วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562

ชม Isuzu D-Max XTR ตัวแต่งสุดเท่จากแดนผู้ดี พร้อมขายปลายปีในราคา 33,999 ปอนด์

   ค่าย Isuzu ประเทศอังกฤษ ได้เปิดตัวรถต้นแบบ Isuzu D-Max XTR ก่อนจะกลายเป็นรุ่นจำหน่ายจริงในช่วงปลายปีนี้ โดยวางราคาจำหน่ายที่ 33,999 ปอนด์ หรือประมาณ 1,414,000 บาท

  Isuzu D-Max XTR จะนำเสนอรูปแบบการขับขี่บนเส้นทางออฟโรดที่ยอดเยี่ยม ด้วยชุดช่วงล่างจาก Pedders มีการตกแต่งภายนอกรอบคันด้วยชุดแต่งที่ดูมีรายละเอียดซับซ้อน มีการยกตัวถังให้สูงขึ้นกว่าเดิมด้วยระยะความสูงจากพื้นรถ 250 มิลลิเมตร และมากับล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้วพร้อมยาง Pirelli Scorpion All Terrain Plus

  Isuzu D-Max XTR เสริมความหล่อภายนอกด้วยการ์ดกันชนด้านหน้าสีดำ , ที่กันแมลงฝากระโปรงหน้า , ชุดครอบกระจังหน้าและไฟหน้าสีดำออกแบบให้รับกับกันชน , คิ้วซุ้มล้อสีดำ , กันชนท้ายสีดำ และ สปอยเลอร์ที่กระบะท้าย ส่วนงานตกแต่งอื่นๆก็จะมี ครอบกระจกมองข้างสีดำ , มือจับประตูสีดำ และยังมีกระจกประตูหลังสีเข้มด้วย

  สีตัวถังภายนอกจะมีให้เลือกดังนี้ - สีขาว Splash White, สีเงิน Titanium Silver Met, สีเทา Obsidian Grey Mica และสีดำ Cosmic Black Mica ส่วนสีของระบบช่วงล่างและจานเบรกจะใช้สีเขียวไม่ว่าจะเลือกสีรถสีไหนก็ตา

  ภายในห้องโดยสารติดตั้งเบาะนั่งคู่หน้าทรงสปอร์ตหุ้มด้วยหนังแท้ ผสมหนังกลับ และลวดลายคาร์บอนไฟเบอร์ มีการตัดเย็บด้วยด้ายสีเขียว รวมทั้งโลโก้ XTR บนเบาะบริเวณพนักพิงเบาะหน้าและพนักพิงศีรษะด้านหลังก็เป็นสีเขียวเช่นเดียวกัน 

  พวงมาลัยรถยังเป็นดีไซน์เดิมแบบ D-Shaped แต่มีการปรับปรุงดีไซน์รอบวงให้ดูสปอร์ตขึ้น ตกแต่งด้วยหนังและหนังกลับ รวมทั้งตัดเย็บด้วยด้ายจริงสีเขียวและที่สำคัญเป็นการตัดเย็บด้วยมือด้วย

  และแน่นอนว่ารุ่นนี้ไม่มีขายในไทยครับ แต่อย่างไรก็ตามในปลายปีนี้ชาวไทยก็รอพบกับ D-Max เจเนเรชั่นใหม่ได้เลย

ที่มา Carscoops

ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ

  

วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2562

ชม All-New Mitsubishi eK Wagon & eK X เคคาร์คันจิ๋วที่พัฒนาร่วมกับ Nissan

   ก่อนหน้านี้ เราเคยนำเสนอเกี่ยวกับรถเคคาร์คันเล็กของญี่ปุ่นอย่าง Nissan Dayz และ Dayz Highway Star กันไปแล้ว อ่านรายละเอียดได้ที่ All-New Nissan Dayz & Dayz Highway Star เคคาร์คันเล็กมากเทคโนโลยี คราวนี้มาดูรถจากทาง Mitsubishi ที่ใช้พื้นฐานร่วมกันอย่าง Mitsubishi eK Wagon และ eK X กันบ้าง รายละเอียดจะเป็นอย่างไรเชิญไปชมกันเลย

  ในรุ่นก่อนหน้านี้ Mitsubishi จะมี 2 รูปแบบให้เลือกคือ Mitsubishi eK Wagon และ eK Custom แต่ในรุ่นใหม่นี้ รุ่น eK Custom ถูกแทนที่ด้วย eK X แทน ซึ่งการออกแบบภายนอกนั้นก็ได้ออกแบบให้แตกต่างจาก Nissan โดยรุ่น eK Wagon จะไม่ค่อยต่างจาก Nissa  Dayz มากนักเพราะเปลี่ยนแค่กระจังหน้าเท่านั้น 

  แต่พอเป็น eK X นั้นได้มีการออกแบบด้านหน้าใหม่ตามแนวทาง Dynamic Shield ซึ่งถือว่าต่างจาก Nissan ไปเยอะพอสมควร โดยจะมากับไฟหน้า LED ทรงเพรียวบาง, ตัวถังรถสีทูโทน รวมถึงรูปแบบการตกแต่งในสไตล์ครอสโอเวอร์ด้วยซุ้มล้อ ขอบประตูและกันชนที่ตกแต่งด้วยพลาสติกสีดำ

  การออกแบบภายในไม่ต่างจาก Nissan แต่ก็ได้มีการตกแต่งให้มีความแตกต่างกัน สำหรับตัว eK X จะมีการใช้โทนสีภายในแบบทูโทน และตกแต่งด้วยวัสดุที่หลากหลายขึ้นกว่า eK Custom

  ขุมพลังก็เหมือนกับ Nissan Dayz ด้วยการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 0.66 ลิตร 3 สูบเทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุด 52 แรงม้าที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 60 นิวตัน-เมตรที่ 3,600 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Xtronic CVT มีระบบขับเคลื่อนล้อหน้าให้เลือกเป็นมาตรฐาน แต่ลูกค้าสามารถเลือกออปชั่นเป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อได้

  พิเศษใน ek X จะมีระบบ Micro-hybrid ให้เลือกด้วย ทาง Mitsubishi ไม่ได้บอกมากนัก แต่แค่บอกว่ามีการปรับปรุงระบบให้ช่วยในเรื่องอัตราสิ้นเปลืองที่ดีขึ้น มีการขับขี่ที่ทรงพลังและสมูทกว่าเดิม

  ในด้านเทคโนโลยีนั้น ทางค่ายมีการติดตั้งระบบที่ทันสมัยอย่าง Mi-Pilot ซึ่งเป็นระบบช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติบนถนนเลนเดียว ระบบจะช่วยควบคุมในส่วนของคันเร่ง เบรก และพวงมาลัยเพื่อลดความเครียดและความเหนื่อยล้าในการเดินทางระยะไกล ระบบอื่นๆที่ติดตั้งมาก็จะมีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Active Cruise Control, ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในเลน Lane Keep Assist, Grip Control,  ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง Multi Around Monitor และกระจกมองหลังแบบ Digital Rearview Mirror

  All-New Mitsubishi eK จำหน่ายที่ญี่ปุ่นแล้วโดยใน eK Wagon มีราคาเริ่มต้นที่ 1,296,000 เยนหรือประมาณ 371,000 บาท และ eK X มีราคาเริ่มต้นที่ 1,414,800 เยน หรือประมาณ 405,000 บาทไทย

ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ

  

วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2562

Mitsubishi Pajero Final Edition รุ่นพิเศษทิ้งทายก่อนปิดตำนานกว่า 37 ปี

  ในขณะที่คนไทยหลายคนมักเรียกไปรถ PPV หรือ SUV พื้นฐานกระบะอย่าง Mitsubishi Pajero Sport สั้นๆว่า "Pajero" ไปแล้ว บางคนอาจจะลืมหรืออาจไม่รู้ว่าเคยมีรถที่เป็น "Pajero" แท้ๆอยู่วางขาย และเจ้า Mitsubishi Pajero แท้ๆผู้เป็นรถเอสยูวีรุ่นใหญ่นั้นจะปิดสายการผลิตในเดือนสิงหาคมนี้แล้ว ดังนั้นจึงมีการคลอดรุ่นพิเศษออกมาทิ้งทวนกันเสียหน่อย
  และนั่นเป็นที่มาของ "Mitsubishi Pajero Final Edition" รุ่นพิเศษทิ้งทายเพื่อเฉลิมฉลอง 37 ปีบนเส้นทาง SUV คันเก่งรุ่นนี้ และจะมีการผลิตในจำนวนจำกัดแค่ 700 คันเท่านั้น

  Mitsubishi Pajero Final Edition สร้างขึ้นบนพื้นฐานของ Pajero รุ่น Exceed จะมากับหลังคาซันรูฟและราวหลังคา ลูกค้ายังสามารถสั่งแพ็คเกจ Final Edition Accessory Package ซึ่งจะติดตั้ง สปอยเลอร์หลัง , ชุดครอบล้ออะไหล่ด้านท้าย และ บังโคลนล้อรถที่เพิ่มโลโก้ Pajero มาให้

  ส่วนภายในห้องโดยสารจะมีให้เลือกทั้งโทนสีดำ หรือสีเบจ โดยจะมีการเพิ่มสคัพเพลทพร้อมสัญลักษณ์ "Pajero" มาให้อีกด้วย

  ขุมพลังของรถจะติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 3.2 ลิตร 4 สูบ มากับพละกำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 441 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด มากับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อพร้อมเฟืองท้าย Diff-Lock

  Mitsubishi Pajero Final Edition จำหน่ายในราคาเริ่มต้นที่ 4,530,600 เยน หรือประมาณ 1,296,000 บาท ผู้ซื้อจะยังได้รับสติ๊กเกอร์ชุดแต่งพิเศษและนาฬิกาข้อมือ Mitsubishi จากแบรนด์ Citizen อีกด้วย

  และแม้ว่า Pajero จะลาจากตลาดญี่ปุ่นแล้วแต่ทาง Mitsubishi กล่าวว่า Pajero และ Pajero Sport จะยังคงวางขายในตลาดอื่น ๆ ต่อไป ทางด้าน Mitsubishi สหราชอาณาจักรได้ชี้แจงว่า ทางบริษัทกำลังจะยุติการนำเข้า Shogun (อีกชื่อหนึ่งของ Pajero) และเหลือค้างสต็อกอยู่ไม่กี่โมเดลเท่านั้น 

ที่มา Carscoops

ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ

  

วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2562

Aston Martin DBS Superleggera Volante รถเปิดประทุนที่แรงที่สุดเท่าที่ Aston Martin เคยสร้างมา

   ค่ายสปอร์ตหรูผู้ดีอังกฤษ Aston Martin ได้มีการเปิดตัว Aston Martin DBS Superleggera Volante รถเปิดประทุนระดับเรือธงค่าย หลังจากมีการเปิดตัวโฉม Coupe หลังคาแข็งไปแล้วเมื่อปีที่ผ่านมา

  โดย Aston Martin DBS Superleggera Volante ถูกยกให้เป็นรถเปิดประทุนที่เร็วที่สุดเท่าที่ Aston Martin เคยสร้างมา ด้วยขุมพลังเบนซิน 5.2 ลิตร V12 เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 725 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 900 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดซึ่งทำให้รถเร่งจาก 0-100 กม. / ชม. ได้ในเวลา 3.6 วินาทีและ 0-161 กม./ชม ในเวลาเพียงแค่ 6.7 วินาทีเท่านั้น และสามารถทะยานไปสู่ความเร็วสูงสุดที่ 340 กม./ชม.

   การออกแบบภายนอกไม่ได้มีความต่างจากตัว Coupe เลยแม้แต่น้อย แต่ทาง Aston Martin ได้กล่าวว่ารถคันนี้ได้รับการติดตั้งชุดเบรกให้ลึกกว่าเดิมซึ่งจะส่งผลให้ดึงอากาศจากซุ้มล้อหน้าได้มากขึ้นเพื่อลดอาการโคลงและะช่วยให้มีเสถียรภาพแม้ขับขี่ที่ความเร็วสูง นอกจากนี้ยังมีระบบ Aeroblade ll ที่ได้รับการแก้ไขซึ่งให้แรงกดเพิ่มเติมที่ส่วนท้ายรถ ซึ่งสามารถสร้างแรงกดได้มากถึง 177 กิโลกรัม น้อยกว่า Coupe เพียง 3 กิโลกรัมเท่านั้น

  และแน่นอนว่าอีกความต่างก็หนีไม่พ้นชุดหลังคาของรถคันนี้ซึ่งเป็นแบบผ้าใบ 8 ชั้น สามารถพับเก็บด้วยระบบไฟฟ้าได้ในเวลา 14 วินาที และหลังคายังมีให้เลือกถึง 8 สีแล้วแต่ลูกค้าชอบ

  Aston Martin DBS Superleggera Volante ยังเป็นรุ่นแรกของค่ายที่มีออปชั่นกรอบกระจกบังลมหน้าทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ให้เลือก ส่วนภายในห้องโดยสารจะมากับการจัดรูปแบบที่นั่งแบบ 2 + 2 มีพร้อมกับพวงมาลัยสปอร์ตสีดำ , ตกแต่งภายในด้วยวัสดุสี Piano Black รวมทั้งหนังแท้และหนัง Alcantara ไฮไลท์อื่น ๆ ก็จะมี เบาะนั่งด้านหน้าพร้อมฟังก์ชั่นอุ่นเบาะ ระบบ Infotainment หน้าจอขนาด 8 นิ้วพร้อมระบบนำทาง GPS

  Aston Martin DBS Superleggera Volante มีราคาเริ่มต้นที่ 295,500 ปอนด์ หรือประมาณ 12.2 ล้านบาท ไม่รวมภาษีสรรพสามิตในไทย การส่งมอบจะมีขึ้่นในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้

ที่มา Carscoops

ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ

  

วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2562

Porsche 911 Speedster สปอร์ตสุดแนวรุ่นพิเศษจำกัดจำนวน 1,948 คัน

  ค่ายสปอร์ตหน้ากบแห่งแดนไส้กรอกอย่าง Porsche เปิดตัวรุ่นพิเศษอย่าง 911 Speedster ภายในงาน New York Auto Show 2019 หลังจากที่เคยนำเสนอรถต้นแบบเมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยจะผลิตจำนวนจำกัดแค่ 1,948 คันเท่านั้น ตามจำนวนปีที่ถือกำเนิดบริษัท

  หัวใจสำคัญของรถคันนี้อยู่ที่เครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร 6 สูบ มากับพละกำลังสูงสุด 502 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 469 นิวตัน-เมตร เครื่องยนต์นี้เป็นบล็อกเดียวกับที่ติดตั้งใน 911 GT3 และ 911 GT3 RS โฉมที่วางขายในปัจจุบัน (รหัส 991) และใช้ในตัวแข่ง 911 GT3 R อีกด้วย

  ความพิเศษก็คือ Porsche 911 Speedster จะมีให้เลือกเฉพาะเกียร์ธรรมดา 6 สปีดเท่านั้นซึ่งจะส่งกำลังผ่านล้อหลัง สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-96 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 3.8 วินาทีเท่านั้น และทะยานไปสู่ความเร็วสูงสุด 309 กม./ชม.
  Porsche ให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นใจได้ว่า 911 Speedster มีน้ำหนักเบาที่สุดในการพัฒนา โดยในส่วนของฝากระโปรงด้านหน้า บังโคลนหน้า และ ฝาปิดห้องเครื่องด้านหลังทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งชุดเบรก Porsche Ceramic Composite Brakes มาให้เป็นมาตรฐานและที่สำคัญคือไม่ติดระบบปรับอากาศมาให้ แต่อย่างไรก็ตามลูกค้าสามารถสั่งเป็นออปชั่นได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มแต่อย่างใด สำหรับน้ำหนักของ 911 Speedster ใหม่จะอยู่ที่ 1,465 กิโลกรัม

  Porsche 911 Speedster จะใช้งานวิศวกรรมหลายจุดร่วมกับ 911 GT3 รวมทั้งมีระบบพวงมาลัยที่สามารถบังคับเลี้ยวล้อหลังให้ซึ่งมีการปรับตั้งค่าสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ มียางแท่นเครื่องแบบ dynamic engine mounts และล้อสี Satin Black ขนาด 20 นิ้ว

  Porsche 911 Speedster มีความโดดเด่นด้วยกระจกบังลมด้านหน้าแบบ Low-Cut ทาง Porsche ยังให้คำมั่นสัญญาว่ารถคันนี้จะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดีที่สุดไม่ต่างจาก 911 รุ่นปัจจุบัน นอกจากนี้แล้วยังมีกระจกหน้าต่างบานประตูที่ต่ำลงตามกระจกบังลมด้านหน้า มีหลังคาผ้าใบแบบเปิด-ปิดด้วยมือเก็บไว้หลังเบาะนั่งด้วย

  Porsche 911 Speedster จะเปิดรับจองในวันที่ 7 พฤษภาคม 2019 เป็นต้นไป โดยรถจะมาถึงตัวแทนจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาในปลายปี 2562 นอกจากนี้แล้วทาง Porsche Design ยังได้เปิดตัวนาฬิกาพิเศษสำหรับเจ้าของรถ 911 Speedster คันนี้โดยเฉพาะอีกด้วย

ที่มา Carscoops
  
ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ

  

วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2562

Mercedes-AMG GLC 63 / GLC 63 Coupe Minor Change ปรับโฉมอเนกประสงค์ตัวแรงจากค่ายตราดาว

  ภายในงาน New York Auto Show 2019 ค่ายดาวสามแฉก Mercedes-Benz ได้ทำการเปิดตัว 2 ตัวแรงอย่าง Mercedes-AMG GLC 63 / GLC 63 Coupe ที่ได้รับการปรับโฉม Minor Change ตามรุ่นปกติ จะมีอะไรน่าสนใจบ้างตามไปดูกันเลย

  การเปลี่ยนแปลงภายนอกที่เห็นชัดเจนซึ่งก็เหมือนกับรุ่นปกตินั่นก็คือ ไฟหน้าทรงใหม่ และไฟท้ายใหม่ และยังมากับกระจังหน้าซี่ลวดแนวตั้งแบบ  Panamericana  อันเป็นเอกลักษณ์ของ AMG ยุคใหม่ด้วย นอกจากนี้ยังมีออกแบบปลายท่อไอเสียด้านท้ายเป็นทรงสี่เหลี่ยมคางหมูที่ขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม และมีทางเลือกล้อลายใหม่ขนาด 21 นิ้ว


  เข้ามาภายในห้องโดยสารจะพบกับพวงมาลัย AMG 3 ก้านดีไซน์ใหม่พร้อมปุ่มควบคุมแบบสัมผัส ติดตั้งระบบ Infotainment MBUX ที่มากับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ซึ่งสามารถเริ่มสั่งการทำงานด้วยการพูดคีย์เวิร์ดคำว่า "Hey Mercedes" และตามด้วยคำสั่ง นอกจากนั้นแล้วยังมากับชุดหน้าปัดดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว เบานั่งทรงสปอร์ตดีไซน์ใหม่ และตกแต่งภายในรอบคันด้วยวัสดุอะลูมิเนียม


  GLC 63 / GLC 63 Coupe จะติดตั้งครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ความจุ 4.0 ลิตรที่ให้พละกำลังสูงสุด 476 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 650 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีดซึ่งส่งกำลังไปยังระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG Performance 4MATIC +  ส่งผลให้ GLC 63 ใหม่สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา  4.0 วินาที ก่อนที่ความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม.

  สำหรับใครที่อยากได้ความแรงเพิ่มอีกก็ต้องไปเล่น GLC 63 S / GLC 63 S Coupe ที่ยังคงติดตั้งครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ความจุ 4.0 ลิตรเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือพละกำลังเป็น 510 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร พร้อมอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.ที่ลดลงเหลือ 3.8 วินาทีและความเร็วสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 280 กม./ชม.


  ทุกรุ่นจะได้รับการติดตั้งระบบ Electronically Controlled Locking Differential มาให้เป็นมาตรฐาน และนอกจากนี้ยังมีการเพิ่มโหมดการขับขี่ "Slippery" รองรับการวิ่งบนผิวถนนลื่น รวมทั้งโหมดการขับขี่ AMG Dynamics system ที่มีให้เลือกได้แก่ Basic, Advanced, Pro และ Master (สำหรับรุ่น S เท่านั้น)

  สำหรับตลาดสหรัฐฯ Mercedes-AMG GLC 63 / GLC 63 Coupe Minor Change จะลงตลาดในช่วงปลายปีนี้ ส่วนไทยอยากได้คงต้องสั่งนำเข้าเพราะที่บ้านเรามีแค่ GLC 43 จำหน่ายเท่านั้น
  
ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ

  

Like Box