วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2561

เจาะข้อมูล Toyota Fortuner TRD Sportivo เตรียมปรับโฉมภายนอกใหม่ เปิดตัวปลายปีนี้

  หลังจากที่เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาทาง Toyota Fortuner ได้มีการอัปเกรดอุปกรณ์ด้วยการติดตั้งระบบ T-Connect Telematics มาให้ในรุ่น 2.8 ลิตร ยกเว้นตัว TRD Sportivo เท่ากับว่า Fortuner ตัวแต่งดีไซน์หล่อยังไม่ได้มีการปรับปรุงอะไรเลย ซึ่งล่าสุดผมก็เพิ่งได้ข่าวจากวงในเกี่ยวกับการปรับปรุงใน Fortuner ตัว TRD Sportivo ที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้

  การปรับปรุงครั้งนี้เน้นไปที่การปรับโฉมภายนอกเท่านั้น ฉะนั้นใครที่คาดหวังการปรับปรุงภายในห้องโดยสารรวมทั้งการเพิ่มระบบความปลอดภัยใหม่ๆ อาจจะต้องผิดหวัเพราะไม่มีข้อมูลว่าจะเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมแต่อย่างใด

  สำหรับการปรับปรุง/เปลี่ยนแปลงภายนอกจะมีดังต่อไปนี้
(1) กรอบไฟตัดหมอกดีไซน์ใหม่
(2) กระจังหน้าสีดำเมทัลลิกและ Dark Chrome
(3) คิ้วไฟหน้าสี Dark Chrome
(4) กระจกมองข้างสีดำเมทัลลิก
(5) ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วปัดเงาแบบทูโทน
(6) ชุดสเกิร์ตกันชนหน้า
(7) คิ้วขอบป้ายทะเบียนสีดำเมทัลลิก
(8) ชุดสเกิร์ตกันชนหลัง

   ขุมพลังยังคงใช้เครื่องยนต์ดีเซล 1GD-FTV 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว DOHC VN Turbo และ Intercooler ขนาด 2.8 ลิตร มากับพละกำลัง 177 แรงม้าที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตรที่ 1,600-2,400 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 สปีดพร้อม Sequantial Shift มีให้เลือกทั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

  Toyota Fortuner TRD Sportivo จะมีสีตัวถังให้เลือกดังนี้
- สีดำ Attitude Black Mica
- สีขาวมุก White Pearl Crystal  (ยกเลิกจำหน่าย)
- สีขาวมุกหลังคาดำ  White Pearl Crystal / Black Top

  Toyota Fortuner TRD Sportivo รุ่นปรับโฉมจะพร้อมเปิดตัวและจำหน่ายภายในช่วงเดือนพฤศจิกายนปีนี้เป็นต้นไป ใครที่กำลังจะซื้อถ้ารอสักหน่อยก็น่าจะดีครับ

เรียบเรียงข้อมูลโดย Car News Update

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2561

ชมภาพถ่าย Spyshot ครั้งแรกของ All-New Honda Fit / Jazz เปิดตัวในช่วงปี 2019-2020

   Honda Jazz โฉมปัจจุบัน (บางตลาดใช้ชื่อว่า Fit) เปิดตัวครั้งแรกเมื่อช่วงปี 2014 และมีการปรับโฉมในปี 2017 ซึ่งตัวรถน่าจะอยู่ในตลาดได้อีกราวๆ 2 ปี แต่ดูเหมือนว่าทาง Honda จะเริ่มเตรียมพร้อมสำหรับ Jazz เจเนเรชั่นใหม่แล้ว ซึ่งจะเห็นได้จากรถทดสอบในภาพ

  จากภาพจะเห็นรถทดสอบกำลังวิ่งอยู่แถวๆทางใต้ของยุโรป เมื่อพิจารณาทรวงทรงแล้วแม้ว่าจะถูกหุ้มด้วยสติ๊กเกอร์รอบคัน แต่ก็พอเห็นได้ชัดเจนว่ายังไงก็เป็น Honda Jazz ค่อนข้างแน่นอน อิงจากกระจกมองข้างที่เหมือนกับ Jazz โฉมปัจจุบัน การออกแบบบริเวณหน้าต่างบริเวณช่วงเสา A และ B ของรถที่มีการออกแบบใหม่แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์เดิมของ Jazz ไว้ แต่ดูแล้วก็แอบมีความสปอร์ตและโค้งมนขึ้นกว่ารุ่นปัจจุบัน

  ช่วงด้านหน้าพรางค่อนข้างเยอะจนแทบจะเดาไม่ออกว่าจะมาแนวไหน เห็นได้จากไฟหน้าที่เหมือนจะเป็นโคมหลอกตาใส่เพื่อไม่ให้รู้การออกแบบรายละเอียดไฟที่แท้จริง อีกจุดที่น่าจะมีการเปลี่ยนครั้งใหญ่น่าจะเป็นส่วนท้ายที่หันมาใช้โคมไฟแนวนอน จากเดิมที่เป็นไฟแนวตั้ง

  ทางด้านเครื่องยนต์ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตรเทอร์โบ 3 สูบ ที่มีพละกำลัง 125 แรงม้าแบบที่ใช้ใน Civic โฉมปัจจุบัน รวมทั้งมีทางเลือกขุมพลังไฮบริดมาให้ (อาจติดมอเตอร์ไฟฟ้าเพิ่มเป็น 2 ตัว) และอาจจะมีเวอร์ชั่นพลังงานไฟฟ้าล้วนๆมาด้วย

  สำนักข่าวญี่ปุ่นรายงานว่า Honda Jazz โฉมใหม่อาจจะมีการเปิดตัวในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2019 (ราวๆเดือนกันยายนเป็นต้นไป) ตลาดอื่นๆ (รวมทั้งไทย) ก็น่าจะทยอยเปิดตัวตามมาจนถึงปี 2020

ภาพจาก Motor1

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2561

Mazda CX-3 เจเนเรชั่นใหม่จะใหญ่ขึ้น กว้างขวางขึ้น และมีอรรถประโยชน์มากขึ้น

 แม้ว่า Mazda CX-3 จะเพิ่งเปิดตัวรุ่นปรับโฉม Minor Change ในตลาดโลก (รวมทั้งในไทย) ได้ไม่นาน แต่ตอนนี้ Mazda CX-3 เจเนเรชั่นที่ 2 กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนากันแล้ว และดูเหมือนว่ามันอาจจะมีความแตกต่างจากรุ่นปัจจุบันเยอะทีเดียว

  Mazda CX-3 ถือเป็นอีกหนึ่งครอสโอเวอร์ของค่ายที่ได้รับความนิยมในหลายๆตลาด ด้วยตัวรถที่ดีไซน์ฺค่อนข้างสวยโฉบเฉี่ยวทันสมัย ออปชั่นและความปลอดภัยจัดเต็ม แต่ก็มีจุดที่เสียเปรียบคู่แข่งคือเรื่องขนาดและพื้นที่ภายในห้องโดยสาร Mazda จึงมีความตั้งใจที่จะพัฒนาให้ CX-3 เจเนเรชั่นใหม่มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นตามเสียงเรียกร้องลูกค้าทั่วโลก โดยในเจเนเรชั่นใหม่จะไม่ใช้ Mazda 2 เป็นพื้นฐานเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่จะใช้แพลตฟอร์มแบบเดียวกับที่ Mazda 3 เจเนเรชั่นใหม่ ซึ่งน่าจะทำให้ขนาดตัวรถใหญ่ทัดเทียมกับ Toyota C-HR , Honda HR-V มากขึ้น

  แพลตฟอร์มที่ว่านั้นจะเป็นแพลตฟอร์ม Mazda SKYACTIV เจเนเรชั่นที่ 2 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับรถขนาดคอมแพกต์ยุคใหม่ของค่าย Mazda ที่ไม่เพียงแค่จะมีความแข็งแรงทนทานมากขึ้นแต่ยังมากับชุดระบบกันสะเทือนด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีมแบบใหม่ด้วย


  และแน่นอนว่า Mazda CX-3 เจเนเรชั่นใหม่จะติดตั้งขุมพลัง SKYACTIV-X เครื่องเบนซินที่จุดระเบิดด้วยการอัดอากาศ (Spark Controlled Compression Ignition - SPCCI) ซึ่งจะมีประสิทธิภาพดีกว่าเครื่องเบนซินยุคปัจจุบัน 20-30% รวมทั้งแรงบิดอาจจะเพิ่มขึ้นราวๆ 10-30% คาดว่าน่าจะมีพละกำลังราวๆ 187 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดหรือเกียร์ธรรมดา 6 สปีด

  Mazda CX-3 เจเนเรชั่นใหม่มีกำหนดเปิดตัวในช่วงปี 2020 

ที่มา Carscoops

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561

Toyota อาจจะกลับมาทำสปอร์ต Celica และ MR2 อีกครั้ง

  ในอีกไม่นานนี้สปอร์ตในตำนานอย่าง Toyota Supra จะมีการเปิดตัวรุ่นใหม่และพร้อมผลิตแล้ว แต่มีรายงานล่าสุดว่าสปอร์ตในตำนานของ Toyota อีก 2 รุ่นอย่าง Celica และ MR2 ก็กำลังจะถูกนำกลับมาปัดฝุ่นอีกครั้งเช่นกัน

  ผู้ช่วยหัวหน้าวิศวกรของ Toyota นาย Masayuki Kai ให้ข้อมูลว่า พวกเขามีความต้องการที่จะนำสปอร์ต Celica และ MR2 กลับมาสู่ตลาดอีกครั้ง โดยเหตุที่พวกเขานำ Supra กลับมาก่อนก็เพราะว่ารุ่นนี้มีคนรอคอยและต้องการเยอะสุดในตลาด ซึ่งหลังจากการเปิดตัว Supra แล้วก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะทำ Celica และ MR2 ตามมาด้วย

 
  Kai ยังบอกอีกว่าไม่มีอะไรที่ตายตัว แต่ก็บอกคร่าวๆว่า Celica อาจจะมาในรูปแบบสปอร์ตสมรรถนะสูงพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และ MR2 ก็น่าจะยังคงรักษารูปแบบของสปอร์ตโรดสเตอร์เครื่องวางกลางไว้เหมือนเคย อย่างไรก็ตามทางบริษัทก็ต้องกลับไปคิดทบทวนว่าจะคุ้มค่ากับการลงทุนหรือใหม่

  ที่คิดเช่นนี้ก็เพราะว่ายอดขายรถสปอร์ตนั้นไม่ได้เยอะมาก และหากจะพัฒนาขึ้นมาจริงๆก็ต้องผลิตชิ้นส่วนใหม่หมดและไม่สามารถใช้ร่วมกับรุ่นอื่นๆได้ ทางออกที่ดีที่สุดก็คงเป็นการไปร่วมพัฒนากับค่ายอื่นๆ เฉกเช่น การร่วมมือกับ BMW จนทำให้เกิด Supra หรือการร่วมมือกับ Subaru จนกลายมาเป็น 86

 ที่กล่าวมานั้นก็ยังไม่ชัดเจนว่าค่ายอื่นๆยินดีที่จะร่วมมือกับ Toyota ในการพัฒนารถสปอร์ตรุ่นใหม่หรือไม่ แต่ Kai เองก็ได้กล่าวยกย่องค่าย Mazda และบอกว่า Toyota ยังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกเยอะ และยังชี้ให้เห็นว่าหากไม่ได้เกิดการร่วมมือกันระหว่างระหว่าง BMW และ Toyota ก็อาจจะเกิด Z4 หรือ Supra รุ่นใหม่ได้

  ทั้งนี้สาวกสามห่วงก็ต้องติดตามกันต่อไปครับว่า สปอร์ตในตำนานอย่าง Celica และ MR2 จะกลับมาหรือไม่ เรื่องนี้น่าติดตามมากครับ

ที่มา Carscoops

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2561

Nissan Navara Dark Sky Concept ต้นแบบกระบะเอาใจนักดาราศาสตร์

 ที่งานแสดงรถเพื่อการพาณิชย์ Hannover Motor Show 2018 ที่จัดขึ้นในเยอรมนี ค่าย Nissan ได้ทำการเปิดตัว Navara Dark Sky Concept ต้นแบบที่ได้รับการตกแต่งให้พิเศษในธีมแนวอวกาศ

   ด้วยความร่วมมือกับองค์การอวกาศยุโรป  European Space Agency ที่พัฒนารถคันนี้ให้เป็นเสมือน "รถในฝันของนักดาราศาสตร์" และยังมีการพ่วงกล้องโทรทรรศน์ observatory-class ไว้ที่ท้ายกระบะอีกด้วย ซึ่งก็เป็นไปตามชื่อรถ "Dark Sky" ที่ออกแบบรถต้นแบบคันนี้เอาไว้ไปสังเกตการณ์ท้องฟ้ามืดมิดในพื้นที่ที่ไม่มีมลภาวะทางอากาศนั่นเอง

  ภายนอกได้รับการติดตั้งกระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ที่ดูมีมิติขึ้นพร้อมชุดกันกระแทกชนหน้าที่ทำจากพลาสติกรวมทั้งวินซ์ลากจูง อีกทั้งยังมีการออกแบบและตกแต่งซุ้มล้อใหม่ ติดตั้งแร็คหลังคาพร้อมไฟส่อง นอกจากนั้นก็จะมีชุดกันกระแทกใต้กันหน้าและล้ออัลลอยลายล้ำขนาด 20 นิ้วพร้อมยางอออฟโรด

  เท่านั้นยังไม่พอ ภายนอกยังมีการติดสติ๊กเกอร์ตัวถังลวดลายสุดพิเศษและไฟเรืองแสงบริเวณภายนอกของรถอีกด้วย

  ภายในห้องโดยสารใต้รับการตกแต่งด้วยหนังสี Midnight Blue พร้อมลวดลายสีส้ม นอกจากนี้การตกแต่งที่จะดูสวยงามมากเมื่อมองในยามค่ำคืน อย่างเบาะนั่งที่ตกแต่งด้วยลายสีส้ม และพรมปูพื้นเรืองแสง

  ต้นแบบคันนี้วางเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบขนาด 2.3 ลิตร มากับพละกำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสู
สุด 450 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ

  ดาวฤกษ์ด้านหลังของการแสดงคือรถเทรลเลอร์ที่กำหนดเองซึ่งมีกล้องโทรทรรศน์ PlaneWave อยู่ใต้หลังคายานยนต์ รถพ่วงถูกแช่เย็นเพื่อให้แน่ใจว่ากล้องโทรทรรศน์ยังคงได้รับการปรับเทียบและช่วยให้นักดาราศาสตร์สามารถมองเห็น "มุมมองที่ละเอียดกว่าวงแหวนของดาวเสาร์"

  สำหรับรถเทรลเลอร์ด้านหลังจะมีกล้องโทรทรรศน์ PlaneWave อยู่ข้างในโดยภายในจะถูกแช่เย็นเพื่อให้แน่ใจว่ากล้องโทรทรรศน์ได้รับการปรับเทียบและช่วยให้นักดาราศาสตร์สามารถมองทิวทัศน์ดวงดาวในแบบที่เห็น "มุมมองที่ละเอียดกว่าวงแหวนของดาวเสาร์"
 
ที่มา Carscoops

วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2561

ชม Mercedes-AMG A35 4MATIC ฮอตแฮตซ์ตัวจี๊ดจากค่ายดาวสามแฉก

  ค่ายดาวสามแฉก Mercedes-Benz ได้ทำการเผยโฉมแฮตซ์แบ็คตัวแรงอย่าง Mercedes-AMG A35 4MATIC ที่ได้รับการอัปเกรดภายนอก ภายในและสมรรถนะให้ดุดิบขึ้นกว่าเดิม

  ภายใต้ห้องเครื่องจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จบล็อกใหม่ มากับพละกำลัง 306 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบดูอัลคลัตซ์ 7 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC สำหรับรถสมรรถนะสูง สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.7 วินาที ก่อนที่ความเร็วสูงสุดจะจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม.

  วิศวกรยังทำการติดตั้งระบบช่วงล่าง AMG Ride Control ทำจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบา , แกนบังคับแล้วพวงมาลัยแบบพิเศษสำหรับรถ AMG และอีกหลายประการ ลูกค้ายังสามารถสั่งออปชั่นระบบการปรับการรับแรงสั่นสะเทือนอัตโนมัติ  Adaptive Damping System ที่มีโหมดแตกต่างกัน 3 แบบได้ด้วย

  Mercedes-AMG A35 4MATIC ยังได้รับการติดตั้งระบบเบรกซึ่งมีประสิทธิภาพสูง โดยชุดจานดิสก์เบรกด้านหน้าจะมีเป็นแบบ 4 ลูกสูบ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 350 มิลลิเมตร ส่วนดิสก์เบรกด้านหลังจะเป็นแบบลูกสูบเดียว ขนาด 330 มิลลิเมตร

  รูปโฉมภายนอกมีการอัปเดตให้ดุดันขึ้นกว่ารุ่นปกติ ด้วยกระจังหน้าดีไซน์เฉพาะสำหรับ AMG กันชนดีไซน์ดุดันพร้อมลิ้นกันชนหน้าสีดำ เช่นเดียวกับด้านท้ายที่มีกันชนดีไซน์ดุดันพร้อมครีบรีดอากาศ ท่อไอเสียขนาดใหญ่ และยังมีสปอยเลอร์ขนาดใหญ่ที่ฝาท้าย เสริมหล่อด้วยล้ออัลลอยน้ำหนักเบาขนาด 18 นิ้ว

  ภายในห้องโดยสารมากับพวงมาลัย 3 ก้านทรงสปอร์ต ตกแต่งภายในด้วยวัสดุไมโครไฟเบอร์และเดินด้ายตะเข็บสีแดง  นอกจากนี้ยังมากับชุดหน้าปัดดิจิตอลและจอระบบ Infotainment ขน่าดใหญ่พร้อมการตั้งค่าต่างๆสำหรับเวอร์ชั่น AMG ตัวแรงโดยเฉพาะ สำหรับโหมดการขับขี่ AMG Dynamic Select System ที่มีมาให้ยังได้รับการติดตั้งโหมด "Slippery" ด้วย

  Mercedes-AMG A35 4MATIC จะเปิดตัวต่อสาธารณชนภายในงาน Paris Motor Show 2018 ช่วงเดือนตุลาคมและจะเริ่มวางขายหลังจากนั้น 

ที่มา Carscoops

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2561

Audi e-tron รถอเนกประสงค์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกจากค่ายสี่ห่วง

  ค่ายสี่ห่วง Audi ได้ทำการเปิดตัว e-tron รถอเนกประสงค์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของค่าย มาท้าชนกับคู่แข่งอย่าง Mercedes-Benz EQC , Tesla Model X  รวมทั้ง Jaguar I-Pace ถือเป็นส่วนหนึ่งของรถพลังงานไฟฟ้าในแผน และจะมีรุ่นอื่นๆตามมาในอนาคตอันใกล้ด้วย

  Audi e-tron จะขับเคลื่อนด้วยชุดมอเตอร์ไฟฟ้าแบบอะซิงโครนัส 2 ตัว ทำงานควบคู่กับแบตเตอรี่ขนาด 95 กิโลวัตต์ชั่วโมง ทางค่ายยังไม่บอกถึงตัวเลขแรงม้า แต่ระบุว่าสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาต่ำกว่า 6 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 200 กม./ชม.

  Audi ยังพัฒนาระบบการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ซึ่งช่วยให้มอเตอร์ไฟฟ้าสามารถกู้พลังงานจากการปล่อยคันเร่งหรือเหยียบเบรกได้ โดยเฉลี่ยแล้วนั้นระบบนี้ค่อนข้างมีส่วนช่วยประหยัดพลังงานของรถได้ถึง 30% ขึ้นอยู่กับสภาพถนนในการขับขี่ แม้ทาง Audi ยังไม่ได้เปิดเผยเรื่องระยะทางในการวิ่งของรถ ครั้ง แต่ก็มีรายงานว่าสามารถวิ่งได้ 402 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง

  Audi ยังเปิดตัวระบบขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยไฟฟ้าในรุ่นนี้ด้วย ระบบใหม่นี้ช่วยให้เกิดแรงฉุดลากที่ดีที่สุดในทุกสภาวะและช่วยกระจายแรงบิดในแต่ละเพลาได้ในเวลาเศษเสี้ยววินาที ยิ่งไปกว่านั้น e-tron SUV ยังมีระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้งที่แม่นยำ และมีระบบป้องกันการลื่นไถลเทคโนโลยีใหม่ที่ควบคุมการลื่นไถลของล้อในหน่วยมิลลิวินาที

  Audi e-tron มีโหมดการขับขี่ที่แตกต่างกันออกไป 7 โหมด ตั้งแต่โหมดที่ขับขี่สบายๆจนไปถึงการขับขี่ที่เรียกสมรรถนะและความโดดเด่นออกมาขั้นสุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเร็วบนท้องถนนและลักษณะการขับขี่ด้วย นอกจากนี้ e-tron ยังมากับระบบช่วงล่างที่สามารถปรับความสูงของรถได้โดยไม่เกิน 76 มม. ในการขับขี่ที่ระยะทางไกลๆความสูงของรถจะลดลงเพื่อปรับปรุงการไหลเวียนของอากาศ

  แบตเตอรี่ขนาด 95 กิโลวัตต์ชั่วโมงสามารถรองรับอุปกรณ์ชาร์จไฟความเร็วสูงขนาด 150 kW ได้ ซึ่งสามารถชาร์จไฟได้ถึง 80% ในเวลาแค่ 30 นาทีเท่านั้น

  รูปโฉมของ Audi e-tron ค่อนข้างมีความสวยงามและทันสมัยตามแนวทางของ Audi ยุคใหม่ ด้วยกระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมพร้อมไฟหน้าที่ออกแบบให้สอดรับกัน เส้นสายด้านข้างตัวถังดูมีความชัดเจนและดูมีมิติเว้านูน ต่อเนื่องไปถึงไฟท้ายที่ออกแบบเป็นแนวยาวเชื่อมสองฝั่งเข้าด้วยกัน จุดที่เด่นสุดคงจะเป็นกระจกมองข้างของแบบอิเล็คทรอนิกส์ Virtual Mirrors ที่จะแสดงผลบริเวณจอเล็กๆที่ติดตั้งตรงแผงประตูของรถภายในห้องโดยสารนั่นเอง

  ลูกค้าในสหรัฐฯจะมี 3 ทางเลือกด้วยกัน เริ่มที่รุ่น Premium Plus ราคา 74,800 ดอลลาร์ หรือประมาณ 2,423,000 บาทไทย , รุ่นถัดมาคือ Prestige ราคา 81,800 ดอลลาร์ หรือประมาณ 2,650,000 บาท ติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมจากรุ่นเริ่มต้น ได้แก่ Head-Up Display , ชุดระบบความปลอดภัย Driver Assistance package , กระจกหลังกรองแสงอาทิตย์ , ภายในหุ้มหนัง Valcona และระบบหน่วยความจำที่เบาะนั่งคู่หน้า

  รุ่นท็อปสุดก็คือ รุ่น First Edition ราคา 86,700 ดอลลาร์ หรือประมาณ 2,808,000 บาทไทย มีออปชั่นต่างๆเหมือนกับรุ่น Premium Plus และ Prestige แต่จะเพิ่มล้ออัลลอยขนาด 21 นิ้ว , ชุดเบรกคาลิปเปอร์สีส้ม , ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยลายไม้ และมีระบบช่วยมองเห็นยามค่ำคืน Night Vision Assistant ตลาดสหรัฐฯได้มาจำหน่ายทั้งหมด 999 คัน

  ส่วนชาวไทยนั้นก็ต้องมารอชมครับว่าทาง Audi Thailand สนใจจะนำเข้ามาขายหรือไม่ สาวกสี่ห่วงต้องติดตาม

ที่มา Carscoops
  

Mercedes-AMG GT43 4 Door Coupé รุ่นเริ่มต้นที่ราคาเบากระเป๋าขึ้นมาหน่อย

  หลังจากที่ค่ายดาวสามแฉก Mercedes-Benz ได้เปิดตัว AMG GT 4 Door Coupe ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ในรหัส GT53 ,GT63 และ GT63 S คราวนี้ทางค่ายได้แนะนำทางเลือกเริ่มต้นที่ราคาเบากว่ารุ่นอื่นๆ ภายใต้รหัส GT43

 ชื่อเต็มๆของรุ่นนี้ก็คือ Mercedes-AMG GT 43 4MATIC+ 4-door Coupé จะมีราคาเริ่มต้นที่ 95,259.50 ยูโร หรือประมาณ 3,613,000 บาทไทย ยังไม่รวมภาษีสรรพสามิต จะทำการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตรแถวเรียง V6 พละกำลังสูงสุด 367 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร

  ระบบส่งกำลังจะใช้เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด AMG Speedshift TCT 9G พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Matic+ ที่ช่วยกระจายแรงบิดสู่ล้อทั้งสี่ได้อย่างเต็มรูปแบบ

  อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลา 4.9 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 270 กม./ชม. เครื่องตัวนี้ยังเป็นระบบ Mild-Hybrid โดยยังมีการติดตั้งระบบ EQ Boost ซึ่งมากับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 48V พละกำลัง 21 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ส่งผลให้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยทำได้ที่ 10.64 - 10.99 กม./ลิตร อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 209 - 215 กรัม/กม.

  แต่ถ้าหากใครอยากได้ความแรงขึ้นมาอีกหน่อย ก็ต้องไปเล่นตัว GT 53 4MATIC+ ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินแถวเรียงความจุ 3.0 ลิตร V6 เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 435 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 520 นิวตัน-เมตร การผสานการทำงานกับระบบ EQ Boost ซึ่งมากับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 48V พละกำลัง 21 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 285 กม./ชม. ในราคาเริ่มต้นที่ 109,182.50 ยูโร หรือประมาณ 4,141,000 บาทไทย ไม่รวมภาษีสรรพสามิต

ที่มา Carscoops

Like Box