วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2562

Volkswagen ID.3 รถพลังงานไฟฟ้าคันแรกจากยักษ์ใหญ่เยอรมัน

  ยักษ์ใหญ่เยอรมันอย่าง Volkswagen ได้แนะนำ "Volkswagen ID.3" รถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วนคันแรกของค่ายที่มีการผลิตจำหน่ายจริง มีการพัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์ท MEB แบบ Modular สำหรับรถพลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะ

  รถไฟฟ้าคันใหม่ของ VW จะมากับทางเลือก 3 ความจุแบตเตอรี่ ได้แก่ รุ่นพื้นฐาน 45kWh ที่สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 330 กม. , รุ่นกลาง 58kWh ที่สามารถวิ่งได้ในระยะทาง 420 กม. และรุ่นท็อปสุด 77kWh ที่สามารถวิ่งได้สูงสุด 550 กม. จากการชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม

  กำลังของรถจะมาจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งบริเวณเพลาหลังโดยมีพละกำลังสูงสุด 201 แรงม้า รุ่นพื้นฐานะมีพละกำลัง 147 แรงม้า แต่ทั้งสองขุมพลังจะได้แรงบิดเท่ากันคือ 310 นิวตันเมตร

   ด้วยการออกแบบที่ชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพทำให้ VW ID.3 มีขนาดตัวถังใกล้เคียง VW Golf  แต่มีระยะฐานล้อยาวกว่าถึง 145 มิลลิเมตร โดยอยู่ที่ 2,765 มิลลิเมตร มีความจุสัมภาระที่ 380 ลิตร แลด้วยฐานล้อที่ยาวขนาดนี้ทำให้ทาง VW เคลมว่า ID.3 จะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถกลุ่มคอมแพกต์คาร์ได้

 การออกแบบภายในห้องโดยสารมาในแนวล้ำอนาคต มีการติดตั้งจอแสดงผลแบบสัมผัสขนาด 10 นิ้วที่พัฒนาขึ้นใหม่ซึ่งยังมากับระบบ Infotainment ใหม่ของ VW ที่รองรับการอัปเดตข้อมูลแบบไร้สาย รวมทั้งยังมากับแผงหน้าปัดแบบดิจิตอลอรกด้งบ

   การควบคุมต่างๆจะอยู่ในส่วนของปุ่มควบคุมแบบสัมผัสทั้ง 11 ปุ่มบนพวงมาลัยโดยที่ VW ยังคงเหลือเพียงกระจกไฟฟ้าและไฟฉุกเฉินที่ใช้งานโดยปุ่มควบคุมแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ยังมีระบบสั่งการด้วยเสียงซึ่งสามารถเริ่มต้นคำสั่งโดยกล่าวว่า “ Hello ID”

  รุ่นพื้นฐานฐาน 45 kWh จะให้อุปกรณ์ชาร์จไฟขนาด 50kW เป็นมาตรฐาน แต่สามารถสั่งออปชั่นเป็น 100kW ได้ สำหรับรุ่นกลาง 58kWh จะได้อุปกรณ์ชาร์จ 100kW เป็นมาตรฐานโดยให้ระบุว่าเมื่อใช้เวลาชาร์จเพียง 30 นาทีจะสามารถวิ่งได้ในระยะทางถึง 250 กม. สำหรับรุ่นท็อปนั้นจะได้อุปกรณ์ชาร์จไฟขนาด 125kW


   VW ได้เปิดรับจองล่วงหน้าแล้วสำหรับรุ่นพิเศษ 1st  limited launch edition ของ ID.3 ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจนถึงตอนนี้ ซึ่งมีผู้คนให้ความสนใจมากกว่า 30,000 คน 1st limited launch edition จะมีแบตเตอรี่ 58kWh เป็นมาตรฐาน และติดตั้งระบบนำทาง, วิทยุดิจิตอล DAB, เบาะนั่งและพวงมาลัยพร้อมฟังก์ชั่นปรับอุ่น, ที่วางแขนด้านหน้า, สายชาร์จ Mode 2 และล้อขนาด 18 นิ้วเป็นมาตรฐาน

   ลูกค้าที่อยากได้ออปชั่นเพิ่มขึ้นก็ต้องไปเล่นรุ่น  1st Plus และท็อปสุด 1st Max ซึ่งจะมีออปชั่นและความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นไปอีกตามเกรดรุ่น โดยราคาเริ่มต้นนั้นจะอยู่ที่ไม่เกิน 30,000 ยูโร หรือประมาณไม่เกิน 1,004,000 บาท การผลิตจะเริ่มขึ้นในสิ้นปีนี้ และเริ่มส่งมอบรถล็อตแรกได้ในช่วงต้นปีหน้า

ที่มา Carscoops
ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
  

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2562

จับภาพรถทดสอบ All-New Mitsubishi Outlander เมืองไทยจ่อเปิดตัวและจำหน่ายครึ่งหลังของปี 2020

   หลายท่านคงจะรู้จัก Mitsubishi Outlander รถอเนกประสงค์ขนาดกลางที่ไม่ได้มีขายในไทย โดยโฉมปัจจุบันอยู่ในตลาดมาตั้งแต่ปี 2012 แล้ว ซึ่งตอนนี้ก็สมควรแก่เวลากับการเปลี่ยนโฉมสู่เจเนเรชั่นใหม่เสียที และล่าสุดมีช่างภาพสามารถถ่ายภาพรถทดสอบของ All-New Mitsubishi Outlander ได้ทางตะวันตกตอนกลางของสหรัฐฯ

 จากภาพรถทดสอบนั้นจะเห็นได้ชัดว่ารถจะนำเอาเส้นสายดีไซน์จากต้นแบบ Mitsubishi Engelberg Tourer Concept แต่ก็มีการปรับรายละเอียดให้มีความใกล้เคียงความเป็นรถจำหน่ายจริงมากขึ้น โดยยังคงอยู่ภายใต้ธีมการออกแบบ Dynamic Shield เหมือนเดิม ภายนอกจะมากับไฟหน้าดวงใหญ่พร้อมแถบไฟ LED Daytime Running Lights เป็นแนวยาว ด้านท้ายมากับโคมไฟท้าย LED ทรงเรียวสวย

  เป็นไปได้สูงว่า Mitsubishi Outlander เจเนเรชั่นใหม่จะพัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์มเดียวกันกับ Nissan Rogue /X-trail เจเนเรชั่นใหม่ นั่นหมายความว่า Outlander จะมีขนาดที่ใหญ่โตมากกว่ารุ่นปัจจุบัน

  คาดว่าขุมพลังใน Outlander เจเนเรชั่นใหม่อาจจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 4 สูบความจุ 1.5 ลิตรบล็อกเดียวกับ Eclipse Cross ที่มากับพละกำลัง 153 แรงม้า ฟังแล้วอาจจะดูน้อย แต่นอกจากนี้คาดว่าจะยังมีทางเลือกขุมพลังแบบเบนซิน Plug-In Hybrid ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร 4 สูบที่ช่วยใช้ในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า หากวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าล้วนจะสามารถวิ่งได้ถึง 70 กม. แต่ถ้าหากวิ่งภายใต้โหมด Hybrid จะวิ่งได้มากถึง 700 กม.

   คาดว่า  All-New Mitsubishi Outlander จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงงาน Geneva Motor Show 2020 ช่วงเดือนมีนาคมหรือ New York Auto Show 2020 เดือนเมษายน

  สำหรับเมืองไทยนั้นมีข่าวออกมาว่า  All-New Mitsubishi Outlander อาจมีการขึ้นไลน์ประกอบในไทยในขุมพลัง Plug-In Hybrid ในช่วงครึ่งหลังของปี 2020 หรือปีหน้า หากมีข่าวความคืบหน้าเพิ่มเติมจะมารายงานให้ทราบอีกครั้งครับ

ที่มา Motor1

ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
  

วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2562

Toyota โชว์แพลตฟอร์มใหม่ GA-B สำหรับ All-New Toyota Yaris (โฉมตลาดโลก)

  Toyota ได้เปิดเผยรายละเอียดแรกของแพลตฟอร์มใหม่ล่าสุดในชื่อ "GA-B" ซึ่งถือเป็นแพลตฟอร์มน้องใหม่ในตระกูลแพลตฟอร์ม TNGA โดยแพลตฟอร์มนี้จะใช้ใน All-New Toyota Yaris โฉมตลาดโลก 

 เช่นเดียวกับแพลตฟอร์มอื่นในตระกูล TNGA แพลตฟอร์ม GA-B ได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโดยสูงสุดในการควบคุมรถระหว่างการขับขี่ ส่วนใต้ท้องรถจะถูกออกแบบให้มีความแข็งแกร่งสูงจากข้อต่อที่แข็งแกร่งในโครงสร้างแพลตฟอร์มรถ ขณะที่ระบบช่วงล่างด้านหน้าจะใช้แบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังที่ออกแบบให้รองรับทั้งแบบคานบิดหรืออิสระมัลติลิงก์

  แพลตฟอร์มใหม่สำหรับรถยนต์ขนาดเล็กของ Toyota ยังมีส่วนช่วยให้สามารถวางตำแหน่งที่นั่งคนขับให้ต่ำลงและเข้าใกล้ศูนย์กลางของรถมากขึ้น ทำให้ได้ตำแหน่งการขับขี่ที่ดีขึ้นและมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำลง นอกจากนี้ตัวแพลตฟอร์มยังถูกออกแบบให้มอบพื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

  นอกจากนี้ยังมีการออกแบบจุดบนของโครงสร้างพร้อมกับจุดช่วงสะโพกคนขับให้ต่ำลง ส่งผลให้นักออกแบบมีอิสระในการสร้างรถยนต์ที่เตี้ยลงแต่กว้างขึ้นได้ 

  Toyota บอกว่าพวกเขาจะใช้แพลตฟอร์ม GA-B ในรถยนต์รุ่นใหม่ที่มีขนาดและดีไซน์รูปร่างที่แตกต่างกัน โดยมีความยาวฐานล้อ  ความสูงและความกว้างของแทร็กที่แตกต่างกัน คาดว่าอนาคตอาจจะเห็นรถ K-Car ของค่ายใช้แพลตฟอร์มนี้ และด้วยตลาด SUV ที่กำลังเป็นที่นิยมทั่วโลกตอนนี้ นั่นอาจเป็นไปได้ว่า Toyota อาจกำลังซุ่มพัฒนารถครอสโอเวอร์ใหม่ที่เล็กกว่า C-HR ก็เป็นได้

  ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องมารอดูครับว่า คนไทยจะมีโอกาสได้ใช้ Yaris โฉมใหม่ที่พัฒนาบนแพลตฟอร์มใหม่นี้หรือเปล่า ต้องติดตาม

ที่มา Carscoops

ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
  

วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2562

Nissan Titan Minor Change ปรับดีไซน์กระบะไซส์บิ๊กแดนมะกัน

  ในขณะที่กระบะ Mid Size อย่าง Nissan Navara ยังไม่มีการปรับโฉม Minor Change เลยไม่ว่าจะตลาดไหนก็ตาม แต่กระบะ Full Size อย่าง Nissan Titan ชิงปรับดีไซน์ก่อนเป็นที่เรียบร้อย มีอะไรน่าสนใจบ้างไปชมกันครับ

   การเปลี่ยนแปลงภายนอกจะมากับกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ที่มีรูปแบบที่แตกต่างกัน 3 แบบ มาพร้อมกับไฟหน้า LED ที่มีการปรับรายละเอียดใหม่พร้อมไฟ LED Daytime Running Lights แบบ Double Boomerang ภายในโคม กันชนหน้ามีการออกแบบใหม่ให้มีเส้นมิติที่เด่นชัดขึ้นพร้อมไฟตัดหมอกดีไซน์ใหม่ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า


  ส่วนด้านท้ายมีการปรับรายละเอียดไฟท้ายแบบ LED ใหม่ พร้อมทั้งฝากระโปรงท้ายดีไซน์ใหม่ นอกจากนี้ยังมีไฟกระบะท้ายใหม่, ล้อลายใหม่ และสีตัวถังใหม่ ได้แก่  สีแดง Red Alert, สีน้ำตาล Baja Storm และสีแดง Cardinal Red Metallic

  เข้ามาภายในห้องโดยสารจะพบกับแผงหน้าปัดดีไซน์ใหม่พร้อมจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ขนาด 7 นิ้ว ติดตั้งระบบอินโฟเทนเมนต์พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้วมาให้เป็นมาตรฐาน ส่วนจอขนาดใหญ่พิเศษ 9 นิ้วจะมีให้เลือกซื้อเป็นออปชั่นซึ่งจอนี้จะมาพร้อมการรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ได้อีกด้วย รวมทั้งมีการติดตั้ง Wi-Fi ที่รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้สูงสุดถึง 6 อุปกรณ์

   นอกจากนี้ภายในห้องโดยสารยังมีมือจับภายในเพิ่มเติม และมีที่ยึดโทรศัพท์แบบยึดหยุ่นพร้อมระบบชาร์จ พิเศษในตัวถัง 4 ประตูหรือ Crew Cab ยังเลือกติดตั้งหลังคาแบบ Moonroof แบบ Panoramicได้ ซึ่งทาง Nissan อ้างว่าใหญ่สุดในกลุ่มคู่แข่ง

  ภายใต้ฝากระโปรงนั้นจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 5.6 ลิตรที่ให้กำลังสูงสุด 406 แรงม้า (PS) พร้อมแรงบิดสูงสุด 559 นิวตันเมตร เทียบกับรุ่นก่อนหน้าจะมีกำลังมากขึ้น 10 แรงม้า และแรงบิดมากขึ้น 26 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีดลูกใหม่ซึ่งมาแทนที่เกียร์ 7 สปีดเดิม โดยทาง Nissan กล่าวว่าเกียร์ลูกใหม่นี้จะให้ “อัตราเร่งที่ราบรื่นและเร็วขึ้น”

  โดบเครื่องยนต์เบนซินจะเป็นตัวเลือกเดียวสำหรับรุ่นใหม่ปี 2020 และตัดทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซล Cummins V8 5.0 ลิตรออกไปแล้วเนื่องด้วยความไม่นิยมของลูกค้า 

   ทางด้านความปลอดภัยนั้น Nissan ก็ได้ติดตั้งชุดความปลอดภัย Nissan Safety Shield 360 มาให้ อันประกอบไปด้วย 
  • ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติเเละระบบป้องกันการชนคนเดินเท้า Automatic Emergency Braking with Pedestrian Detection
  • ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาด้านข้าง Blind Spot Warning
  • ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาขณะถอยหลัง Rear Cross Traffic Alert
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Warning
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ High Beam Assist 
  • ระบบช่วยเบรกขณะถอยหลัง Rear Automatic Braking

นอกจากนี้ยังมีระบบความปลอดภัยอื่นๆให้เลือกเพิ่มเติมอีก ได้แก่
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Intelligent Cruise Control
  • ระบบตรวจจับและตีความป้ายจราจร Traffic Sign Recognition 
  • ระบบกล้องมองภาพอัจฉริยะรอบทิศทาง Intelligent Around View Monitor
   Nissan Titan Minor Change จะจำหน่ายในตลาดสหรัฐฯช่วงต้นปีหน้า และจะประกาศราคา ณ ตอนนั้น แน่นอนว่าเมืองไทยไม่มีขายครับ

ที่มา Carscoops


ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
  

Like Box