ค่ายรถ SUV สายลุยอย่าง Land Rover ได้ทำการเผยโฉม Land Rover Discovery Sport Minor Change ที่มีการปรับดีไซน์ทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสาร เพิ่มเติมเทคโนโลยีใหม่ และแนะนำขุมพลังที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ภายนอกนั้นจะมากับการปรับปรุงรายละเอียดไฟหน้า กระจังหน้า และกันชนหน้าใหม่ให้ทันสมัยขึ้นตามแนวทางของ Land Rover ยุคใหม่ เช่นเดียวกับด้านท้ายที่มีการปรับรายละเอียดโคมไฟท้ายและกันชนท้ายใหม่ ส่วนล้อก็มีลายใหม่ๆให้เลือก โดยมีตั้งแต่ขนาด 18-21 นิ้ว
ภายในห้องโดยสารมีการปรับปรุงดีไซน์ให้ทันสมัยขึ้นตามแนวทาง Land Rover ยุคใหม่เช่นเดียวกับภายนอก เข้ามาจะพบกับพวงมาลัย 3 ก้านดีไซน์ใหม่ หน้าปัดดีไซน์ใหม่แบบดิจิตอล ระบบ Touch Pro Infotainment System พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 10 นิ้ว ในส่วนปุ่มควบคุมด้านล่างถัดจากหน้าจอ Infotainment ก็ถูกเปลี่ยนเป็นจอแสดงผลดิจิตอลเหมือนกับรุ่นอื่นๆ
ในรุ่นปรับโฉมใหม่นี้ยังจะได้พบกับหัวเกียร์ซึ่งมาแทนที่ปุ่มหมุนควบคุมเกียร์แบบรุ่นก่อนหน้า พร้อมกันนี้ยังมีการออกแบบเบาะนั่งใหม่ให้โดยสารได้อย่างสะดวกสบายและรู้สึกคล่องตัวมากขึ้น ในเบาะแถวที่ 2 ของรถสามารถพับแยกได้ในอัตราส่วน 40:20:40 และสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการพับได้มากถึง 24 แบบ
เบาะนั่งของรถสามารถเลือกหุ้มด้วยวัสดุ Luxtex ซึ่งทำจากไมโครไฟเบอร์โพลีเอสเตอร์ที่รีไซเคิล โดยทาง Land Rover กล่าวว่าเป็นวัสดุที่ "หรูหรา น้ำหนักเบา ทนทาน และทนต่อการฉีกขาด"
ลูกค้าจะพบกับออปชั่นใหม่ๆอีกหลายการ ไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่งด้านหน้าพร้อมฟังก์ชั่นนวด , แท่นชาร์จสมาร์ทโฟนไร้สาย และ Pet Pack ที่เพิ่มอุปกรณ์เสริมที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง
Discovery Sport ใหม่ ยังมีการติดตั้งเทคโนโลยีกระจกมองหลังอัจฉริยะ "ClearSight Rear View" เมื่อกดปุ่มหนึ่งครั้ง กระจกมองหลังจะเปลี่ยนเป็นจอแสดงผล HD ที่แสดงภาพสดจากกล้องที่ติดตั้งเหนือหน้าต่างด้านหลัง ซึ่งให้มุมมองภาพที่กว้างกว่ากระจกมองหลังปกติและให้ทัศนวิสัยที่ดีขึ้นในสภาพแวดล้อมที่แสงเข้าถึงน้อย
นอกจากนั้นแล้วยังมีเทคโนโลยี Clear Sight Ground View ซึ่งสามารถมองทะลุฝากระโปรงหน้าไปยังพื้นถนนได้ในมุมมอง 180 องศา โดยระบบจะฉายภาพผ่านทางชุดหน้าจอระบบอินโฟเทนเมนต์ตรงกลาง ซึ่งระบบนี้จะมีประโยชน์เมื่อเดินทางบนพื้นผิวขรุขระและถนนที่มีฟุตปาธสูงๆ
Discovery Sport ใหม่ ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม Land Rover’s Premium Transverse Architecture อันเป็นแพลตฟอร์มที่พัฒนาต่อยอดมาจากแพลตฟอร์ม D8 ซึ่งมีความแข็งแรงขึ้นจากรุ่นก่อน 13% อีกทั้งยังช่วยลดเสียงรบกวนและการสั่นสะเทือนเข้ามาภายในห้องโดยสารอีกด้วย
ทางด้านเครื่องยนต์นั้น ได้มีการแนะนำระบบ Mild-Hybrid พร้อมระบบไฟ 48 โวลต์ ซึ่งช่วยเพิ่มพลังงานในการออกตัวของรถได้ในระยะเวลาหนึ่ง แหล่งพลังงานจะถูกเก็บไว้ในแบตเตอรี่ที่ติดตั้ง
อยู่ใต้ท้องรถ
โดยขุมพลังในตลาดอังกฤษจะมีให้เลือกทั้งดีเซลและเบนซิน ซึ่งประกอบไปด้วย
- เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร
- เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 180 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร มาพร้อมระบบ Mild-Hybrid
- เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 240 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร มาพร้อมระบบ Mild-Hybrid
- เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 200 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร มาพร้อมระบบ Mild-Hybrid
- เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 249 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 365 นิวตันเมตร มาพร้อมระบบ Mild-Hybrid
ส่วนตลาดสหรัฐฯ จะมี 2 ทางเลือกคือ เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 249 แรงม้า และ เครื่องยนต์พละกำลัง 300 แรงม้าพร้อมระบบ Mild-Hybrid
ทางด้านระบบความปลอดภัย จะมีการติดตั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมระบบช่วยควบคุมพวงมาลัยให้รถอยู่ในเลน Adaptive Cruise Control with Steering Assist , ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในเลน Lane Keep Assist และระบบเบรกอัตโนมัติ Autonomous Emergency Braking
Land Rover Discovery Sport Minor Change วางจำหน่ายแล้วที่ประเทศอังกฤษในราคาเริ่มต้นที่ 31,575 ปอนด์ หรือประมาณ 1,278,000 บาท ไม่รวมภาษีสรรพสามิตประเทศไทย ส่วนชาวไทยจะได้สัมผัสรุ่นนี้เมื่อไหร่ต้องติดตามครับ
ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวรถได้
ห้ามแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพนัน หรือสิ่งผิดกฎหมาย