วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2563

All-New Genesis G80 ซีดานหรูคันใหม่ล่าสุดจากแดนกิมจิ

  ค่ายรถหรูเกาหลีเครือเดียวกับ Hyundai อย่าง Genesis ได้ทำการเปิดตัว Genesis G80 รถซีดานขนาดกลางสุดหรูเจเนเรชั่นใหม่ล่าสุด ถือว่าเปลี่ยนโมเดลใหม่รวดเร็วสุดๆ เพราะโฉมก่อนหน้าทำตลาดแค่ 4 ปีเท่านั้นเอง

  Genesis G80 ใหม่นั้นถูกออกแบบภายใต้นิยาม “Athletic Elegance" มากับรูปโฉมที่ดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยวกับรุ่นก่อน ดีไซน์ด้านหน้าจะมากับกระจังหน้าใหม่ขนาดใหญ่โตขึ้น ไฟหน้าทรงใหม่แบบ 2 ชั้นเหมือนกับ Genesis GV80 ด้านข้างมีการออกแบบให้ช่วงหลังคารถด้านท้ายมีความลาดเท ให้ความเป็นสปอร์ตซีดานคล้ายกับ Audi A7 Sportback เสริมความหรูด้วยล้อขนาดใหญ่ 20 นิ้ว และท่อไอเสียคู่

  มิติตัวถังรถจะมีขนาดความยาว 4,995 มิลลิเมตร กว้าง 1,925 มิลลิเมตร สูง 1,465 มิลลิเมตร ซึ่งหมายความว่าเมื่อเทียบกับ G80 รุ่นก่อนหน้าแล้ว ตัวใหม่จะยาวขึ้น 5 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 36 มิลลิเมตร และเตี้ยลงกว่าเดิม 15 มิลลิเมตร ส่วนความยาวฐานล้อยังคงเท่าเก่าคือ 3,010 มิลลิเมตร

  เข้ามาภายในห้องโดยสารจะพบกับความหรูหราล้ำสมัย อีกทั้งยังปรับปรุงวัสดุการตกแต่งให้มีคุณภาพที่สูงขึ้น แถมอัดเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเพียบอีกด้วย

  เบาะนั่งของรถจะเป็นแบบ "ergo motion” ที่หุ้มด้วยหนังซึ่งมี Air cell 7 ตัวที่ปรับตามโหมดการขับขี่ที่เราเลือก ตัวเบาะยังมีฟังก์ชั่นปรับตามท่าทางอัตโนมัติและโหมดการยืดที่ช่วยลดความเมื่อยล้าของผู้ขับขี่ขณะเดินทางไกลได้เป็นอย่างดี

  เมื่อผู้ขับขี่นั่งลงบนเบาะนั่งสุดไฮเทคแล้ว มองไปรอบๆ จะสะดุดตากับแผงหน้าปัดดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้วพร้อมเทคโนโลยี 3 มิติแบบไม่ต้องใส่แว่นตา ถัดจากหน้าปัดจะเป็นหน้าจอระบบ Infotainment ขนาด 14.5 นิ้วซึ่งสามารถ Update ซอฟท์แวร์แบบไร้สายได้ รองรับการเชื่อมต่อ Android Auto และ Apple CarPlay ได้ด้วย

  ถัดลงมาจะพบกับการตกแต่งด้วยลายไม้สุดหรู ช่องระบบปรับอากาศดีไซน์เรียวที่ลากยาวชวนนึกถึงคอนโซล Mazda 2 ตัวคอนโซลยังหุ้มหนังและเดินด้ายตะเข็บด้วย รถคันนี้ยังมีจอ Heads-up Display, ไฟบรรยากาศภายในห้องโดยสารหรือ Ambient Lighting และตัวปรับเกียร์แบบหมุน นอกจากนั้นแล้วยังมีเบาะนั่งพร้อมระบบอุ่นและปล่อยลมเย็นได้ และแม้ตัวรถจะเตี้ยลง แต่ได้ถูกออกแบบให้มีพื้นที่ศีรษะและขาที่กว้างขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ Genesis ได้ลดความสูงของเบาะแถวที่สองเพื่อเพิ่มขนาดภายในห้องโดยสาร
 
  G80 โฉมใหม่สร้างบนแพลตฟอร์มขับเคลื่อนล้อหลังแบบเอกสิทธิ์เฉพาะซึ่งใช้ร่วมกันกับ GV80 ทางค่ายไม่ได้ให้รายละเอียดมากแต่ก็บอกไปว่าราวๆ 19 % ของชิ้นส่วนตัวถังทำจากอลูมิเนียมและสิ่งนี้ช่วยให้รถมีน้ำหนักน้อยกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 110 กิโลกรัม นอกเหนือจากน้ำหนักเบาแล้วก็ยังถูกออกแบบให้มีความสะดวกสบายมากขึ้นเนื่องจากมีคุณสมบัติของฉนวนกันเสียงที่ดีขึ้น, ซีลประตูที่ได้รับการปรับปรุงและลดเสียงสะท้อนจากล้อที่ขับขี่บนถนน

  Genesis G80 โฉมใหม่ยังมีระบบช่วงล่างที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ด้วยเทคโนโลยีแสดงภาพพื้นผิวถนนซึ่งใช้กล้องด้านหน้าเพื่อตรวจจับความไม่สมบูรณ์ของถนน เช่น หลุมบ่อและลูกระนาด เมื่อตรวจพบสิ่งกีดขวางระบบจะปรับการหน่วงโดยอัตโนมัติเพื่อให้การขับขี่ราบรื่นและสะดวกสบายขึ้น

  ภายใต้ฝากระโปรงของ G80 ติดตั้งเครื่องยนต์สี่สูบ 2.5 ลิตรเทอร์โบชาร์จที่มากับพละกำลัง 304 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 421 นิวตันเมตร หรือจะเลือกใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3.5 ลิตร V6 เทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุด 380 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 530 นิวตันเมตร นอกจากนี้ยังมีเครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร 4 สูบ พละกำลังสูงสุด 210 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 441 นิวตันเมตร

   Genesis ยังไม่ได้บอกอะไรไปมากกว่านี้ แต่ยืนยันว่ารุ่นจะมีทางเลือกระบบขับเคลื่อนล้อหลังและขับเคลื่อน 4 ล้อด้วย

  ทางด้านระบบความปลอดภัยนั้น G80 ใหม่มีการอัปเกรดระบบ Highway Driving Assist II ที่ควบคุมการบังคับเลี้ยว การเร่งความเร็วและการเบรกของรถเพื่อรักษาระดับความเร็วที่ผู้ขับขี่กำหนดไว้ในขณะที่ยังรักษารถไว้ที่กึ่งกลางของเลนอีกทั้งยังรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถคันหน้าด้วย

  ผู้ขับขี่ยังจะได้พบกับระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบใหม่พร้อมเทคโนโลยีการเรียนรู้ machine learning technology ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อเรียนรู้วิธีการขับรถของเราและจะทำซ้ำ

   คุณสมบัติด้านความปลอดภัยอื่น ๆ ได้แก่ ระบบช่วยการหลีกเลี่ยงการชนด้านหน้าพร้อมระบบตรวจจับคนเดินเท้า  Forward collision-avoidance assist with pedestrian detection และระบบตรวจจับจุดบอดและช่วยป้องกันการชน Blind-spot collision avoidance assist system นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะระยะไกลซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ “Smaht Pahk” ผู้ขับขี่สามารถควบคุมการจอดรถเข้าหรือออกจากที่จอดได้โดยผู้ขับขี่ยืนควบคุมนอกรถ

  All-New Genesis G80 เริ่มวางจำหน่ายที่เกาหลีใต้เรียบร้อยแล้ว ขณะที่สหรัฐฯและแคนาดาจะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

ที่มา Carscoops

ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ


Suzuki Ignis MY2020 ปรับใหม่ให้กับรถเล็กดีไซน์เก๋ที่ไทยไม่มีขาย!

  ค่าย Suzuki ได้ทำการอัปเดตอุปกรณ์ใหม่ให้กับรถซิตี้คาร์ดีไซน์เก๋ที่ไทยไม่มีขายอย่าง Suzuki Ignis รุ่นปี 2020 จะมีอะไรน่าสนใจบ้างลองไปชมกันครับ

   ความน่าสนใจคือการเพิ่มเกรด Hybrid MF ใหม่ ซึ่งมีรูปลักษณ์การออกแบบสไตล์ SUV ที่จะมาพร้อมกับชุดตกแต่งกันชนหน้าสีเงิน คิ้วซุ้มล้อพลาสติกสีดำ สเกิร์ตสีดำด้านข้างและราวหลังคา

  นอกจากนี้ยังมากับสีตัวใหม่ที่เรียกว่า สีเขียวแก่ Tough Khaki Pearl Metallic ได้รับการแนะนำให้เลิอกจับคู่กับหลังคาสีดำ เนื่องจาก Ignis Hybrid MF ใหม่ ถูกกำหนดเป้าหมายผู้ใช้ที่มีไลฟ์สไตล์ในการชีวิต ทาง Suzuki จึงเพิ่มพื้นห้องเก็บสัมภาระที่ทนทานและทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น คุณสมบัติที่โดดเด่นอีกประการของเกรดใหม่นี้ก็คือวัสดุหุ้มเบาะ “หนังเทียม” สำหรับหุ้มเบาะนั่ง พร้อมด้วยวัสดุตกแต่งสีกากีและสีเทา 

  Suzuki Ignis MY2020 ยังมีกระจังหน้าแบบใหม่ซึ่งใช้กับทุกรุ่น ไม่ใช่เพียงแค่เกรด Hybrid MF ใหม่ การออกแบบใหม่นั้นจะมากับช่องโครเมียมแนวตั้งสี่ช่อง แทนที่แถบแนวนอนของกระจังหน้ารุ่นก่อน นอกจากนี้ยังมากับกันชนหลังทั้งชิ้นสีเดียวกับตัวรถ จากเดิมที่เคยมีชิ้นส่วนพลาสติกสีดำขนาดใหญ่บริเวณกันชนท้าย

   Suzuki Ignis MY2020 ยังมากับเบาะนั่งดีไซน์ใหม่ แผงหน้าปัดใหม่รวมถึงคอนโซลกลางและมือจับประตูสีเดียวกับตัวรถ ส่วนรุ่นใหม่ Hybrid MG จะใช้ห้องโดยสารสีดำล้วน

   คุณสมบัติอื่น ๆ ที่ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐาน ก็จะมี ระบบไฟหน้าอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชั่น Follow me home, เบาะที่นั่งด้านหน้าพร้อมระบบปรับอุ่น, ช่องเก็บสัมภาระฝั่ง (ยกเว้น Hybrid MG) และชุดความปลอดภัยจัดเต็มเต็มรูปแบบรวมถึงระบบ Dual Camera Brake Support (DCBS) ที่ช่วยตรวจจับวัตถุ บุคคล หรือสิ่งกีดขวางด้านหน้า จะส่งสัญญาณเตือนและช่วยเบรกอัตโนมัติ

    Suzuki Ignis MY2020 มีราคาเริ่มต้นที่ 1,522,400 เยน (ประมาณ 460,000 บาท) ทุกรุ่นติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.2 ลิตร Dualjet พละกำลัง 91 แรงม้าจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT และระบบ Mild Hybrid สำหรับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4WD จะมีให้เลือกเป็นออปชั่นในทุกรุ่น 
 
ที่มา Carscoops

ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ


วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2563

Volkswagen e-Bulli รถตู้ทรงคลาสสิกพลังไฟฟ้าที่ดัดแปลงมาจาก VW T1 Samba Bus

   ที่คุณเห็นอยู่นี้ก็คือ VW T1 Samba Bus รถตู้สุดคลาสสิกที่มีขุมพลังไฟฟ้าที่ทันสมัยจาก Volkswagen EV รุ่นล่าสุด ซึ่งมันจะไม่ได้ถูกทำออกมาแค่คันเดียว เพราะบริษัท eClassics ผู้เป็นพันธมิตรของ VW Commercial Vehicles กำลังวางแผนที่จะนำเสนอการแปลงรถตู้ T1 ธรรมดาให้กลายเป็นรถตู้ไฟฟ้าในชื่อ "e-Bulli" 

   ด้วยขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าพละกำลัง 83 แรงม้า ซึ่งมาแทนที่เครื่องยนต์เบนซินแบบบ็อกเซอร์ 4 สูบพละกำลัง 44 แรงม้า (PS) มอเตอร์ไฟฟ้ายังให้แรงบิดสูงถึง 212 นิวตันเมตร มากกว่าเครื่องยนต์ดั้งเดิม (102 นิวตันเมตร) ถึง 2 เท่า

   e-Bulli จะมีความเร็วสูงสุดที่ถูกจำกัดด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ 130 กม./ชม. เท่านั้นเพื่อไม่ให้แบตเตอรี่ทำงานหนักไป แต่ก็ยังถือว่าเร็วกว่า 105 กม. / ชม. ที่เป็นท็อปสปีดจากเครื่องดั้งเดิม

  มอเตอร์ไฟฟ้าเชื่อมต่อกับระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 1 สปีดที่มากับคันเกียร์ที่อยู่ระหว่างเบาะนั่งด้านหน้า โดยฐานเกียร์จะบอกตำแหน่ง P, R, N, D และ B สำหรับ "B" จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถปรับระดับการกู้คืนพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าแบตเตอรี่เมื่อเบรก

   เช่นเดียวกับเครื่องยนต์บ็อกเซอร์เก่า มอเตอร์ไฟฟ้าและระบบส่งกำลังจะติดตั้งที่ด้านหลังของ VW e-Bulli พร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหลัง แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 45 kWh ที่ติดตั้งบนพื้นรถส่งผลให้รถสามารถวิ่งได้ในระยะทางมากกว่า 200 กิโลเมตร และสามารถชาร์จได้มากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ใน 40 นาทีโดยใช้การหัวชาร์จเร็วแบบกระแสตรงขนาด 50 kW

   อีกส่วนหนึ่งของ VW e-Bulli ที่ได้รับการดัดแปลงเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่แบบร่วมสมัยมากขึ้นคือแชสซีส์ ที่ทางวิศวกรได้ออกแบบใหม่โดยใช้เพลาหน้าและหลังแบบมัลติลิงค์พร้อมโช้คอัพแบบปรับระดับได้และสตรัทแบบ Coil-over, นอกจากนี้ยังมีระบบบังคับเลี้ยวแบบแร็คแอนด์พิเนียนและดิสก์เบรกเบรกพร้อมระบบระบายความร้อนทั้ง 4 ล้อ

  VW e-Bulli ยังมีการปรับปรุงการออกแบบภายนอกและภายใน ด้านนอกมากับสีตัวถังสีทูโทน ส้ม Energetic Orange Metallic และทอง Golden Sand Metallic MATTE, ไฟหน้าทรงกลม LED พร้อมไฟ Daytime Running Lights และไฟแสดงสถานะการชาร์จ LED ที่ด้านหลัง

   การตกแต่งภายในมาในสีทูโทน Saint Tropez และส้ม Saffrano Orange, พื้นรถที่ตกแต่งด้วยไม้เนื้อแข็ง, คันเกียร์อัตโนมัติดีไซน์ร่วมสมัย, ปุ่ม Start/Stop สำหรับมอเตอร์ไฟฟ้า, มาตรวัดความเร็วดีไซน์คลาสสิกผสมผสานกับจอบอกข้อมูลร่วมสมัย, จอแท็บเล็ตที่ติดตั้งบริเวณเพดานหลังคาและวิทยุสไตล์ย้อนยุคแต่ใข้เทคโนโลยีที่ทันสมัย

  สำหรับค่าแปลงรถตู้คลาสสิกให้กลายเป็ย VW T1 e-Bulli EV อย่างที่เห็นนี้นั้น จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่  64,900 ยูโร (ประมาณ 2,358,000 บาท)

ที่มา Carscoops

ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ


วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563

All-New Kia Sorento อเนกประสงค์โฉมใหม่หมดจดจากแดนโสม

   หลายคนคงจำชื่อ Kia Sorento ใช้ เพราะเมืองไทยเคยนำเข้ามาจำหน่ายทั้งเจเนเรชั่นที่ 1 และ 2 จากนั้นก็ไม่มีมาจำหน่ายแล้ว ล่าสุด Kia Sorento ก็ได้เดินทางมาสู่เจเนเรเชั่นที่ 4 แล้ว
 
  All-New Kia Sorento ถือว่าเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในการออกแบบตามแนวทางของ Kia ยุคใหม่ ด้วยการออกแบบภายนอกที่โดดเด่น ซึ่งถือว่าฉีกแนวจากรุ่นก่อนหน้าอยู่มากทีเดียว

   นักออกแบบของ Kia มีแรงบันดาลใจจากแนวคิดในการพัฒนา Sorento โฉมใหม่ คือ "ความกล้าหาญที่มีความประณีต'  ด้านหน้าของรถ SUV คันนี้ยังคงมากับกระจังหน้าแบบ Tiger Nose อันเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงไฟหน้าใหม่ที่มีไฟ LED Daytime Running Lights "Tiger Eye" และแผ่นกันกระแทกใต้กันชนหน้าเพิ่มความแกร่ง

   ด้านข้างจะเห็นได้ว่าสัดส่วนมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจากรุ่นก่อนหน้า โดยมีความยาวเพิ่มขึ้น 10 มม. และมีระยะโอเวอร์แฮงค์ด้านหน้าที่สั้นและด้านหลังที่สั้นกว่า องค์ประกอบการออกแบบที่สำคัญอื่น ๆ ได้แก่ เสา D-wide ที่มีลักษณะเฉพาะ, ไฟท้ายแนวตั้งดีไซน์โดดเด่น และเส้นสายที่เด่นชัด สีตัวถังนั้นจะมีให้เลือกมากมายถึง 10 สี แล้วแต่ตลาด

  เข้ามาภายในห้องโดยสารจะพบดับดีไซน์ที่ค่อนข้างสวยสะดุดตาทีเดียว ติดตั้งแผงหน้าปัดดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้วทำงานร่วมกับระบบอินโฟเทนเมนต์หน้าจอสัมผัสขนาด 10.25 นิ้วและระบบนำทาง มีปุ่มสัมผัสที่ไวต่อการสัมผัสอยู่รอบข้างจอ

  Kia ยังทุ่มเทมากกับการปรับปรุงวัสดุการตกแต่งรอบห้องโดยสาร ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งด้วยวัสดุผิวสีเมทัลลิก เบาะนั่งหุ้มหนังคุณภาพสูง เบาะผ้าซาติน หรือผ้าสีดำผสมหนัง Nappa 

   All-New Kia Sorento สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มใหม่ "N3" อันเป็นแพลตฟอร์มของ SUV ขนาดกลาง ส่งผลให้รถมีฐานล้อยาวขึ้น 35 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน

  ขุมพลังสำหรับตลาดออสเตรเลียและยุโรป จะมีทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.2 ลิตร "Smartstream" พละกำลังสูงสุด 198 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Double Clutch 8 สปีดลูกใหม่ของ Kia

   แต่ความน่าสนใจคงหนีไม่พ้นการแนะนำขุมพลัง Smartstream Hybrid โดยจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร 4 สูบเทอร์โบ พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 44.2 kW และชุดแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนโพลีเมอร์ 1.49 kWh มีพละกำลังรวม 227 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด

 ทางด้านตลาดในอเมริกาเหนือนั้นจะมีขุมพลัง Smartstream Hybrid และเครื่องยนต์เบนซิน T-GDi ขนาด 2.5 ลิตรที่มีพละกำลัง 277 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 421 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 8 สปีด



   ระบบความปลอดภัยของ All-New Kia Sorento ก็ถือว่าค่อนข้างจัดเต็ม ซึ่งประกอบไปด้วย

  • ระบบเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision-avoidance Assist
  • ระบบเตือนมุมอับสายตาด้านข้าง Blind-spot View Monitor
  • กล้องมองภาพรอบทิศทาง Surround View Mointor
  • ระบบ Blind-spot Collision-avoid Assist
  • ระบบช่วยจำกัดความเร็วอัตโนมัติ Intelligent Speed Limit Assist
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Smart Cruise control with Stop & Go
  • ระบบช่วยประคองพวงมาลัยให้อยู่ในเลน Lane Following Assist
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ Driver Attention Warning
  • ระบบช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติบนถนนใหญ่ Highway Driving Assist
  • กล้องมองภาพด้านหลัง Rear View Monitor
  • ระบบช่วยเตือนการชนขณะถอยหลัง Reverse Parking Collision-Avoidance Assist
  • ระบบเตือนมุมอับสายตาขณะถอยหลัง Rear Cross-traffic Collision-avoidance Assist
  อีกหนึ่งจุดเด่นของ All-New Kia Sorento ก็คือระบบ Remote Smart Parking Assist ของ Kia ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถนำรถเข้าหรือออกจากที่จอดรถได้อย่างอิสระด้วยกุญแจรีโมท

   All-New Kia Sorento จะถูกผลิตขึ้นที่โรงงานผลิต Hwasung ของ Kia ในเกาหลีและโรงงานผลิตของ Kia ในจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา โดยยังไม่มีการเปิดเผยราคาออกมาในขณะนี้

ที่มา Carscoops

ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ


Like Box