วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

Audi Q3 Sportback ครอสโอเวอร์คูเป้ขนาดกะทัดรัดจากแบรนด์สี่ห่วง

  Audi เปิดตัวอีกหนึ่งรูปแบบตัวถังใหม่ซึ่งต่อยอดมาจาก Audi Q3 แต่มาในทรวดทรงที่ดูสปอร์ตขึ้น รถที่ว่าก็คือ "Audi Q3 Sportback" นั่นเอง จะมีอะไรที่แตกต่างจาก Q3 เวอร์ชั่นมาตรฐานบ้าง ลองไปชมกันครับ

  Audi Q3 Sportback มีรูปลักษณ์ที่สปอร์ตขึ้นด้วยกระจังหน้าแบบ Singleframe สีดำ มีไฟหน้าแบบ Matrix LED ให้เลือกเป็นออปชั่นเสริม พร้อมทั้งกันชนหน้าดีไซน์สวยเหมือนในเวอร์ชั่นมาตรฐาน ความแตกต่างที่เด่นชัดขึ้นจะอยู่ถัดจากประตูหน้าเป็นต้นไป โดยจะมากับแนวหลังคาที่ลาดเอียงขึ้นในสไตล์รถคูเป้ ทำให้รถดูสวยงามโดดเด่นกว่ารุ่นมาตรฐานเป็นอย่างมาก

  ความโดดเด่นส่วนอื่นๆก็จะมี คิ้วซุ้มล้อพลาสติกสีดำรอบคัน, กระจกหน้าต่างถัดจากประตูหลังที่ออกแบบให้ดูเฉียบคม และ กันชนด้านหลังดีไซน์เท่พร้อมครีบรีดอากาศพร้อมท่อไอเสียที่ซ่อนแบบแนบเนียน นอกจากนี้ยังมีสปอยเลอร์ดีไซน์โฉบเฉี่ยวและไฟท้ายทรงสวย

  ภายในห้องโดยสารยกมาจาก Q3 รุ่นมาตรฐานเลย ผู้ขับขี่จะพบกับแผงหน้าปัดดิจิตอลขนาด 10.25 นิ้วและระบบอินโฟเทนเมนต์พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้วซึ่งล้อมรอบด้วยวัสดุสีดำมันวาว ติดตั้งพวงมาลัยแบบท้ายตัด ตกแต่งภายในเพิ่มเติมด้วยวัสดุโลหะ

    เบาะนั่งด้านหลังและสามารถเลื่อนได้สูงสุด 5.1 นิ้ว (130 มิลลิเมตร) เพื่อเพิ่มพื้นที่วางขาหรือพื้นที่เก็บสัมภาระ เมื่อพูดถึงพื้นที่เก็บสัมภาระแล้วนั้นจะมีมาให้ถึง 530 ลิตร  แต่สามารถเพิ่มเป็น 1,400 ลิตรเมื่อพับเบาะนั่งด้านหลังลง

  ลูกค้ายังสามารถเลือกซื้อออปชั่นเพิ่มเติมได้หลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นแผงหน้าปัดแบบดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว, ฝาท้ายไฟฟ้าที่สามารถเปิด-ปิดตามการเคลื่อนไหวร่างกาย และเบาะนั่งแบบสปอร์ตที่มีการตัดเย็บแบบพิเศษตกแต่งเพิ่มเติมด้วยแถบสี ลูกค้ายังสามารถสั่งซื้อระบบปรับอุ่นเบาะและระบบไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารที่สามารถปรับได้ 30 สีอีกด้วย

   ในยุโรปจะเปิดตัวพร้อมกับ 2 ขุมพลังที่แตกต่างกัน เริ่มที่ Q3 Sportback 35 TDI S tronic มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร มากับพละกำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 340 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติแบบคลัตซ์คู่ 7 สปีดพร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหน้า สามารถเร่งจาก  0-100 กม./ชม.  ได้ในเวลา 9.3 วินาทีก่อนที่ความเร็วสูงสุดจะทำได้ที่ 205 กม./ชม.

   อีกรุ่นก็คือ Q3 Sportback 45 TFSI quattro s-tronic ซึ่งมีเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จ มากับพละกำลัง 230 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติแบบคลัตซ์คู่ 7 สปีดพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ quattro สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาแค่ 6.5 วินาทีเท่านั้น ก่อนทะยานไปสู่ความเร็วสูงสุด 233 กม./ชม.

   หลังจากนั้น Audi จะมีการแนะนำรุ่นเกียร์ธรรมดาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และจะมีเครื่องยนต์เพิ่มเติมทั้งเครื่องเบนซินรุ่นเริ่มต้นและดีเซลที่แรงขึ้น

  Audi Q3 Sportback มาพร้อมกับระบบช่วยเหลือการขับขี่มากมาย โดยจะมีระบบเตือนการชนด้านหน้า Pre sense front,  ระบบเตือนการเปลี่ยนเลน lane change warning และระบบเตือนไม่ให้ออกนอกเลน lane departure warning เป็นมาตรฐาน ลูกค้ายังสามารถสั่งระบบเพิ่มเติมได้อีก ซึ่งจะมี adaptive cruise contro, ระบบช่วยจอด, ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถตัดผ่านขณะถอยหลัง  rear cross traffic alert และระบบกล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา

   Audi Q3 Sportback จะเปิดตัวในยุโรปในฤดูใบไม้ร่วงนี้ (ประมาณเดือนกันยายน) มีราคาจำหน่ายเริ่มเริ่มต้นที่ 40,200 ยูโร (ประมาณ 1,383,000 บาท) สำหรับ 35 TDI S tronic และ 46,200 ยูโรสำหรับ 45 TFSI quattro S tronic (ประมาณ 1,589,000 บาท) 

  ส่วนเมืองไทยนั้นก็เป็นไปได้สูงที่ Audi จะเอามาขาย ต้องติดตามดูกันต่อไปครับสำหรับสาวกสี่ห่วง

ที่มา Carscoops
 
------------------------------------------------------------------------------------------
สนใจออกรถ Mazda วันนี้ พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษ จัดหนักส่วนลด+ของแถม เพียงคุณแสดงตัวว่ากดติดตามเพจ Car News Update (แคปโพสต์ให้ดูด้วย) สามารถติดต่อและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line ID : anuntasooragath ครับ
------------------------------------------------------------------------------------------


   ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
  

วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ชมภาพรถทดสอบ BMW 5-Series LCI (Minor Change) ปรับดีไซน์ตามใบพัดยุคใหม่

  BMW 5-Series โฉมปัจจุบันภายใต้รหัสตัวถัง G30 เปิดตัวครั้งแรกช่วงเดือนตุลาคม 2016 ถือว่านานพอสมควรที่จะได้เวลาปรับโฉมหน้าใหม่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาก็มีสื่อต่างชาติสามารถจับภาพของรถทดสอบ BMW 5-Series (G30) Minor Change ได้แล้ว (หรือภาษาของ BMW มักเรียกว่า Life Cycle Impulse ย่อๆคือ LCI นั่นเอง)

   โดยที่ผ่านมาก็มีภาพถ่ายออกมาทั้งตัวถังซีดานและแวกอน (Touring) ทั้งหน้าตาแบบธรรมดาและ M Sport การเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดเจนคงหนีไม่พ้นกันชนหน้าที่จะมีการเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ รายละเอียดก็คงเป็นไปตาม BMW ยุคใหม่ มีการปรับดีไซน์ไฟหน้าใหม่ให้ดูเพรียวขึ้น และสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือกระจังหน้าไตคู่ซึ่งเมื่อดูจากภาพก็เหมือนว่าน่าจะถูกออกแบบให้ใหญ่ขึ้นแน่นอน แต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตแบบ 7-Series รุ่นล่าสุด

 ส่วนไฟท้ายนั้นมองผ่านๆเหมือนจะไม่ได้เปลี่ยนอะไร แต่เท่าที่สังเกตดูหลายครั้ง BMW มักสับขาหลอกเอาหน้าเก่ามาใส่ทดสอบรุ่นปรับโฉม แต่พอปรับโฉมจริงนั้นถือว่าเปลี่ยนเยอะ ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าไฟท้ายของ 5-Series ก็คงมีการปรับรายละเอียดใหม่ตามรุ่นพี่รุ่นน้อง

  ส่วนภายในห้องโดยสารยังไม่มีภาพออกมา แต่คาดว่าจะมีการอัปเกรดเป็นหน้าปัดดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้วดีไซน์ใหม่ตาม BMW ยุคใหม่ และหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ 10.25 นิ้วชุดใหม่จาก 8-Series พร้อมทั้งระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นล่าสุด

  คาดว่า BMW 5-Series LCI จะมีการเผยโฉมช่วงปลายปีนี้ไม่ก็ต้นปีหน้า ส่วนเมืองไทยก็ต้องรอติดตามหลังจากนั้นครับ

ที่มา Carscoops

------------------------------------------------------------------------------------------
สนใจออกรถ Mazda วันนี้ พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษ จัดหนักส่วนลด+ของแถม เพียงคุณแสดงตัวว่ากดติดตามเพจ Car News Update (แคปโพสต์ให้ดูด้วย) สามารถติดต่อและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line ID : anuntasooragath ครับ
------------------------------------------------------------------------------------------


   ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
  

วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

All-New Lotus Evija ไฮเปอร์คาร์สายพันธุ์อังกฤษ พร้อมขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัว 2,000 แรงม้า

  ห่างหายจากการเปิดตัวรถโมเดลใหม่ๆมาเนิ่นนาน ล่าสุดค่ายรถอังกฤษอย่าง Lotus ที่ปัจจุบันอยู่ภายใต้ชายคาของบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Geely ก็เพิ่งแนะนำรถสปอร์ตไฮเปอร์คาร์คันใหม่ล่าสุดในชื่อ "Lotus Evija" 

   Lotus Evija จะขับเคลื่อนด้วยขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัวซึ่งจะสร้างพละกำลังสูงสุดถึง 2,000 แรงม้า (PS) พร้อมแรงบิดอันมหาศาลถึง 1,700 นิวตันเมตร กลายเป็นรถไฮเปอร์คาร์พลังไฟฟ้าที่แรงที่สุดในโลกไปโดยปริยาย โดยทาง Lotus บอกว่าด้วยขุมพลังดังกล่าวส่งผลให้ไฮเปอร์คาร์ของพวกเขาสามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาน้อยกว่า 3 วินาที และสามารถทะยานไปสู่ความเร็วสูงสุดได้เกิน 320 กม./ชม.

  มอเตอร์ไฟฟ้าจะสะสมพลังงานผ่านทางแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ติดตั้งตรงกลางรถซึ่งจะช่วยให้รถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 400 กม.ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง โดยใน Evija นั้นจะมี "แบตเตอรี่สามารถชาร์จไฟที่เร็วที่สุดในโลก" ซึ่งสามารถรองรับการชาร์จได้ถึง 800 kW แม้ว่าการชาร์จในระดับดังกล่าวยังไม่มีขายในเชิงพาณิชย์ อย่างไรก็ตามนั้น Evija สามารถชาร์จไฟด้วยประสิทธิภาพดังกล่าวในเวลาแค่ 9 นาทีเท่านั้น

  โดยระบบชาร์จเร็วที่สุดเท่าที่มีในปัจจุบันจะมีความจุ 350 kW อันจะส่งผลทำให้ Evija สามารถชาร์จจนถึง 80% ในเวลา 12 นาทีและชาร์จจนเต็มในเวลา 18 นาที ซึ่งก็ถือว่าใช้เวลาเร็วทีเดียว

  ส่วนหนึ่งของประสิทธิภาพอันน่าประทับใจของ Evija นั้นมาจากชุดแซสซีส์โมโนค็อกที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาพิเศษ แซสซีส์จะเป็นแบบชิ้นเดียวซึ่งถือเป็นครั้งแรกสำหรับค่าย Lotus โดยจะมีน้ำหนักอยู่ที่ 129 กิโลกรัม ส่งผลให้นัำหนักโดยรวมของรถอยู่ที่ 1,680 กิโลกรัม

  Lotus บอกว่า Evija ได้รับการออกแบบมาเพื่อมอบ "การผสมผสานที่ลงตัวของสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมและความสะดวกสบายบนถนน” ด้วยส่วนหนึ่งของเป้าหมายนี้ Evija จะได้รับการติดตั้งระบบกันสะเทือนแบบรถมอเตอร์สปอร์ตซึ่งมีโช้คสปูลวาล์วแบบปรับได้ 3 ระดับในแต่ละเพลา อีกทั้งยังมากับล้อทำจากแมกนีเซียมขนาด 20 และ 21 นิ้วหุ้มด้วยยาง Pirelli Trofeo R และติดตั้งชุดเบรกอลูมิเนียม AP Racing พร้อมดิสก์เบรกที่ทำจากคาร์บอนเซรามิก

  ด้วยความ Lotus คงจะรู้ว่ารถพลังงานไฟฟ้าอาจจะไม่เหมาะกับการวิ่งบนแทร็กนานๆเท่าไหร่นัก จึงมีการติดตั้งระบบหม้อน้ำ 4 ตัวที่ช่วยปรับระดับอุณหภูมิแบตเตอรี่ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นผลให้รถสามารถ “ขับขี่อย่างเมามันส์โดยไม่หลุดจากสนามอย่างน้อย 7 นาทีเมื่อเปิดโหมด Track”

  Lotus Evija ถือว่าเป็นรถที่เริ่มต้นเปิดศักราชของการออกแบบรูปแบบใหม่ของค่าย ตัวรถมีการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ มาพร้อมกับไฟหน้าทรงเรียวแบบเลเซอร์ กันชนหน้าดีไซน์ดุมาพร้อมลิ้นกันชนหน้าทั้งสองฝั่ง อีกทั้งยังมีซุ้มล้อที่ขนาดใหญ่โต เส้นสายตั้งแต่บริเวณกระจกหน้าจนถึงช่วงหลังคาดูมีความโค้งมนพลิ้วไหวสวยงาม ทุกคนอาจจะสังเกตว่ารถไม่ได้ติดตั้งกระจกมองข้างมาให้ ความจริงคือมันถูกแทนที่ด้วยกล้องส่องภาพซึ่งจะทำงานเมื่อปลดล็อครถ และจะมีกล้องอีกตัวบริเวณหลังคาโดยจะแสดงภาพ 3 มุมมองผ่านหน้าจอภายในห้องโดยสาร

  และด้วยการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์นี้เอง Lotus ยังติดตั้งชุดสปอยเลอร์ท้ายแบบแอคทีฟรวมทั้งชุดปีกหลังที่ปรับระดับได้ (Drag Reduction System) แบบรถแข่ง F1 ตัวรถยังมีอุโมงค์ Venturi ใต้ท้องรถที่ปรับการไหลของอากาศให้เหมาะสมโดยควบคุมผ่านทางตัวถังรถ

  อีกไฮไลท์ที่โดดเด่นก็คือ ครีบรีดอากาศหรือ diffuser ด้านหลังขนาดใหญ่และไฟท้าย LED ที่ดีไซน์ในแบบไม่ซ้ำใครซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากปลายไอพ่นด้านท้ายเหมือนที่อยู่ในเครื่องบินขับไล่ไอพ่น นอกจากนี้ยังมีพอร์ตเสียบชาร์จแบตด้านหลังที่ซ่อนอยู่และโลโก้ตัวหนังสือ Lotus ด้านหลังพร้อมไฟส่องสว่างซึ่งทำหน้าที่เป็นไฟถอยหลัง

  ภายนอกก็ว่าล้ำแล้ว ภายในห้องโดยสารยิ่งมีการออกแบบที่ล้ำกว่า มีการตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ที่มองเห็นได้และแดชบอร์ดดีไซน์แบบ "floating wing" มีการติดตั้งแผงหน้าปัดดิจิตอลและพวงมาลัยที่หุ้มด้วยหนัง Alcantara ที่สามารถควบคุมทุกอย่างตั้งแต่สัญญาณไฟเลี้ยวไปจนถึงตัวเลือกโหมดการขับขี่ การออกแบบคอนโซลกลางมาในรูปแบบ "ski slope-style" ลากยาวเฉียงจากแดชบอร์ดลงมาและมีปุ่มควบคุมต่างๆสัมผัสที่ออกแบบให้ตอบรับไวเมื่อใช้งาน สำหรับเบาะนั่งจะมีโครงทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ซึ่งหุ้มด้วยหนัง Alcantara  ติดตั้งเข็มขัดนิรภัย 3 จุดเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน แต่มีเข็มขัดนิรภัย 4 จุดให้เลือกเป็นออปชั่นเสริม

   เช่นเดียวกับรถรุ่นพิเศษอื่นๆที่มาค่าย Lotus บอกว่า Evija ยังมีแพ็คเกจที่เพิ่มความพิเศษให้กับตัวรถในแบบที่ไม่มีใครเทียบได้" นอกเหนือจากสีตัวถังและการตกแต่งภายในที่เลือกได้แล้ว ยังสามารถเลือกติดป้ายโลหะสั่งทำพิเศษได้ที่ความพิเศษก็คือ ป้ายโลหะพิเศษจะถูกฝังเป็นระนาบเดียวกับพื้นผิวบอดี้รถเพื่อให้ดูเนียนตาสวยงาม

  Lotus Evija จะผลิตจำนวนจำกัดแค่ 130 คันเท่านั้น โดยทางบริษัทได้ทำการเปิดรับจองแล้ว ซึ่งผู้จับจองต้องวางเงินมัดจำก่อน 250,000 ปอนด์ (ประมาณ 9,560,000 บาท) โดยรถคันแรกจะถูกผลิตในช่วงปีหน้าและมีราคาค่าตัวเริ่มที่ต้น 1.7 ล้านปอนด์ (ประมาณ 65 ล้านบาท)

ที่มา Carscoops

------------------------------------------------------------------------------------------
สนใจออกรถ Mazda วันนี้ พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษ จัดหนักส่วนลด+ของแถม เพียงคุณแสดงตัวว่ากดติดตามเพจ Car News Update (แคปโพสต์ให้ดูด้วย) สามารถติดต่อและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line ID : anuntasooragath ครับ
------------------------------------------------------------------------------------------


   ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
  

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

Mitsubishi Pajero Sport Minor Change ปรับโฉมพร้อมเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ ราคาเริ่มต้น 1,299,000-1,599,000 บาท

   สิ้นสุดการรอคอยแล้วเมื่อ Mitsubishi Motors ประเทศไทย ได้ทำการเปิดตัว Mitsubishi Pajero Sport Minor Change เป็นครั้งแรกในโลก ซึ่งได้มีการปรับโฉมทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสาร อีกทั้งยังเพิ่มเติมเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาหลายรายการ

  การเปลี่ยนแปลงภายนอกนั้น จะเห็นว่ามีการออกแบบด้านหน้าใหม่ในสไตล์ Advanced Dynamic Shield Design Concept โครงหน้านั้นแม้จะเป็นเบ้าเดียวกับ Mitsubishi Triton โฉมล่าสุด แต่ก็ได้ปรับรายละเอียดให้มีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าทรงใหม่แบบโปรเจคเตอร์ แบบ Bi-LED พร้อมระบบปรับระดับลำแสงอัตโนมัติ มาพร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ SPECTRUM LED 


   ด้านข้างจะพบกับบันไดข้างใหม่ ล้ออัลลอยลายใหม่แบบทูโทนปัดขอบเงาดำขนาด 18 นิ้ว ส่วนด้านท้ายจะมากับสปอยเลอร์ท้ายใหม่ โคมไฟท้ายแบบ LED ที่ปรับรายละเอียดใหม่ ที่สำคัญคือเสียงที่บ่นเรื่องไฟท้ายที่ดูยาวในรุ่นก่อน คราวนี้มีการตัดทับทิมท้ายบริเวณกันชนท้ายออกทำให้ดูสั้นลงแบบชัดเจน นอกจากนี้ยังมีการตกแต่งกันชนท้ายใหม่ด้วย อีกความน่าสนใจก็คือ ฝาท้ายไฟฟ้าที่หลายคนรอคอย Mitsubishi ก็ใส่มาให้และยังเป็นระบบแฮนด์ฟรี และปุ่มปิดฝาท้ายพร้อมล็อกรถด้วย (เฉพาะรุ่น GT-Premium) จุดที่ดร็อปลงไปก็เห็นจะเป็นล้อและยางอะไหล่ที่เอาออกและเปลี่ยนเป็นชุดซ่อมยางฉุกเฉินแทน

  เข้ามาภายในห้องโดยสาร มีการตกแต่งภายในให้มีความหรูหราขึ้น บุนุ่มรอบคันมากขึ้น ไล่ตั้งแต่คอนโซลกลางและแผงประตู มีการออกแบบคอนโซลกลางใหม่ไม่ให้เบียดเข่าอีกต่อไปแล้ว ไฮไลต์สำคัญคงหนีไม่พ้นชุดหน้าปัดดิจิตอลแสดงผลแบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว พร้อมเมนูภาษาไทย (เฉพาะรุ่น GT-Premium) ถือว่าเป็นเจ้าแรกในไทยที่ติดตั้งออปชั่นนี้ รวมทั้งยังมีการปรับดีไซน์ปุ่มปรับอากาศใหม่ ติดตั้งหน้าจอสัมผัสตรงกลางใหม่ขยายขนาดเป็น 8 นิ้วรองรับทั้ง Apple car play และ Android auto และสำหรับผู้โดยสารหลังจะได้ความบันเทิงจากจอภาพแบบ Wide Screen ขนาด 12.1 นิ้ว พร้อมช่องต่อ HDMI และ USB และรีโมท และหูฟังอินฟราเรด 2 ชุด สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง

   อีกหนึ่งความน่าสนใจก็คือ เทคโนโลยี Mitsubishi Remote Control ที่สามารถเชื่อมต่อรถยนต์ผ่านทางแอพพลิเคชั่นและสั่งการทำงานผ่านสมาร์ทโฟน ซึ่งมีให้ในเกรด GT-Premium โดยสามารถทำได้ดังนี้
- Reservation สั่งการเปิด-ปิดประตูท้ายอัตโนมัติ (ในระยะไม่เกิน 20 นาที)
- Vehicle Reminder แจ้งเตือนสถานะรถ เช่น ลืมล็อครถ ลืมปิดไฟหน้า เช็คสถานะต่างๆของรถได้ เช่น การเปิด-ปิดไฟหน้า, เปิด-ปิดไฟฉุกเฉิน จัดการรถยนต์ผ่านสมาร์ทโฟนได้ เช่น ปิดไฟฉุกเฉิน ล็อคประตูรถ (กรณีรถปิดประตูสนิทเท่านั้น)
- Operation Assist ระบบช่วยเหลือพร้อมแจ้งสาเหตุผ่านสมาร์ทโฟน
- Vehicle Information แสดงข้อมูลและประวัติการใช้งานรถยนต์

  ขุมพลังของรถยังคงใช้ครื่องยนต์ดีเซล Mivec VG Turbo ขนาด 2.4 ลิตร มากับพละกำลัง 181 แรงม้าที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตัน-เมตรที่ 2,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อม Sport Mode และ ระบบ INC (Idle Neutral Control) + G Sensor 


  ระบบความปลอดภัยยังคงจัดเต็มและมีเพิ่มมาใหม่หลายรายการ 
  • ระบบเบรกมือควบคุมไฟฟ้าอัตโนมัติ
  • ระบบ Brake Auto Hold
  • ระบบเบรกแบบ ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์
  • ระบบเสริมแรงเบรก BA
  • ระบบลดกำลังเครื่องยนต์เพื่อช่วยเบรก
  • ถุงลมนิรภัยคู่หน้าพร้อมสวิตช์เปิด-ปิดและไฟแสดงผล สำหรับด้านผู้โดยสาร
  • ถุงลมนิรภัยด้านข้าง, บริเวณหัวเข่าด้านคนขับและม่านถุงลมนิรภัย
  • เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติ 2 ทิศทาง พร้อมระบบผ่อนแรง (เฉพาะ GT-Premium 4WD)
  • เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบ ELR 3 จุด 2 ตำแหน่ง
  • เข็มขัดนิรภัยแถวที่สองแบบ ELR 3 จุด 3 ตำแหน่งพร้อมพนักพิงศีรษะ 3 ตำแหน่ง
  • เข็มขัดนิรภัยแถวที่สามแบบ ELR 3 จุด 2 ตำแหน่ง
  • ระบบล็อกป้องกันการเปิดประตูหลังจากภายใน
  • จุดยึดเบาะเด็ก ISOFIX ที่เบาะนั่งแถวที่ 2
  • ไฟห้องโดยสารเปิดอัตโนมัติ เมื่อปลดล็อก
  • ระบบล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อรถมีความเร็ว
  • ระบบป้องกันการโจรกรรม
  • ระบบสัญญาณกันขโมย
  • ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
  • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว พร้อมระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล ASTC (Active Stability and Traction Control)
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน  HSA (Hill Start Assist)
  • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน  HDC (Hill Descent Control) (เฉพาะ GT-Premium 4WD)
  • ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว FCM (Forward Collision Mitigation System) (เฉพาะ GT-Premium 2WD/4WD)
  • ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว UMS (Ultrasonic Misacceleration Mitigation System) (เฉพาะ GT-Premium 2WD/4WD)
  • ใหม่! ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา BSW (Blind Spot Warning)  (เฉพาะ GT-Premium 2WD/4WD)
  • ใหม่! ระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist)  (เฉพาะ GT-Premium 2WD/4WD)
  • ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด RCTA (Rear Cross Traffic Alert)  (เฉพาะ GT-Premium 2WD/4WD)
  • สัญญาณกะระยะจอดด้านหน้าและหลัง  (เฉพาะ GT-Premium 2WD/4WD)
  • กล้องมองภาพรอบคัน พร้อมเส้นกะระยะและเส้นแสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ 
  • ไล่ฝ้ากระจกหลัง พร้อมระบบตัดการทำงานอัตโนมัติ
  • ระบบไฟกะพริบฉุกเฉินอัตโนมัติ ขณะเบรกกะทันหัน
   Mitsubishi Pajero Sport Minor Change มีสีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีขาวมุก White Diamond (สีใหม่), สีเงิน Sterling Silver, สีเทา Graphite Gray (สีใหม่), สีดำ Diamond Black และ สีน้ำตาล Deep และมีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ได้แก่
- GT 2WD ราคา 1,299,000 บาท (ถูกลง 2,000 บาท)
- GT-Premium 2WD ราคา 1,469,000 บาท (แพงขึ้น 65,000 บาท)
- GT-Premium 4WD ราคา 1,599,000 บาท (แพงขึ้น 55,000 บาท)
   
 ข้อมูลสเปคและออปชั่นในแต่ละรุ่นย่อย
* มิติภายนอก ยาว 4,825 มิลลิเมตร กว้าง 1,815 มิลลิเมตร สูง 1,835 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,800 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้น 218 มิลลิเมตร น้ำหนักรถโดยประมาณ 1,940-2,075 กิโลกรัม รัศมีวงเลี้ยว 5.6 เมตร ความจุถังน้ำมัน 68 ลิตร
* ระบบบังคับเลี้ยวแบบแร็คแอนด์พิเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง
* ระบบกันสะเทือนหน้า : อิสระ แบบดับเบิ้ลวิชโบน คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง
ระบบกันสะเทือนหลัง : แบบทรีลิงค์ ทอคล์อาร์ม คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง
* ระบบเบรกหน้า-หลัง : ดิสก์เบรก แบบมีช่องระบายความร้อน

GT 2WD ราคา 1,299,000 บาท
อุปกรณ์มาตรฐานภายนอก
  • กรอบกระจกมองข้างโครเมียมพร้อมไฟเลี้ยว
  • กระจกมองข้างปรับและพับด้วยไฟฟ้า
  • มือเปิดประตูด้านนอกแบบโครเมียม
  • ไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ Bi-LED พร้อมระบบปรับระดับลำแสงไฟหน้าอัตโนมัติ
  • ไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ Spectrum LED
  • ไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED
  • ไฟท้ายแบบ LED พร้อมไฟเบรกแบบ LED
  • ไฟส่องสว่างขณะเลี้ยวแบบ LED
  • ไฟเบรกดวงที่สาม
  • ระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
  • ระบบไฟสว่างอัตโนมัติเมื่อปลดล็อกทำงานร่วมกับระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
  • กระจังหน้ารถสีเงิน
  • ชุดตกแต่งใต้กันชนหน้าสีเงิน
  • ชุดตกแต่งใต้กันชนหลังสีเงิน
  • สปอยเลอร์หลังสีเดียวกับตัวรถ
  • บันไดข้าง
  • ราวหลังคาสีเงิน
  • ที่ปัดน้ำฝนหน้า-หลัง พร้อมจังหวะหน่วงเวลา
  • ระบบน้ำฉีดล้างไฟหน้า
  • เสาอากาศแบบ Shark Fin
  • ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วพร้อมยาง 265/60R18
  • ชุดซ่อมยางฉุกเฉิน
อุปกรณ์มาตรฐานภายใน
  • ภายในตกแต่งสีเงิน และเปียโนแบล็ค
  • จอแสดงข้อมูลการขับขี่ความชัดเจนสูงขนาด 4.2 นิ้ว พร้อมเมนูภาษาไทย
  • ระบบปรับอากาศ แบบปรับอุณภูมิอัตโนมัติแบบแยกปรับอุณหภูมิ ซ้าย-ขวา
  • แผงควบคุมระบบปรับอากาศด้านหลังแบบแยกอิสระ พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
  • พวงมาลัยหุ้มหนังพร้อมปรับระดับสูง-ต่ำ, เข้า-ออก
  • ระบบล็อกความเร็วบนพวงมาลัย Cruise Control
  • ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย
  • สวิตช์ควบคุมวิทยุที่พวงมาลัย
  • กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อน
  • กระจกหน้าต่างไฟฟ้า แบบปรับขึ้น-ลงอัตโนมัติทั้ง 4 ด้าน ควบคุมจากด้านคนขับ พร้อมระบบ Safety
  • สวิตช์เปิด-ปิดกระจกหน้าต่างไฟฟ้าแบบเรืองแสงทั้ง 4 ด้าน
  • กระจกมองข้างปรับและพับด้วยไฟฟ้า
  • เซ็นทรัลล็อกพร้อมสวิตซ์เปิด-ปิด
  • ไฟอ่านแผนที่คู่หน้า และไฟส่องสว่างสำหรับผู้โดยสารแถวที่ 2, 3
  • ไฟส่องสว่างข้างประตู
  • ช่องจ่ายกระแสไฟ DC 12 โวลต์ 2 ตำแหน่ง
  • ช่องจ่ายกระแสไฟ AC 220 โวลต์ บริเวณคอนโซลกลางด้านหลัง
  • ช่องเก็บแว่นตาเหนือศีรษะ
  • ที่บังแดดคู่หน้า พร้อมฝาปิด, กระจก, ไฟส่องสว่าง และ ช่องเสียบบัตร
  • มือจับขึ้น-ลงรถ 4 ตำแหน่ง
  • ช่องเก็บของด้านท้ายรถพร้อมฝาปิด
  • พรมรองพื้นห้องโดยสาร
  • เบาะหนังและวัสดุหนังสังเคราะห์สีดำ
  • เบาะนั่งคนขับปรับระดับได้ 8 ทิศทาง 
  • เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าปรับระดับสูง-ต่ำได้
  • เบาะแถวที่สองแยกพับได้แบบ 60:40
  • พนักพิงเบาะแถวที่สองสามารถปรับเอนและพับไปด้านหน้าเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการใช้งาน
  • ที่พักแขนสำหรับที่นั่งแถวที่สอง พร้อมที่วางแก้ว
  • เบาะแถวที่สามพร้อมพนักพิงสามารถปรับเอนได้
  • เบาะแถวที่สามปรับแบนราบกับพื้นห้องโดยสารได้
  • กุญแจอัจฉริยะ KOS พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์
  • หน้าจอระบบสัมผัส 8 นิ้วรองรับการเชื่อมต่อผ่านสมาร์ทโฟน SDA
  • รองรับ Apple car play และ Android auto
  • ช่องต่ออุปกรณ์ HDMI 1 ตำแหน่ง
  • ช่องต่ออุปกรณ์ USB สำหรับ Audio & Power Supply ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง และช่องต่ออุปกรณ์ USB สำหรับ Power Supply ด้านหลัง 2 ตำแหน่ง
  • ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ แบบ A2DP
  • ระบบ Hands-Free และ Voice Control
  • ลำโพง 6 ตำแหน่ง
  • รองรับการเชื่อมต่อแอปพลิเคชัน M-Connect
ระบบความปลอดภัย
  • ระบบเบรกมือควบคุมไฟฟ้าอัตโนมัติ
  • ระบบ Brake Auto Hold
  • ระบบเบรกแบบ ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์
  • ระบบเสริมแรงเบรก BA
  • ระบบลดกำลังเครื่องยนต์ เพื่อช่วยเบรก
  • ถุงลมนิรภัยคู่หน้าพร้อมสวิตช์เปิด-ปิดและไฟแสดงผล สำหรับด้านผู้โดยสาร
  • เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติ 2 ทิศทาง พร้อมระบบผ่อนแรงเฉพาะด้านคนขับ
  • เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบ ELR 3 จุด 2 ตำแหน่ง
  • เข็มขัดนิรภัยแถวที่สองแบบ ELR 3 จุด 3 ตำแหน่งพร้อมพนักพิงศีรษะ 3 ตำแหน่ง เข็มขัดนิรภัยแถวที่สามแบบ ELR 3 จุด 2 ตำแหน่ง
  • ระบบล็อกป้องกันการเปิดประตูหลังจากภายใน
  • จุดยึดเบาะเด็ก ISOFIX ที่เบาะนั่งแถวที่ 2
  • ไฟห้องโดยสารเปิดอัตโนมัติ เมื่อปลดล็อก
  • ระบบล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อรถมีความเร็ว
  • ระบบป้องกันการโจรกรรม
  • ระบบสัญญาณกันขโมย
  • ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ Rain Sensor
  • ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว พร้อมระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล ASTC (Active Stability and Traction Control)
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA (Hill Start Assist)
  • กล้องมองภาพรอบคัน พร้อมเส้นกะระยะและเส้นแสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ
  • สัญญาณกะระยะจอดด้านหลัง
  • ไล่ฝ้ากระจกหลัง พร้อมระบบตัดการทำงานอัตโนมัติ
  • ระบบไฟกระพริบฉุกเฉินอัตโนมัติ ขณะเบรกกะทันหัน
GT-Premium 2WD ราคา 1,469,000 บาท (เพิ่มเงิน 170,000 บาทจากรุ่น GT 2WD)
**สิ่งที่เพิ่มเติมจากรุ่น GT 2WD**
อุปกรณ์มาตรฐานภายนอก
  • ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบแฮนด์ฟรี และปุ่มปิดฝาท้ายพร้อมล็อกรถ
อุปกรณ์มาตรฐานภายใน
  • จอแสดงข้อมูลการขับขี่ความชัดเจนสูงแบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว พร้อมเมนูภาษาไทย
  • ระบบกรองอากาศภายในห้องโดยสารนาโนอิ
  • ระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control
  • กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ
  • เบาะคู่หน้าปรับระดับได้ 8 ทิศทาง ด้วยระบบไฟฟ้า
  • จอภาพแบบ Wide Screen ขนาด 12.1 นิ้ว พร้อมช่องต่อ HDMI และ USB และรีโมท สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
  • หูฟังอินฟราเรด 2 ชุด สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
  • ระบบส่งการทำงานผ่านสมาร์ทโฟนในระยะสัญญาณบลูทูธ
ระบบความปลอดภัย
  • ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว FCM (Forward Collision Mitigation System)
  • ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว UMS (Ultrasonic Misacceleration Mitigation System)
  • ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา BSW (Blind Spot Warning)
  • ระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist)
  • ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
  • สัญญาณกะระยะจอดด้านหน้าและหลัง
GT-Premium 4WD ราคา 1,599,000 บาท (เพิ่มเงิน 130,000 บาทจากรุ่น GT 2WD)
**สิ่งที่เพิ่มเติมจากรุ่น GT-Premium 2WD**
  • ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ SS4 II พร้อม Diff Lock เฟืองท้าย
  • ถุงลมนิรภัยด้านข้าง, บริเวณหัวเข่าด้านคนขับและม่านถุงลมนิรภัย
  • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน HDC (Hill Descent Control)
  • เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติ 2 ทิศทาง พร้อมระบบผ่อนแรง
------------------------------------------------------------------------------------------
สนใจออกรถ Mazda วันนี้ พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษ จัดหนักส่วนลด+ของแถม เพียงคุณแสดงตัวว่ากดติดตามเพจ Car News Update (แคปโพสต์ให้ดูด้วย) สามารถติดต่อและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line ID : anuntasooragath ครับ
------------------------------------------------------------------------------------------



   ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
  

Like Box