู่ในระหว่างการทดสอบ นั่นคือรถ MPV 7 ที่นั่งคันใหม่ของค่ายที่จะมาในชื่อ Hyundai Stargazer ซึ่งมีแผนที่จะเปิดตัวรถ MPV 7 ที่นั่งโฉมใหม่คันนี้ที่ประเทศอินโดนีเซียและเตรียมจำหน่ายภายในช่วงต้นปีนี้ ซึ่งคู่แข่งที่จะมาท้าชนก็คงหนีไม่พ้น Toyota Avanza, Mitsubishi Xpander, Suzuki Ertiga หรือ Honda Mobilio โดย ณ ปัจจุบันรถยังคงวิ่งทดสอบอยู่ที่อินโดนีเซียและเกาหลีใต้

ภาพจาก https://newcarscoops.com/t/2022-hyundai-stargazer-mpv/192/6
   แต่ก็เป็นเป็นอีกหนึ่งคันที่น่าจับตามองมาก เพราะมีโอกาสสูงที่จะเข้ามาจำหน่ายในไทย เพราะเห็นว่าทาง Hyundai ได้จดสิทธิบัตรชื่อ "Stargazer" ไว้ในหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ ลาว กัมพูชา และเวียดนาม

ภาพจาก ฺBobaedream
จากภาพรถทดสอบจะเห็นว่างานดีไซน์ด้านหน้าค่อนข้างมีกลิ่นอายจาก "หม้อทอดไร้น้ำมันติดล้อ" Hyundai Staria อยู่บ้าง อีกทั้งยังชวนนึกถึง Mitsubishi Xpander ที่มากับไฟ DRL ทรงเรียวยาวด้านบน พร้อมไฟหน้าที่้วางตำแหน่งด้านล่าง เส้นสายตัวถังค่อนข้างมีความโค้งมน ขัดกับซุ้มล้อที่มาแนวเหลี่ยม ๆ มน ๆ ต่อเนื่องไปถึงด้านท้ายที่ดูแบน ๆ เรียบ ๆ แต่ได้ไฟท้ายดีไซน์สะดุดตา ส่วนภายในห้องโดยสารยังไม่มาภาพออกมา .
ภาพจาก Autospy
มีรายงานว่ารถรุ่นนี้จะมีขุมพลังทางเลือกทั้งเบนซินและดีเซล ได้แก่ - เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร พละกำลังสูงสุด 113 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 145 นิวตันเมตร - เครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตรเทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 113 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ทั้งคู่มีระบบส่งกำลังให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ สุดท้ายมารอชมกันว่า Hyundai Stargazer จะเปิดตัวที่อินโดนีเซียเมื่อไหร่ และจะเข้ามาทำตลาดในไทยหรือไม่ ต้องรอชม

Isuzu
รถใหม่ในไทย : D-Max / MU-X MY2022-2023
  ค่ายนี้ ไม่ค่อยมีอะไรให้พูดถึงมาก เพราะมีโมเดลหลัก ๆ แค่ 2 คันก็คือ Isuzu D-Max และ MU-X (ถ้าไม่นับรถบรรทุก) คาดว่าปีนี้อย่างมากก็น่าจะได้เห็นการปรับอุปกรณ์กระตุ้นตลาด ไม่ก็ออกรุ่นตกแต่งพิเศษขาย

   สิ่งที่ยังคาดหวังให้ Isuzu D-Max ใส่มาให้ในเวอร์ชั่นไทยก็คือ ชุดความปลอดภัย ADAS แบบเดียวกับที่ติดตั้งใน MU-X ที่ประกอบไปด้วย
  • ระบบควบคุมความเร็วสูงสุดอัตโนมัติแบบแปรผันตามรถคันหน้าจนถึงจุดหยุดนิ่ง Full Speed Range Adaptive Cruise Control with Stop & Go 
  • ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning (FCW) 
  • ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ Autonomous Emergency Braking (AEB) 
  • ระบบแจ้งเตือนออกนอกเลน Lane Departure Warning (LDW) 
  • ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์เมื่อเผลอเหยียบคันเร่งผิดพลาด Pedal Misapplication Mitigation (PMM) 
  • ระบบตั้งค่าจำกัดความเร็วสูงสุดด้วยตัวเอง Manual Speed Limiter (MSL) 
  • ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ Automatic High Beam (AHB) 
  • ระบบเบรกอัตโนมัติหลังการเกิดอุบัติเหตุ Multi-Collision Brake (MCB)
แต่ก็นั่นแหละ ตอนนี้ยอดขายเขายังยืนหนึ่ง จะใส่มาให้เปลืองต้นทุนทำไม? แต่ก็น่าเสียดายที่สเปคนอกในหลาย ๆ ประเทศมีมาให้กันหมด ขณะประเทศที่ขาย D-Max ดีอันดับต้น ๆ ของโลกกลับไม่มีให้

  ในส่วนของ MU-X ที่ความปลอดภัยแน่นอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ยังไม่ครบแบบค่ายอื่น อย่างเช่น กล้องมองภาพรอบทิศทาง ที่อยากให้ทางค่ายใส่มาให้เสียที เพราะ PPV เกือบทุกเจ้ามีกันหมดแล้ว ส่วนปัญหาเรื่องแอร์รั่วก็หวังว่าจะได้รับการแก้ไขให้จบสิ้น

Jeep
รถใหม่ในไทย : คือลือน่ะ! ได้ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการใหม่ MGC-ASIA
 
  ค่าย SUV อเมริกันรายนี้ที่ปัจจุบันมีกลุ่มผู้นำเข้าอิสระนำเข้ามาขายบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แต่ล่าสุดนั้นมีข่าวร่ำลือว่ากลุ่ม MGC-ASIA (ที่มีธุรกิจในมือหลายธุรกิจ รวมทั้งได้สิทธิ์จำหน่ายรถหลากหลายแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น Aston Martin, Rolls-Royce, Maserati และ Peugeot เป็นต้น) คว้าสิทธิ์ในการเป็นผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของแบรนด์ Jeep ในประเทศไทย อ้างอิงจาก ประชาชาติธุรกิจ

  ซึ่งถ้าหากเป็นจริงดังที่ว่า เราน่าจะได้เห็นค่าย Jeep กลับมามีความคึกคักในไทยอีกครั้ง ซึ่งรถที่จะนำมาจำหน่ายก็คงหนีไม่พ้นรุ่นยอดนิยมอย่าง Wrangler, Gladiator, Cherokee, Grand Cherokee และ Renegade ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องติดตามความเคลื่อนไหวกันต่อไป

Kia
รถใหม่ในไทย : Carnival ประกอบมาเลเซีย?
 
      แม้ว่าในปีนี้เราอาจจะไม่ได้เห็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ จากค่าย Kia แต่ก็มีเรื่องที่น่าจับตาก็คือ ในอนาคตอันใกล้นั้น บ้านเราอาจมีโอกาสได้สัมผัส Kia Carnival ที่ประกอบในโรงงานมาเลเซีย ซึ่งก็น่าจะมีผลให้รถมีราคาถูกลงจากเดิมที่นำเข้าจากเกาหลี โดย Kia ประเทศมาเลเซียได้ออกมาแถลงข่าวในช่วงเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมาว่า Kia Carnival มีแผนจะประกอบที่โรงงานมาเลเซียช่วงเดือนเมษายนปีนี้ 

    นอกจากนี้โรงงาน Kia ที่มาเลเซีนยังมีแผนประกอบรถรุ่นอื่น ๆ อย่าง Sorento ภายในปีนี้ และ Sportage กับ Niro ในปีหน้าอีกด้วย ก็ต้องรอดูว่านอกเหนือจาก Carnival ที่ขายในไทยตอนนี้ จะมีโอกาสที่รุ่นอื่น ๆ เข้ามาทำตลาดเสริมหรือไม่

Land Rover
รถใหม่ในไทย : All-New Range Rover
       ค่าย SUV สายลุยอย่าง Land Rover เชื่อว่าปีนี้คงนำเอาไฮไลต์เด็ดสุดอย่าง All-New Range Rover เข้ามาแน่นอน  รถ SUV สุดหรูโฉมใหม่หมดจดจาก Land Rover คันนี้ ที่ดูทรวดทรงผ่าน ๆ แล้วต่างจากรุ่นเดิมมากนัก แต่รถได้สร้างบนแพลตฟอร์มใหม่ล่าสุด MLA Flex ที่ออกแบบให้รองรับกับขุมพลังสันดาปธรรมดา, Plug-In Hybrid และ ไฟฟ้าล้วนได้ด้วย  และแม้จะเป็น SUV สายหรู แต่ Range Rover โฉมใหม่สามารถรองรับการลุยทางออฟโรดได้เหมือน Land Rover รุ่นอื่น ๆ โดยมีความสามารถในการลุยน้ำสูงถึง 900 มม.

  ขุมพลังทางเลือกนั้นจะมีหลายแบบทั้งดีเซลและเบนซิน มีทั้งแบบ Mild Hybrid และ Plug-In Hybrid ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเป็นมาตรฐาน สามารถไปอ่านข้อมูลเต็ม ๆ ได้ที่ https://www.facebook.com/CarNewsUpdateFanpage/posts/4128277483962149 คาดว่ารถจะเข้ามาเปิดตัวในไทยช่วงต้นปีนี้ น่าจะช่วงงาน Motor Show 2022 ครับ

รถใหม่ในตลาดโลก (และน่าจะมาไทยด้วย) : Defender 130 / All-New Range Rover Sport
    Land Rover หลังจากที่เปิดตัว Defender 90 (3 ประตู) และ 110 (5 ประตู) และเพิ่งเปิดตัวรุ่นขุมพลัง V8 ไปไม่นาน ทางผู้ผลิตนั้นก็มีแผนที่จะเปิดตัวอีกตัวถังเพิ่ม นั่นคือ "Defender 130"  ที่ใหญ่ยาวขึ้นกว่า Defender 110 อีกระดับ

ภาพจาก Autoevolution

  Defender 130 ยังคงมากับ 5 ประตูเหมือนเคย มีฐานล้อเท่า 110 แต่มีการยืดขยายความยาวด้านหลังเพิ่มขึ้นราว ๆ 300 กว่ามิลลิเมตร ซึ่งน่าจะส่งผลต่อความสบายในการโดยสารเบาะแถวที่ 3 ที่มากขึ้น โดยขุมพลังก็น่าจะเหมือนตัว 90 และ 110 การเปิดตัวคงมีขึ้นช่วงต้นหรือกลางปีนี้

   แต่สำหรับไฮไลต์เด็ดที่น่าติดตาม คงหนีไม่พ้น All-New Range Rover Sport เวอร์ชั่นที่ดูย่อมเยาและสปอร์ตขึ้นกว่า Range Rover ซึ่งก็เช่นเดียวกับรุ่นพี่ รถจะถูกสร้างบนแพลตฟอร์มใหม่ล่าสุด MLA Flex ที่ออกแบบให้รองรับกับขุมพลังสันดาปธรรมดา, Plug-In Hybrid และ ไฟฟ้าล้วนได้

ภาพจาก Carscoops
  แม้ว่าทรวดทรงตัวถังจะดูคล้าย ๆ เดิม แต่ของใหม่ที่เห็นชัดคือกระจังหน้าใหม่และไฟหน้าใหม่ที่เรียวขึ้น แต่ที่สะดุดตาคงเป็นด้านท้ายที่น่าจะมากับไฟท้ายดีไซน์แปลกตาเฉกเช่นเดียวกับรุ่นพี่ ส่วนภายในห้องโดยสารยังไม่มีภาพออกมาแต่อย่างใด คาดว่าการเปิดตัวน่าจะมีขึ้นช่วงกลางปีจนถึงครึ่งปีหลังของปีนี้

Lamborghini
รถใหม่ในตลาดโลก (และน่าจะมาไทยด้วย) : Urus Minor Change / Aventador Successor
   ค่ายกระทิงดุอิตาลี ปีที่ผ่านมามีของใหม่หลายรุ่น และมีนำเข้ามาจำหน่ายในไทยด้วย อีกทั้งพวกเขายังได้ประกาศตัวเลขยอดขายทั่วโลกอยู่ที่ 8,405 คัน ซึ่งถือว่าเป็นยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์

     ทางค่ายยังประกาศเปิดตัวรถใหม่ 4 รุ่นในช่วง 12 เดือนนี้ ซึ่งแม้ทางค่ายไม่ได้บอกว่าจะเปิดตัวรุ่นไหนบ้าง แต่รุ่นที่มาแน่ ๆ แล้วหนึ่งก็คือ Lamborghini Urus รถอเนกประสงค์ของค่ายที่เป็นตัวแบกยอดขายของค่าย โดยในปีที่ผ่านมานั้น ยอดขายมากกว่าครึ่งเป็น Urus ล้วน ๆ โดยในปีนี้จะมีรุ่นปรับปรุงโฉม Minor Change ออกมากระตุ้นตลาด

ภาพจาก Carscoops
   มีการร่ำลือว่าการปรับโฉมนี้อาจจะมาในชื่อ "Urus Evo" เหมือน Huracan Evo สาระสำคัญนอกจากการปรับโฉมภายนอกแล้วนั้น มีข่าวร่ำลือว่ารถอาจจะมีรุ่นแยกย่อยเพิ่มเติมนอกจากเครื่องเบนซิน 4.0 ลิตร V8 เดิม ๆ โดยอาจจะมีรุ่นที่สมรรถนะสูงกว่า และอาจมีขุมพลัง Hybrid ให้เลือก ทั้งนี้ต้องติดตามต่อไป คาดว่าช่วงต้นปีถึงกลางปีนี้อาจได้ยลโฉมกัน

ภาพจาก Carscoops
   แต่ไฮไลต์ที่น่าจับตาที่สุดก็คือ ซูเปอร์คาร์โฉมใหม่ตัวตายตัวแทน Aventador ที่ตอนนี้เริ่มออกวิ่งทดสอบเป็นท้องถนนแล้ว แม้ตอนนี้จะยังคาดเดาไม่ได้ว่าดีไซน์จะเป็นไปในทิศทางไหน ด้วยการพรางตัวที่ค่อนข้างหนาแน่น แต่ก็เห็นชัดว่ารถน่าจะต่างจาก Aventador เยอะทีเดียว เห็นได้ชัดสุดเลยบริเวณท่อไอเสียด้านท้ายที่เหมือนจะวางไว้ระดับเดียวกับไฟท้าย รวมทั้งเห็นประตูคู่หน้า กระจกข้าง และช่องระบายอากาศด้านข้างใหม่ 

  เป็นไปได้ว่าซูเปอร์คาร์เรือธงคันนี้อาจมาพร้อมกับขุมพลัง V12 วางกลางแบบใหม่ และอาจจะมาในรูปแบบของ Plug-In Hybrid อีกด้วย คาดว่ารถน่าจะเปิดตัวได้ช่วงปลายปีนี้เป็นอย่างเร็ว หรืออย่างช้าก็ปีหน้าเลย

Maserati
รถใหม่ในตลาดโลก (และน่าจะมาไทยด้วย) : All-New Grecale / All-New GranTurismo / MC20 Convertible
   ค่ายตรีศูลจากอิตาลีในปีนี้ มีรถที่น่าจับตามองไม่น้อยเหมือนกัน เพราะกำลังจะมีโมเดลใหม่หลายรุ่นจ่อรอเปิดตัวในปีนี้ 

   ไฮไลต์ที่น่าติดตามที่สุดน่าจะหนีไม่พ้น "Maserati Grecale" รถอเนกประสงค์ Crossover SUV โมเดลใหม่ ที่เล็กกว่าและราคาย่อมเยากว่า Levante ซึ่งทดสอบมานานนับปีแล้ว จริง ๆ เห็นว่ารถจะต้องเปิดตัวตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาแล้ว แต่ด้วยสถานการณ์โควิดส่งผลให้ขาดแคลนชิ้นส่วนสำคัญในการผลิต ทำให้รถถูกเลื่อนการเปิดตัวนั่นเอง

ภาพจาก Carscoops
  ด้านขุมพลังก็คาดว่าจะมีการใช้ร่วมกับ Stelvio ไม่ว่าจะเป็นเครื่อง 2.0 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 272 แรงม้า และตัวท็อปคาดว่าอาจจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.9 ลิตรเทอร์โบคู่ พละกำลังมากกว่า 500 แรงม้า ระบบขับเคลื่อนน่าจะมากับระบบขับหลังเป็นมาตรฐาน และมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อให้เลือก ส่วนขุมพลัง Hybrid และ ไฟฟ้าล้วนจะตามมาในภายหลัง
 
   รถจะถูกวางตัวเป็นคู่แข่งกับ Porsche Macan, BMW X3, Jaguar F-Pace และ Mercedes-Benz GLC-Class และคาดว่าน่าจะเปิดตัวได้ในช่วงต้นปีนี้ ส่วนชาวไทยคาดว่าคงได้สัมผัสช่วงกลางปีไม่ก็ปลายปีนี้

ภาพจาก Autoevolution
  และอีกคันที่น่าติดตามเสียยิ่งกว่าก็คือ All-New Maserati GranTurismo สปอร์ตรุ่นดังของค่ายที่ได้เวลาเปลี่ยนโฉมใหม่แล้ว ความน่าสนใจอยู่ตรงที่รถคันนี้จะประเดิมเปิดในฐานะรถพลังงานไฟฟ้า 100% คันแรกของค่ายนับว่าน่าสนใจมากครับที่ได้เห็นรถสปอร์ตคูเป้แบบนี้ที่มาในเวอร์ชั่นรถไฟฟ้า 100% แต่อย่างไรก็ตามแล้วนั้น ก็อาจจะยังมีทางเลือกเครื่องยนต์สันดาปให้ลูกค้าเลือกอยู่ คาดว่าการเปิดตัวรถน่าจะมีขึ้นช่วงต้นปีถึงกลางปีนี้ สำหรับเวอร์ชั่นเปิดประทุน น่าจะตามมา 1 ปีให้หลังตัวคูเป้เปิดตัว

   ปิดท้ายด้วยอีกหนึ่งรุ่นสำคัญ Maserati MC20 Convertible หรือเวอร์ชั่นเปิดประทุนรับลมนั่นเอง ซึ่งเมื่อดูจากงานดีไซน์แล้วก็ไม่ได้ต่างจากรุ่นมาตรฐานมากนัก ทาง Maserati บอกว่ารถจะมาพร้อมกับหลังคาแข็งแบบพับเก็บได้ ซึ่งก็น่าจะมีกลไกการพับแบบไฟฟ้าอย่างซูเปอร์คาร์รุ่นอื่น ๆ ขุมพลังก็เหมือนรุ่นปกติทุกประการ น่าจะได้เห็นการเปิดตัวช่วงกลางปีถึงปลายปีนี้

Mazda
รถใหม่ในไทย : 3 MY2022 / CX-30 MY2022 / CX-5 Minor Change / CX-8 Minor Change
  ค่าย Mazda ในปีที่ผ่านมา มีของสดใหม่ที่สุดอย่าง All-New Mazda BT-50 แต่พอมาใช้พื้นฐานเดียวกับ Isuzu D-Max กลายเป็นว่าไม่ประสบความสำเร็จด้านยอดขายอย่างที่คิดนัก นอกนั้นก็จะมีเพียงการเปิดตัวรุ่นปรับอุปกรณ์เล็กน้อยเท่านั้น

   ในปีนี้ เราน่าจะได้เห็นรถในไลน์อัพของ Mazda ปรับอุปกรณ์และปรับโฉมกันหลายรุ่นทีเดียว เริ่มในส่วนของ Mazda 3 และ CX-30 ที่มีแววจะปรับอุปกรณ์ในเร็ว ๆ นี้ ตามรอย Mazda 2 และ CX-3 แบบติด ๆ สาระสำคัญของการปรับคงหนีไม่พ้นการเพิ่มสีตัวถังใหม่ สีบรอนซ์ Platinum Quartz Metallic และน่าจะมีอุปกรณ์มารตฐานใหม่อย่างที่ชาร์จไร้สายเพิ่มเข้ามาให้ทุกรุ่นย่อย นอกนั้นก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะมีการปรับอะไรเพิ่มเติม ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องติดตามให้ดี

  ต่อมาในส่วนของ Mazda CX-5 ที่เพิ่งปรับโฉม Minor Change ไปเมื่อปีก่อน แต่เมืองไทยยังไม่ได้หน้าใหม่ตามมา ก็หวังว่าปีนี้เราน่าจะได้ใช้หน้าใหม่เสียที แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับมาเลเซียที่เรานำเข้ารถมาจำหน่ายว่าเขาจะเปิดตัวเมื่อไหร่

     ภายนอกนั้นจะมีการปรับดีไซน์ด้านหน้าตามแนวทางของ Mazda ยุคใหม่ มากับไฟหน้าทรงใหม่พร้อมดีเทลไฟ LED รูปตัว C ปรับทรวดทรงกระจังหน้าใหม่พร้อมดีเทลที่คล้าย ๆ กับ Mazda 3 Sedan ปรับแถบโครเมียมบริเวณกระจังหน้าให้สอดรับกัน และปรับดีไซน์กันชนหน้าใหม่ สังเกตว่าไม่มีไฟตัดหมอกหน้าเหมือน Mazda ยุคใหม่ ๆ แล้ว ด้านข้างจะเห็นว่าจะได้ล้อลายใหม่ที่ดูสวยขึ้น ต่อเนื่องไปถึงด้านท้ายที่มากับไฟท้ายทรงใหม่ที่ดูสวยโฉบเฉี่ยวขึ้นเช่นกัน นอกจากนั้นแล้วยังมากับสีตัวถังใหม่ สีน้ำตาล Zircon Sand ด้วย

   ส่วนภายในไม่มีการปรับดีไซน์แต่อย่างใด แต่เน้นการปรับปรุงการตกแต่งภายในเป็นหลัก มีการออกแบบเบาะนั่งใหม่, เพิ่มที่ชาร์จมือถือไร้สายมาให้ และ เพิ่มปุ่มปรับโหมดการขับขี่ Mazda Intelligent Drive Select (Mi-Drive) อีกด้วย

   ด้านขุมพลังน่าจะไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิม คือ มีเบนซิน 2.0 ลิตร, ดีเซล 2.2 ลิตร, เบนซิน 2.5 ลิตรเทอร์โบให้เลือกเหมือนเดิม  ส่วนชุดความปลอดภัย i-Activsense จะมีการเพิ่ม ระบบควบคุมความเร็วและพวงมาลัยตามรถคันหน้า Cruising & Traffic Support (CTS) เหมือนที่มีใน Mazda 3 โฉมล่าสุด เอาเป็นว่ารอดูกันไปก่อน

  อีกคันก็คือ Mazda CX-8 ใหม่ ที่มีแววจะอัปเดตรูปโฉมและออปชั่นตามมาเหมือนกัน โดยการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นนั้นก็จะมีกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ ภายนอกเพิ่มสี Platinum Quartz Metallic รวมทั้งมีล้อลายใหม่ขนาด 19 นิ้ว และฝาท้ายไฟฟ้าที่เพิ่มฟังก์ชั่นเตะเปิด Hands-Free ส่วนภายในห้องโดยสารเพิ่มระบบชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย และปรับปรุงหน้าจอกลางใหม่ให้ใหญ่ขึ้นเป็น 8.8-10.25 นิ้ว ก็ยังหวังว่าปีนี้จะได้เห็นรูปโฉมใหม่โลโก้ใหม่เสียทีนะครับ

Mercedes-Benz
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทย All-New C-Class / Maybach S-Class / AMG GT 4-Door / AMG SL / EQC / EQS
     ค่ายรถหรูตราดาวที่มีผลิตภัณฑ์ในไลน์อัพเยอะมาก และมีหลายรุ่นที่มีขายในบ้านเรา ปีนี้ก็จะมีรุ่นใหม่เปิดตัวเพียบเช่นเคย สำหรับในไทยก็เชื่อว่าพวกเขาต้องมีไม้ตายเด็ดรอถล่มตลาดรถหรูเพียบแน่นอน
   เริ่มที่ซีดานหรูอย่าง All-New Mercedes-Benz C-Class รหัสตัวถัง W206 ที่เปิดตัวในต่างประเทศเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ปีนี้ก็น่าจะได้ฤกษ์สำหรับชาวไทยแล้ว คาดว่าช่วงต้นปีนี้น่าจะมา และน่าจะมาในรูปแบบของรถประกอบในประเทศเลยแบบรุ่นใหม่ ๆ ไม่ต้องแบ่งสเต็ปนำเข้าทั้งคันแล้วประกอบไทยที่หลังแล้ว โดย C-Class โฉมใหม่จะเป็นอีกหนึ่งรถที่เป็นยุคใหม่ของ Mercedes-Benz ฉะนั้นจะเห็นได้ว่ารูปลักษณ์และเทคโนโลยีบางอย่างที่มีในรุ่นพี่อย่าง S-Class ก็ได้ถูกถ่ายทอดมาใส่ใน C-Class ด้วย

  เชื่อว่าขุมพลังทางเลือกของ C-Class บ้านเราน่าจะมี 2 แบบ คือ
- C 220 d เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร พละกำลังสูงสุด 200 แรงม้าที่ 4,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตรที่ 1,800-2,800 รอบ/นาที  + EQ Boost 20 แรงม้า 200 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 7.3 วินาที  ความเร็วสูงสุด 245 กม./ชม.

- C 300 e เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบแถวเรียงอินเตอร์คูลเลอร์ มากับพละกำลังสูงสุด 204 แรงม้าที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตรที่ 2,000-4,000 รอบ/นาที ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 129 แรงม้า แรงบิด 440 นิวตันเมตร รวมพละกำลังทั้งระบบที่ 313 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาแค่ 6.1 วินาทีเท่านั้น ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 245 กม./ชม.

  สุดท้ายก็ต้องมารอดูครับว่าสเปคไทยจะเป็นอย่างไร 

   สำหรับตระกูลตัวรถ AMG คาดว่าปีนี้น่าจะได้เห็นการเปิดตัว Mercedes-AMG GT 4-Door รุ่นปรับใหม่ที่เปิดตัวในต่างประเทศเมื่อปีที่แล้ว การปรับปรุงครั้งนี้ไม่ได้เน้นปรับดีไซน์แต่อย่างใด ถึงอย่างไรก็ตามภายนอกของรถจะมาพร้อมสีใหม่ ได้แก่ สีน้ำเงิน Starling Blue Metallic, สีน้ำเงิน Manufaktur Starling Blue Magno และ สีขาว Manufaktur Cashmere White Magno รวมทั้งมีล้อลายใหม่ขนาด 20-21 นิ้วด้วย

 ส่วนภายในห้องโดยสาร เห็นชัดว่ามีการเปลี่ยนแปลงพวงมาลัยทรงใหม่ AMG Performance แบบ Benz รุ่นใหม่ๆ ที่มาพร้อมเซ็นเซอร์ตรวจจับ และมีปุ่ม AMG Drive Unit จอกลมๆขนาดเล็กที่แสดงผลสวยงามขึ้น นอกจากนั้นแล้วจะมากับรูปแบบการตกแต่งใหม่ๆ 

ขุมพลังเครื่องยนต์คาดว่าจะมี 2 แบบคือ
  - GT 53 เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร 6 สูบแถวเรียง พละกำลังสูงสุด 435 แรงม้าที่ 5,500-6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตรที่ 1,800-5,800 รอบ/นาที+ EQ Boost 22 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร  ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 4.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 285 กม./ชม. มีให้เลือกเฉพาะระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC+

- GT 63 S E PERFORMANCE เครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 ไดเร็คอินเจคชั่นและทวินเทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุด 639  แรงม้าที่ 5,500-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 900 นิวตันเมตรที่ 2,500-4,500 รอบ/นาที ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งบริเวณเพลาหลัง พละกำลัง 204 แรงม้า แรงบิด 320 นิวตันเมตร รวมพละกำลังทั้งระบบ 843 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดถึง 1,400 นิวตันเมตร 

สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาแค่ 2.9 วินาทีเท่านั้น ความเร็วสูงสุด 316 กม./ชม. ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ AMG SPEEDSHIFT MCT 9G และมีเกียร์อัตโนมัติ 2 สปีดสำหรับมอเตอร์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ มากับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG Performance 4MATIC+ พร้อมระบบช่วยกระจายแรงบิดลงล้อแบบแปรผันและ Drift Mode

 สำหรับแบตเตอรี่ที่ติดตั้งเพื่อจ่ายกำลังให้มอเตอร์เป็นหลัก ไม่เน้นระยะทาง จะเป็นแบตเตอรี่ขนาด 6.1 kWh น้ำหนักแค่ 89 กก. เท่านั้น ทำให้รถคันนี้สามารถวิ่งได้ด้วยไฟฟ้าล้วนแค่ 12 กม. เท่านั้น



  คันต่อมาที่มีลุ้นให้เอามาเปิดตัวก็คือ Mercedes-AMG SL สปอร์ตโรดสเตอร์เปิดหลังคารุ่นดังของค่าย ที่เพิ่งเปลี่ยนโฉมใหม่ไปหมาด ๆ SL โฉมใหม่จะจำหน่ายภายใต้ป้าย Mercedes-AMG เท่านั้น เท่ากับว่ามีแค่ตัวแรง AMG เพียงอย่างเดียว ไม่มีเวอร์ชั่นมาตรฐานแล้ว อีกทั้งรถยังมาแทนที่ AMG GT Roadster ไปด้วยเลยเช่นกัน

   ไฮไลต์สำหรับของ SL โฉมใหม่ครั้งนี้คงหนีไม่พ้น การกลับมาใช้หลังคาแบบผ้าใบอีกครั้ง จากรุ่นก่อนที่เป็นหลังคาแข็งพับได้ ส่วนนี้ส่งผลให้วิศวกรลดน้ำหนักรถได้ราว ๆ 21 กิโลกรัม หลังคายังมากับกระจกหน้าต่างด้านหลังปรับความร้อนได้ สามารถเปิดหรือปิดด้วยระบบไฟฟ้าในเวลา 15 วินาทีที่ความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม.

ขุมพลังเบื้องต้นจะมี 2 ทางเลือก ได้แก่
- SL 55 4MATIC+ เครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 พละกำลังสูงสุด 476 แรงม้าที่ 5,500-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตรที่ 2,250-4,500 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 3.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 295 กม./ชม.

- SL 63 4MATIC+ เครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 พละกำลังสูงสุด 585 แรงม้าที่ 5,500-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตรที่ 2,500-5,000 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 3.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 315 กม./ชม.

ทั้งคู่ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ AMG SPEEDSHIFT MCT 9G  และที่น่าสนใจคือเป็นครั้งแรกของ SL ที่มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG Performance 4MATIC+ เป็นมาตรฐาน
และในอนาคตอาจมีขุมพลังอื่น ๆ รวมทั้งขุมพลัง Plug-In Hybrid E PERFORMANCE ที่คาดว่าอาจได้ขุมพลังจาก GT 63 E PERFORMANCE มาใช้ ก็หวังว่ารุ่นนี้ทาง MBTH จะเอาเข้ามาทำตลาดในไทยบ้างครับ

   สำหรับตระกูล Maybach ปีที่ผ่านมา มีการนำเข้า Mercedes-Maybach GLS มาจำหน่ายแล้ว ปีนี้น่าจะได้เห็น Mercedes-Maybach S-Class เข้ามาทำตลาดต่อเนื่องกัน โดยสิ่งที่แตกต่างจาก S-Class มาตรฐานก็คือ มีการปรับกันชนหน้าและกระจังใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะรุ่น รวมทั้งมากับประตูหลังที่ยาวขึ้น ลูกค้าสามารถเลือกออปชั่นสีตัวถังภายนอกแบบทูโทนได้และเส้นแบ่งบตัวถังที่ลากด้วยมือ กระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาในการทำถึง 1 สัปดาห์เต็มๆ

  นอกจากนี้ Mercedes-Maybach S-Class ใหม่ทุกรุ่นจะมาพร้อมเบาะนั่งด้านหลังแบบ 2 ที่นั่งซึ่งมาพร้อมกับฟังก์ชั่นการนวดแบบใหม่ในส่วนน่องขา และมีแพ็คเกจคนขับรถมาให้เป็นมาตรฐาน และยังมีเทคโนโลยีที่น่าสนใจอย่างระบบ MBUX Interior Assist ที่ช่วยให้เราควบคุมรถได้ผ่านการแสดงท่าทาง ไม่ว่าจะเป็นการเปิด-ปิดม่านบังแดด เปิดไฟอ่านหนังสือ ระบบยังตรวจจับผู้โดยสารด้านหลัง หากรถอยู่ในมืด ระบบจะช่วยเปิดไฟให้อัตโนมัติเพื่อเพิ่มการมองเห็นที่ดีขึ้นด้วย หรือยิ่วไปกว่านั้น ระบบยังรองรับการสั่งปิดประตูหลังอีกด้วย หวังว่าต้นปีนี้น่าจะได้สัมผัสเจ้าตัวหรูคันนี้กัน 
ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ที่ https://www.facebook.com/CarNewsUpdateFanpage/posts/3189447614511812 ครับ 

   สำหรับตระกูลไฟฟ้า (Mercedes-EQ) นั้น Benz บ้านเราก็ได้ออกมาประกาศชัดแล้วว่าเตรียมทำตลาดภายในปีนี้แน่นอน โดยจะประเดิมด้วย EQS ก่อนเลย ซึ่งรถได้นำมาโชว์ตัวเรียกแขกไปแล้วในงาน Motor Expo 2021 ปลายปีที่ผ่านมา ทางค่ายประกาศกร้าวว่าเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทยช่วงไตรมาสที่ 4 หรือราว ๆ ปลายปีนี้ และมาในรูปแบบประกอบในประเทศอีกด้วย ถือเป็นรถพลังงานไฟฟ้ารุ่นแรก ๆ ในไทยที่มีการประกอบในประเทศเลยก็ว่าได้

   ตอนนี้ก็ต้องมาลุ้นกันว่า MBTH จะเอาขุมพลังไหนเข้ามาจำหน่าย โดย ณ ตอนนี้ขุมพลังหลัก ๆ ของ EQS จะมีดังนี้ 
- EQS 450+ มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanently excited synchronous (PSM) พละกำลังสูงสุด 333 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 568 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 210 กม.

- EQS 580 4MATIC มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanently excited synchronous (PSM) พละกำลังสูงสุด 523 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 855 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 4.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 210 กม.

ทั้งหมดมาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 107.8 kWh สามารถทำระยะทางวิ่งสูงสุด 770 กม. ตามมาตรฐาน WLTP มีระบบการชาร์จ On-Board Charger ไฟ AC 11 kW เป็นมาตรฐาน ระยะเวลาชาร์จจนเต็ม 10 ชม. และรองรับระบบชาร์จเร็ว DC 200 kW ใช้เวลาชาร์จจาก 10-80% ในเวลาแค่ 31 นาทีเท่านั้น หรือหากชาร์จเพียง 15 นาที จะได้ระยะทางวิ่งสูงสุด 280-300 กม.

- AMG EQS 53 4MATIC+ มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ที่พัฒนาเฉพาะสำหรับ AMG ให้พละกำลังสูงสุด 658 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 950 นิวตันเมตร จัดว่าแรงเอาเรื่อง ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 3.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 220 กม./ชม. พลังงานของรถมาจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 400 โวลต์ที่มีความจุ 107.8 kWh สามารถวิ่งได้ในระยะทางสูงสุดตามมาตรฐาน  WLTP ที่ 526-580 กม. 

ก็ต้องรอติดตามกันต่อไปครับ

   และนอกจาก EQS แล้ว ชาวไทยก็มีแนวโน้มที่น่าจะได้สัมผัสรุ่นที่เล็กกว่าอย่าง EQE เช่นกัน รถไฟฟ้าซีดานที่มีทรวดทรงและขนาดประมาณ E-Class รูปลักษณ์ภายนอกก็แทบจะถอดแบบมาจากรุ่นพี่อย่าง EQS เลย แต่จะมีความเล็กกะทัดรัดกว่า ใบหน้าที่ดูโฉบเฉี่ยวและสปอร์ตขึ้นกว่า เช่นเดียวกับภายในห้องโดยสารที่แทบจะยกกันมาเลย ซึ่งจะมาพร้อมกับจุดเด่นอย่างหน้าจอกระจกโค้ง MBUX Hyperscreen ขนาด 56 นิ้วที่ประกอบไปด้วย หน้าปัดดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ตรงกลาง 17.7 นิ้วจากส่วนกลาง และ จอแสดงผลด้านผู้โดยสารขนาด 12.3 นิ้ว 

   ในต่างประเทศจะมาพร้อมกับการทำตลาดในรหัส EQS 350 มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งที่เพลาล้อหลัง สร้างพละกำลังได้ที่ 288 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 530 นิวตันเมตร มาพร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหลังเป็นมาตรฐาน

แบตเตอรี่ที่ติดมากับรถจะมีความจุ 90.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง มากพอที่จะให้รถวิ่งได้ในระยะทางสูงสุด 660 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP สำหรับเวลาการชาร์จจะมีดังนี้
- On-Board Charger กระแสสลับ 11 kW เฟสเดียว ใช้เวลาชาร์จเต็ม 8.25 ชั่วโมง (มาตรฐาน)
- On-Board Charger กระแสสลับ 22 kW 3 เฟส ใช้เวลาชาร์จเต็ม 4.25 ชั่วโมง (ออปชั่น)
- รองรับระบบชาร์จเร็วกระแสตรงสูงสุด 170 kW ซึ่งสามารถชาร์จจาก 10-80% ใน 32 นาที หรือเพียงชาร์จแค่ 15 นาทีก็มากพอให้รถวิ่งได้ไกล 250 กม.

ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารุ่นนี้น่าจะเปิดตัวภายในไทยช่วงปีนี้

รถใหม่ในตลาดโลก (และบางคันน่าจะมาไทยด้วย) : A-Class Minor Change / AMG C 53 & 63 / AMG S 63 E-PERFORMANCE? / All-New CLE / All-New GLC / GLE Minor Change / GLS Minor Change / AMG EQE 53 / EQE SUV / EQS SUV

ภาพจาก Motorauthority
   รถรุ่นเล็กอย่าง A-Class ดูเหมือนจะเข้าสู่วงโคจรกลางอายุตลาดแล้ว ณ ตอนนี้รุ่นปรับโฉมใหม่ก็กำลังอยู่ระหว่างการทดสอบอยู่ คาดว่าการเปลี่ยนแปลงคงเป็นไปตามทิศทาง Benz ยุคใหม่ ปรับดีเทลไฟหน้า กระจังหน้า และกันชนหน้าใหม่ ด้านท้ายก็จะมากับไฟท้าย กันชนท้ายใหม่ ส่วนภายในปรับพวงมาลัยทรงใหม่ อัปเดตซอฟท์แวร์ MBUX ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด ปีนี้คงได้เห็นกัน ชาวไทยคงจะได้สัมผัสในเวอร์ชั่นซีดานตามเคย ตัวถัง 5 ประตูจะได้ในตัวแรง A 45 S แทน

  ถัดขึ้นไปในรุ่นที่ใหญ่ขึ้นอย่าง C-Class ที่เปิดตัวเจเนเรชั่นใหม่ไปแล้วเมื่อปีก่อน ตั้งแต่ช่วงต้นปีถึงกลางปีนี้น่าจะได้เห็นเวอร์ชั่นสมรรถนะสูงเปิดตัวตามมาอีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น

* Mercedes-AMG C 53
ภาพจาก Motorauthority

- Mercedes-AMG C 53 ตัวแรงระดับเริ่มต้นที่หวังจะมาแทน C 43 ในปัจจุบัน และจะมากับขุมพลังที่แรงขึ้น คาดว่าจะมากับขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จ 4 สูบแถวเรียง ซึ่ง ณ ปัจจุบันเครื่องตัวนี้ทำพละกำลังได้มากถึง 421 แรงม้า (ใน A 45 S / CLA 45 S) แต่ไม่แน่ใน C 53 อาจมีการปรับจูนหรือเพิ่มระบบไฟฟ้าให้พละกำลังแรงกว่านี้ก็เป็นได้

* Mercedes-AMG C 63
ภาพจาก Motorauthority
- Mercedes-AMG C 63 ตัวแรงสุดกระดานของ C-Class ที่มีความน่าสนใจคือ รหัสนี้อาจมีการบอกลาเครื่องยนต์เบนซิน V8 แล้วแทนที่เครื่องยนต๋เบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จ 4 สูบแถวเรียง ที่พละกำลังราว ๆ 442 แรงม้า แต่จะมีพละกำลังเสริมจากเทคโนโลยีไฮบริด ที่อาจจะมากับมอเตอร์ไฟฟ้าพละกำลังไม่ต่ำกว่า 201 แรงม้า จะส่งผลให้มีพละกำลังทั้งระบบราว ๆ 643 แรงม้า 

  ซึ่งอันนี้อาจจะเป็นพละกำลังสำหรับตัวท็อปสุดอย่าง C 63 S E-PERFORMANCE ส่วน C 63 มาตรฐานน่าจะทำพละกำลังได้ราว ๆ 550 แรงม้า ที่มากกว่า C 63 ปัจจุบันอยู่ดี

  ขยับขึ้นไปในตัวหรูอย่าง S-Class ที่ยังมีแผนเปิดตัวรุ่นสมรรถนะสูงอยู่เช่นเดียวกัน นั่นคือ Mercedes-AMG S 63 E (รหัสที่คาดว่าจะใช้) ที่จะมาเป็นตัวแรงระดับท็อปของตระกูล S-Class และที่สำคัญตัวแรงคันนี้จะมากับขุมพลัง Hybrid ด้วย สังเกตจากรถทดสอบที่มีฝาเติมเชื้อเพลิง 2 ฝั่ง อีกฝั่งเติมน้ำมันและอีกฝั่งไว้ชาร์จไฟนั่นเอง

ภาพจาก Carscoops
   เป็นไปได้สูงว่ารุ่นนี้อาจจะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 ไดเร็คอินเจคชั่นและทวินเทอร์โบชาร์จ บล็อกเดียวกับ GT 63 E-Performance ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปีก่อน จะมีพละกำลังสูงสุด 639  แรงม้าที่ 5,500-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 900 นิวตันเมตรที่ 2,500-4,500 รอบ/นาที ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งบริเวณเพลาหลัง พละกำลัง 204 แรงม้า แรงบิด 320 นิวตันเมตร รวมพละกำลังทั้งระบบ 843 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดถึง 1,400 นิวตันเมตร และมีแววว่าอาจมีรุ่นที่แพงกว่านั้น แต่คงไม่ใช้เครื่อง V12 ที่สงวนให้กับตระกูล Maybach เท่านั้น ก็รอติดตามต่อไป ภายในต้นถึงกลางปีนี้คงได้เห็นกัน
  
    ในฝั่งของรถสปอร์ต ต้องยอมรับว่าตอนนี้กระแสของรถทรงนี้โดยเฉพาะรถเปิดประทุนเริ่มจะหดหายลงไปพอควร แม้แต่ค่ายตราดาวเองก็ยังตระหนักถึงเรื่องนี้ จึงตัดสินใจไม่ทำตลาด S-Class Cabriolet ต่อ ส่วน AMG GT Roadster นั้นก็ไม่ได้ไปต่อเพื่อเปิดทางให้ AMG SL แทน 

   เช่นเดียวกับ C และ E-Class Cabriolet ที่มีข่าวว่าจะถูกยุบรวมกันเป็นรุ่นเดียว ซึ่งอาจจะมาในชื่อ "CLE-Class" และจะมีให้เลือกทั้งแบบซีดานและเปิดประทุน แต่ ณ ตอนนี้มีช่างภาพสามารถจับภาพรถทดสอบเวอร์ชั่นเปิดประทุนได้แล้ว

ภาพจาก Carscoops

   คาดว่า CLE จะสร้างบนพื้นฐานของ C-Class โฉมล่าสุด แต่จะมีการออกแบบด้านหน้าใหม่ให้ดูสปอร์ตขึ้น และแน่นอนว่ารถเปิดประทุนคันนี้จะยังคงมากับหลังคาผ้าใบแบบ C และ E Cabrio ส่วนภายในแม้จะไม่เห็นภาพ แต่ก็น่าจะยกชุดมาจาก C-Class โฉมล่าสุด รวมถึงเครื่องยนต์ที่น่าจะใช้ร่วมกับ C-Class เช่นกัน การเปิดตัว CLE โฉมใหม่นั้นน่าจะมีขึ้นอย่างเร็วสุดปลายปีนี้ หรืออย่างช้าคือต้นปีหน้า

ภาพจาก Carscoops
   มาดูฝั่ง SUV กันบ้าง ตอนนี้ค่ายตราดาวมีแผนที่จะเปิดตัว Mercedes-Benz GLC เจเนเรชั่นใหม่ ที่ดูเหมือนว่ารถจะมีทรวดทรงที่ดูใหญ่โตขึ้นเล็กน้อย และดูเพรียวขึ้น มีแนวฝากระโปรงหน้าที่ยาวขึ้น บั้นท้ายเด่นชัดขึ้น แต่มีแนวหลังคาที่เตี้ยลง ดูแล้วรถน่าจะมีความโฉบเฉี่ยวและสปอร์ตขึ้นไม่น้อย โดยรถจะใช้แพลตฟอร์มชุดเดียว C-Class โฉมใหม่ล่าสุด นั่นคือ MHA (Modular High Architecture) ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้มีน้ำหนักเบาขึ้นกว่าเดิม ส่วนภายในห้องโดยสารก็เห็นชัดว่าจะเป็นไปตามสไตล์ Benz ยุคใหม่เหมือนกัน

ภาพจาก Carscoops
   ขุมพลังแน่นอนว่าจะยังคงมีเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จเป็นพื้นฐาน มีทั้งแบบดีเซลและเบนซินที่เป็น Mild Hybrid หรือ Plug-In Hybrid ไล่จนไปถึงตัวแรงสุดอย่าง AMG GLC 63 ที่มีแนวโน้มสูงจะเปลี่ยนมาใช้เครื่อง 4 สูบเช่นเดียวกัน การเปิดตัวน่าจะไล่เปิดตัวตามมาเรื่อย ๆ ภายในปีนี้ ส่วนโฉม Coupe นั้นอาจจะตามมาในภายหลัง 

ภาพจาก Carscoops
ภาพจาก Motor1
 ขยับไปรุ่นที่ใหญ่ขึ้นอย่าง GLE ที่กำลังเข้าสู่ช่วงกลางอายุตลาดและเตรียมปรับโฉมพอดี ซึ่งจากภาพรถทดสอบก็จะเห็นว่าจะมีการปรับปรุงงานออกแบบด้านหน้าใหม่ และ ไฟท้ายใหม่ อีกทั้งจะมีการปรับปรุงภายในห้องโดยสารในส่วนของพวงมาลัยทรงใหม่ และอัปเดตซอฟท์แวร์หน้าจอใหม่ เครื่องยนต์น่าจะมีทางเลือกทั้งแบบดีเซล เบนซิน แบบ Mild Hybrid และ Plug-In Hybrid เหมือนเดิม แต่อาจจะมีการปรับปรุงอะไรบางอย่างใหม่ คาดว่าการเปิดตัวน่าจะมีขึ้นช่วงกลางปีถึงครึ่งปีหลังของปีนี้ ไทยคงเอามาแค่ตัว 5 ประตูเหมือนเดิม ตัว Coupe คงไม่มา

ภาพจาก Motor1

  ดูในส่วนของกลุ่มรถไฟฟ้าบ้าง หลังจากปีที่ผ่านมามีการเปิดตัว EQE ไปแล้ว คราวต่อไปน่าจะเป็นคิวของเวอร์ชั่นสมรรถนะสูงอย่าง Mercedes-AMG EQE (คาดมาในรหัส EQE 53) ที่จะอัพลุคให้ดุขึ้นอีกนิด สาระสำคัญคงเป็นขุมพลัง โดยใน AMG EQS 53 นั้นจะมากับ มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ที่พัฒนาเฉพาะสำหรับ AMG ให้พละกำลังสูงสุด 658 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 950 นิวตันเมตร แปลว่า EQE จะต้องมีพละกำลังที่น้อยลงมาอีกเพื่อไม่ให้เกินหน้าเกินตารุ่นพี่ คาดว่าช่วงต้น-กลางปีนี้อาจจะได้เห็น

ภาพจาก Motorauthority

       และในปีนี้ ค่ายตราดาวยังมีแผนเปิดตัวรถ SUV ไฟฟ้าอีก 2 คันเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น EQS SUV รถอเนกประสงค์ไฟฟ้าระดับเรือธงคันใหม่ ที่ดูจากชื่อแล้วก็น่าจะเป็นรถอเนกประสงค์ที่มีความหรูระดับ S-Class และคาดว่าน่าจะมีขุมพลังเดียวกับตัวถังซีดาน ซึ่งน่าจะมีพิกัดระยะทางวิ่งสูงสุดราว ๆ 600 กม.

   และเป็นไปได้ว่าอาจมีเวอร์ชั่นหรู "Maybach" จำหน่ายด้วยเช่นกัน เห็นได้จากต้นแบบ Mercedes-Maybach EQS SUV Concept ซึ่งถ้าอยากรู้ว่า EQS SUV โฉมจริงจะทรงประมาณไหน ดูต้นแบบคันนี้ก่อนก็ได้ครับ

    เปิดรุ่นพี่ก่อนแล้ว รุ่นน้องอย่าง EQE SUV ก็จะตามมาเช่นเดียวกัน จะเห็นว่าทรวดทรงจะดูเล็กและอ้วนป้อมกว่า EQS และคาดว่าจะใช้ขุมพลังร่วมกับ EQE ตัวถังซีดานที่เปิดตัวก่อนหน้า นอกจากนั้นแล้วก็จะมีแนวโน้มที่จะเห็นตัวแรง AMG เช่นกัน 

   ทั้ง EQS SUV และ EQE SUV ได้รับการยืนยันแล้วว่าจะทำการผลิตที่โรงงานของ Mercedes ในเมืองทัสคาลูซา รัฐแอละแบมา สหรัฐอเมริกา ทั้งคู่น่าจะทยอยเปิดตัวตามมาในช่วงต้นปีถึงครึ่งปีหลังของปีนี้เลย และจะมาจำหน่ายในไทยตอนไหน ต้องติดตาม

MG
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทย : HS Minor Change / ZS Minor Change / EP Minor Change 
   แบรนด์จากจีนที่อยู่ตลาดไทยมานานพอตัว เริ่มมีความเก๋าเกมบ้างแล้ว แต่การมาของ Great Wall Motors ย่อมส่งผลกระทบให้บัลลังก์ของค่ายนี้สั่นคลอน อย่างไรก็ตามในปีนี้ MG จะมีรถใหม่หลายรุ่นที่คาดว่าจะส่งมาถล่มตลาด สู้กับแบรนด์ญี่ปุ่น รวมไปถึงรถจีนด้วยกันเองด้วย 

   รถที่มีสิทธิ์มาในปีนี้ น่าจะหนีไม่พ้น MG HS Minor Change ที่ต้องปรับโฉมเพื่อท้าชนกับ Haval H6 รวมไปถึง Honda CR-V คาดว่ารูปโฉมน่าจะใช้ดีไซน์เดียวกับ MG Pilot ที่เปิดตัวในจีนเมื่อปีที่แล้ว โดยคาดว่าจะมีการปรับทั้งดีไซน์ภายนอกและปรับภายในให้ดูดีขึ้น และอัดออปชั่น + ความปลอดภัยเข้าสู้ ส่วนเครื่องยนต์น่าจะคงทางเลือกไว้ 2 แบบเหมือนเดิม คือ

- เครื่องยนต์เบนซิน DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว Turbo TGI ความจุ 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 162 แรงม้าที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรที่ 1,700 - 4,400 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Twin Clutch Sportronic Transmission (TST) 7 สปีด

- MG HS PHEV : เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว Turbo TGI พละกำลังสูงสุด 162 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรที่ 1,700 – 4,300 รอบ/นาที 

ผสานกำลังกับมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor กำลังสูงสุด 122 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตันเมตร รวมกำลังทั้งระบบ 284 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ EDU II – 10 Speeds อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 7.5 วินาที 

มาพร้อมกับแบตเตอรี่ Lithium-Ion Battery ที่มีความจุ 16.6 กิโลวัตต์ – ชั่วโมง ระยะทางวิ่งสูงสุดด้วย EV mode อยู่ที่ 67 กม. ตามมาตรฐาน NEDC (New European Driving Cycle) อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยตาม Eco Sticker อยู่ที่ 65 กม./ลิตร

คาดว่า MG HS Minor Change น่าจะมีการเปิดตัวในไทยช่วงต้นปีเป็นอย่างเร็วที่สุด หรืออย่างช้ากลางปี

     คันต่อมาที่คาดว่าจะเปิดตัวตามมาก็คือ MG ZS EV Minor Change ที่มีการปรับโฉมใหม่ในยุโรปมาแล้วช่วงปลายปี 2021 ที่ผ่านมา มีการอัปเกรดรูปโฉมภายนอกและภายในตาม ZS รุ่นมาตรฐาน แต่ที่สำคัญคือมากับมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ที่ขนาดใหญ่ขึ้น อิงข้อมูลจากสเปคยุโรป จะมีทางเลือก 2 ระดับคือ 

+ Standard Range มอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลังสูงสุดระหว่าง 177-204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร 
มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 51 kWh มาพร้อมระยะทางวิ่งสูงสุดตามมาตรฐาน WLTP ที่ 320 กม.

+ Long Range มอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลังสูงสุด 156-177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร แต่ได้แบตเตอรี่ขนาด 71 kWh มาพร้อมระยะทางวิ่งสูงสุดตามมาตรฐาน WLTP ที่ 440 กม.

 ทั้งคู่จะมากับอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 8.6 วินาที และความเร็วสูงสุด 175 กม. เท่ากัน  ทางด้านแบตเตอรี่นั้น หากใช้เครื่องชาร์จเร็วกระแสตรง 100 kW จะใช้เวลาราว ๆ 30 นาทีในการชาร์จจาก 30-80% หรือใช้เวลา 40 นาทีหากชาร์จจาก 5-80% หรือใช้เวลาถึง 10.5 ชั่วโมงหากใช้เครื่องชาร์จมาตรฐานไฟกระแสสลับ 7 kW

  สำหรับสเปคไทยนั้นก็ต้องรอดูว่าจะแตกต่างไปจากนี้หรือไม่ คาดว่าคงได้เห็นกันในช่วงต้นปีถึงกลางปีครับ

   อีกรุ่นที่มีแววปรับโฉมตามมาเช่นกันก็คือ MG EP ซึ่งตัวรถมีการปรับโฉมในยุโรปไปแล้ว (วางขายในชื่อ MG5 Electric) ซึ่งจะมีการปรับงานดีไซน์ภายนอกให้ทันสมัยขึ้น และปรับเปลี่ยนคอนโซลหน้าใหม่ทั้งหมดให้ดูดียิ่งกว่าเดิม 

สำหรับ MG5 Electric สเปคยุโรปนั้น จะมีทางเลือกพละกำลัง 2 รูปแบบคือ
Standard Range มอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลังสูงสุดระหว่าง 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 8.5 วินาที
มาพร้อมกับแบตเตอรี่แบบ Lithium Iron Phosphate ขนาด 50.3 kWh มาพร้อมระยะทางวิ่งสูงสุดตามมาตรฐาน WLTP ที่ 320 กม. 
Long Range มอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลังสูงสุด 156 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 8.3 วินาที ได้แบตเตอรี่แบบ Lithium Nickel Manganese Cobalt  ขนาด 61.1 kWh อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 8.5 วินาที มาพร้อมระยะทางวิ่งสูงสุดตามมาตรฐาน WLTP ที่ 400 กม.

ทั้งคู่จะมากับและความเร็วสูงสุด 185 กม./ชม. เท่ากัน  รถยังรองรับระบบการชาร์จไฟกระแสสลับ 11 kW สามเฟส หรือถ้าหากใช้ระบบการชาร์จเร็วไฟกระแสตรง 100 kW จะใช้เวลาราว ๆ 40 นาทีในการชาร์จจาก 0-80% 

  ก็ต้องรอชมอีกเช่นกันว่าสเปคไทยจะมาในรูปแบบไหน คาดว่าช่วงกลางปีนี้อาจได้ยลโฉมกัน

   ปิดท้ายด้วยอีกหนึ่งรุ่นที่น่าลุ้นให้มาจำหน่ายในไทยเช่นกัน นั่นคือ MG Marvel R รถอเนกประสงค์ไฟฟ้าระดับเรือธงที่เพิ่งเปิดขายในยุโรปเมื่อปีที่แล้ว เป็นรถอเนกประสงค์ SUV แบบ 5 ที่นั่ง มีมิติตัวถังยาว 4,674 มิลลิเมตร กว้าง 1,919 มิลลิเมตร สูง 1,618 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,800 มิลลิเมตร 

มีขุมพลังทางเลือก 2 แบบ คือ
- มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวด้านหลัง พละกำลังรวม 180 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 410 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 7.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 200 กม. / ชม. มากับแบตเตอรี่ความจุ 70 kWh รองรับระยะทางวิ่งสูงสุด 402 กม.

- ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว (1 ตัวที่เพลาหน้าและอีก 2 ตัวที่ด้านหลัง) พละกำลังรวม 288 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 665 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 4.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 200 กม. / ชม. มากับแบตเตอรี่ความจุ 70 kWh รองรับระยะทางวิ่งสูงสุด 370 กม.

แบตเตอรี่ของทั้งคู่ รองรับระบบชาร์จไฟออนบอร์ด 3 เฟส ความจุ 11 kW อีกทั้งยังรองรับระบบการชาร์จไฟเร็วแบบกระแสตรงที่ชาร์จจาก 5-80% ได้ในเวลา 43 นาทีเท่านั้น

   ด้านพิกัดระยะทางวิ่งสูงสุดที่ทำได้อยู่ที่ 400 กม. ตามมาตรฐาน WLTP 
ตัวรถมากับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ส่วนความจุแบตนั้นยังไม่มีการบอกข้อมูล เพียงแต่บอกว่ารองรับระบบชาร์จไฟออนบอร์ด 3 เฟส ความจุ 11 kW อีกทั้งยังรองรับระบบการชาร์จไฟเร็วแบบกระแสตรงที่ชาร์จจาก 0-80% ได้ในเวลา 30 นาทีเท่านั้น

   อย่างที่บอกว่านี่คือรถไฟฟ้าระดับเรือธง และจะมีความหรูล้ำสมัยกว่า MG HS พอสมควร ซึ่งถ้าหากมาไทย ราคาไม่น่าต่ำกว่า 1.5-1.6 ล้านบาทแน่ ๆ ต้องรอดูกันไปก่อนครับว่า MG Thailand จะใจป้ำนำเข้ามาขายหรือเปล่า

Mitsubishi
รถใหม่ในไทย : Xpander Minor Change / Xpander Cross MY2022 / สารพัดรุ่นพิเศษ? / All-New Triton?
    ค่ายสามเพชรในปีที่ผ่านมา ไม่มีโมเดลใหม่หรือรุ่นปรับโฉมใหม่แต่อย่างใด แต่ทางค่ายก็หาทางกระตุ้นตลาดได้โดยการปรับอุปกรณ์รถในไลน์อัพ แถมแน่นอนสารพัดรุ่นพิเศษสี่แอดเอดิชั่น บลา ๆ ๆ ทำให้มีความคึกคักอยู่พอตัว

   ในปีนี้ คาดว่าชาวไทยน่าจะได้สัมผัสกับ Mitsubishi Xpander Minor Change กันเสียที หลังจากที่เปิดตัวในอินโดนีเซียเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เป็นการปรับโฉมรอบ 2 ที่ได้ดีไซน์และออปชั่นทันสมัยขึ้น งานออกแบบยังอยู่ในธีม Dynamic Shield เหมือนเดิม โดยภายนอกมีการปรับเปลี่ยนทรวดทรงไฟหน้ารถใหม่เป็นไฟหน้า LED ทรง T-Shaped กระจังหน้าดีไซน์ใหม่สีดำที่ดูแล้วชวนนึกถึง Outlander เจเนเรชั่นล่าสุด เช่นเดียวกับด้านท้ายที่ได้ไฟท้าย LED ใหม่ที่มีรายละเอียดแบบ T-Shaped มีการปรับเปลี่ยนฝาท้ายใหม่และกันชนท้ายใหม่ให้โดดเด่นสะดุดตาขึ้น ในรุ่นบน ๆ จะได้ล้อขนาด 17 นิ้วและยังมีการปรับเพิ่มระยะความสูงจากพื้นรถอีก 15-20 มม. จากรุ่นปัจจุบันที่สูงมากพออยู่แล้ว

ไฮไลต์สำคัญคงอยู่ที่ภายในห้องโดยสาร  เพราะได้ออกแบบและตกแต่งให้ทันสมัยและดูดีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบพวงมาลัยทรงใหม่ ออกแบบคอนโซลหน้า การจัดวางหน้าจอกลางและปุ่มควบคุมใหม่ที่ดูดีกว่าเดิม ปรับปรุงการแสดงผลหน้าจอบนมาตรวัดใหม่ มีการเสริมการตกแต่งบริเวณคอนโซลหน้าและแผงประตูด้วยหนังบุนุ่มพร้อมเดินด้ายตะเข็บจริง และไฮไลต์ที่น่าสนใจคือ มีการเพิ่มเบรกมือไฟฟ้าพร้อม Auto Brake Hold มาให้อีกด้วย

ทว่าครื่องยนต์ยังคงเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 4 สูบ MIVEC DOHC 16 วาล์ว พละกำลังสูงสุด 105 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ/นาที แต่เปลี่ยนระบบส่งกำลังจากเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดเป็น เกียร์อัตโนมัติ CVT 

คาดว่า Mitsubishi Xpander Minor Change จะเปิดตัวในไทยช่วงต้นปีนี้ครับ

   ตามด้วย Mitsubishi Xpander Cross โมเดลปี 2022 ที่แม้จะไม่ปรับโฉมใหม่ แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนภายในใหม่แบบ Xpander Minor Change แต่ใน Xpander จะได้การตกแต่งโทนสีดำ-น้ำเงิน สิ่งที่ Xpander Minor Change ได้ ตัว Cross ก็ได้มาเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นคอนโซลหน้าดีไซน์ใหม่, พวงมาลัยทรงใหม่,  มาตรวัดดีไซน์ใหม่, เบรกมือไฟฟ้าพร้อม Auto Brake Hold, บุนุ่มพร้อมเดินด้ายตะเข็บจริงบริเวณคอนโซลหน้าและแผงประตู, ที่วางแขนบริเวณแถวที่ 1 และแถวที่ 2 พร้อมที่วางแก้วน้ำ รุ่น Cross จะพิเศษกว่า Xpander ธรรมดาตรงได้หน้าจอกลางใหม่ขนาดใหญ่ 9 นิ้ว 

ข้อมูลขุมพลังก็จะเหมือนกับ Xpander มาตรฐานเลย คาดว่า Xpander Cross ใหม่ ก็คงเปิดตัวตาม Xpander รุ่นมาตรฐานที่ได้รับการปรับโฉม

      สุดท้ายปีนี้เราต้องจับตาอีกหนึ่งรุ่นสำคัญที่มีแผนว่าอาจจะเปิดตัวภายในปีนี้ นั่นคือ All-New Mitsubishi Triton โดยแผนนี้เป็นแผนที่ Mitsubishi ได้ประกาศผ่านแผนธุรกิจใหม่ "Small but beautiful" ที่เปิดเผยตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2020 แล้ว ซึ่งตลาดอาเซียนนั้นจัดว่าเป็นตลาดหลัก ๆ ของค่ายนี้เลยก็ว่าได้

   ณ ตอนนี้มีข้อมูลออกมาน้อยมากเกี่ยวกับ Triton เจเนเรชั่นใหม่ แต่ก็มีหลายข้อมูลบอกว่า Triton เจเนเรชั่นใหม่จะถูกพัฒนาร่วมกับ Nissan Navara เจเนเรชั่นใหม่ โดยทั้งคู่จะยืนบนพื้นฐานเดียวกัน และมี Mitsubishi เป็นแม่งานหลัก แต่ก็อาจจะมีการออกแบบที่แตกต่างกันตามเอกลักษณ์ของแต่ละค่าย 

    นอกจากนี้ยังมีอีกกระแสข่าวที่น่าสนใจก็คือ Triton โฉมใหม่จะมีขุมพลังทางเลือกแบบ Plug-In Hybrid มาด้วย ยิ่งเฉพาะตลาดยุโรปที่มีความเข้มงวดด้านมลพิษค่อนข้างสูงน่าจะเป็นกลุ่มตลาดสำคัญเลย อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่ารถก็จะยังคงมีทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซลให้ลูกค้าที่ยังต้องการเครื่องสันดาปธรรมดาอยู่

   ทั้งหมดนี้ก็ยังคงเป็นปริศนาดำมืด จนกว่าจะได้เห็นรถทดสอบออกวิ่ง และข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งน่าจะบอกอะไรได้มากกว่านี้ แต่คาดว่า All-New Mitsubishi Triton น่าจะเปิดตัวได้ภายในช่วงปลายปีเป็นอย่างเร็วที่สุด หรืออย่างช้าคือต้นปีหน้าครับ

Nissan 
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทย : Navara PRO-4X Warrior / All-New Ariya? / All-New Z? / สารพัดรุ่นปรับอุปกรณ์
   ค่าย Nissan ที่ยังคงต้องเหนื่อยกับการต่อสู้กับบรรดาคู่แข่งที่รุกนัก โดย ณ ปัจจุบันคงต้องขอบคุณ Nissan Almera ที่แทบจะเป็นตัวแบกยอดขายทั้งค่าย แถมมีออกรุ่น Sportech อีก คงพอช่วยได้บ้าง ทางด้าน Nissan Terra ที่ปรับโฉมใหม่เมื่อปีที่ผ่านมา ก็ดูจะทำให้ยอดขายดีหลุดพ้นจากปากเหวได้ได้บ้าง ในปีนี้จะมีรุ่นไหนของ Nissan เปิดตัวใหม่บ้าง ก็คาดเดาได้ยากเหมือนกัน เพราะค่ายนี้ อะไรที่คนไทยมองว่าสวย ๆ ดี ๆ มักไม่เอามาขายหลายรุ่นแล้ว ก็คงต้องอาศัย "V. to เดา" ในการคาดเดาว่ารุ่นไหนมีโอกาสที่จะเปิดตัวบ้าง

   ตลาดกระบะที่กำลังมีการแข่งขันรุนแรง ก็หวังว่าปีนี้คงจะได้เห็น Nissan กระตุ้นตลาดบ้าง สิ่งที่เดาว่าน่าจะมีโอกาสมาก็คือ Nissan Navara PRO-4X Warrior เป็นการเอาตัวแต่ง Navara PRO-4X มาต่อยอดให้รถมีภาพลักษณ์ที่เท่และแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งการปรับแต่งครั้งนี้ทำโดย Premcar หนึ่งในบริษัทด้านวิศวกรรมยานยนต์และการผลิตชั้นนำของออสเตรเลีย ที่เป็นพันธมิตรหลักของ Nissan ถ้ามาไทยแล้วตั้งราคาไม่เกิน 1.2 ล้านน่าจะพอไปได้

   อีกคันที่ลุ้นให้เปิดตัวและเข้ามาทำตลาดในไทย ก็คือ Nissan Ariya (นิสสัน อริยะ / ตอนแรกผมอ่านว่า อารียา แต่เห็น Nissan เรียก อริยะ ก็เลยตามนั้นครับ 555) รถอเนกประสงค์ไฟฟ้าดีไซน์หรู ที่โดดเด่นทั้งดีไซน์และเทคโนโลยี โดยมีขุมพลังทางเลือก 4 แบบคือ

- แบบพื้นฐาน มาพร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหลังที่มีแบตเตอรี่ขนาด 65 kWh พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าพละกำลังรวม 215 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 7.5 วินาที ท็อปสปีด 160 กม./ชม. สามารถวิ่งได้ในระยะทางสูงสุด 450 กม. จากการชาร์จ 1 ครั้ง

- ถัดมาเป็นรุ่นแบตเตอรี่ 90 kWh ขับเคลื่อน 2 ล้อเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมอเตอร์ไฟฟ้าที่พละกำลังเพิ่มเป็น 239 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร แต่อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 7.6 วินาที ช้ากว่านิดหน่อย มีท็อปสปีดเท่ารุ่นพื้นฐานคือ  160 กม./ชม. สามารถวิ่งได้ในระยะทางสูงสุด 610 กม. จากการชาร์จ 1 ครั้ง

- รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ แบตเตอรี่ 65 kWh แต่มากับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวที่ให้พละกำลังรวม 335 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 560 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาแค่ 5.4 วินาทีเท่านั้น ก่อนทะยานไปสู่ท็อปสปีด 200 กม./ชม. สามารถวิ่งได้ในระยะทางสูงสุด 430 กม. จากการชาร์จ 1 ครั้ง

-  รุ่นท็อปสุดที่มากับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อพร้อมแบตเตอรี่ 90 kWh รวม 389 แรงม้า แรงบิด สูงสุด 600 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาแค่ 5.1 วินาทีและท็อปสปีด 200 กม./ชม.  สามารถวิ่งได้ในระยะทางสูงสุด 580 กม. จากการชาร์จ 1 ครั้ง

  ทางด้านเทคโนโลยีความปลอดภัยนั้น จะติดตั้ง ProPILOT 2.0 เวอร์ชั่นล่าสุด โดยเวอร์ชั่นแรกจะมีระบบช่วยผู้ขับขี่ควบคุมรถให้อยู่กลางเลนและช่วยในการขับขี่บนทางหลวงไม่ว่าจะช่วยหยุดหรือไปก็ได้ แต่เวอร์ชั่น 2.0 นั้นจะอนุญาตให้ผู้ขับขี่สามารถละมือจากพวงมาลัยได้ในบางสถานการณ์ โดยตัวรถจะติดตั้งกล้องรอบคัน 7 ตัว, เรดาร์และเซ็นเซอร์อัลตราโซนิกโซนาร์ 12 ตัว

   ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความกล้าของ Nissan แล้วละครับว่าจะใจถึงเอารุ่นนี้เข้ามาขายหรือเปล่า แต่บอกเลยว่าถ้ามาไทย ราคา "ไม่ถูก" แน่นอน ด้วยราคาที่ญี่ปุ่นจำหน่ายอยู่ที่ 5,390,000-7,400,800 เยน (ประมาณ 1,555,000-2,136,000 บาท) ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้ามาไทยจะแพงแค่ไหน

    และไหน ๆ Nissan ก็ใจป้ำเอา GT-R เข้ามาจำหน่ายในไทยแล้ว ก็หวังใจว่าทางค่ายจะใจป้ำอีกครั้งด้วยการเอา Nissan Z รุ่นใหม่เข้ามาจำหน่ายบ้าง เพราะเจเนเรชั่นก่อน ๆ นั้นก็เคยเอาเข้ามาจำหน่ายอยู่เหมือนกัน จะได้เอามาฟาดฟันกับ Toyota GR Supra ที่ TMT มีวางจำหน่ายอยู่ 
   
   Nissan Z เปิดตัวครั้งแรกเมื่อครึ่งปีหลังของปีทีผ่านมา หลังจากที่เผยโฉม Prototype ในปี 2020 ดีไซน์ของรถนั้นได้มีการผสมผสานเอกลักษณ์จาก Z รุ่นเก่า ๆ ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา เข้ากับงานออกแบบยุคใหม่ จะมากับเครื่องยนต์เบนซินรหัส VR30DDTT ความจุ 3.0 ลิตร V-6 Twin Turbo พละกำลังสูงสุด 405 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 475 นิวตันเมตรที่ 5,600 รอบ/นาที เพิ่มจากเดิมถึง 69 แรงม้า (PS) และแรงบิดเพิ่มขึ้น 30% ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ก็หวังใจว่า Nissan บ้านเราจะเอามาล่อสาวกหน่อยนะครับ

   นอกจากนั้นแล้วเราก็น่าจะได้เห็นสารพัดรุ่นปรับโฉม หรือปรับอุปกรณ์ ออกชุดแต่งพิเศษจากค่ายนี้ครับ รอดูกันต่อไปยาว ๆ

Peugeot
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทย :  e-2008 / Landtrek
  ค่ายสิงโตในปีที่ผ่านมานั้น มีการปรับโฉมรถอเนกประสงค์ทรงสวยอย่าง 3008 และ 5008 รวมทั้งลงสู้ศึก B-SUV อย่างเป็นทางการเสียทีด้วยการเปิดตัว 2008 หลังจากที่เอามาโชว์ตัวนานข้ามปี

   สำหรับปีนี้นั้น รถที่น่าจับตาว่าจะเข้ามาจำหน่ายในไทยก็จะมีหรือเวอร์ชั่นขุมพลังไฟฟ้าล้วนของ 2008 ที่จะมากับชุดแบตเตอรี่ 50 kWh และมอเตอร์ไฟฟ้าพละกำลังสูงสุด 136 แรงม้า รองรับระบบการชาร์จอย่างรวดเร็วด้วยไฟกำลัง 100 kW ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่จนถึง 80% ในเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้ Peugeot 2008 โฉมใหม่สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดตามมาตรฐาน Worldwide Harmonised Light Vehicle Test Procedure (WLTP) ของยุโรปที่ 311 กม. และเนื่องจากแบตเตอรี่ถูกติดตั้งอยู่ในตำแหน่งใต้พื้นตัวถังรถจึงทำให้พื้นที่ภายในรถห้องโดยสารเท่ากับรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในเลย

  ฟังดูอาจจะไม่ได้เป็นตัวเลขที่หวือหวามาก แต่ก็จัดว่าน่าสนใจไม่น้อย และเห็นว่ารุ่นนี้มีแผนทำตลาดที่มาเลเซียช่วงไตรมาสที่ 4 ปีนี้ จึงมีโอกาสสูงที่จะมาทำตลาดในไทยด้วย เอาเป็นว่ารอติดตามกันต่อไป

   แต่ไฮไลต์ที่ต้องจับตาสุด ๆ เลยก็คือ กระบะ Peugeot Landtrek คันนี้ ทว่านี่ไม่ใช่รถฝรั่งเศสแท้ ๆ แต่ "อั๊วเปงลกฝาหลั่งเสก" 
ใช่ครับ...เนื้อแท้คันนี้เป็นกระบะจีนนี่แหละ โดยใช้พื้นฐานกระบะจีน Changan Kaicheng F70 แต่ก็จัดว่าดูดีมีสไตล์ไม่น้อย 

   ขุมพลังทางเลือกของ Landtrek จะมี 2 แบบ คือ
- เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 1.9 ลิตร พละกำลัง 150 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด 
- เครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตรเทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุด 210 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 สปีดหรือเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด 
มีระบบขับเคลื่อนล้อหลังและขับเคลื่อน 4 ล้อให้เลือก

    มีรายงานว่า Peugeot Landtrek จะทำตลาดในมาเลเซียช่วงไตรมาสที่ 3 ปีนี้ คาดว่าจะผลิตที่โรงงาน Naza Automotive Manufacturing (NAM) ที่เมือง Kedah  ที่ทางกลุ่ม Stellantis เพิ่งซื้อไม่นาน อีกทั้งยังมีแผนจะส่งรุ่นนี้เข้ามาทำตลาดในไทยอันเป็นตลาดกระบะที่ใหญ่ที่สุดอันดับต้น ๆ ของโลก แต่ก็อย่างที่รู้ว่าตลาดกระบะบ้านเรานั้นไม่หมูเลย เอาเป็นว่ารอติดตามกันต่อไป

Proton
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทย : X50 (เดบิวต์แบรนด์อย่างเป็นทางการให้ได้ก่อน เรื่องรถว่ากันที่หลัง)
   ค่ายรถยนต์แห่งชาติมาเลเซียที่ ณ ตอนนี้อยู่ภายใต้ชายคาของบริษัทจีนยักษ์ใหญ่อย่าง Geely แล้ว หลังจากที่เงียบหายตายจากตลาดไทยไปนานสองนาน และในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ดูเหมือนจะมีเสียงร่ำลือว่า Proton เตรียมกลับมาทำตลาดในไทยอีกครั้งในอนาคตอันใกล้นี้ และจะไม่ทำตลาดโดยพระนครยนตรการเหมือนเดิมแล้วด้วย


  สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมที่สุดถึงสัญญาณนี้ก็คือ การที่มีคนพบเห็นรถทดสอบ Proton X50 วิ่งพรางตัวทดสอบในไทย ทำให้คาดการณ์กันว่ารถคันนี้น่าจะเป็นหัวหอกที่จะใช้บุกตลาดไทย โดยรถจะจัดอยู่ในพิกัดเดียวกับ Toyota Corolla Cross, Honda HR-V, Mazda CX-30 ฯลฯ 

   สำหรับ Proton X50 เป็นรถที่ใช้พื้นฐานจากรถ Geely Binyue รอบคันจะเป็นดีไซน์ของ Geely แทบทั้งหมด Proton แค่เอามาเปลี่ยนกระจังหน้าใหม่แบบ Infinite Weave ที่เป็นเอกลักษณ์ของค่าย เช่นเดียวกับภายในที่ค่อนข้างดูสวยทันสมัย ต่างจาก Geely เพียงแค่การเปลี่ยนโลโก้ และย้ายพวงมาลัยจากซ้ายมาขวาเท่านั้น

ขุมพลังของรถจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 3 สูบแถวเรียง 12 วาล์ว DOHC เทอร์โบชาร์จ มีพละกำลังให้เลือก 2 ระดับ คือ
- พละกำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 226 นิวตันเมตรที่ 1,500-4,500 รอบ/นาที
- พละกำลังสูงสุด 177 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 255 นิวตันเมตรที่ 1,500-4,000 รอบ/นาที 
ทั้งหมดส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 7 สปีด 

เอาเป็นว่าต้องรอติดตามข่าวสารกันต่อไปว่าทาง Proton จะบุกตลาดไทยจริง ๆ หรือไม่ และจะมาเมื่อไหร่

Porsche
รถใหม่ในตลาดโลก (และบางคันน่าจะมาไทยด้วย) : 911 GT3 RS / Macan EV / Cayenne Minor Change / Panamera 2nd Minor Change
 
ภาพจาก Motorauthority

  ค่ายสปอร์ตหน้ากบเยอรมัน ยังคงเปิดตัวรถในไลน์อัพ 911 อยู่ต่อเนื่อง ปีที่ผ่านมานั้นมีการเปิดตัว 911 GT3 ไปแล้ว ปีนี้ก็น่าจะถึงคิวเวอร์ชั่นที่ดิบขึ้นอย่าง 911 GT3 RS ซึ่งจะมีการอัปเดตดีไซน์ ชิ้นส่วนต่าง ๆ รวมทั้งงานวิศวกรรมหลายจุด ให้ดุขึ้นจาก GT3 ไปอีกระดับ โดยขุมพลังคาดว่าจะมากับ เครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตรแบบ Flat-Six ไร้เทอร์โบ แต่น่าจะอัปเกรดพละกำลังสูงสุดมากกว่า 520 แรงม้า การเปิดตัวน่าจะมีขึ้นช่วงต้นปีถึงกลางปีนี้

      ในส่วนของรถกลุ่ม SUV นั้น หลังจากเมื่อปีที่ผ่านมา ทาง Porsche ได้ปรับโฉมให้กับ Macan เพื่อลากขายต่ออีกสักระยะสำหรับใครที่ยังอยากได้เครื่องยนต์สันดาปภายในอยู่ แต่ทว่าตอนนี้พวกเขากำลังทำงานกับ Macan เจเนเรชั่นใหม่ที่ในรูปแบบขุมพลังไฟฟ้าล้วนแล้ว และอยู่ในระหว่างการทดสอบอยู่

   Porsche Macan EV จะเป็นรถรุ่นแรกของค่ายพัฒนาบนแพลตฟอร์ม Premium Platform Electric (PPE) อันเป็นแพลตฟอร์มไฟฟ้าล้วน ที่จะถูกนำไปใช้ใน Audi Q6 e-tron ที่จะเปิดตัวในอนาคตอันใกล้ รวมทั้ง Audi A6 e-tron อีกด้วย

ภาพจาก Carscoops

   โดย Porsche Macan EV จะมาพร้อมระบบไฟฟ้าแรงดันสูง 800 โวลต์ เช่นเดียวกับ Taycan แม้ยังไม่มีข้อมูลนิคแต่ Porsche ยืนยันแล้วว่ารถจะมีพิกัดระยะทางวิ่งมากกว่า Taycan ซึ่งมีรุ่นที่วิ่งได้สูงสุดราว ๆ 600 กม. บวกลบ คาดว่า Macan EV อาจเปิดตัวอย่างเร็วที่สุดช่วงปลายปีนี้ หรืออย่างช้าต้นปีหน้า

ภาพจาก Carscoops

   รุ่นพี่ Porsche Cayenne เองก็ดูเหมือนจะได้ฤกษ์ปรับโฉม Minor Change กลางอายุตลาดแล้วเช่นกัน ซึ่งดูจากภาพรถทดสอบก็น่าจะปรับเยอะพอสมควร ทั้งด้านหน้าที่ได้ไฟหน้าทรงใหม่  พร้อมกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ เช่นเดียวกับด้านท้ายที่มีการออกแบบไฟท้ายใหม่ ฝากระโปรงท้ายใหม่ และกันชนท้ายใหม่ เห็นชัดว่ามีการย้ายตำแหน่งติดป้ายทะเบียนจากฝาท้ายมาไว้ที่กันชนท้ายด้วย

ภาพจาก Motorauthority

  ส่วนภายในห้องโดยสารจะมีการปรับเปลี่ยนหลายอย่าง ทั้งพวงมาลัยทรงใหม่ หน้าจอกลางใหม่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นที่น่าจะมากับระบบอินโฟเทนเมนต์เวอร์ชั่นล่าสุด พร้อมทั้งคอนโซลกลางใหม่ที่มากับสวิตซ์เกียร์แบบใหม่ด้วย ยังไม่มีข้อมูลเรื่องขุมพลัง แต่คาดว่าคงไม่ต่างจากเดิมมาก คาดว่ารุ่นใหม่น่าจะเปิดตัวได้ช่วงกลางปีถึงปลายปีนี้

ภาพจาก Carscoops

    ปิดท้ายด้วยอีกหนึ่งคันที่มีแววจะมาปีนี้เช่นกัน Porsche Panamera ที่ดูเหมือนว่าจะมีการปรับโฉมเป็นรอบที่ 2 หลังจากที่รุ่นปรับครั้งแรกไม่เน้นปรับโฉมมากแต่เน้นปรับสมรรถนะมากกว่า รอบนี้จะเห็นชัดว่ามีการอัปเดตหน้าใหม่ ส่วนด้านท้ายคงไม่ปรับมากเพราะปรับไปแล้วเมื่อครั้งปรับรอบแรก คาดว่าภายในคงมีการอัปเดตเทคโนโลยีให้ทันสมัยขึ้นเฉกเช่นเดียวกับ Cayenne ที่จะปรับโฉมปีนี้เช่นเดียวกัน คาดการเปิดตัวคงมีขึ้นในครึ่งปีหลังของปีนี้
  
  
Subaru
รถใหม่ในไทย :  All-New BRZ / Forester Minor Change / All-New WRX 
  ค่ายดาวลูกไก่ที่ใคร ๆ ก็หลงรัก ปีที่ผ่านมามีตัวเด่นอย่าง Outback เปิดตัว และทิ้งท้ายไม้ตายเด็ดของค่ายด้วย XV Minor Change ที่อัดความปลอดภัย Eyesight ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้งปีนี้ ในต่างประเทศก็มีรุ่นใหม่หลายรุ่นเปิดตัวและก็น่าจะมาไทยเช่นกัน

   คันแรกที่มีแววมาแน่นอนก็คือ All-New Subaru BRZ คูเป้ตัวจี๊ดเจเนเรชั่นใหม่ที่วางขายในต่างประเทศมาระยะหนึ่งแล้ว ล่าสุดในไทยเห็นว่ามีการเปิดจองและเอาข้อมูลรถลงเว็บไซด์ Subaru Thailand แล้วด้วย คิดว่าเร็ว ๆ นี้คงมีการเปิดตัวเปิดราคาออกมา 

   BRZ โฉมใหม่นั้นมาพร้อมแซสซีส์ใหม่ที่ปรับให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำลง เสริมความแข็งแรงเพิ่มเติมในหลายๆ จุด ชิ้นส่วนตัวรถหลายจุดทำจากอะลูมิเนียม เช่น หลังคา, ซุ้มล้อหน้า และฝากระโปรงหน้า ส่งผลให้รถมีน้ำหนักที่ 1,315 กิโลกรัม ซึ่งทางค่ายเคลมว่าเบาสุดในตลาด มิติตัวถังของรถมีขนาดยาวขึ้น 30 มิลลิเมตร กว้างเท่ารุ่นเดิม แต่เตี้ยลง 10 มิลลิเมตร ระยะฐานล้ออยู่ที่ 2,575 มิลลิเมตร (เพิ่มขึ้น 5 มิลลิเมตร)

   ห้องโดยสารมาพร้อมหน้าปัดใหม่แบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว ที่แสดงข้อมูลต่างๆ ที่สำคัญ, หน้าจอสัมผัสตรงกลาง 8 นิ้ว รองรับระบบอินโฟเทนเมนต์ Subaru Starlink รองรับการเชื่อมต่อ Android Auto, Apple CarPlay อีกด้วย

   ขุมพลังจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน Flat-Four ความจุ 2.4 ลิตรไร้เทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 228 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดหรืออัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sport Mode เอาเป็นว่ามารอติดตามข้อมูลและราคาสเปคไทยกันครับ

  คันต่อมาที่ได้คิวปรับโฉม Minor Change ในไทยแล้ว นั่นก็คือ Subaru Forester ใหม่ที่เปิดตัวรุ่นปรับโฉมไปแล้วเมื่อกลางปีที่ผ่านมา มีการปรับให้ดูสวยทันสมัยขึ้นมากทีเดียว โดยปรับในส่วนของไฟหน้าใหม่ กระจังหน้าใหม่ กันชนหน้าใหม่ เช่นเดียวกับล้อลายใหม่ และมีโทนสีใหม่ๆ ให้เลือก ส่วนด้านท้ายยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงด้านภายในห้องโดยสารยังคงดีไซน์เดิม เพิ่มเติมคือแนะนำโทนสีการตกแต่งใหม่

  ขุมพลังเครื่องยนต์คาดว่าจะยังใช้ขุมพลังเดิม นั่นคือ เครื่องเบนซิน 2.0 ลิตรแบบลูกสูบนอน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ระบบหัวฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง พละกำลังสูงสุด 156 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 196 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT

  แต่ก็แอบคาดหวังว่าจะมีขุมพลังใหม่ ๆ เข้ามาแบบญี่ปุ่นบ้าง เช่น
- เครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 4 สูบขนาด 2.0 ลิตร e-Boxer พละกำลังสูงสุด 145 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 188 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที ผสานกำลังกับมอเตอร์ไฟฟ้า 13.6 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 65 นิวตันเมตร
- เครื่องยนต์เบนซินรหัส CB18 ความจุ 1.8 ลิตรเทอร์โบ 4 สูบ บล็อกเดียวกับ Levorg โฉมล่าสุด มากับพละกำลังสูงสุด 177 แรงม้า (PS) ที่ 5,200-5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตรที่ 1,600-3,600 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Lineartronic CVT

    ระบบความปลอดภัย มาพร้อมชุดความปลอดภัย "New Generation EyeSight" ที่ขยายมุมการตรวจจับของกล้องสเตอริโอ ช่วยในการขับขี่ทางโค้งได้เฉียมคมขึ้นและตรวจจับพาหนะที่ขวางในช่วงระยะทางสั้นๆ ได้ คาดว่า Subaru Forester Minor Change จะเปิดตัวในไทยช่วงกลางปีนี้เป็นอย่างเร็ว หรืออย่างช้าปลายปีนี้

   อีกคันที่มีแววจะตามมาอีกรุ่นก็คือ All-New Subaru WRX สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มใหม่ Subaru Global Platform เหมือนเช่น Outback และ Impreza โฉมล่าสุดนั่นเอง รูปลักษณ์ภายนอกได้รับการออกแบบให้มีความเฉียบคมขึ้นทั้งในส่วนไฟหน้า ไฟท้าย รวมทั้งเส้นกรอบประตูหลัง และความโดดเด่นของคันนี้คงจะเป็นการเสริมคิ้วซุ้มล้อพลาสติกสีดำรอบคัน ซึ่งมองผ่าน ๆ ก็ดูแปลกตา เหมือนเป็น XV ในโฉมซีดานยังไงยังงั้น แต่ดูแล้วให้อารมณ์เป็นรถแรลลี่ไม่น้อย โดยทาง Subaru บอกว่าสิ่งนี้จะช่วยในเรื่องการลดแรงต้านอากาศ

   ขุมพลังเครื่องยนต์ของรถคันนี้จะมากับ เครื่องเบนซิน 2.4 ลิตร Boxer 4 สูบเทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุด 271 แรงม้าที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตรที่ 2,000-5,200 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด หรือ อัตโนมัติ CVT แบบ Subaru Performance Transmission มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Subaru Symmetrical All-Wheel Drive ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของค่าย และระบบช่วยควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง  Active Torque Vectoring
  
   แม้ว่าพละกำลังจะไม่เพิ่มมากกว่ารุ่นก่อนมากนัก แต่ด้วยการใช้แพลตฟอร์มใหม่ ส่งผลให้โครงสร้างของรถแข็งแรงขึ้น มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำลง ช่วยลดอาการโคลงขณะเข้าโค้ง  มาพร้อมกับเทคโนโลยี EyeSight ที่ปรับปรุงกล้องตรวจจับในมุมมองที่กว้างขึ้นและปรับปรุงซอฟท์แวร์ใหม่ให้ทำงานได้หลากหลายขึ้น หวังว่าในปีนี้เราน่าจะได้เห็นกันครับ

Suzuki
รถใหม่ในต่างประเทศ (และน่าจะมาไทยด้วย) : All-New Celerio? / Ertiga & XL7 Minor Change 
    ค่าย Suzuki ที่ช่วงปีสองปีนี้อาจจะไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวใหญ่ ๆ มากนัก เพราะไม่มีโมเดลใหม่หมดจดเปิดตัว อย่างมากก็จะมีแค่รุ่นปรับโฉมและปรับอุปกรณ์ออกมาเท่านั้น

   ปีนี้ ต้องมาลุ้นกับรถอีโคคาร์ไซส์เล็กอย่าง All-New Suzuki Celerio ที่เปิดตัวที่อินเดียปลายปีที่ผ่านมา โดยรูปลักษณ์ได้พลิกจากเดิมไปพอสมควร ดูมีความมนและน่ารักบ๊องแบ๊วขึ้นกว่าเดิม แต่ยังคงไว้ซึ่งขนาดตัวถังที่ดูเล็กกะทัดรัดเหมือนเดิม 

    ตัวรถพัฒนาบนแพลตฟอร์มใหม่  HEARTECT เหมือน Swift โฉมปัจจุบัน มีมิติตัวถังที่ใหญ่ขึ้นในทุกมิติ ด้วยความยาว 3,695 มิลลิเมตร กว้าง 1,655 มิลลิเมตร สูง 1,555 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,435 มิลลิเมตร 
(เทียบกับรุ่นเก่าแล้วนั้น รุ่นใหม่ยาวขึ้น 95 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 55 มิลลิเมตร สูงขึ้น 15 มิลลิเมตร ฐานล้อยาวขึ้น 10 มิลลิเมตร)

   ส่วนภายในก็มีการออกแบบให้ดูทันสมัยขึ้น มีออปชั่นและเทคโนโลยีมากขึ้นเท่าที่รถเล็กราคาถูกแบบนี้ควรจะมี สิ่งที่เห็นชัดเจนในแบบที่รถยุคใหม่ควรมีก็คือ วิทยุหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้วที่รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ซึ่งก็มีให้ในเกรดท็อป นอกจากนั้นก็จะมีพวงมาลัยพร้อมปุ่มมัลติฟังก์ชั่นให้ มีเบาะหลังที่พับได้แบบ 60:40 ให้

     ขุมพลังเครื่องยนต์จะมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินรหัส K10C ความจุ 1.0 ลิตร พละกำลังสูงสุด 66 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 89 นิวตันเมตรที่ 3,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด หรือเกียร์อัตโนมัติ Auto Gear Shift

   Celerio โฉมปัจจุบันก็นับว่าได้รับความนิยมอยู่ประมาณหนึ่ง เชื่อว่าถ้ารุ่นใหม่มาไทยก็น่าจะมีเสียงตอบรับไม่น้อย ยังไงก็รอติดตามต่อไปว่าจะมาหรือไม่ ถ้ามาจะมาตอนไหน

   ในส่วนของตลาด MPV 7 ที่นั่งขนาดเล็กเมืองไทยน่าจะสนุกสนานทีเดียว ด้วยการมาของ Toyota Veloz โฉมใหม่ รวมไปถึง Mitsubishi Xpander Minor Change และ Honda BR-V ที่จะตามมาอีก 

ภาพจาก Gaadiwaadi

   ทางด้าน Suzuki เองก็ดูจะมีไม้เด็ดเอามาเตรียมต่อกรเช่นกัน นั่นคือ Ertiga และ XL7 ที่ดูเหมือนว่ากำลังเตรียมปรับโฉมใหม่ ซึ่งกำลังวิ่งทดสอบอยู่ที่อินเดีย ดูจากภาพรถทดสอบของทั้งคู่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก โดยเฉพาะ Ertiga ที่เปลี่ยนแค่กระจังหน้าเท่านั้น แต่ก็ต้องมาลุ้นว่าจะมีปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรมากกว่านี้หรือเปล่า

  ซึ่งตามสไตล์ Suzuki บ้านเราเวลาปรับโฉมก็ไม่ค่อยเพิ่มอะไรมากอยู่แล้ว แต่ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่ารุ่นปรับโฉมของ Ertiga และ XL7 จะเปิดตัวที่อินเดียเมื่อไหร่ และอีกอย่างไทยต้องรอความเคลื่อนไหวจากทางอินโดนีเซีย (ที่เรานำเข้าเขามา) ด้วย อินโดมาเมื่อไหร่ ไทยก็ตามหลังจากนั้น

Toyota / Lexus 
Toyota - รถใหม่ในไทย : รวมมิตรรุ่นพิเศษฉลองครบรอบ 60 ปี / All-New Avanza Veloz / GR 86? / GR Corolla? / Minor Change & Model Year 2022-2023
   ปีนี้น่าจะเป็นปีที่ค่อนข้างพิเศษสำหรับ Toyota บ้านเรา เพราะเป็นปีที่ Toyota Motor Thailand ดำเนินกิจการในประเทศไทยครบ 60 ปีพอดี ดังนั้นในปีนี้เราน่าจะได้เห็นหลากหลายรุ่นพิเศษฉลองครบรอบ 60 ปีจาก Toyota แน่ ๆ โดยน่าจะคัดจากรถขายดีของขายมาทำเป็นรุ่นพิเศษ เช่น Fortuner, Hilux Revo, Yaris & ATIV อะไรพวกนี้ ยังไงก็ต้องรอติดตามครับ

   ที่แน่ ๆ ที่ได้ข่าวมาแล้วก็คือ Fortuner เตรียมมีรุ่นย่อยพิเศษใหม่ 1 รุ่นออกขาย และผลิตจำนวนจำกัดจำนวน  ซึ่งตอนนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดครับว่า เป็นรุ่นพิเศษแบบไหน 
แต่อย่างที่บอกว่าปีนี้ที่ Toyota Motor Thailand จะดำเนินกิจกรรมในไทยครบ 60 ปีพอดี ก็เป็นไปได้เหมือนกันว่านี่อาจเป็นรุ่นฉลอง 60 ปีก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูต่อไปเพราะรุ่นฉลอง 40 หรือ 50 ปีที่ผ่านมามักจะได้สีแปลก ๆ ตลอด
.
ข้อมูลของตัวพิเศษ Fortuner นี้ก็จะมี
- รถใช้พื้นฐานจาก 2.4 V 2WD
- ภายนอกมากับกระจังหน้า และชุดตกแต่งกันชนหน้าใหม่, ล้อขนาด 20 นิ้ว, มีสติ๊กเกอร์บ่งบอกรุ่นพิเศษ (Gradename Sticker), กรอบประตูหลังเปลี่ยนจากโครเมียมเป็นสีดำ และ เปลี่ยนบันไดข้างเป็นสีดำ
- สีตัวถังมีให้เลือก 2 สีคือ แดงหลังคาดำ และ ขาวหลังคาดำ
- ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยโทนสีดำสลับแดง
- ช่วงล่างในส่วนของโช้คอัพ มีการปรับจูนพิเศษ
-เพิ่มระบบความปลอดภัย 2 ระบบ
  ** ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM (Blind Spot Monitor)
  ** ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
- รุ่นนี้จะมาแทรกระหว่าง 2.4 V 2WD และ 2.4 V 4WD คาดราคาค่าตัว 1.5 ล้านบาทบวกลบ
- ผลิตจำนวนจำกัดราว ๆ 270 คันต่อเดือน ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมิถุนายน 2565
 ทั้งหมดก็ประมาณนี้ เอาเป็นว่ามารอติดตามกันต่อไป

  แต่คันที่ค่อนข้างน่าสนใจและน่าจับตาไม่น้อยก็คือ Toyota Veloz รถ MPV 7 ที่นั่งเวอร์ชั่นที่ดูดีและแพงขึ้นจาก Avanza ซึ่งทั้งคู่ต่างเพิ่งเปลี่ยนโฉมหมาด ๆ ที่อินโดนีเซียเมื่อปลายปีที่แล้ว แต่ใครจะคาดคิดว่า Toyota Motor Thailand มีแผนจะนำเข้า Veloz เข้ามาจำหน่ายแทน Avanza ในปัจจุบัน ข้อมูลเท่าที่ทราบจะมีทำตลาด 2 รุ่นย่อย คือ Mid และ High แบ่งออปชั่นคร่าว ๆ ได้ประมาณนี้

* Mid *
 + ล้อขนาด 16 นิ้ว
 + มาตรวัดแบบดิจิตอล TFT ขนาด 7 นิ้ว
 + หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว
 + เบรกมือไฟฟ้า พร้อม Auto Brake Hold
 + กล้องมองหลัง (คาดว่าต้องมี เพราะสเปคอินโดฯ ตัวล่างมี)
 + เซ็นเซอร์กะระยะถอยหลัง (คาดว่าต้องมี เพราะสเปคอินโดฯ มี)
 .
* High * (สิ่งที่จะได้เพิ่มจาก Mid) 
 + ตกแต่งภายนอกรอบคันเพิ่มเติม
 + ล้อขนาด 17 นิ้ว
 + หน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว
 + ไฟส่องเท้า
 + ชุดความปลอดภัย Toyota Safety Sense ได้แก่
      - ระบบเตือนความปลอดภัยก่อนการชน Pre Collision System
      - ระบบช่วยเตือนเมื่อรถคันหน้าออกตัว Front Departure Alert
      - ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Assist
      - ระบบช่วยป้องกันการชนเมื่อผู้ขับขี่เหยียบคันเร่งผิดพลาด Pedal Misoperation Control
 + ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาด้านข้าง Blind Spot Monitoring 
 + ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาขณะถอยหลัง Rear Crossing Traffic Alert
 + กล้องมองภาพรอบทิศทาง
 + ถุงลมนิรภัย 6 ใบ

ทุกรุ่นมากับเครื่องยนต์เบนซินรหัส 2NR-VE ความจุ 1.5 ลิตร  4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว Dual VVT-i พละกำลังสูงสุด 106 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 137 นิวตันเมตรที่ 4,200 รอบ/นาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติ CVT และระบบขับเคลื่อนล้อหน้า คาดว่าการเปิดตัวจะมีขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้

   สำหรับตัวแรงตระกูล GR แล้วนั้น ด้วยความที่ Toyota เองก็นำเข้าตัวแรง GR เข้ามาหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น GR Supra และ GR Yaris ปีนี้ก็แอบหวังว่าเราอาจจะได้เห็น Toyota GR 86 เข้ามาทำตลาดบ้าง เพราะก่อนหน้านี้ Toyota ก็เคยทำตลาดรถสปอร์ต 86 เช่นเดียวกัน โฉมนี้ก็ยังคงถูกพัฒนาร่วมกับ Subaru BRZ แต่ทาง Toyota ก็พยายามอย่างมากเพื่อให้ GR 86 มีความเป็นตัวเองให้ได้มากที่สุด เห็นได้จากงานออกแบบด้านหน้าที่มีการออกแบบใหม่ตามสไตล์ Toyota ซึ่งจะมากับกระจังหน้าแบบ Functional Matrix เหมือนใน GR Yaris อีกทั้งยังปรับดีเทลไฟหน้า LED ให้แตกต่างจาก BRZ เล็กน้อย ส่วนภายในก็มีการปรับปรุงการตกแต่งให้แตกต่างกันเช่นกัน 

   ทางด้านขุมพลังจะมากับเครื่องเบนซิน Flat-Four ความจุ 2.4 ลิตรไร้เทอร์โบเหมือน Subaru BRZ พละกำลังสูงสุด 235 แรงม้าที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรที่ 3,700 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดหรืออัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sport Mode มาพร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหลัง เช่นเดียวกับความปลอดภัยที่ยกเอาเทคโนโลยีความปลอดภัย Eyesight ของ Subaru มาติดตั้งด้วย

   ยังไงก็ต้องติดตามกันต่อไป ถ้ามาไทยอย่างที่เดาไว้จริง คาดว่าต้นปีช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ช่วงงาน Motor Show น่าจะได้เห็นกัน (ถ้าไม่เจอพิษโควิดโอมิครอนจนจัดงานไม่ได้)

    และยังมีอีกหนึ่งตัวแรงตระกูล GR ที่น่าจับตา นั่นคือ Toyota GR Corolla ที่ใช้พื้นฐานของ Toyota Corolla Hatchback ที่ไม่มีจำหน่ายในไทย แต่ก็เชื่อว่าชาวไทยหลายคนอยากให้ Toyota Motor Thailand นำเข้าโฉมนี้มาจำหน่าย โดยไม่นานที่ Instagram "toyotausa" ซึ่งมีรูปโฆษณาของ Corolla Hatchback เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมและ GR 86 เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทาง Toyota ได้ทิ้ง Easter Egg สำคัญไว้ว่าจะมีการเปิดตัวอีกหนึ่งตัวแรงตระกูล GR นั่นคือ "GR Corolla" ในรูปแบบตัวถัง Hatchback 

ทาง Toyota ยังไม่ได้ปล่อยทีเซอร์อย่างเป็นทางการ แต่ปล่อยให้เห็นเพียงรูปเล็ก ๆ หรือปรากฏผ่านคลิปโฆษณาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ซึ่งภายใต้สิ่งเหล่านี้นั้นก็มีคำใบ้ ๆ ต่าง ๆ ที่ทาง Toyota จะสื่อด้วยเช่นกัน

มีการคาดการณ์ว่า GR Corolla จะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร 3 สูบเทอร์โบรหัส G16E-GTS บล็อกเดียวกับ GR Yaris โดยจะมากับพละกำลัง 272 แรงม้า และจะมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ GR-Four อีกทั้งจะมีระบบส่งกำลังให้เลือกแค่เกียร์ธรรมดาเท่านั้น สุดท้ายต้องมารอดูว่า Toyota GR Corolla จะเปิดตัวเมื่อไหร่ และมีโอกาสมาไทยหรือเปล่า ต้องรอชม

    ในส่วนของกระบะและ PPV ยอดนิยมอย่าง Toyota Hilux Revo และ Fortuner นั้น ปีนี้นอกจากจะมีรุ่นพิเศษฉลอง 60 ปีแล้ว ปีนี้ทั้งคู่ก็มีแววจะปรับอุปกรณ์อีกรอบ แต่ไฮไลต์ที่น่าสนใจปีนี้ก็คือ อาจมีการเพิ่มขุมพลัง Hybrid ซึ่งก็มีข่าวลือมาสักพักใหญ่แล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นยังไม่มีข้อมูลทางเทคนิคว่าขุมพลัง Hybrid จะมาในรูปแบบไหน แต่ถ้าให้เดาก็น่าจะมากับขุมพลังแบบดีเซลไฮบริด

   สิ่งที่พอจะเดาได้ ณ ตอนนี้ก็คือ ขุมพลัง Hybrid ในส่วนของกระบะ Revo นั้นน่าจะมีทางเลือก Hybrid แค่ตัวถัง 4 ประตูเท่านั้น (อ้างจากโครงสร้างภาษีสรรพสามิตในเว็บไซด์ http://www.car.go.th/Content/imgs/New/tax-excise1.png และ http://www.car.go.th/Content/imgs/New/tax-excise2.png

   การใส่ขุมพลัง Hybrid นั้น จะส่งผลให้อัตราภาษีสรรพสามิตของทั้ง Revo และ Fortuner ถูกลง 
โดย ณ ปัจจุบันอัตราภาษีสรรพสามิตของ Revo 4 ประตูจะอยู่ที่ 9% ตามด้วย Fortuner อยู่ที่ 20% หากทั้งคู่ติดตั้งขุมพลัง Hybrid จะทำให้อัตราภาษีสรรพสามิตของ Revo 4 ประตูเหลือ 6-8% ส่วน Fortuner จะเหลือ  18% ซึ่งก็จะทำให้ราคาถูกลง และอาจใส่ออปชั่น + ความปลอดภัย 

  นอกจากนี้ ก็ยังหวังว่าในรุ่นย่อยอื่น ๆ จะมีการปรับเพิ่มออปชั่น + ความปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะ Revo ตัวเตี้ยที่ความปลอดภัยยังน้อยมาก อย่างน้อยก็อยากให้ใส่ ระบบควบคุมการทรงตัว มาให้เหมือนใน D-Max ตัวเตี้ยเสียที ส่วนใน Fortuner ก็ควรจะกระจายความปลอดภัยอย่าง Toyota Safety Sense ในเครื่อง 2.4 ลิตรบ้าง เอาเป็นว่าช่วงครึ่งหลังของปีนี้ต้องติดตามกัน

   นอกจากทั้ง Revo และ Fortuner แล้ว ปีนี้ก็หวังเห็นการปรับอุปกรณ์ใน Toyota Corolla Cross ที่หลังจากเจอกระแสความร้อนแรงของ Honda HR-V โฉมใหม่ไป ปีนี้ก็ยังหวังว่า Toyota จะยอมใส่เบรกมือไฟฟ้าพร้อม Auto Brake Hold แบบสเปคญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกาเสียที รวมทั้งใส่ Toyota Safety Sense มาให้มากรุ่นย่อยกว่านี้ด้วย

   และนอกเหนือจากที่พูดถึง เราก็น่าจะได้เห็นอะไรอีกมากจากค่าย Toyota ในปีนี้ ทั้งรุ่นปรับโฉม ปรับอุปกรณ์ รุ่นตกแต่งพิเศษและน่าจะมีอีกหลายเซอร์ไพรซ์ที่รอให้เราได้ติดตามชมกันครับ 

Lexus
รถใหม่ในตลาดโลก (และบางคันน่าจะมาไทยด้วย) : All-New RZ / All-New RX
     ไฮไลต์ที่น่าติดตามสำหรับ Lexus ในปีนี้ น่าจะเป็นการเตรียมเผยเปิดตัวรถพลังงานไฟฟ้าโฉมใหม่ของค่ายอย่าง Lexus RZ ในรุ่น RZ450e ซึ่งรุ่นนี้จะสร้างบนแพลตฟอร์ม e-TNGA เช่นเดียวกับ Toyota bZ4X และ Subaru Solterra  แต่ Lexus ก็จะมีแนวการออกแบบที่แตกต่างจากทั้งคู่โดยสิ้นเชิง ซึ่งทุกท่านสามารถไปอ่านข้อมูลทั้งสองคันนี้ได้ที่ 

  แม้จะยืนอยู่บน e-TNGA แบบ 2 รุ่นที่กล่าวมา แต่จะใช้ขุมพลังคนละแบบ โดย Lexus RZ 450e นั้นจะมากับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบคู่ พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Direct4 ใหม่ เสริมด้วยระบบช่วยกระจายแรงบิดไปยังล้อทั้ง 4 เน้นไดนามิกในการขับขี่ ติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนใต้พื้นขนาด 90 kWh พร้อมระยะทางวิ่งสูงสุดราว ๆ 600 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง

  คาดว่าช่วงต้นปีนี้ Lexus RZ 450e น่าจะเปิดตัวเพื่อมาเป็นคู่แข่ง Tesla Model Y, Ford Mustang Mach-E, Audi Q4 e-tron Sportback หรือ BMW iX3 ส่วนชาวไทยก็ต้องรอดูว่าทาง Lexus จะนำเข้ามาขายหรือไม่

Volvo
รถใหม่ในไทย : C40 Recharge Pure Electric
   ค่ายสวีเดนที่กำลังค่อย ๆ ก้าวเข้าสู่ยุคไฟฟ้าเต็มรูปแบบในอนาคตอันใกล้ ในไลน์อัพที่มีขายในไทย ณ ตอนนี้ก็จะมีแต่รถที่ใช้ขุมพลัง Plug-In Hybrid และ ไฟฟ้าล้วนเป็นหลัก อย่างเมื่อปีที่ผ่านมาก็มีการเปิดตัว Volvo XC40 Recharge Pure Electric รุ่นขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วน 100% คันแรกของค่ายที่ทำตลาดในไทย

  ดังนั้นในปีนี้ เชื่อว่าทางค่ายคงไม่พลาดที่จะเอาอีกหนึ่งรถพลังงานไฟฟ้าเข้ามาทำตลาด นั่นคือ Volvo C40 Recharge Pure Electric หรือ XC40 ไฟฟ้าที่กลายร่างมาเป็นรถอเนกประสงค์ทรงคูเป้ท้ายลาด ใช้แพลตฟอร์ม CMA เหมือนกัน แต่รูปทรงตัวรถมาในแนว Coupe SUV ที่มีช่วงหลังคาด้านหลังลาดเอียง ออกแบบด้านหน้าและด้านท้ายใหม่ให้ดูสปอร์ตขึ้น โดย C40 Recharge คันนี้จะมีทางเลือกเฉพาะไฟฟ้าล้วนอีกด้วย ภายในห้องโดยสารไม่ต่างจาก XC40 มากนัก และด้วยความที่เป็นรถรักษ์โลก 100% ภายในห้องโดยสารจึงปราศจากการตกแต่งด้วยหนังแท้และเป็นรถคันแรกที่ตกแต่งลักษณะนี้

ขุมพลังติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้าและหลัง พละกำลังสูงสุด 408 แรงม้าที่ 13,900 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 660 นิวตันเมตรที่ 0-4,350 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 4.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม. ติดตั้งแบตเตอรี่ขนาด 78 kWh สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 420 กม. ตามมาตรฐาน WLTP การชาร์จไฟด้วยชุดชาร์จกระแสสลับ 11 kW ใช้เวลา 8 ชม. / ชาร์จเร็วกระแสตรง 150 kW ใช้เวลา 40 นาที

  มาจับตาดูกันครับว่ารุ่นนี้จะเข้ามาเปิดตัวในไทยเมื่อไหร่

------------------------------------------

อ่านมาถึงตรงนี้ นั่นหมายความว่าคุณอ่านจบแล้วครับ!

   ต้องบอกเลยว่านี่เป็นหนึ่งในโปรเจคใหญ่ชิ้นหนึ่งที่ทำปีละครั้ง จึงจะเห็นว่าเนื้อหาค่อนข้างเยอะเป็นพิเศษ ตอนแรกผมเองก็เคยคิดว่าจะไม่เขียนบทความนี้แล้ว เพราะคนเริ่มอ่านน้อยลงในแต่ละปี 

   แต่พอได้อ่านฟีดแบ็กล่าสุดของบทความ "รวมรถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2021" ของปีที่แล้ว ก็พบว่ามีคนเข้ามาอ่านถึง 11,919 ครั้ง เทียบกับของปี 2020 มีที่ยอดเข้ามาแค่ 4,277 ครั้งเท่านั้น 

   จึงทำให้คิดว่า งั้นทำต่อดีกว่า จะได้เป็นประโยชน์สำหรับคนที่อยากรับทราบข้อมูลรถใหม่ ๆ ด้วย ข้อมูลทั้งหมดที่พิมพ์มานี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ และหลังจากวันปิดต้นฉบับ (19 ม.ค. 65) อาจจะมีรถรุ่นใหม่เปิดตัวแล้วหลายรุ่น หรือเปิดตัวก่อนหน้านี้แล้วก็ได้

   และก่อนจะจบ อย่างที่กล่าวตั้งแต่ย่อหน้าแรกๆว่าข้อมูลทั้งหมดอาจจะไม่ได้จริงหรือเป๊ะๆ 100% ฉะนั้นเหมือนที่เคยบอกในบทความทุกๆปีเลยว่า "จงเสพข่าวกันอย่างมีสติ" ครับ และพบกันบทความยาวๆแบบนี้ได้ใหม่ "รวมรถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2023" ครับ

เรียบเรียงข้อมูลและเนื้อหาทั้งหมดโดย Car News Update
ขอบคุณที่มาของเนื้อหารูปภาพและแหล่งข่าววงในทุกท่าน

อนุญาตให้นำเนื้อหาเหล่านี้ไปเผยแพร่ได้ไม่ว่ากัน แต่แนะนำว่าควรพิมพ์ในรูปแบบและสไตล์ของตัวเองโดยเฉพาะเว็บบางเว็บที่ชอบก๊อปข่าวไปลงในเว็บตัวเองซึ่งเพจหลายเพจทั้งเพจใหญ่เพจน้อยก็โดนกันมาเยอะ ซึ่งมีอยู่ครั้งหนึ่งผมโดนเว็บนี้เอาเนื้อหาทั้งดุ้นไปลง รูปแบบการเขียนรู้เลยว่าก๊อปปี้มาแก้คำนิดหน่อย และไม่มีการให้เครดิต ไม่มีคำขอโทษจากเว็บนั้น

ถ้าเนื้อหาเรื่องรถที่เปิดตัวเหมือนกันเราอันนี้ยังโอเคไม่ว่ากัน แต่ก๊อปทั้งประโยคทั้งย่อหน้าไปแก้นิดหน่อยมันไม่ใช่ โปรดเห็นใจคนที่อุตส่าห์นั่งพิมพ์นอนพิมพ์ด้วย กว่าจะทำเสร็จใช้เวลานาน แต่ตัวเองยกไปวางแล้วไม่ให้เครดิตคนทำเลย!!

Like Box