วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

Mercedes-AMG GLA 45 อเนกประสงค์พันธุ์แรงระดับท็อปในตระกูล

  Mercedes-Benz ได้ทำการเปิดตัวอเนกประสงค์คตัวแรงโฉมใหม่ล่าสุดอย่าง Mercedes-AMG GLA 45 เจเนเรชั่นที่ 2 เสริมทัพ GLA 35 ที่เปิดตัวก่อนหน้านี้

  ตัวท็อปของตระกูล GLA คันนี้แน่นอนว่าจะใช้ขุมพลังเบนซินเทอร์โบชาร์จแถวเรียง 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตรบล็อกเดียวกับ A 45 และ CLA 45 สร้างพละกำลังสูงสุดที่ 387 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติแบบคลัทช์คู่ 8 สปีดและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Matic+ พร้อมระบบกระจายแรงบิด AMG Torque Control ที่กระจายแรงบิดระหว่างล้อหน้าและล้อหลังรวมถึงล้อหลังซ้ายและขวา ครอสโอเวอร์พลังแรงคันนี้ใช้เวลา 4.4 วินาทีเท่านั้นในการเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ก่อนทะยานไปสู่ท็อปสปีดที่ 250 กม. / ชม.

  และแน่นอนว่ายังมีรุ่นที่ทรงพลังยิ่งกว่าอย่าง GLA 45 S ที่จะมาพร้อมพละกำลังสูงถึง 421 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ไม่มีการประกาศอัตราเร่งและท็อปสปีดออกมา แต่ก็พอเดาได้ว่าท็อปสปีดคันนี้น่าจะไปได้ถึง 270 กม./ชม. เช่นเดียวกับ A 45 S หรือ CLA 45 S

   GLA 45 ทุกรุ่นจะมากับช่วงล่างใหม่ที่ได้รับการปรับให้เข้ากับรุ่นนี้โดยเฉพาะ ด้านหน้าติดตั้งระบบกันสะเทือนแบบแม็คเฟอร์สันสตรัทที่ด้านหน้า, อลูมิเนียมวิชโบน ระบบกันสะเทิอนหลังแบบ 4-link นอกจากนี้ยังมีระบบ AMG Ride Control ที่มีโช้คอัพแบบปรับได้พร้อมโหมดควบคุม 3 โหมด

  ระบบเบรคที่ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐานประกอบด้วย เบรกหน้าแบบ 4 ลูกสูบและคาลิปเปอร์หลัง 1 ลูกสูบที่ทำด้วยสีเทาพร้อมโลโก้ "AMG" สีขาว รวมถึงดิสก์ที่มีการระบายอากาศและมีรูพรุน ส่วนหนึ่งของแพ็คเกจ AMG Dynamic Plus ชุดเบรกจะมีดิสก์ขนาดใหญ่และคาลิปเปอร์แบบ 6 ลูกสูบที่ด้านหน้า พ่นสีแดงและตัวอักษ AMG สีดำ

  ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนระหว่างโหมดการขับขี่ได้ทั้งแบบ Slippery, Comfort, Sport, Sport+ และ Individual รวมถึงโหมด Race ที่รวมอยู่ในแพ็คเกจดังกล่าวข้างต้นด้วย 

   ภายนอกของ GLA 45 โฉมใหม่เดินตามรอยพี่น้อง AMG รุ่นอื่นๆ ด้วยกันชนหน้าและหลังดีไซน์ดุ สปอยเลอร์หลังสุดเท่ที่ติดตั้งบนหลังคา ด้านท้ายมากับท่อไอเสียรูปสี่เหลี่ยมสุดโดดเด่น มีกระจังหน้าซี่ลวดแนวตั้งแบบ Panamericana ขนาดใหญ่ ปิดท้ายล้อลายพิเศษสี Glossy Black ที่เสริมความโดดเด่นมากขึ้นให้รถ

  ภายในก็จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือน GLA รุ่นปกติ ติดตั้งระบบอินโฟเทนเมนต์ MBUX และหน้าปัดแบบดิจิตอลแสดงผลกราฟิคเฉพาะรุ่น AMG และยังมีระบบสั่งการด้วยเสียงด้วย นอกจากนี้ยังมีออปชั่น AMG Track Pace เอาใจขาซิ่งโดยสามารถติดตามข้อมูลต่าง ๆ และแสดงสิ่งต่าง ๆ ได้ เช่น รอบในสนาม และ เวลาต่อรอบ

  GLA 45 ติดตั้งเบาะนั่งแบบสปอร์ตเป็นมาตรฐานหุ้มด้วย MB-Tex และ Dinamica สีดำ ตัดกับตะเข็บสีแดง เข็มขัดนิรภัยสีแดงและ ตกแต่งเพิ่มเติมด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ นอกจากนี้ยังมีออปชั่นเพิ่มเติมที่มากับเบาะนั่ง AMG Performance หุ้มหนัง MB-Tex สีเทา Neva Grey ผสมสีดำและตกแต่งเพิ่มเติมด้วยอลูมิเนียม รวมทั้งยังมีหนัง 4 แบบให้เลือกด้วย

ที่มา Carscoops

ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

Toyota ออสเตรเลียได้รับอนุมัติเครื่องหมายการค้า "GR Hilux" เรียบร้อยแล้ว

    Toyota จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในชื่อ “ GR HiLux” ในออสเตรเลียเป็นที่เรียบร้อย โดยทางสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual property : IP) ของรัฐบาลออสเตรเลียอนุมัติป้ายชื่อใหม่นี้เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้เอง

  เครื่องหมายการค้านี้ทาง Toyota ได้ยื่นขอจดทะเบียนไว้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2019 แล้ว หลังจากผ่านการตรวจสอบมาอย่างยาวนาน ตอนนี้ก็ได้รับการอนุมัติในที่สุด 

  ก่อนหน้านี้ทาง Toyota เคยให้คำมั่นสัญญาว่ารถทุกคันที่ได้ประทับตรา GR จะได้รับประโยชน์จากการอัปเกรดประสิทธิภาพแบบ "เห็นได้ชัด" จากรุ่นปกติ นั่นหมายความว่า GR HiLux จะต้องมีการเพิ่มประสิทธิภาพทางด้านสมรรถนะให้สูงขึ้นไม่ว่าจะขับขี่ออนโรดหรือออฟโรดก็ตาม

  ในปลายปี 2018 ที่ผ่านมา ทาง Toyota เพิ่งเปิดตัว Hilux GR Sport ที่ใช้ขุมพลัง 4.0 V6 พละกำลัง 238 แรงม้า พร้อมแรงบิด 375 นิวตันเมตร จำหน่ายเฉพาะตลาดอเมริกาใต้เท่านั้น แม้ว่าจะเป็นที่เข้าใจกันว่ารถที่เหมาะสมกับการแปะตรา GR จะต้องมีสมรรถนะที่โดดเด่นกว่าปกติเยอะทีเดียว แต่อันนี้คือยังใช้เครื่องเดิมและพละกำลังประมาณเดิม (ว่าแล้วก็นึกถึง Altis GR Sport ที่ประเทศไทยเลย 555) ฉะนั้นแล้ว GR Hilux จะต้องมีพละกำลังที่โหดกว่านี้ซึ่งคงไม่ต่ำกว่า 250 แรงม้า และแน่นอนคู่แข่งสำคัญคงพุ่งเป้าไปที่ Ford Ranger Raptor!

   Toyota กล่าวกับสื่อออสเตรเลีย CarsGuide สำหรับเครื่องยนต์ 4.0 ลิตร V6 “มีโอกาสน้อยมากสำหรับออสเตรเลีย” เพราะหยุตผลิตเครื่องนี้ไปแล้วอันเนื่องมาจากความต้องการในตลาดที่ค่อนข้างน้อย

   Toyota ยังกล่าวอีกว่าพวกเขาให้ความสนใจในตลาดกระบะสมรรถนะสูงเสมอ แต่ ณ ตอนนี้ยังไม่ได้มีประกาศอะไรที่ชัดเจนเลย เป็นปกติของบริษัทแม่อยู่แล้วกับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าชื่อยานพาหนะที่อาจใช้ในอนาคตเพื่อปกป้องสิทธิ์ในการใช้ชื่อดังกล่าว ทำแบบนี้ในตลาดสำคัญทุกแห่งอยู่แล้ว  ยังคงยืนยันว่าไม่มีแผนแนะนำ GR Hilux ในตอนนี้ แต่ทาง Toyota ก็ไม่ได้ปิดกั้นอะไรสำหรับอนาคตหากมีความสนใจมากพอ

  เอาเป็นว่าสาวกสามห่วงต้องติดตามต่อไป แต่ตอนนี้เรามารอ Toyota Hilux Revo และ Fortuner ที่จะเปิดตัวในไม่กี่เดือนข้างหน้าดีกว่าครับ

ที่มา Carsguide

ข่าวสารที่น่าสนใจอื่นๆ :
ส่อง Volvo S90 & V90 Minor Change เน้นชูเครื่องยนต์ Hybrid ไม่เน้นปรับดีไซน์

Aston Martin Vantage Roadster สปอร์ตหรูผู้ดีเวอร์ชั่นเปิดหลังคา

ส่อง Ford GT 2020 ซูเปอร์คาร์สายพันธุ์อเมริกันกับการปรับปรุงสเปคใหม่

ส่อง Chevrolet Menlo ครอสโอเวอร์ไฟฟ้าสำหรับตลาดมังกร

Honda ประกาศยุติการผลิตรถที่ฟิลิปปินส์เดือนมีนาคมนี้ เหตุเพราะยอดตก

Volkswagen Golf GTI, GTE & GTD สามตัวแรง มีให้เลือกครบทั้งเบนซิน ดีเซล และ Plug-In Hybrid

รวมรถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวภายในปี 2020

ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ

Volkswagen Golf GTI, GTE & GTD สามตัวแรง มีให้เลือกครบทั้งเบนซิน ดีเซล และ Plug-In Hybrid

  และในที่สุด VW ก็ได้เปิดผ้าคลุม Golf GTI เจเนเรชั่นที่ 8 รวมทั้งพี่น้องอย่าง GTE ที่เป็นขุมพลังแบบ Plug-In Hybrid  และรุ่นดีเซล GTD ซึ่งก่อนการเปิดตัวรอบปฐมทัศน์อย่างเป็นทางการในงาน Geneva Motor Show

  ด้านหน้ารถมีการออกแบบกันชนหน้าใหม่ที่เป็นตะแกรงแบบรังผึ้งชิ้นเดียวที่โดดเด่น ที่โดดเด่นคงจะเป็นไฟตัดหมอกที่จัดวางในแบบ X-shaped ออกแบบการจัดวางให้เนียนไปกับกันชน ไฟหน้า LED จะได้รับการติดตั้งเป็นมาตรฐานแถบไฟ LED บาง ๆ ลากยาวเชื่อมไฟหน้า 2 ดวงเข้าด้วยกัน ในรุ่น GTI จะเป็นแถบไฟสีแดง , สีน้ำเงินสำหรับ GTE และ สีเงินสำหรับ GTD

   ล้ออัลลอยด์ริชมอนด์ขนาด 17 นิ้วลายใหม่จะถูกนำเสนอเป็นมาตรฐานสำหรับ Golf GTI แต่ VW ยังมีล้อขนาด 18 และ 19 นิ้วเป็นออปชั่นให้เลือกด้วย ขณะที่คาลิปเปอร์เบรคนั้นถูกพ่นด้วยสีแดงคลาสสิก และติดตั้งสเกิร์ตด้านข้างสีดำ

  ด้านท้ายของ VW Golf GTI ใหม่จะมากับ Diffuser ดีไซน์สปอร์ตพร้อมสปอยเลอร์บนหลังคา ไฟท้าย LED เป็นมาตรฐานและตัวอักษร GTI ใต้โลโก้ VW โดย Golf GTI, GTE และ GTD ใหม่นั้นมีความแตกต่างในรูปแบบการจัดวางท่อไอเสีย รุ่น GTI จะเป็นท่อคู่ซ้าย-ขวา, GTD จะได้ท่อคู่วางในตำแหน่งซ้ายและ GTE Plug-In Hybrid จะซ่อนท่อไว้แบบแนบเนียน

   พลังของ VW Golf GTI ใหม่นั้นมาจากเครื่องยนต์รหัส EA888 TSI ความจุ 2.0 ลิตร พละกำลังสูงสุด 245 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดเป็นมาตรฐาน แต่มีออปชั่นเป็นเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดแบบ Dual Clutch ให้เลือก ทาง VW ไม่ได้ปล่อยตัวเลขอัตราเร่งออกมาในตอนนี้และไม่ได้พูดถึงรุ่นตัวแรง TCR ที่มีข่าวลือว่าจะใช้เครื่องยนต์เดียวกันแต่ปล่อยพละกำลังออกมาได้ 295 แรงม้า (PS)

   Golf GTD ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร พละกำลังสูงสุด 200 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร มีให้เลือกเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดแบบ Dual Clutch เท่านั้นและมีตัวแปลงเร่งปฏิกิริยา SCR 2 ตัวพร้อมหัวฉีด AdBlue แบบคู่

   ปิดท้ายด้วย Golf GTE ที่เป็นขุมพลังแบบ Plug-In Hybrid ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบชาร์จ 1.4 ลิตร พละกำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 112 แรงม้า รวมกำลังทั้งระบบ 242 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 6 สปีดเท่านั้น ติดตั้งชุดแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมีขนาดใหญ่ขึ้น 50% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ทาง VW อ้างว่าช่วยให้วิ่งด้วยโหมด ไฟฟ้าล้วนได้ในระยะทางถึง 60 กม. และยังทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 130 กม./ลืตร เมื่อวิ่งด้วยไฟฟ้าเพียวๆ

  สำหรับแชสซีส์รถนั้นมีการเพิ่มระบบควบคุมการขับเคลื่อนแบบไดนามิกใหม่ที่เรียกว่า "Vehicle Dynamics Manager" ระบบใหม่นี้จะควบคุมการดิฟล็อค XDS และระบบช่วงล่างแบบปรับระดับได้ DCC ซึ่งได้รับการแก้ไขสำหรับตระกูล Golf ตัวแรงทั้งหมดนี้โดยเฉพาะ โดย Golf GTI และ GTD จะมีความสูงที่เตี้ยกว่ารุ่นมาตรฐานราวๆ 0.6 นิ้ว

   ณ ตอนนี้ VW อนุญาตให้ผู้ขับขี่เลือกโหมดการขับขี่ได้ล่วงหน้าที่จะมีทั้งโหมด Comfort, Eco และ Sport สั่งการได้ผ่านปุ่มดิจิตอล รวมทั้งยังปรับให้สบายขึ้นหรือสปอร์ตขึ้นก็ยังได้ โดยจะปรับโช้คอัพรถให้เข้ากับโหมดที่เลือก

    การตกแต่งภายในของ Golf GTI, GTE และ GTD ใหม่นั้นจะประกอบไปด้วยพวงมาลัยทรงสปอร์ตใหม่พร้อมระบบควบคุมแบบสัมผัส หัวเกียร์ขนาดเล็ก และเบาะนั่งทรงสปอร์ต

  นอกจากนั้นแล้วยังมีแผงหน้าปัดดิจิตอล 10.25 นิ้ว ที่สามารถปรับแต่งให้เข้ากับระบบ Infotainment ขนาด 10 นิ้ว ปรับแสงสีภายในห้องโดยสารได้ถึง 30 สี อุปกรณ์มาตรฐานที่มีให้ยังครอบคลุมถึง ระบบรักษารถให้อยู่ในเลน, ระบบเบรกฉุกเฉินแบบอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจสอบคนเดินเท้า ระบบล็อคเฟืองท้ายแบบอิเล็กทรอนิกส์ XDS และระบบเชื่อมต่อการสื่อสาร Car2X

ที่มา Carscoops

ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ

วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ภาพแอบถ่ายล่าสุด..กระบะไซส์บิ๊ก Ford F-150 ปี 2021 กับการปรับดีไซน์ครั้งใหญ่

   Ford มีแผนที่จะเปิดตัวกระบะ F-150 รุ่นใหม่ภายในปีนี้ และล่าสุดก็มีภาพแอบถ่ายรถทดสอบที่เห็นสัดส่วนตัวรถและงานดีไซน์ค่อนข้างชัดเจนมากขึ้น 
 
  จะเห็นได้ชัดว่าด้านหน้ารถมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทีเดียว ด้วยโคมไฟหน้าทรงใหม่จากเดิมที่ทรวดทรงคล้ายตัว E เป็นก้อนแนวตั้งขนาดใหญ่ขึ้นที่มีรายละเอียดไฟ LED ภายในคล้ายตัว L คว่ำหรือบูมเมอแรง พร้อมทั้งออกแบบกระจังหน้าใหม่ที่ดูเล็กลงกว่ารุ่นปัจจุบัน ดีไซน์กระจังหน้าก็ชวนให้นึกถึงคู่แข่งอย่าง Ram ไม่น้อย กันชนหน้าออกแบบใหม่พร้อมไฟตัดหมอกแนวนอน

  โครงสร้างตัวถังนั้นยังคงไม่ต่างจากเดิม ก็พออนุมานได้ว่า F-150 ใหม่ยังคงพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของตัวถังปัจจุบัน น่าจะเป็นการ Big Minor Change ครั้งใหญ่ สำหรับกระจกมองข้างนั้นก็มีการออกแบบใหม่เช่นเดียวกัน และอีกการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือช่วงกระบะท้ายที่มีการออกแบบไฟท้ายทรงใหม่

  นอกจากนี้ยังมีภาพแอบถ่ายที่ถูกอ้างว่าเป็นรถทดสอบของ F-150 Hybrid โดยมีรายละเอียดกระจังหน้าที่แตกต่างออกไปจากภาพชุดก่อนหน้า ที่อ้างว่าเป็นรุ่น Hybrid ก็เพราะรถทดสอบดังกล่าววิ่งแถว ๆ เมืองเดียร์บอน รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า Ford ได้ลงทุนสำหรับโรงงานที่เมืองนี้เพื่อเตรียมผลิต F-150 ขุมพลัง Hybrid และไฟฟ้าล้วน

  ภายในห้องโดยสารจะมีการปรับดีไซน์ครั้งใหญ่ แต่การจัดวางเลย์เอาท์ต่างๆบนคอนโซลยังคงเหมือนกับรุ่นปัจจุบัน เข้ามาจะพบกับพวงมาลัยทรงใหม่ หน้าปัดใหม่แสดงผลแบบดิจิตอล หน้าจอสัมผัสตรงกลางที่ขนาดใหญ่ขึ้นที่รองรับระบบอินโฟเทนเมนต์ SYNC เวอร์ชั่นล่าสุด 

  เครื่องยนต์แน่นอนว่าจะยังมี เครื่องยนต์สันดาปภายในธรรมดาให้เลือกเหมือนเคย และจะมีขุมพลัง Hybrid เข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ นอกจากนี้ขุมพลังแบบ Plug-In Hybrid รวมทั้งไฟฟ้าล้วน 100% ก็มีสิทธิ์จะเปิดตัวตามมาอีกด้วย

  เป็นไปได้ว่า Ford จะเลือกเวทีงาน New York Auto Show 2020 ช่วงเดือนเมษายน ในการเปิดตัว F-150 ใหม่ และเริ่มจำหน่ายช่วงปลายปีนี้ที่สหรัฐฯ ยังไงสาวกวงรีสีฟ้าต้องติดตามครับ

ภาพจาก Motor1 1 / 2 / Autoblog

ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ

Like Box