รูปร่างภายนอกของทั้ง Toyota Alphard และ Vellfire Minor Change ได้รับการออกแบบใหม่ให้ทันสมัยขึ้น โดยจะมีความคล้ายคลึงกับรุ่นที่ใช้กันชนแบบธรรมดาของญี่ปุ่น แต่ของไทยนั้นจะนำมาติดสเกิร์ตรอบคันให้มีความแตกต่างเพิ่มขึ้น ภายนอกมากับโคมไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟเลี้ยวด้านหน้าและด้านหลังแบบ Sequential นอกจากการออกแบบภายนอกใหม่แล้ว ล้ออัลลอยก็จะมีลายใหม่ตั้งแต่ 17-18 นิ้วแล้วแต่รุ่นย่อย
เข้ามาภายในห้องโดยสาร แม้ยังคงการออกแบบเดิมแต่ก็มีการปรับเปลี่ยนในหลายๆจุด ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งลายไม้ภายในรถใหม่ มาตรวัดที่ตกแต่งใหม่ และเบาะหนังที่ปรับเปลี่ยนดีไซน์การหุ้มใหม่ด้วย ส่วนรายการเปลี่ยนแปลงอื่นๆที่น่าสนใจก็จะมี
- อุปกรณ์ชาร์จไฟไร้สาย (Wireless Charger) ทุกรุ่นย่อย
- เบาะนั่งแบบ Seat Ventilator & Heater (ใส่มาให้ทุกรุ่น จากเดิมที่มีแค่ Alphard 3.5 ลิตร)
- ไฟสำหรับอ่านหนังสือ (ใส่มาให้ทุกรุ่น จากเดิมที่มีแค่ Alphard 3.5 ลิตร)
- ระบบ Stop & Start (ใส่มาใน Alphard 3.5 ลิตร จากเดิมที่มีแค่ Vellfire 2.5 ลิตร)
- ระบบ T-Connect Telematics ทุกรุ่นย่อย
ระบบเชื่อมต่อ T-Connect พร้อมระบบ Telematics
* ค้นหาพิกัดรถพร้อมฟังก์ชั่น Parking Alert เตือนเมื่อรถเคลื่อนย้ายหรือถูกสตาร์ท
* สัญญาณ Wi-Fi ภายในรถ (Toyota Wi-Fi)
* แจ้งขอความช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชม. (SOS Emergency Service) * ผู้ช่วยส่วนตัวในรถยนต์ (Operator Service)
สำหรับเครื่องยนต์นั้นได้มีการปรับปรุงสมรรถนะและระบบส่งกำลังในรุ่นเบนซิน 3.5 ลิตร โดยมีทางเลือกดังนี้
- เครื่องยนต์เบนซินความจุ 3.5 ลิตร Dual VVT-i V6 พละกำลังสูงสุด 296 แรงม้าที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 361 นิวตัน-เมตรที่ 4,600-4,700 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติลูกใหม่ 8 สปีดแบบ Direct Shift
- เครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร Dual VVT-i 4 สูบ พละกำลัง 180 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 235 นิวตัน-เมตรที่ 4,100 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อม Sequential Shift
- รุ่น Hybrid ที่มากับเครื่องยนต์เบนซิน Atkinson ความจุ 2.5 ลิตร พละกำลัง 150 แรงม้าที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 206 นิวตัน-เมตรที่ 4,400-4,800 รอบ/นาที ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 141 แรงม้าและมอเตอร์ที่ด้านท้ายอีกขนาด 67 แรงม้า รวมกำลังทั้งระบบ 197 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT
ทางด้านระบบความปลอดภัยที่เพิ่มเติมจากเดิมใน Toyota Alphard / Vellfire Minor Change เวอร์ชั่นไทยทุกรุ่นจะมีดังนี้
- ไฟตัดหมอกด้านหลัง
- ระบบเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor)
- กระจกมองหลังแบบดิจิตอล (Digital Rear View Monitor)
- ระบบเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor)
- กระจกมองหลังแบบดิจิตอล (Digital Rear View Monitor)
ส่วนระบบอื่นๆนอกจากนี้ก็จะมี
- ระบบไฟหน้าปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ- ไฟส่องสว่างในเวลากลางวัน (DRL)
- ไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED
- เข็มขัดนิรภัยด้านหน้า ELR 3 จุด 2 ที่นั่ง แบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ
- เข็มขัดนิรภัยแถวที่ 1 ELR 3 จุด 2 ที่นั่ง
- เข็มขัดนิรภัยแถวที่ 2 ELR 3 จุด 3 ที่นั่ง
- ระบบถุงลมเสริมความปลอดภัย 9 จุด (ด้านหน้า 2, ด้านข้าง 2, ม่าน 4, เข่าผู้ขับ)
- ระบบจัดการรวมไดนามิกของตัวรถ (VDIM) ABS, EBD, VSC, BA, TRC, EPS เฉพาะรุ่น 2.5 Hybrid
- ระบบควบคุมการทรงตัวอัจฉริยะ (VSC)
- ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS)
- ระบบกระจายแรงเบรก (EBD)
- ระบบเสริมแรงเบรก (BA)
- ระบบช่วยออกตัวทางลาดชัน (HAC)
- แผงไล่ฝ้าที่กระจกหลัง
ส่วน Vellfire ได้ทำการยกเลิกสี Silver Metallic และแทนที่ด้วยสี Steel Blonde Metallic ส่วนอีก 2 สีจะเป็นสี White Pearl Crystal และสี Burning Black เหมือนเดิม
ส่วนรุ่นย่อยและราคาค่าตัว ยังคง 3 รุ่นเหมือนเดิม ได้แก่
- Vellfire 2.5 ราคา 3,809,000 บาท (+30,000 บาท)
- Alphard 2.5 Hybrid ราคา 3,939,000 บาท (+30,000 บาท)
- Alphard 3.5 VIP ราคา ราคา 5,429,000 บาท (+50,000 บาท)
ทุกท่านสามารถรอสัมผัส Toyota Alphard/Vellfire Minor Change คันจริงได้ภายในงาน Bangkok Motor Show 2018 ในช่วงวันที่ 28 มี.ค. - 8 เม.ย. ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวรถได้
ห้ามแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพนัน หรือสิ่งผิดกฎหมาย