ค่ายวงรีสีฟ้า Ford ได้ฤกษ์เปิดตัว All-New Ford Escape เจเนเรชั่นใหม่ในแผ่นดินสหรัฐฯ ยกระดับทั้งรูปลักษณ์ เทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยท่วมกัน อีกทั้งยังมีทางเลือกขุมพลัง Plug-In Hybrid และ Hybrid แบบปกติมาให้เลือกใช้
Ford ตั้งเป้าให้ Escape เจเนเรชั่นใหม่ สามารถวิ่งได้ในระยะทางไม่ต่ำกว่า 643 กิโลเมตรในรุ่น Hybrid ปกติ และเหนือกว่านั้นในรุ่น Plug-In Hybrid ที่สามารถวิ่งได้ในระยะทางกว่า 885 กิโลเมตรตามมาตรฐาน EPA (Environmental Protection Agency : สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ) ซึ่งถือว่าดีที่สุดในกลุ่มคู่แข่ง
All-New Ford Escape จะมากับความสูงที่เตี้ยลง กว้างขึ้น และยาวขึ้น อีกทั้งยังมีน้ำหนักที่เบาลงราวๆ 90.7 กิโลกรัม ดีไซน์ด้านหน้ามากับกระจังหน้าทรง 6 เหลี่ยมคางหมูมีแรงบันดาลใจจาก Ford Mustang และส่วนกันชนได้แรงบันดาลใจจาก Ford GT แต่เมื่อดูองค์รวมแล้วกลับทำให้นึกถึงดีไซน์ใน Ford Focus โฉมล่าสุด
- เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร Ecoboost มีจำหน่ายในเกรด Titanium ซึ่งเป็นเกรดท็อปสุด มากับพละกำลังทั้งหมด 250 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 372 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. เร็วกว่ารุ่นเก่าประมาณ 10% มีกำลังลากจูง 1,587 กิโลกรัม
- เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร Ecoboost มีจำหน่ายในเกรดเริ่มต้น S ตามด้วย SE และ SEL พละกำลังสูงสุด 180 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร มีกำลังลากจูง 907 กิโลกรัม
- Hybrid มีจำหน่ายในเกรด SE Sport และ Titanium ที่มากับเครื่องยนตเบนซิน 2.5 ลิตร Atkinson Cycle กำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ E-CVT พร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหน้า มากับพละกำลังสูงสุดรวมทั้งระบบ 198 แรงม้า สามารถทำความเร็วในโหมดไฟฟ้าล้วนที่ 136 กม./ชม
- Hybrid มีจำหน่ายในเกรด SE Sport และ Titanium ที่มากับเครื่องยนตเบนซิน 2.5 ลิตร Atkinson Cycle กำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ E-CVT พร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหน้า มากับพละกำลังสูงสุดรวมทั้งระบบ 198 แรงม้า สามารถทำความเร็วในโหมดไฟฟ้าล้วนที่ 136 กม./ชม
- Plug-In Hybrid มีจำหน่ายทุกรุ่นยกเว้น S และ SE Sport สามารถวิ่งในโหมดไฟฟ้าล้วนได้ในระยะทาง 48 กม สำหรับเวลาในการชาร์จจะใช้เวลา 10 ถึง 11 ชั่วโมงเมื่อใช้เครื่องชาร์จไฟ 110 โวลต์ หรือเมื่อใช้เครื่องชาร์จไฟกำลัง 240 โวลต์จะลดเวลาลงเหลือ 3.5 ชั่วโมง
รุ่นเครื่องยนต์ Hybrid ทั้ง 2 แบบ จะมีโหมดไฟฟ้าให้เลือกถึง 4 แบบ ได้แก่ Auto EV (รถจะตัดสินใจเอ งว่าจะวิ่งด้วยแก๊สหรือไฟฟ้า), EV Now (ผู้ขับขี่เลือกการขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วน), EV Later (การขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าเพื่อให้ประหยัดน้ำมันในภายหลัง) และ โหมด EV Charge
สำหรับรุ่นเครื่องยนต์เบนซินล้วนๆ จะมากับเบาะแถวที่สองที่สามารถปรับเลื่อนได้ซึ่งส่งผลดีต่อการวางขาด้านหลัง ในขณะที่ความจุสัมภาระด้านหลังจะอยู่ที่ 1,061 ลิตร ในขณะที่รุ่น Hybrid จะมีขนาดแบตที่วางด้านหลังลดลงโดยมีขนาดเล็กกว่ารุ่นเก่าราวๆ 1 ใน 3 เท่านั้น
สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวก โดยเฉพาะในรุ่นท็อป Titanium จะมีการติดตั้งระบบแสดงผล Head-Up Display ซึ่งเป็นครั้งแรกของ Ford ในภูมิภาคอเมริกาเหนือ อีกทั้งยังมีการติดตั้งระบบช่วยถอยจอดอัตโนมัติ Active Park Assist 2.0 , ระบบหักพวงมาลัยอัตโนมัติเพื่อเลี่ยงการปะทะรถด้านหน้า Evasive Steering Assist , ชุดระบบความปลอดภัย Ford Co-Pilot360 นอกจากนี้ยังมี Adaptive Cruise Control พร้อมระบบ Stop-and-go และระบบ Lane Centering
ทุกรุ่นจะมีการติดตั้ง FordPass Connect รองรับการเชื่อมต่อ 4G LTE Wi-Fi สำหรับอุปกรณ์สูงสุด 10 เครื่อง นอกจากนี้ยังมีระบบการชาร์จแบบไร้สาย , หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว (มาตรฐานสำหรับรุ่น SE ขึ้นไป), มาตรวัดแบบดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว , ระบบอินโฟเทนเมนต์ SYNC3 พร้อมรองรับการเชื่อม Apple CarPlay, Android Auto, ระบบนำทาง Ford Alexa และ Waze , ชุดเครื่องเสียง B&O 10 ลำโพง กำลัง 575 วัตต์
All-New Ford Escape จะมีจำหน่ายในเกรด S, SE, SE Sport, SEL และ Titanium โดยจะทำการผลิตที่ โรงงาน Louisville ในรัฐเคนตักกี้ โดยรุ่นเบนซินและ Hybrid จะมาถึงโชว์รูมในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ ส่วนรุ่น Plug-In Hybrid จะจำหน่ายช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือเดือนมีนาคมปีหน้า
ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวรถได้
ห้ามแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพนัน หรือสิ่งผิดกฎหมาย