ค่าย Toyota ได้ทำการเปิดตัว All-New Toyota Highlander ที่งาน New York Auto Show 2019 มาพร้อมการออกแบบที่ดูสวยงามทันสมัยขึ้นซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่นน้องอย่าง RAV4 อีกทั้งยังมากับเทคโนโลยีใหม่ๆ และระบบไฮบริดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนแล้ว All-New Toyota Highlander จะมีความปลอดภัยมากขึ้น ทนทานขึ้น และมีคุณภาพสูงขึ้นกว่าเก่า และในรุ่นใหม่นี้ยังสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มใหม่ Toyota New Global Architecture (TNGA-K) อีกด้วย
สำหรับการออกแบบภายนอก ในเกรด L, LE และ XLE จะมาพร้อมกับกระจังหน้าสีดำพร้อมขอบสีเงินในขณะที่รุ่น Limited และ Platinum โดดเด่นด้วยกระจังหน้าสีดำที่มีการตกแต่งโดยรอบด้วยโครเมียม , กันชนด้านหลังตกแต่งด้วยโครเมี่ยม, ไฟหน้าโปรพรีเมี่ยมเจคเตอร์ และล้อขนาด 20 นิ้ว
ส่วนสีภายนอกก็จะมี สีขาวมุก Blizzard Pearl (เป็นตัวเลือกที่ต้องจ่ายเพิ่ม 395 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 12,577 บาทไทย), สีเงิน Celestial Silver Metallic , สีดำ Midnight Black Metallic , สีเทา Magnetic Grey Metallic , สีน้ำเงิน Moon Dust , สีแดง Ruby Flare Pearl , สีน้ำเงิน Blueprint และ สีน้ำตาล Opulent Amber
ด้วยความยาวที่มากขึ้นกว่ารุ่นเก่า 60 มิลลิเมตร ในขณะที่เบาะแถวที่สองสามารถเลื่อนขึ้นไปอีก 1.2 นิ้วเพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างแถวที่ 2 และ 3 ได้ด้วย โดยสำหรับเกรด L และ LE จะมากับเบาะนั่งทั้งหมด 8 ที่นั่งเป็นมาตรฐาน ในขณะที่เกรด XLE และ Limited จะมากับเบาะแถวที่ 2 แบบ Captain Seat และด้านหลังอีก 3 ที่นั่งรวมเป็น 7 ที่นั่ง (มีออปชั่นให้เลือกเป็น 8 ที่นั่ง) ส่วนรุ่นท็อปสุด Platinum จะได้เบาะแถวที่ 2 แบบ Captain Seat เป็นมาตรฐาน ทางด้านความจุสัมภาระด้านหลังนั้น เมื่อใช้งานเบาะครบทั้ง 3 แถวจะมีความจุด้านหลังที่ 456 ลิตร แต่ถ้าหากพับทุกแถวก็จะมีความจุเพิ่มขึ้นเป็น 2,075 ลิตร
ภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบให้ดูทันสมัยและน่าใช้งานมากขึ้นตามสไตล์ Toyota มีการเดินด้ายตะเข็บจริงและบุนุ่มรอบคัน มีระบบการชาร์จแบบไร้สาย Qi, ไฟ LED รอบห้องโดยสารและอื่นๆอีกมากมาก ในรุ่นท็อปสุดอย่าง Platinum จะมากับการตกแต่งด้วยหนังแบบ Embossed Perforated Leather
ทุกรุ่นจะรองรับ Apple CarPlay, Android Auto, Alexa In-Car, Waze, SiriusXM และการเชื่อมต่อ Wi-Fi ผ่าน AT&T ในรุ่น Platinum จะได้ Dynamic Navigation เป็นมาตรฐานและหน้าจอขนาดใหญ่ 12.3 นิ้วพร้อมระบบเครื่องเสียง JBL Premium กำลัง 1,200 วัตต์และลำโพง 11 ตัว
เกรดเริ่มต้น L จะติดตั้งระบบ Toyota Safety Sense 2.0 เป็นมาตรฐาน , อัลลอยด์ 18 นิ้ว, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ 3 โซน, จอแสดงผล MID 4.2 นิ้ว, เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้าแบบ 8 ทิศทาง , กระจกไฟฟ้าปรับขึ้นลงอัตโนมัติทั้งหมด , หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว , ไฟอ่านหนังสือที่นั่งด้านหน้าและไฟในห้องเก็บสัมภาระ , ไฟหน้าและไฟท้าย LED , กระจกส่วนตัวด้านหลังและแถวกลาง , กระจกฝาท้ายหลังแบบเปิดได้ และกุญแจ Smart Key
ถัดมาเป็นเกรด LE จะมากับฝาท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า , ระบบเตือนมุมอับสายตา Blind Spot Monitor , หน้าจอจะมีฟังก์ชั่นด้านมัลติมีเดียเพิ่มเติมจากเกรด L , ไฟตัดหมอก LED , พวงมาลัยหุ้มหนังและปุ่มเปลี่ยนเกียร์ ขึ้นไปอีกจะเป็น XLE เกรด LE สิ่งที่ได้เพิ่มขึ้นมาจากเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง, ม่านบังแดดแถวที่ 2, เบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง, จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ขนาด 7 นิ้ว, กระจกมองหลังปรับแสงอัตโนมัติพร้อมปุ่มช่วยเปิดประตูโรงรถ , มือจับประตูด้านชุบโครเมียม , ไฟหน้าแบบ LED พร้อมระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ , ไฟตัดหมอก LED และหลังคามูนรูฟขนาดใหญ่ ต่อด้วยรุ่น Limited จะเพื่มเติมไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสาร ,เบาะนั่งคนขับมาพร้อม Memoty Seat , เบาะนั่งคู่หน้าแบบปรับอุ่นเย็นได้ , ระบบเสียง JBL และอื่น ๆ
ปิดท้ายด้วยรุ่นท็อปสุด Platinum ซึ่งจะติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว, ล้อขนาด 20 นิ้ว, ไฟหน้าปรับระดับสูงต่ำได้่ , จอแสดงผล Head-Up Display , เบาะนั่งแถวที่ 2 พร้อมฟังก์ชั่นปรับอุ่น , หลังคา Moonroof แบบพาโนรามา, ที่ปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ และเบาะหุ้มหนังแบบ Embossed Perforated Leather
ขุมพลังนั้นจะมีทางเลือกทั้งหมด 2 แบบได้แก่
ขุมพลังนั้นจะมีทางเลือกทั้งหมด 2 แบบได้แก่
- เครื่องยนต์เบนซินความจุ 3.5 ลิตร Dual VVT-i V6 พละกำลังสูงสุด 295 แรงม้าที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 361 นิวตัน-เมตรที่ 4,600-4,700 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดแบบ Direct Shift
- เครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร Hybrid DOHC 4 สูบ ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว รวมพละกำลังทั้งระบบที่ 240 แรงม้า สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองได้ 14.5 กม./ลิตรซึ่งถือว่าดีขึ้นกว่ารุ่นเก่า 17% (รุ่นเก่าใช้เครื่อง 3.5 ลิตร V6 พละกำลังกว่า 306 แรงม้า)
ในตัว Hybrid ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมด Normal, Eco และ Sport ได้ ในขณะที่ทั้งสองขุมพลังมีตัวเลือกทั้งระบบขับเคลื่อน 2 และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อพร้อมด้วยระบบช่วยกระจายแรงบิด Dynamic Torque Vectoring และถ้าหากรถต้องเผชิญกับสภาพพื้นผิวถนนที่แตกต่างกัน ลูกค้าสามารถเลือกโหมด Multi-Terrain Select สำหรับการขับขี่บนพื้นดินหรือทราย Mud & Sand และพื้นหินหรือฝุ่น Rock & Dirt ได้ด้วย
ระบบความปลอดภัยของรถจะมีการแนะนำชุดระบบ Toyota Safety Sense 2.0 อันประกอบไปด้วย
- ระบบป้องกันการชนด้านหน้าพร้อมตรวจจับคนเดินถนน Pre-Collision System with Pedestrian Detection
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Full-Speed Range Dynamic Radar Cruise Control
- ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงพวงมาลัย Lane Departure Alert with Steering Assist
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Automatic High Beam
- ระบบช่วยบังคับควบคุมรถให้อยู่ในเลนอัตโนมัติ Lane Tracing Assist
- ระบบช่วยอ่ายป้ายจราจร Road Sign Assist
All-New Toyota Highlander จะมาถึงตัวแทนจำหน่ายสหรัฐฯในช่วงเดือนธันวาคมนี้สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน และรุ่น Hybrid จะตามมาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า แน่นอนว่าไทยไม่มีรุ่นนี้ขาย!
ที่มา Carscoops
ที่มา Carscoops
ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวรถได้
ห้ามแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพนัน หรือสิ่งผิดกฎหมาย