ก่อนอื่นต้องขอสวัสดีปีใหม่ 2019 ย้อนหลังคุณผู้อ่านทุกท่านด้วยนะครับ นี่ก็ถือว่าผ่านช่วงปีใหม่มาสักระยะหนึ่งแล้ว เนื่องด้วยช่วงเวลาการทำงานโปรเจคจบในมหาลัยที่ค่อนข้างรัดตัวสุดๆ อีกทั้งยังเอาเวลาไปเที่ยวพักผ่อนปีใหม่กับครอบครัว ส่งผลให้บทความ "รวมรถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวภายในปี 2019" เลทจนมาถึงขนาดนี้ และแน่นอนว่าในปีนี้นั้นยังคงมีรถยนต์รุ่นใหม่ๆเปิดตัวมากมายเช่นเคยทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งผมก็พยายามรวบรวมเท่าที่จะพอจะนึกออกและน่าสนใจสำหรับหลายๆคนครับ
สำหรับในปี 2018 ที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่สำคัญและน่าจะเป็นปีที่ผู้ผลิตรถยนต์เริ่มสนับสนุนรถยนต์พลังงานไฮบริดหรือพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น เห็นได้ชัดจาก All-New Toyota Camry Hybrid ที่สามารถทำราคาถูกกว่าเก่า แต่แม้ว่าจะเก็บภาษีรถพลังงานไฟฟ้าถูกลงเพียงใด แต่เจ้าภาษีอื่นๆและก้อนแบตเตอรี่ตัวร้ายก็ยังส่งผลให้รถราคาแพงกว่าที่คาด ก็คงจะเป็นเพราะการนำเข้ามาขายซึ่งยังไม่ใช่การผลิตในไทยแต่อย่างใด สังเกตได้จาก Nissan Leaf ที่ราคาค่าตัว 2 ล้านทอนหมื่นบาท จนทำให้หลายคนอาจจะคิดว่า ซื้อรถ Honda Civic Turbo แล้วเอาส่วนต่างไปเติมน้ำมันดีกว่า อะไรทำนองนี้!
ในปี 2019 นี้ก็ยังคงเป็นปีที่จะมีรถใหม่เข้ามามากมายเช่นเคย ทั้งในไทยและต่างประเทศ ทั้งรุ่นปรับอุปกรณ์ , ปรับโฉม Minor Change และเปลี่ยนโฉมใหม่หมดจด Model Change ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้หลายอย่างจะเป็นการคาดการณ์หรือวิเคราะห์ข้อมูลอาจจะไม่ตรงตามความเป็นจริง 100% ฉะนั้นอย่าคาดหวังความเป๊ะมากเกินไป เพราะข่าวความเคลื่อนไหวเหล่านี้มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงได้ตลอด ซึ่งขึ้นกับสถานการณ์ต่างๆ และอีกหลายปัจจัยในการเปิดตัวรถด้วย ฉะนั้นถ้าเข้าใจกันแล้วก็เลื่อนลงไปอ่านในย่อหน้าถัดไปได้เลยครับ
ปล. สำหรับบางค่ายที่ผมไม่ได้ข้อมูลลงไป แปลว่าไม่ทราบความเคลื่อนไหวหรือการเปิดตัวที่ชัดเจนครับ
Aston Martin
ไทย : DBS Superleggera (TH)
เปิดตัวตลาดโลกก่อน : DBS Superleggara Volante / DBX
ค่ายสปอร์ตแดนผู้ดี ในปีนี้สำหรับตลาดไทยคาดว่าจะมีการแนะนำสปอร์ตรุ่นใหม่อย่าง DBS Superleggera ที่มากับขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 5.2 ลิตร V12 ที่มากับพละกำลังสูงสุด 725 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 900 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีด น่าจะได้เห็นกันช่วงต้นปี-กลางปีนี้
ภาพจาก Motor1 |
ปิดท้ายด้วย DBX ถือเป็นอีกหนึ่งเซอร์ไพรซ์ เพราะนี่คือรถ SUV คันแรกของค่ายสปอร์ตผู้ดีรายนี้เลยก็ว่าได้ การออกแบบจะได้แรงบันดาลใจมาจาก Aston Martin รุ่นใหม่ๆอย่าง Vantage , DB11 และ DBS Superleggara ขุมพลังนั้นคาดว่าจะมีให้เลือกทั้งเครื่องเบนซิน V8 4.0 ลิตรและ V12 5.2 ลิตร โดยการเปิดตัวนั้นจะมีขึ้นช่วงกลางถึงปลายปีนี้
Audi
ไทย : A4 2019 / A6 Sedan / Q3 / TT Minor Change / R8 Minor Change
ตลาดโลก : All-New A3 / A4 Minor Change / S7 , RS7 / S8 / SQ3 , RS Q3 / All-New Q4 / Q7 Minor Change / SQ8 , RS Q8
ค่ายสี่ห่วง "อาวดี้" เมื่อปีที่ผ่านมาถือว่ามีการนำเสนอรถรุ่นใหม่ๆในไทยหลากหลายรุ่นด้วยกัน ในปีนี้ก็น่าจะเป็นอีกปีที่ทางค่ายรุกหนัก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Mercedes-Benz และ BMW ได้
ถัดมาก็จะเป็น Audi A6 โฉมใหม่หลังจากแนะนำตัวรุ่นวากอน (Avant) กันไปแล้วแต่เอารุ่นพวงมาลัยซ้ายมาโชว์ในงาน Motor Expo 2018 ปลายปีที่ผ่านมา ปีนี้น่าจะได้เห็นรุ่นพวงมาลัยขวาสเปคไทยเข้ามาขายกันแล้ว และเป็นไปได้ว่าอาจจะมีตัวซีดานเข้ามาเสริมเป็นทางเลือกด้วย
คันต่อไปที่มีแนวโน้มสูงมากที่จะเปิดตัวในไทยก็คือ All-New Audi Q3 ที่มีการเปิดตัวในตลาดโลกไปแล้วช่วงเดือนสิงหาคมปี 60 ที่ผ่านมา มากับรูปโฉมที่ออกแบบตามแนวทางของ Audi ยุคใหม่ทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสาร ขุมพลังในตลาดโลกที่มีให้เลือกจะมีหลายแบบด้วยกัน
- 35 TFSI เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร TFSI พละกำลังสูงสุด 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร
- เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร TFSI 4 สูบเทอร์โบ ที่มีพละกำลัง 2 แบบ ได้แก่ รุ่น 40 TFSI ที่มากับพละกำลัง 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร และรุ่น 45 TFSI มากับพละกำลัง 230 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร
- เครื่องดีเซลความจุ 2.0 ลิตร พละกำลัง 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 340 นิวตัน-เมตร แปะป้าย 35 TDI
- เครื่องดีเซลความจุ 2.0 ลิตร พละกำลัง 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร แปะป้าย 40 TDI
ระบบส่งกำลังจะจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติแบบคลัตซ์คู่ S-Tronic 7 สปีด และมีทางเลือกเกียร์ธรรมดา 6 สปีด รวมทั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro ด้วย เมืองไทยจะมาเมื่อไหร่และได้เครื่องไหนก็ต้องรอติดตามครับ
และคันนี้คิดว่าทาง Audi Thailand ไม่พลาดแน่นอนก็คือ Audi TT Minor Change ที่มีการออกแบบลวยลายกระจังหน้าใหม่แบบ 3 มิติ Singleframe รุ่น S-Line และ TTS มีการออกแบบกันชนหน้าให้มีความดุดันมากขึ้น เช่นเดียวกับด้านท้ายที่มากับรูระบายอากาศ ออกแบบครีบรีดอากาศ (Diffuser)ใหม่ ในรุ่น TTS จะพิเศษขึ้นด้วยท่อไอเสียคู่ฝั่งละ 2 ท่อ คาดว่าเมืองไทยน่าจะทำตลาดด้วย 2 รุ่นเหมือนเช่นเคย ได้แก่รุ่น 45 TFSI เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุด 245 แรงม้า และรุ่น TTS ที่มากับพละกำลัง 306 แรงม้า พร้อมเกียร์อัตโนมัติ S-Tronic คาดว่าประมาณช่วงต้นปี-กลางปีน่าจะได้เห็นกัน
อีกคันที่เมื่อปีที่แล้วมีการปรับโฉมในตลาดโลกนั่นก็คือ Audi R8 Minor Change ภายนอกมีการออกแบบด้านหน้าใหม่ให้มีความสวยงามและดุดันกว่าเดิม ด้วยชุดกระจังหน้าแบบ SIngleframe ที่กว้างขึ้นกว่าเดิม พร้อมช่องรับอากาศกันชนหน้าที่ออกแบบให้ดุดันและเกรี้ยวกราดยิ่งขึ้น ในส่วนด้านท้ายมีการออกแบบกันชนท้ายดีไซน์ใหม่ มีท่อไอเสียคู่ทรงกลมขนาดใหญ่พร้อมครีบรีดอากาศที่กันชนท้าย ห้องเครื่องมีการปรับปรุงฝาครอบเครื่องใหม่ ขุมพลังของรถจะทำการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 5.2 ลิตร V10 ที่ได้รับการอัปเกรดพละกำลังให้แรงขึ้นเป็น 570 แรงม้า (+30 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 550 นิวตัน-เมตร (+10 นิวตัน-เมตร) ส่งผลให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. สามารถทำได้ใน 3.4 วินาที ก่อนทะยานสู่ความเร็วสูงสุด 324 กม./ชม. คาดว่าในช่วงต้นปี-กลางปีอาจจะมีการแนะนำตัวในไทย
คราวนี้เข้ามาดูในส่วนของรถใหม่ในโซนต่างประเทศหรือตลาดโลกกันบ้าง ขอเริ่มที่ Audi A3 ที่ถึงเวลาสำหรับการเปลี่ยนโฉมใหม่หมดจดแล้วในช่วงปีนี้แล้ว จากภาพรถทดสอบก็แสดงให้เห็นว่าแนวการออกแบบของรถจะเป็นไปตามแนวทางของ Audi ยุคใหม่ ด้วยกระจังหน้าที่ออกแบบให้ดูกว้างขึ้น เส้นสายตัวรถที่ดูปราดเปรียวขึ้น และมีตัวถังที่ดูใหญ่ขึ้น รวมทั้งมีภายในห้องโดยสารที่หันมาใช้ระบบสัมผัสมากขึ้น คาดว่าการเปิดตัวอาจจะมีขึ้นช่วงเดือนมีนาคมภายในงาน Geneva Motor Show เป็นอย่างเร็วที่สุด หรืออย่างช้าก็รองาน Paris Motor Show 2019 ช่วงเดือนกันยายน
คันต่อมาก็คือ Audi A4 ที่จะมีการ Minor Change อีกรอบ ซึ่งจะมีการปรับดีไซน์ด้านหน้าครั้งใหญ่ ด้วยการออกแบบตามแนวทางยุคใหม่ของค่ายนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการปรับดีไซน์กระจังหน้า ไฟหน้าใหม่รวมทั้งไฟท้ายที่ปรับรายละเอียดใหม่ ส่วนภายในห้องโดยสารยังไม่มีภาพให้เห็นชัดเจน คาดว่าการเปิดตัวในตลาดโลกจะมีการเปิดตัวช่วงกลางปี-ปลายปีนี้ ส่วนเมืองไทยก็ต้องรอหลังจากนั้น
คันนี้ก็เป็นอีกคันที่น่าสนใจ นั่นคือ Audi Q4 รถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์รุ่นใหม่ล่าสุดในตระกูล Q ของ Audi ถูกวางตัวให้เป็นคู่แข่งกับ BMW X2 ซึ่งเมื่อดูจากทรวดทรงแล้วนั้นก็คือ Q3 ที่ถูกนำมาต่อยอดให้มีความสปอร์ตมากขึ้นนั่นเอง เห็นภาพแล้วอาจจะดูแปลกๆนิดหน่อยเพราะต้นทางนำภาพมาแก้ไขพื้นหลังเพื่อไม่ให้เห็นสถานที่แอบถ่ายภาพที่แท้จริง (คงจะเหมือนกับไทยที่ห้ามแอบถ่ายภาพรถในโรงงานหรือเปล่าไม่ทราบเหมือนกัน) คาดว่าช่วงใดช่วงหนึ่งของปีนี้น่าจะได้เห็นรถทดสอบออกมาวิ่งบนถนนสาธารณะและมีการเปิดตัวออกมา
เช่นเดียวกับพี่ใหญ่อย่าง Audi Q7 ที่ปีนี้ก็ได้เวลา Minor Change แล้ว ซึ่งจากภาพรถทดสอบก็จะเห็นว่ามีการออกแบบด้านหน้าใหม่ตามแนวทางของ Audi ยุคใหม่ ซึ่งเมื่อดูจากรูปทรงแล้วก็มีความคล้ายคลึงกับ Audi Q8 รวมทั้งไฟท้ายทื่จะมีการปรับดีไซน์ใหม่ ที่น่าสนใจก็คือภายในห้องโดยสารที่ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนคอนโซลใหม่ยกชุดซึ่งยกมาจาก Audi Q8 คาดว่าภายในช่วงครึ่งแรกของปีน่าจะได้เห็นกัน ส่วนเมืองไทยก็คงได้สัมผัสหลังจากนั้น
นอกเหนือจากการปรับโฉมหรือเปลี่ยนโฉมใหม่แล้ว ก็จะมีตัวแรงหลายรุ่นเปิดตัวเช่นกัน เริ่มที่ Audi S6 ที่จะอัปความแรงขึ้นจากรุ่นปกติ เครื่องยนต์มีการคาดการณ์ว่าอาจจะติดตั้งเครื่องเบนซิน 2.9 ลิตร V6 ที่มีพละกำลังราวๆ 450 แรงม้า คาดว่าจะมีการเปิดตัวราวๆต้นปี-กลางปีนี้
นอกจากนี้ยังมีตัวแรงสุดอย่าง RS6 ด้วย ซึ่งจะมีเฉพาะตัวถังแวกอน (Avant) เท่านั้น ทำให้เป็นรถแวกอนขวัญใจพ่อบ้านอย่างแท้จริง ซึ่งแน่นอนว่าจะมีการออกแบบภายนอกให้ดุดันขึ้น และเครื่องยนต์นั้นคาดว่าน่าจะติดตั้งเครื่องเบนซิน 4.0 ลิตร V8 ที่ยกมาจาก Porsche Panamera Turbo / Lamborghini Urus ซึ่งจะทำให้มีพละกำลังมากกว่า 600 แรงม้า การเปิดตัวคาดว่าจะมีขึ้นในงาน Frankfurt Motor Show 2019 เดือนกันยายนนี้
อีกรุ่นที่จะมาก็คือรถซีดานคูเป้ตัวแรง Audi S7 ซึ่งขุมพลังก็มีแววว่าจะใช้เครื่องเบนซิน 2.9 ลิตร V6 แบบเดียวกับ S6
และแรงสุดกับ RS7 กับเครื่องเบนซิน 4.0 ลิตร V8 พร้อมออกแบบภายนอกให้ดุขึ้น การเปิดตัวจะอยู่ในภายในปีนี้เช่นกัน
ต่อกันที่ Audi S8 ซาลูนหรูเรือธงพลังแรงที่น่าจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 ซึ่งรุ่นก่อนหน้านี้มีพละกำลังราวๆ 605 แรงม้า คาดว่ารุ่นใหม่อาจจะเพิ่มพละกำลังขึ้นเป็น 650 แรงม้า การเปิดตัวจะอยู่ในภายในปีนี้เช่นกัน แต่จะมาเมื่อไหร่ก็ต้องติดตามต่อไป
คันต่อมาก็คืออเนกประสงค์ตัวแรง Audi SQ3 ซึ่งน่าจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จ ที่มากับพละกำลังราวๆ 300-340 แรงม้า
หรือถ้าคิดว่าแรงไม่พอก็คงต้องไปหา RS Q3 ที่มีการอัปเกรดภายนอกให้ดุดันยิ่งขึ้นไปอีก ขุมพลังคาดว่าจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร 5 สูบ ที่อาจมีพละกำลังมากกว่า 400 แรงม้า ซึ่งทั้งสองตัวแรงจะมาภายในช่วงปีนี้แน่นอนแต่จะมาช่วงไหนก็ต้องรอกันต่อไป
ปิดท้ายด้วยอีกคันที่จะพูดถึงก็คือ Audi SQ8 ตัวแรงของครอสโอเวอร์คูเป้รุ่นใหญ่ค่ายสี่ห่วง ซึ่งในรุ่นนี้จะไม่เหมือนกับรุ่นอื่นๆที่กล่าวข้างต้นเพราะรุ่นนี้จะมากับเครื่องยนต์ดีเซล 4.0 ลิตร V8 เหมือนใน Audi SQ7 และ Bentley Bentayga Diesel ที่มากับพละกำลัง 429 แรงม้า พร้อมแรงบิดมากถึง 900 นิวตัน-เมตร
แต่ถ้าใครที่โหยหาความแรงขั้นสุดคงต้องเป็นรุ่น RS Q8 ที่มาพร้อมดีไซน์ภายนอกที่ดูก้าวร้าวขึ้น และน่าจะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 ที่รีดพละกำลังได้กว่า 650 แรงม้า ซึ่งยกเครื่องยนต์มาจาก Lamborghini Urus นั่นเอง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องรอดูกันต่อไป
ไทย : A4 2019 / A6 Sedan / Q3 / TT Minor Change / R8 Minor Change
ตลาดโลก : All-New A3 / A4 Minor Change / S7 , RS7 / S8 / SQ3 , RS Q3 / All-New Q4 / Q7 Minor Change / SQ8 , RS Q8
ค่ายสี่ห่วง "อาวดี้" เมื่อปีที่ผ่านมาถือว่ามีการนำเสนอรถรุ่นใหม่ๆในไทยหลากหลายรุ่นด้วยกัน ในปีนี้ก็น่าจะเป็นอีกปีที่ทางค่ายรุกหนัก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Mercedes-Benz และ BMW ได้
เริ่มที่ Audi A4 ที่คาดว่าน่าจะมีการปรับงานออกแบบเล็กน้อยบริเวณกันชนหน้าตามตลาดโลกที่เปิดตัวเมื่อปีก่อน ฆ่าเวลารอรุ่น Minor Change ครั้งใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงใดช่วงหนึ่งของปีนี้ตามที่จะกล่าวในย่อหน้าต่อๆไป รูปโฉมก็คงจะมีให้เลือกทั้งแบบซีดานและวากอนเหมือนเช่นเคย
คันต่อไปที่มีแนวโน้มสูงมากที่จะเปิดตัวในไทยก็คือ All-New Audi Q3 ที่มีการเปิดตัวในตลาดโลกไปแล้วช่วงเดือนสิงหาคมปี 60 ที่ผ่านมา มากับรูปโฉมที่ออกแบบตามแนวทางของ Audi ยุคใหม่ทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสาร ขุมพลังในตลาดโลกที่มีให้เลือกจะมีหลายแบบด้วยกัน
- 35 TFSI เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร TFSI พละกำลังสูงสุด 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร
- เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร TFSI 4 สูบเทอร์โบ ที่มีพละกำลัง 2 แบบ ได้แก่ รุ่น 40 TFSI ที่มากับพละกำลัง 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร และรุ่น 45 TFSI มากับพละกำลัง 230 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร
- เครื่องดีเซลความจุ 2.0 ลิตร พละกำลัง 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 340 นิวตัน-เมตร แปะป้าย 35 TDI
- เครื่องดีเซลความจุ 2.0 ลิตร พละกำลัง 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร แปะป้าย 40 TDI
ระบบส่งกำลังจะจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติแบบคลัตซ์คู่ S-Tronic 7 สปีด และมีทางเลือกเกียร์ธรรมดา 6 สปีด รวมทั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro ด้วย เมืองไทยจะมาเมื่อไหร่และได้เครื่องไหนก็ต้องรอติดตามครับ
และคันนี้คิดว่าทาง Audi Thailand ไม่พลาดแน่นอนก็คือ Audi TT Minor Change ที่มีการออกแบบลวยลายกระจังหน้าใหม่แบบ 3 มิติ Singleframe รุ่น S-Line และ TTS มีการออกแบบกันชนหน้าให้มีความดุดันมากขึ้น เช่นเดียวกับด้านท้ายที่มากับรูระบายอากาศ ออกแบบครีบรีดอากาศ (Diffuser)ใหม่ ในรุ่น TTS จะพิเศษขึ้นด้วยท่อไอเสียคู่ฝั่งละ 2 ท่อ คาดว่าเมืองไทยน่าจะทำตลาดด้วย 2 รุ่นเหมือนเช่นเคย ได้แก่รุ่น 45 TFSI เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุด 245 แรงม้า และรุ่น TTS ที่มากับพละกำลัง 306 แรงม้า พร้อมเกียร์อัตโนมัติ S-Tronic คาดว่าประมาณช่วงต้นปี-กลางปีน่าจะได้เห็นกัน
อีกคันที่เมื่อปีที่แล้วมีการปรับโฉมในตลาดโลกนั่นก็คือ Audi R8 Minor Change ภายนอกมีการออกแบบด้านหน้าใหม่ให้มีความสวยงามและดุดันกว่าเดิม ด้วยชุดกระจังหน้าแบบ SIngleframe ที่กว้างขึ้นกว่าเดิม พร้อมช่องรับอากาศกันชนหน้าที่ออกแบบให้ดุดันและเกรี้ยวกราดยิ่งขึ้น ในส่วนด้านท้ายมีการออกแบบกันชนท้ายดีไซน์ใหม่ มีท่อไอเสียคู่ทรงกลมขนาดใหญ่พร้อมครีบรีดอากาศที่กันชนท้าย ห้องเครื่องมีการปรับปรุงฝาครอบเครื่องใหม่ ขุมพลังของรถจะทำการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 5.2 ลิตร V10 ที่ได้รับการอัปเกรดพละกำลังให้แรงขึ้นเป็น 570 แรงม้า (+30 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 550 นิวตัน-เมตร (+10 นิวตัน-เมตร) ส่งผลให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. สามารถทำได้ใน 3.4 วินาที ก่อนทะยานสู่ความเร็วสูงสุด 324 กม./ชม. คาดว่าในช่วงต้นปี-กลางปีอาจจะมีการแนะนำตัวในไทย
ภาพจาก Motor1.com |
ภาพจาก Motor1.com |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Motor1.com |
ภาพจาก Motor1.com |
ภาพจาก Motorauthority |
ภาพจาก Motor1.com |
ภาพจาก Autoguide |
ภาพจาก Motor1.com |
หรือถ้าคิดว่าแรงไม่พอก็คงต้องไปหา RS Q3 ที่มีการอัปเกรดภายนอกให้ดุดันยิ่งขึ้นไปอีก ขุมพลังคาดว่าจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร 5 สูบ ที่อาจมีพละกำลังมากกว่า 400 แรงม้า ซึ่งทั้งสองตัวแรงจะมาภายในช่วงปีนี้แน่นอนแต่จะมาช่วงไหนก็ต้องรอกันต่อไป
ภาพจาก Motor1.com |
ภาพจาก gtspirit |
Bentley
ไทย : Bentayga Hybrid / Continental GT Convertible
เปิดตัวตลาดโลกก่อน : Continental GT Hybrid / Flying Spur
ค่ายรถแดนผู้ดีรายนี้ นอกจาก Continental GT Coupe และ Bentayga ที่วางขายในไทยแล้ว และเมื่อปีที่ผ่านมามีการแนะนำ Bentayga เครื่องยนต์เบนซิน V8 และในปีนี้เป็นไปได้ที่เราอาจจะได้เห็น Benteyga Plug-In Hybrid เข้ามาขายในไทย ด้วยโครงสร้างภาษีปัจจุบันที่ทำให้รถแบบนี้มีราคาถูกลง ถ้าเอามาน่าจะตอบโจทย์เศรษฐีรักษ์โลกไม่น้อย
ขุมพลังของรถคันนี้จะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า พร้อมติดตั้งแบตเตอรี่ที่เมื่อชาร์จด้วยเครื่องชาร์จไฟบ้านกำลัง 120V จะใช้เวลาชาร์จจนเต็ม 7 ชั่วโมงครึ่ง แต่ถ้าใช้เครื่องชาร์จแบบพิเศษ 240V จะลดเวลาชาร์จเหลือเพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง โดยเมื่อวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าเพียวๆจะวิ่งได้ในระยะทาง 50 กม.
อีกคันที่มีโอกาสมาก็คือ Continental GT Convertible หรือโฉมเปิดประทุนเข้ามาขายด้วย ซึ่งแน่นอนว่ารถคันนี้จะมากับหลังคาผ้าใบที่สามารถเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ซึ่งใช้เวลาทั้งหมด 19 วินาทีที่ความเร็วรถสูงสุดไม่เกิน 50 กม./ชม.
ขุมพลังจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 6.0 ลิตร W12 TSI ทวินเทอร์โบ บล็อกใหม่ล่าสุดของค่าย มากับพละกำลัง 635 แรงม้า PS แรงบิดสูงสุด 900 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติดูอัลคลัตซ์ 8 สปีด สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.8 วินาที (ช้ากว่าตัวคูเป้แค่ 0.1 วินาทีเท่านั้น) ความเร็วสูงสุด 333 กม./ชม. ช่วงต้นปี-กลางปีจะได้เห็นของจริงกัน
เข้ามาดูในส่วนของตลาดต่างประเทศกันบ้าง คันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่น่าสนใจนั่นคือสปอร์ตหรู Bentley Continental GT ที่จะมีการเพิ่มเวอร์ชั่น Plug-In Hybrid เข้าไปเช่นเดียวกับ Bentayga ที่ได้พูดถึงก่อนหน้านี้ ซึ่งจะใช้ขุมพลังแบบเดียวกับ Bentayga Plug-In Hybrid การเปิดตัวนั้นยังไม่มีข้อมูลชัดเจน แต่คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นช่วงต้นปี-กลางปีนี้
และอีกหนึ่งรุ่นที่จะมีการเปิดตัวเช่นกันก็คือ Bentley Flying Spur ซาลูนสุดหรูที่ได้เวลาเปลี่ยนโฉมใหม่หมดจดแล้ว แน่นอนว่าตัวรถจะใช้พื้นฐานร่วมกับ Continental GT โฉมล่าสุด ขุมพลังคาดว่าจะมีให้เลือกตั้งแต่เบนซิน V8 , W12 และ Plug-In Hybrid การเปิดตัวน่าจะมีขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปีนี้
ไทย : Bentayga Hybrid / Continental GT Convertible
เปิดตัวตลาดโลกก่อน : Continental GT Hybrid / Flying Spur
ค่ายรถแดนผู้ดีรายนี้ นอกจาก Continental GT Coupe และ Bentayga ที่วางขายในไทยแล้ว และเมื่อปีที่ผ่านมามีการแนะนำ Bentayga เครื่องยนต์เบนซิน V8 และในปีนี้เป็นไปได้ที่เราอาจจะได้เห็น Benteyga Plug-In Hybrid เข้ามาขายในไทย ด้วยโครงสร้างภาษีปัจจุบันที่ทำให้รถแบบนี้มีราคาถูกลง ถ้าเอามาน่าจะตอบโจทย์เศรษฐีรักษ์โลกไม่น้อย
ขุมพลังของรถคันนี้จะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า พร้อมติดตั้งแบตเตอรี่ที่เมื่อชาร์จด้วยเครื่องชาร์จไฟบ้านกำลัง 120V จะใช้เวลาชาร์จจนเต็ม 7 ชั่วโมงครึ่ง แต่ถ้าใช้เครื่องชาร์จแบบพิเศษ 240V จะลดเวลาชาร์จเหลือเพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง โดยเมื่อวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าเพียวๆจะวิ่งได้ในระยะทาง 50 กม.
อีกคันที่มีโอกาสมาก็คือ Continental GT Convertible หรือโฉมเปิดประทุนเข้ามาขายด้วย ซึ่งแน่นอนว่ารถคันนี้จะมากับหลังคาผ้าใบที่สามารถเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ซึ่งใช้เวลาทั้งหมด 19 วินาทีที่ความเร็วรถสูงสุดไม่เกิน 50 กม./ชม.
ขุมพลังจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 6.0 ลิตร W12 TSI ทวินเทอร์โบ บล็อกใหม่ล่าสุดของค่าย มากับพละกำลัง 635 แรงม้า PS แรงบิดสูงสุด 900 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติดูอัลคลัตซ์ 8 สปีด สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.8 วินาที (ช้ากว่าตัวคูเป้แค่ 0.1 วินาทีเท่านั้น) ความเร็วสูงสุด 333 กม./ชม. ช่วงต้นปี-กลางปีจะได้เห็นของจริงกัน
ภาพจาก Motor1.com |
ภาพจาก Motor1.com |
BMW
ไทย : 3-Series (G20) / เริ่มขาย X5 (G05) / X7? / Z4
เปิดตัวตลาดโลกก่อน : 1-Series / 2-Series Gran Coupe / 3-Series Touring , M3 / 4-Series / 7-Series Minor Change / 8-Series Gran Coupe , M8 / X1 Minor Change / X3 M / X4 M / X5 M / X6 , X6 M
ค่ายใบพัดฟ้าขาวจากแดนไส้กรอก แน่นอนว่าในปีนี้ชาวไทยคงจะได้สัมผัสกับ All-New BMW 3-Series ที่ได้รับการออกแบบให้มีความงามและทันสมัยมากยิ่งขึ้นทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสารตามแนวทางของ BMW ยุคใหม่นั่นเอง
หนึ่งไฮไลต์ที่น่าสนใจก็คือ การติดตั้งระบบผู้ช่วยส่วนตัวในรถ Intelligent Personal Assistant เพียงแค่พูดคีย์เวิร์ดคำว่า "Hey BMW" ซึ่งระบบสามารถเรียนรู้กิจวัตรและนิสัยของผู้ขับขี่ได้ จะสั่งให้ตั้งค่าการปรับอุ่นเบาะ หรือตั้งเป้าหมายระบบนำทางก็ทำได้ และยังสามารถตั้งชื่อเล่นให้ได้อีกด้วย คำสั่งอื่นๆที่น่าสนใจ เช่น "Hey BMW ฉันหนาว" "ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติทำงานยังไง" "น้ำมันในถังยังเหลือพอวิ่งหรือไม่" "ฉันได้รับข้อความอะไรเข้ามาบ้าง" และอีกมากมาย แต่ในไทยจะติดตั้งระบบนี้หรือไม่ก็ต้องรอดู
นอกจากนี้เราน่าจะได้เห็นการเปิดราคาและการงวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ All-New BMW X5 ที่มีการแนะนำให้ชาวไทยได้เห็นเมื่อปลายปีที่แล้ว ที่ทำตลาดด้วยรุ่น xDrive30d M Sport มากับเครื่องยนต์ดีเซลความจุ 3.0 ลิตร V6 ลิตร พละกำลังสูงสุด 265 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 620 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด โดยราคาน่าจะอยู่แถวๆ 5 ล้านกลางๆครับ ซึ่งหลังจากนั้นอาจจะมีการเปิดตัวขุมพลังอื่นๆและมีเวอร์ชั่นประกอบในประเทศตามมา
ต่อกันที่ BMW X7 คันนี้ก็เป็นอีกรุ่นที่มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเอามาขายในไทย ถือว่าเป็นรถอเนกประสงค์รุ่นใหญ่สุดของค่าย คู่แข่งสำคัญของรุ่นนี้ก็คือ Mercedes-Benz GLS นั่นเอง BMW X7 จะมีขนาดสัดส่วนความยาว 5,163 มิลลิเมตร กว้าง 1,999 มิลลิเมตร สูง 1,805 มิลลิเมตร และมีฐานล้อยาวถึง 3,103 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับ BMW X5 จะพบว่า X7 ยาวกว่า 228 มิลลิเมตร กว้างน้อยกว่า 5 มม. และสูงกว่า 53 มิลลิเมตร และยังมีฐานล้อยาวกว่า X5 129 มิลลิเมตร ภายในห้องโดยสารจะใช้คอนโซลชุดเดียวกับ X5 โฉมล่าสุด แต่ได้มีการตกแต่งภายในห้องโดยสารให้มีความหรูหรามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ผสมผสานการตกแต่งด้วยวัสดุสีเมทัลลิก , ลายไม้ และ หนัง ผู้ขับขี่เข้ามาจะพบกับชุดหน้าปัดแบบดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว เช่นเดียวกับหน้าจอระบบอินโฟเทนเมนต์กลางคอนโซลขนาด 12.3 นิ้ว
ขุมพลังของรถในต่างประเทศจะมีให้เลือกหลายรูปแบบ ได้แก่
- xDrive40i เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 446 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งจาก 0-96 กม./ชม. ในเวลา 5.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 245 กม./ชม.
- xDrive50i เครื่องยนต์เบนซิน 4.4 ลิตร V8 เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 462 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 648 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งจาก 0-96 กม./ชม. ในเวลา 4.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.
- xDrive30d เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร V6 เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 265 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 620 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 7 วินาที ความเร็วสูงสุด 227 กม./ชม.
- M50d เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร V6 เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 400 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 760 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 5.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ทุกรุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และถ้ามาไทยเราก็คงจะได้เห็นการเปิดตัวราวๆต้นปีถึงกลางปีนี้ครับ
อีกรุ่นที่คิดว่าทาง BMW Thailand ไม่น่าพลาดที่จะเอามาขาย นั่นก็คือ All-New BMW Z4 สปอร์ตโรดสเตอร์เปิดประทุนคันเก่งของค่าย ที่มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจก็คือ การกลับมาใช้หลังคาแบบผ้าใบอีกครั้ง หลังจากที่รุ่นก่อนหน้านี้ใช้หลังคาแข็งแบบพับเก็บได้ การกลับมาใช้หลังคาผ้าใบยังส่งผลต่อเรื่องน้ำหนักที่ลดลงอีกด้วย ขุมพลังในตลาดโลกจะมีทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่
- sDrive20i เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 197 แรงม้าที่ 4,500-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตรที่ 1,450-4,200 รอบ/นาที
- sDrive30i เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 258 แรงม้าที่ 4,500-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตรที่ 1,450-4,200 รอบ/นาที
- M40i เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร 6 สูบ เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 340 แรงม้าที่ 5,000-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตรที่ 1,600-4,500 รอบ/นาที ทุกรุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 สปีด คาดว่าชาวไทยน่าจะได้จับจองเป็นเจ้าของประมาณต้นปีถึงกลางปีนี้ครับ
มาดูในส่วนของรถในตลาดต่างประเทศกันบ้าง เริ่มที่ All-New BMW 1-Series รถแฮตซ์แบ็คมาดใหม่ซึ่งมีจุดเปลี่ยนสำคัญคือการใช้แพลตฟอร์ม UKL อันเป็นแพลตฟอร์มระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ทำให้การเปลี่ยนการวางตำแหน่งเครื่องยนต์จะเปลี่ยนเป็นแบบวางตามขวาง และยังส่งผลให้มีพื้นที่ห้องโดยสารด้านหลังมากขึ้นกว่าเดิมด้วย โดยจะมีรูปลักษณ์ใหม่ที่ค่อนข้างโฉบเฉี่ยวและสวยงามมากกว่าแต่ก่อนค่อนข้างชัดเจน ขุมพลังจะมีให้เลือกตั้งแต่เครื่องยนต์ 3 สูบ จนไปถึงตัวแรงสุดรหัส M130i หรือ M140i ที่จะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบคู่ พละกำลังมากกว่า 300 แรงม้า การเปิดตัวคาดการณ์ว่าอาจจะเกิดขึ้นภายในงาน Geneva Motor Show 2019 ช่วงเดือนมีนาคมเป็นอย่างเร็วที่สุด หรืออย่างช้าก็กลางปีนี้
ต่อกันที่ BMW 2-Series Gran Coupe ซีดานคูเป้ขนาดกะทัดรัดโฉมใหม่หวังจะมาท้าชนกับ Mercedes-Benz CLA เป็นอีกคันที่จะถูกสร้างบนแพลตฟอร์ม UKL เหมือนใน 1-Series ตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ขุมพลังก็จะมีให้เลือกตั้งแต่ 3 สูบจนไปถึง 4 สูบเทอร์โบคู่ การเปิดตัวน่าจะมีขึ้นราวๆ กลางปีถึงปลายปีนี้
คันต่อมาก็คือ BMW 3-Series Touring หรือเวอร์ชั่นแวกอนของ 3-Series ซึ่งหลังจากเปิดตัวในรูปแบบตัวถังซีดานแล้ว แน่นอนว่าตัวแวกอนต้องตามมา ในส่วนครึ่งคันหน้าจะเหมือนกับ 3-Series โฉมซีดานทุกอย่าง ต่างจากครึ่งคันท้ายที่จะมีการออกแบบช่วงประตูหลังใหม่ ด้านเครื่องยนต์นั้นก็น่าจะไม่ต่างอะไรจาก 3-Series โฉมซีดาน การเปิดตัวคาดว่าจะเกิดขึ้นในงาน Geneva Motor Show 2019 ช่วงเดือนมีนาคมนี้
เช่นเดียวกับตัวแรง BMW M3 ที่น่าจะเปิดตัวตามมา ซึ่งเครื่องยนต์นั้นคาดว่าจะมีการติดตั้งเครื่องเบนซิน 3.0 ลิตร V6 เทอร์โบคู่ที่รีดสมรรถนะได้มากกว่า 470 แรงม้า พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด และอาจจะมีรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 สปีดเอาใจคนชอบสับเกียร์เหยียบคลัตซ์ด้วย คาดว่าน่าจะมีการเปิดตัวราวๆกลางปี-ปลายปีนี้
ต่อกันที่ All-New BMW 4-Series ที่ ณ ตอนนี้มีการนำรถทดสอบเวอร์ชั่นเปิดประทุน (Convertible) มาวิ่งก่อน สิ่งที่เห็นก็คือ ในโฉมนี้จะกลับคืนสู่สามัญด้วยการกลับมาใช้หลังคาแบบผ้าใบอีกครั้ง ตามรอย BMW Z4 และ BMW 8-Series Convertible มาติดๆ นอกจากจะช่วยลดน้ำหนักแล้วยังช่วยในเรื่องอัตราสิ้นเปลืองที่ดีขึ้นด้วย รูปทรงตัวถังจะคล้ายคลึงกับสปอร์ตรุ่นใหญ่อย่าง 8-Series และมีรูปทรงกระจังหน้าคล้ายๆกับ Z4 โฉมล่าสุด ส่วนภายในห้องโดยสารแน่นอนว่าจะใช้คอนโซลร่วมกับ 3-Series โฉมล่าสุดนั่นเอง ทางด้านขุมพลังนั้นน่าจะมีการติดตั้งเครื่องยนต์ 4-6 สูบทั้งเบนซินและดีเซล ใครอยากได้แรงก็น่าจะมีรุ่น M440i หรือ M440d xDrive แต่ถ้าอยากได้แรงขั้นสุดก็คงต้องรอรุ่น M4 การเปิดตัวน่าจะมีขึ้นราวๆปลายปี 2019 หรืออย่างช้าก็ปี 2020 เลย
อีกคันที่จะมีการเปิดตัวก็คือ BMW 7-Series LCI (Minor Change) ที่จะมีการออกแบบด้านหน้าใหม่แทบทั้งหมด ซึ่งเมื่อดูจากรูปทรงแล้วน่าจะได้รับแรงบันดาลใจการออกแบบมาจาก BMW X7 เห็นอย่างชัดเจนว่าด้านหน้าจะมีโคมไฟหน้าที่เรียวขึ้น แต่มีกระจังหน้าไตคู่ที่ใหญ่โตขึ้นกว่าเดิมมาก ส่วนด้านท้ายจะมีการปรับรายละเอียดโคมไฟท้ายใหม่ ส่วนภายในห้องโดยสารก็ได้มีการปรับปรุงหลายๆจุดให้ทันสมัยขึ้น การเปิดตัวน่าจะมีขึ้นในช่วงต้นปีนี้อย่างแน่นอน
คันต่อไปที่จะพูดถึงก็คือ 8-Series Gran Coupe ซีดานคูเป้รุ่นเรือธงของค่าย รูปร่างหน้าตาก็จะเหมือนกับตัวคูเป้และตัวเปิดประทุนทุกประการ ต่างแค่ช่วงครึ่งคันหลังเท่านั้น การออกแบบภายนอกให้ลองนึกถึง BMW M8 Concept เข้าไว้ ขุมพลังก็น่าจะไม่ต่างจากตัวคูเป้และตัวเปิดประทุน การเปิดตัวน่าจะมีขึ้นในช่วงต้นปีถึงกลางปีนี้
นอกจากตัว Gran Coupe แล้ว ยังมีอีกหนึ่งตัวแรงที่รอการเปิดตัว นั่นก็คือ BMW M8 นั่นเอง ที่ถือว่าเป็นตัวแรงระดับท็อปสุดในตระกูล 8-Series เลยก็ว่าได้ โดยจะมีรูปร่างหน้าตาภายนอกที่อัพเลเวลความดุขึ้นไปอีก รวมทั้งตกแต่งภายในให้แตกต่างจากรุ่นอื่นๆด้วย ซึ่งในภาพคันสีน้ำเงินที่เอามาให้ชมจะเป็นตัว M8 Competition ก็น่าแปลกใจเหมือนกันที่มีภาพหลุดของรุ่นสุดพิเศษนี้มาก่อน M8 ตัวปกติ แต่ก็คิดว่าไม่น่าแตกต่างอะไรกันมากนัก ขุมพลังนั้นคาดว่าจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4.4 ลิตร V8 บล็อกเดียวกับ M5 ที่มากับพละกำลังสูงสุดถึง 625 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 750 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด เป็นไปได้ว่าประมาณต้นถึงกลางปีนี้อาจจะมีการเปิดตัว
คราวนี้ก็จะมาพูดถึงในส่วนของรถอเนกประสงค์ เริ่มที่ BMW X1 ที่จะมีการปรับโฉม Minor Change หรือเรียกตามภาษา BMW ว่า LCI (Life Cycle Impulse) การเปลี่ยนแปลงภายนอกที่เห็นชัดเจนก็คือในส่วนของโคมไฟหน้าที่ปรับปรุงรายละเอียดใหม่ กันชนหน้าดีไซน์ใหม่ ด้านท้ายที่มีการออกแบบรายละเอียดโคมไฟท้ายใหม่ กันชนท้ายใหม่ ส่วนภายในห้องโดยสารจะมีการปรับดีไซน์หน้าจอระบบอินโฟเทนเมนต์ตรงกลางให้ใหญ่ขึ้น เครื่องยนต์ก็น่าจะไม่ต่างจากเดิม การเปิดตัวนั้นน่าจะมีขึ้นราวๆต้นปีถึงกลางปี ส่วนเมืองไทยก็ต้องรอหลังจากนั้นครับ
อีกรุ่นที่จะพูดถึงก็คือ BMW X3 M และ X4 M สองครอสโอเวอร์เวอร์ชั่นแรงสุดๆ ใครอยากได้แบบอเนกประสงค์ 5 ประตูก็ไป X3 M ใครชอบแนวคูเป้ก็ไปหา X4 M เลือกได้ตามใจอยาก แต่ทั้งสองคันนี้จะมีสิ่งที่เหมือนกันก็คือขุมพลัง ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 ที่พกพาพละกำลังมากกว่า 450 แรงม้า คาดว่าการเปิดตัวน่าจะมีขึ้นในช่วงต้นหรือกลางปีนี้
คันต่อมาก็คือ All-New X6 ภายใต้รหัสตัวถัง G06 เหมือนเช่นเคยที่ตัวรถจะสร้างบนพื้นฐานเดียวกับ X5 (G05) ที่เปิดตัวไปแล้วก่อนหน้านี้ จากลักษณะการพรางนั้นเป็นไปได้ว่างานออกแบบในส่วนกันชนหน้าอาจจะออกแบบให้แตกต่างจาก X5 เล็กน้อย (หรือไม่ต่างเลยอันนี้ก็ไม่รู้) สำหรับในส่วนครึ่งคันหลังก็จะมีการออกแบบให้มีแนวหลังคาที่ลาดเทตามสไตล์รถคูเป้ ในส่วนของด้านท้ายจะมากับโคมไฟท้ายดีไซน์เรียว พร้อมย้ายตำแหน่งป้ายทะเบียนไปติดไว้ที่กันชนเหมือนเช่น X4 ขุมพลังก็น่าจะไม่ต่างจาก X5 ซึ่งจะมีการติดตั้ง
- เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 แถวเรียง เทอร์โบชาร์จ มากับพละกำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร
- เครื่องยนต์เบนซิน 4.4 ลิตร V8 เทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 462 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 650 นิวตัน-เมตร
- เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร V6 ลิตร พละกำลังสูงสุด 265 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 620 นิวตัน-เมตร
- เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตรเทอร์โบ V6 พละกำลังสูงสุด 400 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 760 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.
Chevrolet
ไทย : 3-Series (G20) / เริ่มขาย X5 (G05) / X7? / Z4
เปิดตัวตลาดโลกก่อน : 1-Series / 2-Series Gran Coupe / 3-Series Touring , M3 / 4-Series / 7-Series Minor Change / 8-Series Gran Coupe , M8 / X1 Minor Change / X3 M / X4 M / X5 M / X6 , X6 M
ค่ายใบพัดฟ้าขาวจากแดนไส้กรอก แน่นอนว่าในปีนี้ชาวไทยคงจะได้สัมผัสกับ All-New BMW 3-Series ที่ได้รับการออกแบบให้มีความงามและทันสมัยมากยิ่งขึ้นทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสารตามแนวทางของ BMW ยุคใหม่นั่นเอง
หนึ่งไฮไลต์ที่น่าสนใจก็คือ การติดตั้งระบบผู้ช่วยส่วนตัวในรถ Intelligent Personal Assistant เพียงแค่พูดคีย์เวิร์ดคำว่า "Hey BMW" ซึ่งระบบสามารถเรียนรู้กิจวัตรและนิสัยของผู้ขับขี่ได้ จะสั่งให้ตั้งค่าการปรับอุ่นเบาะ หรือตั้งเป้าหมายระบบนำทางก็ทำได้ และยังสามารถตั้งชื่อเล่นให้ได้อีกด้วย คำสั่งอื่นๆที่น่าสนใจ เช่น "Hey BMW ฉันหนาว" "ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติทำงานยังไง" "น้ำมันในถังยังเหลือพอวิ่งหรือไม่" "ฉันได้รับข้อความอะไรเข้ามาบ้าง" และอีกมากมาย แต่ในไทยจะติดตั้งระบบนี้หรือไม่ก็ต้องรอดู
ขุมพลังของรถชาวไทยน่าจะหนีไม่พ้น 2 รหัสนี้ ได้แก่
- 320d เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร TwinPower Turbo พละกำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม ในเวลา 6.8 วินาที
- 330i เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร TwinPower Turbo พละกำลังสูงสุด 258 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม ในเวลา 5.8 วินาที
การเปิดตัวในตลาดไทยน่าจะมีขึ้นราวๆต้นปีถึงกลางปีนี้ครับ
ต่อกันที่ BMW X7 คันนี้ก็เป็นอีกรุ่นที่มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเอามาขายในไทย ถือว่าเป็นรถอเนกประสงค์รุ่นใหญ่สุดของค่าย คู่แข่งสำคัญของรุ่นนี้ก็คือ Mercedes-Benz GLS นั่นเอง BMW X7 จะมีขนาดสัดส่วนความยาว 5,163 มิลลิเมตร กว้าง 1,999 มิลลิเมตร สูง 1,805 มิลลิเมตร และมีฐานล้อยาวถึง 3,103 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับ BMW X5 จะพบว่า X7 ยาวกว่า 228 มิลลิเมตร กว้างน้อยกว่า 5 มม. และสูงกว่า 53 มิลลิเมตร และยังมีฐานล้อยาวกว่า X5 129 มิลลิเมตร ภายในห้องโดยสารจะใช้คอนโซลชุดเดียวกับ X5 โฉมล่าสุด แต่ได้มีการตกแต่งภายในห้องโดยสารให้มีความหรูหรามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ผสมผสานการตกแต่งด้วยวัสดุสีเมทัลลิก , ลายไม้ และ หนัง ผู้ขับขี่เข้ามาจะพบกับชุดหน้าปัดแบบดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว เช่นเดียวกับหน้าจอระบบอินโฟเทนเมนต์กลางคอนโซลขนาด 12.3 นิ้ว
ขุมพลังของรถในต่างประเทศจะมีให้เลือกหลายรูปแบบ ได้แก่
- xDrive40i เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 446 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งจาก 0-96 กม./ชม. ในเวลา 5.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 245 กม./ชม.
- xDrive50i เครื่องยนต์เบนซิน 4.4 ลิตร V8 เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 462 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 648 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งจาก 0-96 กม./ชม. ในเวลา 4.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.
- xDrive30d เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร V6 เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 265 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 620 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 7 วินาที ความเร็วสูงสุด 227 กม./ชม.
- M50d เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร V6 เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 400 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 760 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 5.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ทุกรุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และถ้ามาไทยเราก็คงจะได้เห็นการเปิดตัวราวๆต้นปีถึงกลางปีนี้ครับ
อีกรุ่นที่คิดว่าทาง BMW Thailand ไม่น่าพลาดที่จะเอามาขาย นั่นก็คือ All-New BMW Z4 สปอร์ตโรดสเตอร์เปิดประทุนคันเก่งของค่าย ที่มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจก็คือ การกลับมาใช้หลังคาแบบผ้าใบอีกครั้ง หลังจากที่รุ่นก่อนหน้านี้ใช้หลังคาแข็งแบบพับเก็บได้ การกลับมาใช้หลังคาผ้าใบยังส่งผลต่อเรื่องน้ำหนักที่ลดลงอีกด้วย ขุมพลังในตลาดโลกจะมีทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่
- sDrive20i เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 197 แรงม้าที่ 4,500-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตรที่ 1,450-4,200 รอบ/นาที
- sDrive30i เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 258 แรงม้าที่ 4,500-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตรที่ 1,450-4,200 รอบ/นาที
- M40i เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร 6 สูบ เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 340 แรงม้าที่ 5,000-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตรที่ 1,600-4,500 รอบ/นาที ทุกรุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 สปีด คาดว่าชาวไทยน่าจะได้จับจองเป็นเจ้าของประมาณต้นปีถึงกลางปีนี้ครับ
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Motor1.com |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Motor1.com |
ภาพจาก Motor1.com |
ภาพจาก Carscoops / Germancar4um |
ทื่มา Motor1.com |
ภาพจาก Autohome China |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
- เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 แถวเรียง เทอร์โบชาร์จ มากับพละกำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร
- เครื่องยนต์เบนซิน 4.4 ลิตร V8 เทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 462 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 650 นิวตัน-เมตร
- เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร V6 ลิตร พละกำลังสูงสุด 265 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 620 นิวตัน-เมตร
- เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตรเทอร์โบ V6 พละกำลังสูงสุด 400 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 760 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.
คาดว่าการเปิดตัวในตลาดโลกอาจจะมีขึ้นในช่วงต้นถึงกลางปีนี้
ภาพจาก Carscoops |
สำหรับใครที่อยากได้รุ่นที่อัพเลเวลความแรงอีกขั้นก็คงต้องรอ X6 M ที่คาดว่าน่าจะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 4.4 ลิตร V8 เทอร์โบคู่ที่น่าจะรีดสมรรถนะได้มากกว่า 600 แรงม้า ซึ่งเครื่องตัวนี้ก็จะมาอยู่ใน X5 M ด้วยเช่นกัน การเปิดตัว X6 M น่าจะมาตามหลัง X6 รุ่นปกติ ส่วน X5 M นั้นน่าจะเปิดตัวก่อน X6 M อาจจะเกิดขึ้นราวๆ กลางปี-ปลายปีนี้ ดีไซน์ของ X5 M จะเป็นอย่างไรเชิญชมที่รูปด้านล่างได้เลยครับ
ภาพจาก Motor1.com |
ภาพจาก https://www.youtube.com/watch?v=24ZULGXpOsE |
- Colorado / Trailblazer MY2019 / New B-SUV???
ค่ายโบว์ไทน์ในปีที่ผ่านมานั้น ไม่มีการเปิดตัวรุ่นปรับโฉมใหม่หรือโมเดลใหม่เลย มีเพียงแค่การแนะนำรุ่นพิเศษเพื่อประคองตลาดเท่านั้น ที่สำคัญคือรถเก๋งอย่าง Cruze และครอสโอเวอร์อย่าง Captiva ก็เลิกจำหน่ายด้วย อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าสนใจคือทาง Chevrolet พยายามเพิ่มยอดขายโดยเฉพาะ Trailblazer ที่มีการอัดโปรโมชั่นหั่นราคาตัวเริ่มต้นเหลือ 999,000 บาท และรุ่นท็อปเหลือ 1,289,000 บาทซึ่งมันได้ผลกับยอดขายมากทีเดียว โดยเฉพาะยอดขายของ Trailblazer ในช่วงเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา สามารถฟาดไปได้ 700 กว่าคันเลยทีเดียว ถือว่าเป็นการเดินเกมที่ถูกทางเลยก็ว่าได้
ดังนั้นเป็นไปได้ว่าในปีนี้ทางค่ายก็น่าจะประคองตลาดต่อไปด้วยการเปิดตัว Colorado และ Trailblazer รุ่นปรับอุปกรณ์หรือไม่ก็รุ่นพิเศษเพื่อไม่ให้สถานการณ์ในค่ายเงียบ รวมทั้งอัดโปรโมชั่นเสริมเพื่อสร้างยอดขายให้เป็นกอบเป็นกำมากขึ้น
แต่สิ่งที่น่าสนใจเหนือกว่านั้นก็คือ ในปีนี้จากการที่เห็นการเติบโตของกลุ่มตลาดรถแนวอเนกประสงค์ ทางค่าย Chevrolet เมืองไทยจึงมีแผนจะเปิดตัวรถอเนกประสงค์รุ่นใหม่ในช่วงเดือนมีนาคมปีนี้ก่อนงาน Bangkok Motor Show 2019 จะเริ่มขึ้น ซึ่งทาง Chevrolet ให้ข้อมูลว่าจะเป็นรถแนว B-SUV ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดเดียวกับ Toyota C-HR หรือ Honda HR-V นั่นเอง ฉะนั้นที่เคยมีการคาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้ว่า SUV รุ่นใหม่ของค่ายที่จะเปิดตัวคือ Blazer ตัดทิ้งไปได้เลย แต่จากที่อ่านๆข้อมูลจากหลายที่นั้น ก็ไม่ใช่ว่า Chevrolet จะตัดโอกาสในการเอา Blazer มาขายในไทยเลย ซึ่งตามการวิเคราะห์ของผู้เขียนนั้นคิดว่าถ้า B-SUV ที่จะเปิดตัวก่อนสามารถทำยอดขายได้ในระดับที่น่าพอใจก็อาจจะส่ง SUV รุ่นอื่นๆมาเสริมตลาด (อาจจะเป็น Blazer) ก็เป็นได้
กลับมาที่รถ B-SUV ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเปิดตัว รถที่มีความเป็นไปได้มากทีเดียวก็คือ Chevrolet Trax รถครอสโอเวอร์น้องเล็ก ซึ่งถ้าจะมาไทยจริงก็คงจะเป็นแบบคันในรูป อันเป็นตัวไมเนอร์เชนจ์ที่เปิดตัวในตลาดอื่นๆในช่วงปี 2016 และด้วยความที่โมเดลนี้เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2012 เรียกได้ว่าเก่าสุดๆ เพราะในอีกไม่นานนั้นในตลาดโลกก็จะเปิดตัวโมเดลใหม่แล้ว อ่านรายละเอียดคร่าวๆโมเดลใหม่ที่ ชมทีเซอร์แรก All-New Chevrolet Trax โฉมใหม่ของครอสโอเวอร์น้องเล็กก่อนเปิดตัวที่แดนมะกันเร็วๆนี้ และโมเดลใหม่หมดจดคงจะไม่มาไทยเร็วๆนี้แน่นอน ต้องเปิดตัวในตลาดโลกก่อนและถ้าจะมาไทยจริงก็คงต้องรออย่างน้อยปี 2020 ส่วนโมเดลเก่าดังที่เห็นนี้ถ้ามาไทยจริง คงได้โดนแซวแบบเดียวกับที่ Nissan Teana รุ่นล่าสุดโดนแน่นอน
ค่ายโบว์ไทน์ในปีที่ผ่านมานั้น ไม่มีการเปิดตัวรุ่นปรับโฉมใหม่หรือโมเดลใหม่เลย มีเพียงแค่การแนะนำรุ่นพิเศษเพื่อประคองตลาดเท่านั้น ที่สำคัญคือรถเก๋งอย่าง Cruze และครอสโอเวอร์อย่าง Captiva ก็เลิกจำหน่ายด้วย อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าสนใจคือทาง Chevrolet พยายามเพิ่มยอดขายโดยเฉพาะ Trailblazer ที่มีการอัดโปรโมชั่นหั่นราคาตัวเริ่มต้นเหลือ 999,000 บาท และรุ่นท็อปเหลือ 1,289,000 บาทซึ่งมันได้ผลกับยอดขายมากทีเดียว โดยเฉพาะยอดขายของ Trailblazer ในช่วงเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา สามารถฟาดไปได้ 700 กว่าคันเลยทีเดียว ถือว่าเป็นการเดินเกมที่ถูกทางเลยก็ว่าได้
ดังนั้นเป็นไปได้ว่าในปีนี้ทางค่ายก็น่าจะประคองตลาดต่อไปด้วยการเปิดตัว Colorado และ Trailblazer รุ่นปรับอุปกรณ์หรือไม่ก็รุ่นพิเศษเพื่อไม่ให้สถานการณ์ในค่ายเงียบ รวมทั้งอัดโปรโมชั่นเสริมเพื่อสร้างยอดขายให้เป็นกอบเป็นกำมากขึ้น
แต่สิ่งที่น่าสนใจเหนือกว่านั้นก็คือ ในปีนี้จากการที่เห็นการเติบโตของกลุ่มตลาดรถแนวอเนกประสงค์ ทางค่าย Chevrolet เมืองไทยจึงมีแผนจะเปิดตัวรถอเนกประสงค์รุ่นใหม่ในช่วงเดือนมีนาคมปีนี้ก่อนงาน Bangkok Motor Show 2019 จะเริ่มขึ้น ซึ่งทาง Chevrolet ให้ข้อมูลว่าจะเป็นรถแนว B-SUV ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดเดียวกับ Toyota C-HR หรือ Honda HR-V นั่นเอง ฉะนั้นที่เคยมีการคาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้ว่า SUV รุ่นใหม่ของค่ายที่จะเปิดตัวคือ Blazer ตัดทิ้งไปได้เลย แต่จากที่อ่านๆข้อมูลจากหลายที่นั้น ก็ไม่ใช่ว่า Chevrolet จะตัดโอกาสในการเอา Blazer มาขายในไทยเลย ซึ่งตามการวิเคราะห์ของผู้เขียนนั้นคิดว่าถ้า B-SUV ที่จะเปิดตัวก่อนสามารถทำยอดขายได้ในระดับที่น่าพอใจก็อาจจะส่ง SUV รุ่นอื่นๆมาเสริมตลาด (อาจจะเป็น Blazer) ก็เป็นได้
กลับมาที่รถ B-SUV ที่มีความเป็นไปได้ที่จะเปิดตัว รถที่มีความเป็นไปได้มากทีเดียวก็คือ Chevrolet Trax รถครอสโอเวอร์น้องเล็ก ซึ่งถ้าจะมาไทยจริงก็คงจะเป็นแบบคันในรูป อันเป็นตัวไมเนอร์เชนจ์ที่เปิดตัวในตลาดอื่นๆในช่วงปี 2016 และด้วยความที่โมเดลนี้เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2012 เรียกได้ว่าเก่าสุดๆ เพราะในอีกไม่นานนั้นในตลาดโลกก็จะเปิดตัวโมเดลใหม่แล้ว อ่านรายละเอียดคร่าวๆโมเดลใหม่ที่ ชมทีเซอร์แรก All-New Chevrolet Trax โฉมใหม่ของครอสโอเวอร์น้องเล็กก่อนเปิดตัวที่แดนมะกันเร็วๆนี้ และโมเดลใหม่หมดจดคงจะไม่มาไทยเร็วๆนี้แน่นอน ต้องเปิดตัวในตลาดโลกก่อนและถ้าจะมาไทยจริงก็คงต้องรออย่างน้อยปี 2020 ส่วนโมเดลเก่าดังที่เห็นนี้ถ้ามาไทยจริง คงได้โดนแซวแบบเดียวกับที่ Nissan Teana รุ่นล่าสุดโดนแน่นอน
กลับมาที่ Trax รุ่นเก่าก่อน ในตัวนี้จะมีขุมพลังทั้งหมด 4 แบบด้วยกัน ได้แก่
- เครื่องยนต์เบนซิน 1.4 ลิตรเทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 140 แรงม้าที่ 4,900 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 200 นิวตัน-เมตรที่ 1,850 - 4,900 รอบ/นาที (ที่อินโดนีเซียใช้ขุมพลังนี้ และส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด)
- เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร พละกำลังสูงสุด 115 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 155 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ/นาที
- เครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร พละกำลังสูงสุด 140 แรงม้าที่ 6,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 175 นิวตัน-เมตรที่ 3,800 รอบ/นาที
- เครื่องยนต์ดีเซล 1.7 ลิตร พละกำลังสูงสุด 130 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตัน-เมตรที่ 2,000 - 2,500 รอบ/นาที
ซึ่งประกอบกับรุ่นนี้นั้นมีจำหน่ายที่อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ด้วย และข่าวที่ได้อ่านๆมาคือ B-SUV ของค่ายจะจำหน่ายเบื้องต้นด้วยการนำเข้ามาขายก่อน ซึ่งถ้าเป็นคันนี้จริงก็เป็นไปได้ว่าที่ไทยอาจจะตัดรถส่วนหนึ่งที่นำมาขายในอินโดนีเซียเข้ามาขายในไทยด้วยก็เป็นได้ และถ้าหากได้ผลตอบรับที่ดี ความหวังที่จะเห็น Trax โฉมใหม่หมดจดตามที่อ้างอิงไว้ข้างบนก็มีโอกาสค่อนข้างสูงมาก
ผู้ท้าชิงที่อีกคันที่อยากจะพูดถึงเหมือนกันก็คือ All-New Chevrolet Captiva ที่เพิ่งเปิดตัวที่ประเทศโคลอมเบียเมื่อปลายปี 2018 ที่ผ่านมา ความน่าสนใจของรถคันนี้ก็คือ ใช้พื้นฐานของรถจีนอย่าง Baojun 530 ที่ทาง GM ขออเมริกาก็ได้ร่วมพัฒนาเช่นกัน ที่อินโดนีเซียจะจำหน่ายรุ่นนี้ในชื่อ Wuling 530 และประเทศอินเดียเตรียมเอาไปแปะตรา MG ขายในชื่อ MG Hector ด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นรถอเมริกันในคราบรถจีนเลยก็ว่าได้
ขุมพลังในรถรวมๆแล้วจะมีทั้งหมด 3 แบบให้เลือก ได้แก่
- เครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร พละกำลังสูงสุด 139 แรงม้าที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 186 นิวตันเมตร ที่ 3,600 – 4,600 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT 8 สปีด
- เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 4 สูบเทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 152 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 230 นิวตัน-เมตรที่ 1,600 – 3,800 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT 8 สปีด
- เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 173 แรงม้าที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตรที่ 1,750 – 2,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด
คันนี้ตามการคาดการณ์ของผู้เขียนคิดว่าน่าจะเป็นไปได้น้อยกว่า Trax แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเรื่องแบบนี้ค่อนข้างเดายากมาก ถ้าเป็นตัวนี้จริงก็คงไม่วายโดนแซวเรื่องรถจีนแบบ MG แน่ๆ เอาเป็นว่าสุดท้ายต้องมาลุ้นกันอีกทีครับว่า รถ B-SUV ที่ Chevrolet เปิดตัวในไทยจะเป็นรุ่นไหนกันแน่ เดือนมีนาคมนี้เดี๋ยวรู้กัน!
Ford
- Ranger / Everest MY2019
ค่ายวงรีสีฟ้าเมื่อปีที่ผ่านมามีการแนะนำรุ่นใหม่หลายรุ่น และพระเอกของปีที่แล้วก็คือ Ford Ranger Raptor รวมทั้งมีการปรับปรุงโฉมใน Ranger รุ่นปกติและ Everest อีกด้วย และอีกทีเด็ดก็คือการนำเข้ารถสปอร์ตอย่าง Mustang มาขาย
สำหรับปีนี้ในตลาดไทยยังไม่ค่อยมีความชัดเจนเรื่องรถใหม่มากนัก เพราะตอนนี้รถเก๋งอย่าง Fiesta , Focus รวมทั้งครอสโอเวอร์น้องเล็ก Ecosport ก็ยุติการจำหน่ายไปเรียบร้อยแล้ว ปีนี้คิดว่าอย่างน้อยก็อาจจะได้เห็นแค่การปรับอุปกรณ์ เพิ่มรุ่นย่อย หรือเปิดตัวรุ่นพิเศษใน Ranger และ Everest เพื่อประคองตลาดกันต่อไป
- Ranger / Everest MY2019
ค่ายวงรีสีฟ้าเมื่อปีที่ผ่านมามีการแนะนำรุ่นใหม่หลายรุ่น และพระเอกของปีที่แล้วก็คือ Ford Ranger Raptor รวมทั้งมีการปรับปรุงโฉมใน Ranger รุ่นปกติและ Everest อีกด้วย และอีกทีเด็ดก็คือการนำเข้ารถสปอร์ตอย่าง Mustang มาขาย
สำหรับปีนี้ในตลาดไทยยังไม่ค่อยมีความชัดเจนเรื่องรถใหม่มากนัก เพราะตอนนี้รถเก๋งอย่าง Fiesta , Focus รวมทั้งครอสโอเวอร์น้องเล็ก Ecosport ก็ยุติการจำหน่ายไปเรียบร้อยแล้ว ปีนี้คิดว่าอย่างน้อยก็อาจจะได้เห็นแค่การปรับอุปกรณ์ เพิ่มรุ่นย่อย หรือเปิดตัวรุ่นพิเศษใน Ranger และ Everest เพื่อประคองตลาดกันต่อไป
Honda
ไทย : Accord Gen 10 / Civic Hatchback MY2019
เปิดตัวตลาดโลกก่อน : CR-V Minor Change? / All-New City / All-New Jazz
ค่าย Honda แน่นอนว่าพระเอกในปีนี้น่าจะหนีไม่พ้น All-New Honda Accord เจเนเรชั่นที่ 10 ที่เมื่อปลายปีที่ผ่านมาทางค่ายก็ได้นำรถออกมาโชว์ยั่วน้ำลายก่อนภายในงาน Motor Expo 2018 หวังมาเตะตัดขาคู่แข่งอย่าง All-New Toyota Camry กันเลยทีเดียว ขุมพลังนั้นแว่วๆว่าจะมีทางเลือกทั้งหมด 2 เครื่องยนต์ด้วยกัน ได้แก่
* เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร Direct-Injection Turbo พละกำลัง 192 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 260 นิวตันเมตรที่ 1,500-5,000 รอบ/นาที
* รุ่นไฮบริดที่มากับเครื่องย นต์เบนซิน I-VTEC Hybrid Atkinson cycle 2.0 ลิตร พละกำลัง 143 แรงม้า กับมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวพละกำ ลัง 181 แรงม้า แรงบิด 315 นิวตันเมตร รวมกำลังทั้งระบบ 212 แรงม้า ทั้งหมดส่งกำลังด้วยเกียร์อ ัตโนมัติ CVT
ไทย : Accord Gen 10 / Civic Hatchback MY2019
เปิดตัวตลาดโลกก่อน : CR-V Minor Change? / All-New City / All-New Jazz
ค่าย Honda แน่นอนว่าพระเอกในปีนี้น่าจะหนีไม่พ้น All-New Honda Accord เจเนเรชั่นที่ 10 ที่เมื่อปลายปีที่ผ่านมาทางค่ายก็ได้นำรถออกมาโชว์ยั่วน้ำลายก่อนภายในงาน Motor Expo 2018 หวังมาเตะตัดขาคู่แข่งอย่าง All-New Toyota Camry กันเลยทีเดียว ขุมพลังนั้นแว่วๆว่าจะมีทางเลือกทั้งหมด 2 เครื่องยนต์ด้วยกัน ได้แก่
* เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร Direct-Injection Turbo พละกำลัง 192 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 260 นิวตันเมตรที่ 1,500-5,000 รอบ/นาที
* รุ่นไฮบริดที่มากับเครื่องย
ทางด้านระบบความปลอดภัย อ้างอิงจากโฉมอเมริกาจะติดตั้งระบบเข้ามาดังนี้
* ชุดระบบความปลอดภัย Honda Sensing ที่ประกอบด้วย
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ และคอยเบรกเพื่อช่วยรักษาระยะห่าง รวมทั้งตรวจจับป้ายจราจรด้านหน้า Adaptive Cruise Control (ACC) with Low-Speed Follow and Traffic Sign Recognition
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ Lane Keeping Assist System (LKAS)
- ระบบแจ้งเตือนและช่วยเหลือเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ Road Departure Mitigation System (RDM) with Lane Departure Warning (LDW)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ และคอยเบรกเพื่อช่วยรักษาระยะห่าง รวมทั้งตรวจจับป้ายจราจรด้านหน้า Adaptive Cruise Control (ACC) with Low-Speed Follow and Traffic Sign Recognition
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ Lane Keeping Assist System (LKAS)
- ระบบแจ้งเตือนและช่วยเหลือเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ Road Departure Mitigation System (RDM) with Lane Departure Warning (LDW)
- ระบบเตือนการชนด้านหน้าและตรวจจับคนเดินถนนด้วยกล้องและเรดาร์พร้อมระบบช่วยเบรก Collision Mitigation Braking System™ (CMBS™)
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Auto High-Beam (AHB)
ส่วนระบบความปลอดภัยอื่นๆก็จะมี
* ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมระบบช่วยเบรก Forward Collision Warning (FCW)
* ระบบเตือนมุมอับสายตา Blind Spot Information
* ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมระบบช่วยเบรก Forward Collision Warning (FCW)
* ระบบเตือนมุมอับสายตา Blind Spot Information
* เซ็นเซอร์ถอยจอดด้านหน้าและหลัง
* ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง Cross Traffic Monitor
* ระบบช่วยตรวจจับอาการเหนื่อยล้าขณะขี่ Driver Awareness Monitor
* กล้องมองภาพด้านหลังปรับมุมมองได้หลายระดับพร้อมเส้นกะระยะ
* ระบบควบคุมการทรงตัว VSA พร้อมระบบป้องกันการลื่นไถล Traction Control
* ระบบเบรก ABS EBD
* ระบบเตือนแรงดันลมยาง Tire Pressure Monitoring System (TPMS),
* ถุงลมนิรภัย 8 ใบ (คู่หน้า+ด้านข้าง+ม่าน+เข่าผู้โดยสาร+เข่าคนขับ)
ส่วนเมืองไทยจะได้ครบตามนี้หรือไม่ก็ต้องติดตามต่อไป (แต่ Honda Sensing มาแน่) คาดว่าการเปิดตัวของ All-New Honda Accord จะเกิดขึ้นภายในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ (ช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม)
คันต่อมาที่จะมีการเปิดตัวก็คือ Honda Civic Hatchback MY2019 หลังจากการปรับโฉมเล็กๆให้กับ Civic โฉมซีดานพร้อมกับมีตัวเลือกสีน้ำเงินใหม่ Brilliant Sporty Blue Metallic ในปีนี้ก็จะเป็นคิวของตัวถัง 5 ประตูบ้าง ซึ่งจะยังไม่มีการปรับโฉมหน้าตาแต่อย่างใดเพราะตลาดโลกก็ยังไม่มีการปรับ แต่สิ่งที่จะมาแน่ๆก็คือ สีน้ำเงินใหม่แบบตัวซีดาน รวมทั้งการติดตั้งชุดระบบความปลอดภัย Honda Sensing มาให้
คันต่อมาที่จะพูดถึงก็คือ All-New Honda City ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีแม้แต่รถทดสอบหรือข่าวความคืบหน้าอะไรที่ชัดเจน แต่ก็มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าโฉมนี้นั้นอาจจะถูกเปลี่ยนสถานะเป็นอีโคคาร์เฟส 2 แทน เพื่อมาทดแทน Honda Brio และ Brio Amaze ที่ยอดขายไม่สู้ดีเท่าไหร่เลย รวมทั้งมีข่าวลือว่าอาจจะเครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตรเทอร์โบ 3 สูบ ที่มีพละกำลัง 125 แรงม้าแบบที่ใช้ใน Civic โฉมปัจจุบันที่จำหน่ายในประเทศจีน คาดว่าเราน่าจะได้เห็นการเปิดตัวประมาณปลายปีนี้เป็นอย่างเร็วที่สุดหรือไมก็ช่วงต้นปีหน้า
เช่นเดียวกับ All-New Honda Jazz ที่อาจจะกลายเป็นอีโคคาร์เฟส 2 ตาม City ไปติดๆ ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมาก็ได้มีรถทดสอบออกมาวิ่งในยุโรปแล้ว จะเห็นว่าช่วงด้านหน้าพรางค่อนข้างเยอะจนแทบจะเดาไม่ออกว่าจะมาแนวไหน เห็นได้จากไฟหน้าที่เหมือนจะเป็นโคมหลอกตาใส่เพื่อไม่ให้รู้การออกแบบรายละเอียดไฟที่แท้จริง อีกจุดที่น่าจะมีการเปลี่ยนครั้งใหญ่น่าจะเป็นส่วนท้ายที่หันมาใช้โคมไฟแนวนอน จากเดิมที่เป็นไฟแนวตั้ง เครื่องยนต์ก็มีความเป็นไปได้ที่จะติดตั้งเครื่องเบนซิน 1.0 ลิตรเทอร์โบเช่นเดียวกับ City คาดว่าภายในปีนี้อาจจะได้เห็นการเปิดตัวในตลาดโลกก่อน ส่วนเมืองไทยก็อาจจะได้เห็นปีหน้าก็เป็นได้
- ชุดระบบความปลอดภัย Honda Sensing
* ระบบเตือนการชนด้านหน้าและตรวจจับคนเดินถนนด้วยกล้องและเรดาร์พร้อมระบบช่วยเบรก Collision Mitigation Braking System (CMBS)
* ระบบแจ้งเตือนและช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ Lane Keeping Assist System (LKAS)
* ระบบแจ้งเตือนและช่วยเหลือเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ Road Departure Mitigation (RDM) with Lane Departure Warning (LDW)
* ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Auto High-Beam (AHB)
* ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมระบบปรับความเร็วตามรถคันหน้าที่ความเร็วต่ำ Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow (ACC with LSF)
การเปิดตัวจะเกิดขึ้นภายในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ (ช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม) เช่นเดียวกับ Accord แต่ใครจะมาก่อนก็ต้องรอติดตามครับ (คิดว่า Civic น่าจะมาก่อน)
อีกคันที่มีแววเปิดตัวพอสมควรก็คือ CR-V Minor Change ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีแม้แต่รถทดสอบออกมาวิ่งเลย จึงทำให้ไม่รู้ว่างานออกแบบจะมีการเปลี่ยนแปลงตรงไหนอย่างไรบ้าง แต่สิ่งที่โฉมไทยน่าจะมีมาให้แน่ๆก็คือระบบความปลอดภัย Honda Sensing หลังจากประเดิมใส่ให้ใน Civic ไปแล้ว รุ่นใหญ่อย่าง CR-V ก็คงไม่พลาดที่จะใส่มาให้ ความเคลื่อนไหวของรุ่นนี้น่าจะได้เห็นราวๆปลายปีนี้ครับคันต่อมาที่จะพูดถึงก็คือ All-New Honda City ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีแม้แต่รถทดสอบหรือข่าวความคืบหน้าอะไรที่ชัดเจน แต่ก็มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าโฉมนี้นั้นอาจจะถูกเปลี่ยนสถานะเป็นอีโคคาร์เฟส 2 แทน เพื่อมาทดแทน Honda Brio และ Brio Amaze ที่ยอดขายไม่สู้ดีเท่าไหร่เลย รวมทั้งมีข่าวลือว่าอาจจะเครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตรเทอร์โบ 3 สูบ ที่มีพละกำลัง 125 แรงม้าแบบที่ใช้ใน Civic โฉมปัจจุบันที่จำหน่ายในประเทศจีน คาดว่าเราน่าจะได้เห็นการเปิดตัวประมาณปลายปีนี้เป็นอย่างเร็วที่สุดหรือไมก็ช่วงต้นปีหน้า
ภาพจาก Motor1.com |
Isuzu
- MU-X Minor Change ไม่ก็ MY2019? / D-Max MY2019
ค่ายนี้เป็นค่ายที่เดาทางการเปิดตัวยากยิ่งกว่าหาว่าใครเป็นคนฆ่าประเสริฐเสียอีก เมื่อปีที่ผ่านมานั้นได้มีภาพกระจังหน้าปริศนาหลุดออกมา ตอนแรกก็คาดการณ์กันไว้ว่าต้องเป็นของ Isuzu D-Max แน่นอน ผลสุดท้าย D-Max ที่เปิดตัวกลับมีการปรับแค่เล็กน้อยเท่านั้น หงายเงิบสิครับแบบนี้! หรือแม้แต่เครื่องยนต์บล็อกใหม่ที่ว่ากันว่าจะมาแทนที่เครื่อง 3.0 ลิตรเดิม หลายคนเสี่ยงทายว่าน่าจะเป็นเครี่อง 2.4 ลิตร พูดกันตั้งแต่ปี 60 ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมาเลย
และแน่นอนนอกจากการปรับโฉมของ MU-X แล้ว กระบะอย่าง D-Max ก็น่าจะมีการปรับอุปกรณ์เพิ่มความสดใหม่อีกสักรอบเพื่อประคองตลาดต่อไป ก่อนที่โฉมใหม่หมดจดจะมาภายในปีหน้า แต่ไม่แน่ว่าภายในช่วงปีนี้เราอาจจะได้เห็นความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนมากขึ้นของ D-Max เจเนเรชั่นใหม่ก็เป็นได้
Jaguar/Land Rover
ไทย : Range Rover Evoque
เปิดตัวตลาดโลกก่อน : Jaguar XE Minor Change / All-New Land Rover Defender / Land RoverDiscovery Sport Minor Change / Range Rover Evoque
สองรถสัญชาติอังกฤษรายนี้ ในปีที่ผ่านมาก็ได้มีการแนะนำรถรุ่นใหม่หลากหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Jaguar E-Pace หรือจะเป็น Range Rover และ Range Rover Sport รุ่นปรับโฉมใหม่
สำหรับปีนี้เราจะได้เห็นการปรับโฉมให้กับซีดานรุ่นน้องสุดอย่าง Jaguar XE Minor Change ซึ่งเมื่อดูผ่านๆแล้วคาดว่าจะมีการปรับเปลี่ยนในส่วนของด้านหน้าใหม่ ซึ่งจะมากับกระจังหน้าพร้อมช่องระบายอากาศที่ใหญ่ขึ้น เช่นเดียวกับการปรับรายละเอียดไฟท้ายใหม่ ส่วนภายในห้องโดยสารอาจจะมีการปรับการตกแต่งใหม่ และอาจจะมีการเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกหรือระบบความปลอดภัยมากขึ้นอีกก็เป็นได้ การเปิดตัวน่าจะมีขึ้นภายในงาน Geneva Motor Show 2019 ช่วงเดือนมีนาคมนี้ ส่วนเมืองไทยน่าจะมีการเปิดตัวช่วงปลายปีนี้
ต่อไปจะมาพูดถึงแบรนด์รถอเนกประสงค์อย่าง Land Rover กันบ้างครับ คาดว่าในปีนี้ชาวไทยน่าจะได้สัมผัส Range Rover Evoque โฉมใหม่ล่าสุดที่เปิดตัวในตลาดโลกช่วงปลายปีที่ผ่านมา ดูภายนอกผิวเผินนั้นหลายคนคงอาจจะคิดว่านี่เป็นเพียงแค่การปรับโฉม Minor Change หรือเปล่า แต่ทางผู้ผลิตออกมาให้ข้อมูลว่า 99.9% ของ Evoque โฉมใหม่คันนี้เป็นของใหม่หมดจดเลย มีเพียงแค่บางจุดที่ยังใช้ร่วมกับรุ่นก่อนหน้าเท่านั้น เห็นได้ชัดว่า การออกแบบภายนอกนั้นจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากรุ่นพี่อย่าง Velar และภายในห้องโดยสารที่มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ให้เป็นไปตาม Range Rover ยุคใหม่
คันต่อมาก็คือ All-New Land Rover Defender รถเอสยูวีทรงกล่องสุดคลาสสิกที่หลายคนรอคอยการเปลี่ยนโฉมใหม่ ซึ่งตอนนี้รถทดสอบก็ได้ออกวิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะเห็นว่าตัวรถก็ยังคงรูปร่างทรงกล่องเหลี่ยมเหมือนเคยแต่จะมีรายละเอียดที่ดูเข้ายุคเข้าสมัยมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญยังมีตัวถังให้เลือกทั้งแบบฐานล้อสั้น (Defender 90) และฐานล้อยาว (Defender 110) เหมือนเดิมเลย รถคันนี้จะใช้แพลตฟอร์มใหม่Modular Longitudinal Architecture (MLA) อันส่งผลให้รถมีน้ำหนักเบากว่าเดิมและมีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ขุมพลังก็น่าจะมีให้เลือกทั้งดีเซลและเบนซิน 4-6 สูบ การเปิดตัวน่าจะมีขึ้นราวๆกลางปีนี้หรือไม่ก็ปลายปีนี้ ส่วนเมืองไทยก็ต้องรอชมหลังจากนั้นครับ
อีกคันที่น่าติดตามก็คือ Land Rover Discovery Sport ที่จะมีการปรับโฉม Minor Change ใหม่ หลักๆคือจะได้เห็นการปรับปรุงงานออกแบบกระจังหน้าและกันชนหน้าใหม่ รวมทั้งไฟหน้าทรงใหม่ เช่นเดียวกับด้านท้ายที่มีการปรับปรุงรายละเอียดไฟท้ายและกันชนท้ายใหม่ ส่วนภายในห้องโดยสารยังไม่มีภาพออกมา เป็นไปได้ว่าอาจจะมีการปรับปรุงหลายๆจุดให้ใช้ระบบสัมผัสมากขึ้นเหมือนตระกูล Range Rover ขุมพลังน่าจะมีให้เลือกทั้งดีเซลและเบนซิน 4 สูบ และน่าจะมีการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 48 โวลต์ Mild-Hybrid สำหรับช่วยในการออกตัวและช่วยในเรื่องอัตราสิ้นเปลืองอีกด้วย หลังจากนั้นก็อาจจะมีเวอร์ชั่น Plug-In Hybrid และ เครื่องยนต์ 3 สูบตามมา คาดว่าน่าจะมีการเปิดตัวในตลาดโลกช่วงต้นปีถึงกลางปี ส่วนไทยก็ต้องติดตามชมหลังจากนั้น
ไทย : Range Rover Evoque
เปิดตัวตลาดโลกก่อน : Jaguar XE Minor Change / All-New Land Rover Defender / Land RoverDiscovery Sport Minor Change / Range Rover Evoque
สองรถสัญชาติอังกฤษรายนี้ ในปีที่ผ่านมาก็ได้มีการแนะนำรถรุ่นใหม่หลากหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Jaguar E-Pace หรือจะเป็น Range Rover และ Range Rover Sport รุ่นปรับโฉมใหม่
ภาพจาก Carscoops |
ต่อไปจะมาพูดถึงแบรนด์รถอเนกประสงค์อย่าง Land Rover กันบ้างครับ คาดว่าในปีนี้ชาวไทยน่าจะได้สัมผัส Range Rover Evoque โฉมใหม่ล่าสุดที่เปิดตัวในตลาดโลกช่วงปลายปีที่ผ่านมา ดูภายนอกผิวเผินนั้นหลายคนคงอาจจะคิดว่านี่เป็นเพียงแค่การปรับโฉม Minor Change หรือเปล่า แต่ทางผู้ผลิตออกมาให้ข้อมูลว่า 99.9% ของ Evoque โฉมใหม่คันนี้เป็นของใหม่หมดจดเลย มีเพียงแค่บางจุดที่ยังใช้ร่วมกับรุ่นก่อนหน้าเท่านั้น เห็นได้ชัดว่า การออกแบบภายนอกนั้นจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากรุ่นพี่อย่าง Velar และภายในห้องโดยสารที่มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ให้เป็นไปตาม Range Rover ยุคใหม่
ขุมพลังของรถยังคงมีให้เลือกทั้งเบนซินและดีเซล เริ่มต้นที่เครื่องดีเซลความจุ 2.0 ลิตรที่มีพละกำลังให้เลือกหลายระดับ ตั้งแต่ 150-240 แรงม้า ส่วนเครื่องเบนซินที่มีความจุเท่ากัน จะมีขุมพลังให้เลือกตั้งแต่ 240-300 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ ZF 9 สปีด ที่สำคัญทุกขุมพลังจะมีการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 48 โวลต์ Mild-Hybrid สำหรับช่วยในการออกตัวอีกด้วย คาดว่าการเปิดตัว Range Rover Evoque ในไทยน่าจะเกิดขึ้นราวๆกลางปีถึงปลายปีนี้
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Motor1.com |
ปิดท้ายกับ Range Rover Velar SVR เอสยูวีทรงสปอร์ตตัวแรง ซึ่งนอกจากจะอัพเกรดหน้าตาภายนอกให้ดุันขึ้นแน่นอนว่าจะต้องมีการติดตั้งขุมพลังใหม่ที่แรงขึ้นด้วย โดยขุมพลังมีความเป็นไปได้ที่จะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 5.0 ลิตร V8 บล็อกเดียวกับ Range Rover Sport ที่มากับพละกำลัง 575 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร การเปิดตัวในตลาดโลกคาดว่าจะมีขึ้นในช่วงต้นปีนี้เป็นอย่างเร็วที่สุด หรืออย่างช้าก็ช่วงกลางปี
Kia
ค่ายรถแดนโสมรายนี้มีตัวชูโรงสำคัญเลยก็คือ Kia Grand Carnival ส่วนรุ่นอื่นๆเหมือนเป็นแค่ไม้ประดับเสียมากกว่า แต่ก็คาดหวังว่าในปีนี้เมืองไทยอาจจะมีการเปิดตัว All-New Kia Soul รถครอสโอเวอร์ B-SUV ที่เพิ่งแนะนำในตลาดโลกช่วงปลายปี 2018 ที่ผ่านมา ซึ่งก็ยังคงมีรูปโฉมที่รักษาเอกลักษณ์แบบรุ่นก่อนๆไว้ครบแต่ก็ได้ขัดเกลาดีไซน์ให้มีสวยงามทันสมัยมากขึ้นกว่าเดิม โดยขุมพลังในตลาดโลกจะมีทางเลือกดังต่อไปนี้
- เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบแบบหายใจเอง มากับพละกำลังสูงสุด 147 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 178 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดหรือระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ Intelligent Variable Transmission (IVT)
- เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุด 201 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 264 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 7 สปีด
- รุ่นพลังงานไฟฟ้า 100% ติดตั้งแบตเตอรี่ขนาด 64 kWh ที่รองรับ Combined Charging System DC ที่มากับระบบชาร์จเร็วเป็นมาตรฐาน จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าได้พละกำลังทั้งหมด 201 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 394 นิวตัน-เมตร
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องติดตามกันว่า Kia จะยังคงทำตลาดรุ่นนี้ต่อหรือไม่ เพราะรุ่นที่ขายในปัจจุบันก็ใช่ว่าจะมีเยอะ เอาเป็นว่าติดตามกันต่อไปครับ
ค่ายรถแดนโสมรายนี้มีตัวชูโรงสำคัญเลยก็คือ Kia Grand Carnival ส่วนรุ่นอื่นๆเหมือนเป็นแค่ไม้ประดับเสียมากกว่า แต่ก็คาดหวังว่าในปีนี้เมืองไทยอาจจะมีการเปิดตัว All-New Kia Soul รถครอสโอเวอร์ B-SUV ที่เพิ่งแนะนำในตลาดโลกช่วงปลายปี 2018 ที่ผ่านมา ซึ่งก็ยังคงมีรูปโฉมที่รักษาเอกลักษณ์แบบรุ่นก่อนๆไว้ครบแต่ก็ได้ขัดเกลาดีไซน์ให้มีสวยงามทันสมัยมากขึ้นกว่าเดิม โดยขุมพลังในตลาดโลกจะมีทางเลือกดังต่อไปนี้
- เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบแบบหายใจเอง มากับพละกำลังสูงสุด 147 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 178 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดหรือระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ Intelligent Variable Transmission (IVT)
- เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุด 201 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 264 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 7 สปีด
- รุ่นพลังงานไฟฟ้า 100% ติดตั้งแบตเตอรี่ขนาด 64 kWh ที่รองรับ Combined Charging System DC ที่มากับระบบชาร์จเร็วเป็นมาตรฐาน จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าได้พละกำลังทั้งหมด 201 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 394 นิวตัน-เมตร
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องติดตามกันว่า Kia จะยังคงทำตลาดรุ่นนี้ต่อหรือไม่ เพราะรุ่นที่ขายในปัจจุบันก็ใช่ว่าจะมีเยอะ เอาเป็นว่าติดตามกันต่อไปครับ
Lamborghini
ค่ายกระทิงดุแห่งอิตาลีกลับมาอีกครั้งภายใต้ตัวแทนจำหน่ายใหม่ภายใต้บริษัท "เรนาสโซ มอเตอร์" และมีการแนะนำรถใหม่ Lamborghini Urus เมื่อปลายปีที่ผ่านมา สร้างความน่าสนใจทั้งกลุ่มลูกค้าและแฟนๆชาวไทยไม่น้อยเลย
สำหรับในปีนี้คาดว่าชาวไทยคงจะได้สัมผัส Lamborghini Huracan Evo หรือ Huracan ที่มีการ Minor Change ปรับโฉมภายนอกให้ภายในใหม่ เพิ่มเทคโนโลยีใหม่ และอัปเกรดขุมพลังให้แรงขึ้นอีกด้วย สิ่งที่น่าสนใจคงจะเป็นภายในห้องโดยสารการแทนที่ปุ่มต่างๆบริเวณคอนโซลกลางด้วยหน้าจอตรงกลางขนาด 8.4 นิ้ว
ขุมพลังของรถจะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 5.2 ลิตร V10 เหมือนเช่นเคย โดยมีพละกำลังสูงสุด 640 แรงม้า (PS) ที่ 8,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตัน-เมตรที่สูงสุดที่ 6,500 รอบ/นาที เมื่อเทียบกับรุ่นเดิมถือว่ามีพละกำลังเพิ่มขึ้น 30 แรงม้า โดยมีน้ำหนักตัวรถไม่รวมของเหลวที่ 1,422 กิโลกรัม อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลา 2.9 วินาที หรือทะยานไปถึง 200 กม. / ชม. ในเวลา 9 วินาที ในขณะที่การเบรกจาก 100 กม./ชม. จนหยุดนิ่งสามารถทำได้ในระยะ 31.9 เมตร ส่วนความเร็วสูงสุดของ Huracan EVO จะอยู่ที่ 325 กม./ชม คาดว่าการเปิดตัวในไทยน่าจะมีขึ้นในช่วงต้นปี-กลางปีนี้ หรืออย่างช้าก็ปลายปีครับ
ค่ายกระทิงดุแห่งอิตาลีกลับมาอีกครั้งภายใต้ตัวแทนจำหน่ายใหม่ภายใต้บริษัท "เรนาสโซ มอเตอร์" และมีการแนะนำรถใหม่ Lamborghini Urus เมื่อปลายปีที่ผ่านมา สร้างความน่าสนใจทั้งกลุ่มลูกค้าและแฟนๆชาวไทยไม่น้อยเลย
ขุมพลังของรถจะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 5.2 ลิตร V10 เหมือนเช่นเคย โดยมีพละกำลังสูงสุด 640 แรงม้า (PS) ที่ 8,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตัน-เมตรที่สูงสุดที่ 6,500 รอบ/นาที เมื่อเทียบกับรุ่นเดิมถือว่ามีพละกำลังเพิ่มขึ้น 30 แรงม้า โดยมีน้ำหนักตัวรถไม่รวมของเหลวที่ 1,422 กิโลกรัม อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลา 2.9 วินาที หรือทะยานไปถึง 200 กม. / ชม. ในเวลา 9 วินาที ในขณะที่การเบรกจาก 100 กม./ชม. จนหยุดนิ่งสามารถทำได้ในระยะ 31.9 เมตร ส่วนความเร็วสูงสุดของ Huracan EVO จะอยู่ที่ 325 กม./ชม คาดว่าการเปิดตัวในไทยน่าจะมีขึ้นในช่วงต้นปี-กลางปีนี้ หรืออย่างช้าก็ปลายปีครับ
Lexus
ค่ายรถหรูญี่ปุ่นรายนี้สำหรับปีที่ผ่านมาเราก็ได้เห็นการแนะนำรถใหม่หลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Lexus ES หรือ NX Minor Change เป็นต้น ในปีนี้คาดว่าชาวไทยน่าจะได้สัมผัสกับรถอเนกประสงค์น้องใหม่อย่าง Lexus UX ที่ขอมาต่อกรกับ Audi Q2/Q3 , BMW X1/X2 , Mercedes-Benz GLA โดย Lexus UX ถือว่าเป็น Lexus รุ่นแรกของค่ายที่สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม Global Architecture – Compact (GA-C) ซึ่งแพลตฟอร์มตัวนี้ก็มีพื้นฐานมาจากแพลตฟอร์มของ Toyota Prius / C-HR / Auris นั่นเอง
ขุมพลังจะมีให้เลือก 2 แบบ เริ่มที่ UX200 ที่มากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบแถวเรียง พละกำลังสูงสุด 168 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT และรุ่น UX250h ขุมพลังไฮบริดที่มากับพละกำลังทั้งระบบ 176 แรงม้า มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออันเป็นผลมาจากการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่เพลาหลัง คาดว่าชาวไทยน่าจะได้สัมผัสช่วงต้นปีนี้ ส่วนจะได้เครื่องอะไรก็ต้องติดตามชม อ่านรายละเอียดของ Lexus UX ได้ที่ ชม All-New Lexus UX ครอสโอเวอร์หรูน้องใหม่ล่าสุดจากแดนอาทิตย์อุทัย
ค่ายรถหรูญี่ปุ่นรายนี้สำหรับปีที่ผ่านมาเราก็ได้เห็นการแนะนำรถใหม่หลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Lexus ES หรือ NX Minor Change เป็นต้น ในปีนี้คาดว่าชาวไทยน่าจะได้สัมผัสกับรถอเนกประสงค์น้องใหม่อย่าง Lexus UX ที่ขอมาต่อกรกับ Audi Q2/Q3 , BMW X1/X2 , Mercedes-Benz GLA โดย Lexus UX ถือว่าเป็น Lexus รุ่นแรกของค่ายที่สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม Global Architecture – Compact (GA-C) ซึ่งแพลตฟอร์มตัวนี้ก็มีพื้นฐานมาจากแพลตฟอร์มของ Toyota Prius / C-HR / Auris นั่นเอง
ขุมพลังจะมีให้เลือก 2 แบบ เริ่มที่ UX200 ที่มากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบแถวเรียง พละกำลังสูงสุด 168 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT และรุ่น UX250h ขุมพลังไฮบริดที่มากับพละกำลังทั้งระบบ 176 แรงม้า มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออันเป็นผลมาจากการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่เพลาหลัง คาดว่าชาวไทยน่าจะได้สัมผัสช่วงต้นปีนี้ ส่วนจะได้เครื่องอะไรก็ต้องติดตามชม อ่านรายละเอียดของ Lexus UX ได้ที่ ชม All-New Lexus UX ครอสโอเวอร์หรูน้องใหม่ล่าสุดจากแดนอาทิตย์อุทัย
Mazda
ไทย : All-New Mazda 3 / CX-8 / CX-5 MY2019? / Mazda 2 MY2019?
สำหรับค่ายนี้เมื่อปีที่ผ่านมาจะเน้นไปที่การปรับโฉม/ปรับอุปกรณ์รถเป็นหลักมากกว่า แต่ในปีนี้จะเป็นปีที่ชาวไทยจะได้เห็นรถโฉมใหม่ถอดด้ามจากค่าย ประเดิมด้วย All-New Mazda 3 ที่เปิดตัวในสหรัฐเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมานั่นเอง ตัวรถถูกพัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์มใหม่ล่าสุด Skyactiv-Vehicle Architecture ที่ออกแบบให้แข็งแรงมากขึ้นกว่าเดิม
ทางด้านขุมพลังนั้น ที่เป็นพระเอกชูโรงเลยก็คือ เครื่องยนต์เบนซิน "SKYACTIV-X" เครื่องเบนซินที่จุดระเบิดด้วยการอัดอากาศ (Spark Controlled Compression Ignition - SPCCI) ซึ่งจะมีประสิทธิภาพดีกว่าเครื่องเบนซินยุคปัจจุบัน 20-30% รวมทั้งแรงบิดอาจจะเพิ่มขึ้นราวๆ 10-30% ทาง Mazda ยังไม่ได้ปล่อยรายละเอียดเครื่องยนต์ที่ชัดเจนออกมา แต่มีการคาดการณ์ว่าเครื่องตัวนี้จะมีพละกำลังราวๆ 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตัน-เมตร อีกความน่าสนใจก็คือเครื่องตัวนี้จะจับคู่กับระบบ M Hybrid ซึ่งเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กช่วยในการขับเคลื่อน ช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้นและช่วยเพิ่มระดับความเพลิดเพลินในการขับขี่และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่อย่างไรก็ตามนั้นเครื่องตัวนี้ยังคงอยู่ในระหว่างการทดสอบเก็บข้อมูลอยู่ ซึ่งกว่าจะพร้อมขายจริงในตลาดโลกก็ราวๆปลายปี 2019 และต้องนำมาทดสอบในไทยอีกซึ่งกว่าที่ชาวไทยจะได้ใช้อาจจะต้องรอไปถึงปี 2020 กันเลยทีเดียว
จึงมีความเป็นไปได้ว่า ขุมพลังที่จะติดตั้งให้ All-New Mazda 3 ในไทยเบื้องต้นน่าจะใช้ขุมพลังเดิมไปก่อน ซึ่งก็คือเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G ขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 165 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ/นาที กำหนดการเปิดตัวของ All-New Mazda 3 ในไทยจะเกิดขึ้นราวๆกลางปีนี้ครับ
คันต่อมาที่มีข่าวตั้งแต่ปีก่อนว่าจะเปิดตัวในไทยก็คือ Mazda CX-8 ที่เสมือนว่าเป็น CX-5 ที่ถูกยืดขยายด้านท้ายออกเป็นรถ 6-7 ที่นั่ง ดีไซน์ภายนอกนั้นเห็นชัดเจนว่าใช้โครงใบหน้าร่วมกับ CX-5 เป๊ะๆ แต่ในส่วนของกระจังหน้าที่ปรับเปลี่ยนรายละเอียดเป็นซี่ตรงโครเมี่ยมแนวนอนซึ่งช่วยเพิ่มความหรูหราให้กับรถมากขึ้น และสร้างความแตกต่างได้ชัดเจ CX-8 จะยาวกว่า CX-5 ด้วยขนาดความยาว 4,900 มิลลิเมตรซึ่งมากกว่า CX-5 อยู่ 350 มิลลิเมตร ส่วนความกว้างอยู่ที่ 1,840 มิลลิเมตร และสูง 1,730 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้ออยู่ที่ 2,930 มิลลิเมตรเท่า CX-9 เลย และยาวกว่า CX-5 ที่มีความยาวฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร ส่วนด้านท้ายมีการออกแบบโคมไฟท้ายใหม่ที่ดูสวยงามน่ามองกว่าเดิม และยังออกแบบฝาท้ายใหม่กับกันชนท้ายใหม่เพื่อเพิ่มความแตกต่างระหว่าง CX-5 มากขึ้น
เช่นเดียวกับภายในห้องโดยสารยกคอนโซลมาจาก CX-5 แทบทั้งดุ้น แต่มีการตกแต่งภายในที่ดูหรูหรากว่าด้วยการใช้ลายไม้รอบคัน และรายละเอียดบางจุดที่ไม่เหมือนใน CX-5 เครื่องดีเซล SkyActiv-D ความจุ 2.2 ลิตรเหมือน CX-5 แต่อัพเกรดสมรรถนะเพิ่มขึ้นเป็น 190 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ SkyActiv-Drive 6 สปีด มีระบบขับเคลื่อนให้เลือกทั้งแบบขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อน 4 ล้อ การเปิดตัวในไทยนั้นน่าจะเกิดขึ้นภายในช่วงกลาง-ปลายปีนี้ เห็นว่าที่ต้องรอนานก็เพราะในปีนี้่อาจจะมีการปรับโฉม/ปรับอุปกรณ์ รอให้ไทยเปิดตัวรุ่นใหม่รวดเร็วเลยจะดีกว่า
ส่วนรุ่นอื่นๆนั้นคงจะเน้นไปที่การปรับอุปกรณ์เสียมากกว่า อย่าง Mazda CX-5 ก็มีแววที่จะแนะนำรุ่นปรับอุปกรณ์ปี 2019 (MY2019) อ้างอิงจากโฉมญี่ปุ่น จะมีการเพิ่มระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง G-Vectoring Control Plus ซึ่งได้รับการอัปเกรดให้สามารถใช้เบรกในการควบคุมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ที่ความเร็วสูง เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินอย่างเช่นรถออกนอกโค้ง ระบบจะช่วยควบคุมการเบรกตามความเหมาะสมเพื่อให้รถกลับเข้ามาอยู่ในเลนได้อย่างราบรื่นไร้ปัญหา ซึ่งระบบนี้จะติดตั้งใน CX-5 MY2019 ทุกรุ่นย่อย
และยังมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยในด้านการช่วยเหลือการขับขี่ใหม่ๆหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นระบบตรวจจับคนเดินเท้าเวลากลางคืน Nighttime Pedestrian Detection ซึ่งจะทำงานร่วมกับระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติ Advanced Smart City Braking Support นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มการเชื่อมต่อด้วย Android Auto และ Apple CarPlay ในระบบอินโฟเทนเมนต์ Mazda Connect อีกด้วย ส่วนการปรับปรุงอื่นๆก็จะมี ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้วที่พ่นสี Gray Metallic , ปรับปรุงแผงควบคุมระบบปรับอากาศ , ปรับปรุงแผงหน้าปัดใหม่ , เพิ่มการหุ้มผ้าบริเวณภายในรถช่วงเสา A และเมืองไทยจะมีการปรับตามรูปแบบนี้หรือไม่ก็ต้องติดตามต่อไป
สำหรับค่ายนี้เมื่อปีที่ผ่านมาจะเน้นไปที่การปรับโฉม/ปรับอุปกรณ์รถเป็นหลักมากกว่า แต่ในปีนี้จะเป็นปีที่ชาวไทยจะได้เห็นรถโฉมใหม่ถอดด้ามจากค่าย ประเดิมด้วย All-New Mazda 3 ที่เปิดตัวในสหรัฐเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมานั่นเอง ตัวรถถูกพัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์มใหม่ล่าสุด Skyactiv-Vehicle Architecture ที่ออกแบบให้แข็งแรงมากขึ้นกว่าเดิม
ทางด้านขุมพลังนั้น ที่เป็นพระเอกชูโรงเลยก็คือ เครื่องยนต์เบนซิน "SKYACTIV-X" เครื่องเบนซินที่จุดระเบิดด้วยการอัดอากาศ (Spark Controlled Compression Ignition - SPCCI) ซึ่งจะมีประสิทธิภาพดีกว่าเครื่องเบนซินยุคปัจจุบัน 20-30% รวมทั้งแรงบิดอาจจะเพิ่มขึ้นราวๆ 10-30% ทาง Mazda ยังไม่ได้ปล่อยรายละเอียดเครื่องยนต์ที่ชัดเจนออกมา แต่มีการคาดการณ์ว่าเครื่องตัวนี้จะมีพละกำลังราวๆ 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตัน-เมตร อีกความน่าสนใจก็คือเครื่องตัวนี้จะจับคู่กับระบบ M Hybrid ซึ่งเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กช่วยในการขับเคลื่อน ช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้นและช่วยเพิ่มระดับความเพลิดเพลินในการขับขี่และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่อย่างไรก็ตามนั้นเครื่องตัวนี้ยังคงอยู่ในระหว่างการทดสอบเก็บข้อมูลอยู่ ซึ่งกว่าจะพร้อมขายจริงในตลาดโลกก็ราวๆปลายปี 2019 และต้องนำมาทดสอบในไทยอีกซึ่งกว่าที่ชาวไทยจะได้ใช้อาจจะต้องรอไปถึงปี 2020 กันเลยทีเดียว
จึงมีความเป็นไปได้ว่า ขุมพลังที่จะติดตั้งให้ All-New Mazda 3 ในไทยเบื้องต้นน่าจะใช้ขุมพลังเดิมไปก่อน ซึ่งก็คือเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G ขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 165 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ/นาที กำหนดการเปิดตัวของ All-New Mazda 3 ในไทยจะเกิดขึ้นราวๆกลางปีนี้ครับ
คันต่อมาที่มีข่าวตั้งแต่ปีก่อนว่าจะเปิดตัวในไทยก็คือ Mazda CX-8 ที่เสมือนว่าเป็น CX-5 ที่ถูกยืดขยายด้านท้ายออกเป็นรถ 6-7 ที่นั่ง ดีไซน์ภายนอกนั้นเห็นชัดเจนว่าใช้โครงใบหน้าร่วมกับ CX-5 เป๊ะๆ แต่ในส่วนของกระจังหน้าที่ปรับเปลี่ยนรายละเอียดเป็นซี่ตรงโครเมี่ยมแนวนอนซึ่งช่วยเพิ่มความหรูหราให้กับรถมากขึ้น และสร้างความแตกต่างได้ชัดเจ CX-8 จะยาวกว่า CX-5 ด้วยขนาดความยาว 4,900 มิลลิเมตรซึ่งมากกว่า CX-5 อยู่ 350 มิลลิเมตร ส่วนความกว้างอยู่ที่ 1,840 มิลลิเมตร และสูง 1,730 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้ออยู่ที่ 2,930 มิลลิเมตรเท่า CX-9 เลย และยาวกว่า CX-5 ที่มีความยาวฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร ส่วนด้านท้ายมีการออกแบบโคมไฟท้ายใหม่ที่ดูสวยงามน่ามองกว่าเดิม และยังออกแบบฝาท้ายใหม่กับกันชนท้ายใหม่เพื่อเพิ่มความแตกต่างระหว่าง CX-5 มากขึ้น
เช่นเดียวกับภายในห้องโดยสารยกคอนโซลมาจาก CX-5 แทบทั้งดุ้น แต่มีการตกแต่งภายในที่ดูหรูหรากว่าด้วยการใช้ลายไม้รอบคัน และรายละเอียดบางจุดที่ไม่เหมือนใน CX-5 เครื่องดีเซล SkyActiv-D ความจุ 2.2 ลิตรเหมือน CX-5 แต่อัพเกรดสมรรถนะเพิ่มขึ้นเป็น 190 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ SkyActiv-Drive 6 สปีด มีระบบขับเคลื่อนให้เลือกทั้งแบบขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อน 4 ล้อ การเปิดตัวในไทยนั้นน่าจะเกิดขึ้นภายในช่วงกลาง-ปลายปีนี้ เห็นว่าที่ต้องรอนานก็เพราะในปีนี้่อาจจะมีการปรับโฉม/ปรับอุปกรณ์ รอให้ไทยเปิดตัวรุ่นใหม่รวดเร็วเลยจะดีกว่า
ส่วนรุ่นอื่นๆนั้นคงจะเน้นไปที่การปรับอุปกรณ์เสียมากกว่า อย่าง Mazda CX-5 ก็มีแววที่จะแนะนำรุ่นปรับอุปกรณ์ปี 2019 (MY2019) อ้างอิงจากโฉมญี่ปุ่น จะมีการเพิ่มระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง G-Vectoring Control Plus ซึ่งได้รับการอัปเกรดให้สามารถใช้เบรกในการควบคุมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ที่ความเร็วสูง เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินอย่างเช่นรถออกนอกโค้ง ระบบจะช่วยควบคุมการเบรกตามความเหมาะสมเพื่อให้รถกลับเข้ามาอยู่ในเลนได้อย่างราบรื่นไร้ปัญหา ซึ่งระบบนี้จะติดตั้งใน CX-5 MY2019 ทุกรุ่นย่อย
และยังมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยในด้านการช่วยเหลือการขับขี่ใหม่ๆหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นระบบตรวจจับคนเดินเท้าเวลากลางคืน Nighttime Pedestrian Detection ซึ่งจะทำงานร่วมกับระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติ Advanced Smart City Braking Support นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มการเชื่อมต่อด้วย Android Auto และ Apple CarPlay ในระบบอินโฟเทนเมนต์ Mazda Connect อีกด้วย ส่วนการปรับปรุงอื่นๆก็จะมี ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้วที่พ่นสี Gray Metallic , ปรับปรุงแผงควบคุมระบบปรับอากาศ , ปรับปรุงแผงหน้าปัดใหม่ , เพิ่มการหุ้มผ้าบริเวณภายในรถช่วงเสา A และเมืองไทยจะมีการปรับตามรูปแบบนี้หรือไม่ก็ต้องติดตามต่อไป
อีกคันที่มีแววปรับอุปกรณ์อีกระลอกก็คือ Mazda 2 ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2018 ที่ผ่านมาในตลาดญี่ปุ่นก็ได้มีการปรับอุปกรณ์เพิ่มเติม ที่เห็นได้ชัดก็คือการปรับเพิ่มแถบกระจังหน้าโครเมียมใหม่ เพิ่มล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้วสีเงินในหลายรุ่นย่อย ภายในห้องโดยสารมีตัวเลือกการตกแต่งภายในห้องโดยสารใหม่ เช่นเดียวกัยระบบความปลอดภัยที่มีการเพิ่มทางเลือกออปชั่นกล้องมองภาพรอบคัน 360 องศามาให้ ส่วนเมืองไทยจะมีการปรับตามแนวทางนี้หรือไม่ และถ้ามาจริงๆคาดว่าภายในช่วงต้นปีนี้อาจจะได้เห็นกัน
McLaren
ค่ายซูเปอร์คาร์สุดเท่อย่าง McLaren สำหรับตลาดไทย หลังจากการเปิดตัว 720s เวอร์ชั่นคูเป้ไปแล้ว และมีหนึ่งคันที่เจออุบัติเหตุกระบะชนท้ายจนเป็นข่าวดังไปทั่วทั้งบาง คาดว่าในปีนี้เศรษฐีไทยจะได้สัมผัส McLaren 720S Spyder หรือเวอร์ชั่นเปิดหลังคานั่นเอง แน่นอนว่ารูปลักษณ์ก็จะเหมือนกับตัวคูเป้ทุกอย่าง ความแตกต่างจะอยู่ถัดจากช่วงเสา A เป็นต้นไป ซึ่งจะมากับหลังคาแข็งแบบพับเก็บได้ โดยตัวหลังคานั้นจะทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ทาง McLaren เคลมว่า 720S Spider จะเป็น "ซูเปอร์คาร์เปิดประทุนที่สามารถเปิดหรือปิดหลังคาได้เร็วที่สุด" หลังคาจะสามารถพับเก็บหรือกางออกมาได้ภายในเวลา 11 วินาทีเท่านั้น ที่ความเร็วสูงสุด 50 กม./ชม.
McLaren 720S Spider จะติดตั้งเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ 4.0 ลิตรที่ให้พละกำลัง 720 แรงม้า แรงบิด สูงสุด 769 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดแบบ sequential shift ส่งผลให้มีอัตราเร่งจาก 0-96 กม./ชม. ใน 2.8 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ใน 7.9 วินาที เมื่อมีที่ว่างบนถนนเพียงพอ เจ้าสปอร์ตเปิดประมุนคันนี้สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 341 กม./ชม. ขณะปิดหลังคา อย่างไรก็ตามเมื่อเปิดหลังคาจะสามารถทำความเร็วได้ 325 กม. / ชม. ซึ่งก็ไม่น้อยเลย คาดว่าชาวไทยน่าจะได้สัมผัสช่วงต้นปี-กลางปีครับ อ่านรายละเอียดรถคันนี้เพิ่มเติมที่ McLaren 720S Spider สปอร์ตเปิดประทุนพลังแรง 720 แรงม้า
ค่ายซูเปอร์คาร์สุดเท่อย่าง McLaren สำหรับตลาดไทย หลังจากการเปิดตัว 720s เวอร์ชั่นคูเป้ไปแล้ว และมีหนึ่งคันที่เจออุบัติเหตุกระบะชนท้ายจนเป็นข่าวดังไปทั่วทั้งบาง คาดว่าในปีนี้เศรษฐีไทยจะได้สัมผัส McLaren 720S Spyder หรือเวอร์ชั่นเปิดหลังคานั่นเอง แน่นอนว่ารูปลักษณ์ก็จะเหมือนกับตัวคูเป้ทุกอย่าง ความแตกต่างจะอยู่ถัดจากช่วงเสา A เป็นต้นไป ซึ่งจะมากับหลังคาแข็งแบบพับเก็บได้ โดยตัวหลังคานั้นจะทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ทาง McLaren เคลมว่า 720S Spider จะเป็น "ซูเปอร์คาร์เปิดประทุนที่สามารถเปิดหรือปิดหลังคาได้เร็วที่สุด" หลังคาจะสามารถพับเก็บหรือกางออกมาได้ภายในเวลา 11 วินาทีเท่านั้น ที่ความเร็วสูงสุด 50 กม./ชม.
McLaren 720S Spider จะติดตั้งเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ 4.0 ลิตรที่ให้พละกำลัง 720 แรงม้า แรงบิด สูงสุด 769 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดแบบ sequential shift ส่งผลให้มีอัตราเร่งจาก 0-96 กม./ชม. ใน 2.8 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ใน 7.9 วินาที เมื่อมีที่ว่างบนถนนเพียงพอ เจ้าสปอร์ตเปิดประมุนคันนี้สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 341 กม./ชม. ขณะปิดหลังคา อย่างไรก็ตามเมื่อเปิดหลังคาจะสามารถทำความเร็วได้ 325 กม. / ชม. ซึ่งก็ไม่น้อยเลย คาดว่าชาวไทยน่าจะได้สัมผัสช่วงต้นปี-กลางปีครับ อ่านรายละเอียดรถคันนี้เพิ่มเติมที่ McLaren 720S Spider สปอร์ตเปิดประทุนพลังแรง 720 แรงม้า
Mercedes-Benz
ไทย : A-Class Sedan / AMG A35 Hatch / CLA / C-Class Plug-In Hybrid? , AMG C43 Sedan?/ S-Class Plug-In Hybrid / GLE / G-Class / AMG GT 4 Door? / AMG GT 2019
เปิดตัวในตลาดโลกก่อน : AMG A35 Sedan / AMG A45 Htach / CLA Shooting Brake , AMG CLA35 , AMG CLA45 / E-Class Minor Change / GLA / GLB / GLC Minor Change / GLE Coupe / GLS
ค่ายดาวสามแฉกในไทยมักมีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจทุกๆปี และมีมากมายหลายรุ่น ในปีนี้ก็คงจะมีรุ่นใหม่เปิดตัวเยอะไม่แพ้ปีที่แล้ว เริ่มที่ Mercedes-Benz A-Class Sedan รถซีดานรุ่นเล็กสุดของค่าย ถ้าหากใครอยากได้ในรูปแบบที่โฉบเฉี่ยวกว่าก็ไปหา CLA แต่ถ้าความโฉบเฉี่ยวผสมเรียบหรูก็คงต้องเป็นคันนี้ ขุมพลังในต่างประเทศจะมี 4 แบบด้วยกัน ได้แก่
- A180d เครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 116 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7G-DCT
รุ่นนี้ก็เป็นอีกคันที่เชื่อว่าเมืองไทยอาจจะเอามาขายนั่นก็คือ Mercedes-AMG A35 แฮตซ์แบ็คตัวแรงที่ได้รับการอัปเกรดภายนอก ภายในและสมรรถนะให้ดุดิบขึ้นกว่าเดิม ซึ่งแม้ว่าเมืองไทยจะไม่ได้ขายรุ่นปกติโฉมแฮตซ์แบ็คแล้ว แต่ก็ยังดีที่มีตัวแรงให้เลือก ภายใต้ห้องเครื่องจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จบล็อกใหม่ มากับพละกำลัง 306 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบดูอัลคลัตซ์ 7 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC สำหรับรถสมรรถนะสูง สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.7 วินาที ก่อนที่ความเร็วสูงสุดจะจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. และยังปรับแต่งในหลายๆจุด ไม่ว่าจะเป็นช่วงล่าง เกียร์ พวงมาลัย หรือเบรกให้มีความสปอร์ตดิบเถื่อนขึ้น ก็ต้องรอดูว่าทางค่ายดาวสามแฉกบ้านเราจะสนใจตัวนี้หรือไม่ ตามอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของรถคันนี้ได้ที่ ชม Mercedes-AMG A35 4MATIC ฮอตแฮตซ์ตัวจี๊ดจากค่ายดาวสามแฉก
คันต่อมาที่มีสิทธิ์เปิดตัวในไทยสูงมากก็คือ Mercedes-Benz CLA เจเนเรชั่นที่ 2 ที่เพิ่งเผยโฉมไม่นานมานี้ ซึ่งยังคงมากับรูปโฉมที่รักษาเอกลักษณ์เดิมๆไว้ครบถ้วน พร้อมกับรูปร่างหน้าตาที่ดูสวยงามและทันสมัยมากขึ้น ซีดานคูเป้โฉมใหม่คันนี้จะมากับความยาว 4,688 มิลลิเมตร (ยาวขึ้น 48 มิลลิเมตร) กว้าง 1,830 มิลลิเมตร (กว้างขึ้น 48 มิลลิเมตร) เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนในขณะที่ระยะฐานล้อก็ยาวขึ้น 30 มม. ด้วยขนาดภายนอกที่ใหญ่ขึ้นยังส่งผลต่อภายในห้องโดยสารที่กว้างขึ้นด้วย
เบื้องต้นขุมพลังตอนนี้มีการเผยแพร่ข้อมูลในรุ่น CLA250 ที่มากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จที่มากับพละกำลัง 225 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 7 สปีด คาดว่าชาวไทยอาจจะได้สัมผัสช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมรถคันนี้ที่ All-New Mercedes-Benz CLA นิยามใหม่ของซีดานคูเป้น้องเล็กจากดาวสามแฉก
และหลังจากการแนะนำ Mercedes-Benz C-Class ในรุ่น C220d เครื่องดีเซลไประยะหนึ่งแล้ว เชื่อว่าปีนี้ทางค่ายมีแววจะยกเลิกขายรุ่นนี้แล้วเปลี่ยนเป็น C-Class Plug-In Hybrid ทั้งหมด ยกเว้นตัวคูเป้ โดยคาดว่าน่าจะมาภายใต้รหัส C300de ซึ่งจะมากับเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรเทอร์โบ มากับพละกำลังสูงสุด 194 แรงม้า (PS) ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 122 แรงม้า (PS) พร้อมติดตั้งชุดแบตเตอรี่ขนาด 13.5 kWh รวมกำลังทั้งระบบที่ 306 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุดถึง 700 นิวตัน-เมตรที่รอบต่ำเพียง 1,400 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9G-Tronic สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.ในเวลา 5.6 วินาที (5.7 วินาทีสำหรับรุ่น Wagon) ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 250 กม./ชม. การเปิดตัวในไทยอาจจะมีขึ้นราวๆต้นปีนี้ก็เป็นได้
นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ที่ Mercedes-Benz จะเสริมตลาดตัวแรงด้วยการแนะนำ Mercedes-AMG C43 4Matic โฉมซีดานหลังจากที่เปิดตัวรุ่นคูเป้ 2 ประตูไปเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา รูปร่างหน้าตาภายนอกและภายในก็จะไม่ต่างจากตัวคูเป้ โดยจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 ทวินเทอร์โบเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือพละกำลังที่แรงขึ้น 23 แรงม้า กลายเป็น 390 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 521 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังไปยังล้อทั้งสี่ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ความเร็วสูงสุดยังคงจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.7 วินาที ต้นปีนี้ช่วงงาน Bangkok Motor Show 2019 อาจจะได้เห็นกัน ต้องรอชมต่อไป
นอกจาก C-Class ที่มีแววจะเปลี่ยนมาใช้เครื่อง Plug-In Hybrid แล้ว อีกรุ่นที่มีแววไม่แพ้กันก็คือ Mercedes-Benz S-Class ที่น่าจะกับรหัส S560e มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 พละกำลังสูงสุด 367 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 121 แรงม้า พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด จะได้พละกำลังทั้งระบบที่ 476 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร ความเร็วสูงสุดยังคงจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาแค่ 5 วินาทีเท่านั้น คาดการณ์ว่าอาจจะมีการเปิดตัวภายในช่วงต้นปีนี้ราวๆงาน Bangkok Motor Show 2019 ก็เป็นได้
คันต่อมาที่น่าจะมีการเปิดตัวในไทยก็คือ All-New Mercedes-Benz GLE-Class รถอเนกประสงค์หรูโฉมใหม่หมดจดที่มีการออกแบบตามแนวทางของ Mercedes-Benz ยุคใหม่ทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสาร GLE ยังได้รับการติดตั้งระบบ MBUX เช่นเดียวกับ A-Class ที่เปิดตัวช่วงต้นปีที่ผ่านมา ระบบอินโฟเทนเมนต์ "MBUX" เป็นการผสานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ไว้เข้ากับรถ โดยเราสามารถเริ่มสั่งการทำงานด้วยการพูดคีย์เวิร์ดคำว่า "Hey Mercedes" และตามด้วยคำสั่ง ซึ่งจะได้จอสี 12.3 นิ้วสองจอเป็นมาตรฐาน
ขุมพลังของรถจะมีทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่
- GLE300d 4MATIC เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบแถวเรียง พละกำลังสูงสุด 245 แรงม้าที่ 4,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตรที่ 1,600 - 2,400 รอบ/นาที
- GLE350d 4MATIC เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร V6 แถวเรียง พละกำลังสูงสุด 272 แรงม้าที่ 3,400 - 4,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตัน-เมตรที่ 1,200 - 3,200 รอบ/นาที
- GLE400d 4MATIC เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร V6 แถวเรียง พละกำลังสูงสุด 330 แรงม้าที่ 3,600 - 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตรที่ 1,200 - 3,000 รอบ/นาที
- GLE450 4MATIC เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 แถวเรียง พละกำลังสูงสุด 367 แรงม้าที่ 5,500 - 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตรที่ 1,600 - 4,500 รอบ/นาที ผสานการทำงานกับระบบ EQ Boost ที่จะใช้ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น โดยจะมากับพละกำลัง 22 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ระบบ EQ Boost จะผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก 48 โวลต์ ถือว่าเป็นระบบ"Mild-Hybrid" ดีๆนี่เอง ระบบส่งกำลังจะใช้เกียร์อัตโนมัติ 9G-Tronic ในทุกขุมพลัง
สุดท้ายมาลุ้นกันว่าเมืองไทยจะทำตลาดด้วยขุมพลังไหน คาดการณ์ว่าการเปิดตัวอาจจะเกิดขึ้นในช่วงงาน Bangkok Motor Show 2019 ครับ
อีกคันที่คาดว่าทางค่ายอาจจะเอามาเสริมตลาดเอาใจคนชอบความไม่ธรรมดา นั่นก็คือ All-New Mercedes-Benz G-Class รถเอสยูวีทรงกล่องดีไซน์สุดอมตะ ที่แม้จะมีทรวดทรงภายนอกไม่ค่อยต่างจากตัวเก่าแต่ภายในห้องโดยสารก็ได้รับการออกแบบให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้นตามรอยรถเก๋งรุ่นใหม่ๆในค่าย เครื่องยนต์จะมีทางเลือกดังต่อไปนี้
- G350d เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร V6 พละกำลังสูงสุด 286 แรงม้าที่ 3,400 - 4,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตัน-เมตรที่ 1,200 - 3,200 รอบ/นาที
- G500 เครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 พละกำลังสูงสุด 416 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 609 นิวตัน-เมตร ทั้งหมดส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด
และอีกรุ่นที่เป็นไปได้ที่ว่าจะเอามาเสริมตลาดก็คือ Mercedes-AMG GT 4-Door Coupé เวอร์ชั่น 4 ประตูนั่นเอง ดีไซน์ภายนอกของรถถือว่ามีความโฉบเฉี่ยวและดุดันไม่แพ้ตัว Coupe 2 ประตูเลย ส่วนภายในห้องโดยสารคอนโซลส่วนบนแทบจะยกมาจาก Mercedes-Benz CLS โฉมล่าสุดเลย แต่ส่วนล่างจะมีการออกแบบคอนโซลเกียร์ดีไซน์ใหม่ที่คล้ายคลึงกับ AMG GT Coupe ขุมพลังของรถก็จะมีทางเลือกทั้งหมด 4 แบบตามการแบ่งแยกรุ่นย่อยรถเลย ได้แก่
- GT43 4MATIC+ เครื่องยนต์แบบ Mild Hybrid (ไม่ใช่ไฮบริด 100% แค่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วยส่งกำลังบางจังหวะเท่านั้น) เบนซิน 3.0 ลิตรแถวเรียง V6 พละกำลังสูงสุด 367 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ผสานการทำงานกับระบบ EQ Boost ซึ่งมากับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 48V พละกำลัง 21 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลา 4.9 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 270 กม./ชม. ระบบส่งกำลังจะใช้เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด AMG Speedshift TCT 9G พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Matic+
ปิดท้ายด้วย Mercedes-AMG GT Coupe ที่เพิ่งมีการปรับอุปกรณ์ใหม่ไปหมาดๆ โดยมากับการปรับปรุงรายละเอียดที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก AMG GT 4-Door Coupe ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า LED ที่ปรับปรุงรายละเอียดใหม่ รวมทั้งด้านท้ายที่มากับครีบรีดอากาศและท่อไอเสียดีไซน์ใหม่ นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกล้อลายใหม่ด้วย ภายในห้องโดยสารยังมีการเปลี่ยนแปลงใหม่หลายๆจุดเช่นกัน เริ่มที่แผงหน้าปัดดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้วเป็นมาตรฐาน พร้อมกับหน้าจอมัลติมีเดียขนาด 10.25 นิ้วที่คอนโซลกลาง แผงหน้าปัดจะมีรูปแบบการแสดงผลที่แตกต่างกันจำนวนมากรวมถึงโหมด 'Supersport' ที่สามารถแจ้งเตือนกับผู้ขับขี่ได้ว่าเมื่อใดที่ผู้ขับขี่ควรเปลี่ยนเกียร์ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนปุ่มกดใหม่บริเวณช่วงฐานเกียร์อีกด้วย และที่ขาดไม่ได้ก็คือพวงมาลัย AMG ทรงใหม่เหมือนที่ใช้ในรถตระกูล AMG รุ่นใหม่ๆหลายรุ่น
คราวนี้จะมาพูดถึงรุ่นอื่นๆในตลาดต่างประเทศกันบ้าง ซึ่งหลายรุ่นก็ต้องจับตาให้ดีเพราะมีสิทธิ์มาไทยในภายหลังด้วย ขอเริ่มที่ตัวแรงอย่าง Mercedes-AMG A35 Sedan แน่นอนว่ารูปลักษณ์ก็จะคล้ายคลึงกับ A35 โฉม Hatchback แต่คันนี้จะมาในรูปแบบตัวถัง 4 ประตูเท่านั้นเอง โดยเครื่องยนต์ก็จะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จบล็อกใหม่ มากับพละกำลัง 306 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบดูอัลคลัตซ์ 7 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC สำหรับรถสมรรถนะสูง คาดว่าการเปิดตัวน่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ส่วนชาวไทยน่าจะมีโอกาสได้สัมผัสเช่นกัน
ต่อกันที่อีกหนึ่งตัวแรงอย่าง Mercedes-AMG A45 โฉม Htachback ที่จะมีรูปลักษณ์ยกระดับความเท่และดุดันขึ้นอีกจาก A35 จะเห็นได้ว่าด้านหน้าจะติดตั้งกระจังหน้าซี่ลวดแนวตั้งแบบ Panamericana เหมือนกับตระกูล 63-Series เช่นเดียวกับภายในห้องโดยสารที่น่าจะตกแต่งให้มีความดุดันขึ้นเช่นกัน ทางด้านขุมพลังนั้นจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จบล็อกใหม่ เหมือนกับ A35 แต่ถูกอัพเกรดพละกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 387 แรงม้า เท่านั้นยังไม่พอ..จะมีตัวที่แรงขึ้นไปอีกอย่าง A45 S ที่จะมีพละกำลังกว่า 421 แรงม้า การเปิดตัวน่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ส่วนชาวไทยก็ต้องจับตาดูรุ่นนี้อีกเช่นกัน
นอกจาก A-Class ทั้งตัวถังซีดานและ 5 ประตูแล้ว ยังมีอีกคันหนึ่งก็คือ CLA-Class ที่ในปีนี้น่าจะมีการเปิดตัวหลากหลายรุ่น และอีกตัวถังก็คือ Shooting Brake เอาใจคนที่อยากได้พื้นที่เก็บสัมภาระมากขึ้นกว่าตัวถังแบบซีดาน ครึ่งคันหลังก็จะออกแบบใหม่ในสไตล์ Wagon แต่มีทรวดทรงที่พลิ้วไหวอย่างรถคูเป้ คาดว่าการเปิดตัวน่าจะมีขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ หรืออาจจะหลังจากนั้นก็ได้
และนอกจากตัวถัง Shooting Brake แล้ว แน่นอนว่าต้องมีเวอร์ชั่นสมรรถนะสูงออกมาด้วยเช่นกัน ซึ่งก็จะมี Mercedes-AMG CLA35 ที่จะติดตั้งขุมพลังเช่นเดียวกับ AMG A35 โดยมากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จบล็อกใหม่ มากับพละกำลัง 306 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบดูอัลคลัตซ์ 7 สปีด คาดว่าการเปิดตัวน่าจะมีขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก-ครึ่งปีหลังของปีนี้
และถ้าคิดว่ายังไม่แรงได้ใจพอ ก็ยังมีอีกตัวแรงก็คือ Mercedes-AMG CLA45 ที่มากับรูปลักษณ์ดุดันขึ้น ด้านหน้าจะติดตั้งกระจังหน้าซี่ลวดแนวตั้งแบบ Panamericana เหมือนกับตระกูล 63-Series อีกด้วย และขุมพลังน่าจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จบล็อกใหม่ เหมือนกับ A35 / CLA35 ซึ่งน่าจะทำพละกำลังได้มากขึ้นกว่า 400 แรงม้า คาดว่าการเปิดตัวน่าจะตามหลัง CLA35
คันต่อมาก็คือ Mercedes-Benz E-Class ที่ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาสำหรับการปรับโฉม Minor Change แล้ว เห็นได้ชัดว่าด้านหน้าจะมากับแนวการออกแบบของ Mercedes-Benz ยุคใหม่ จะมีทรวดทรงกระจังหน้าคล้ายๆกับ Mercedes-Benz GLE อีกทั้งมีความเป็นไปได้ว่าจะปรับรายละเอียดไฟท้ายใหม่ด้วย ส่วนภายในห้องโดยสารคาดว่าจะมีการปรับดีไซน์ใหม่ พร้อมยกเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามา อย่างเช่นระบบอินโฟเทนเมนต์ "MBUX" เป็นการผสานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ไว้เข้ากับรถ คาดว่าการเปิดตัวน่าจะมีขึ้นในช่วงปลายปีนี้ หรืออย่างช้าก็ปี 2020 เลย
คราวนี้ก็จะมาพูดถึงรถในกลุ่มอเนกประสงค์กันบ้าง ซึ่งในปีนี้ทางค่ายตราดาวก็มีรถอเนกประสงค์ใหม่ๆรอเปิดตัวหลายรุ่นด้วยกัน ขอเริ่มที่ All-New Mercedes-Benz GLA ครอสโอเวอร์รุ่นเล็กสุดของค่าย ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าคันนี้จะสร้างบนพื้นฐานเดียวกับ A-Class Htachback แต่จะมีการยกตัวถังให้สูงขึ้น ปรับแต่งรอบๆคันให้มีความเป็นรถอเนกประสงค์มากขึ้น คาดว่าการเปิดตัวอาจจะมีขึ้นปลายปีนี้อย่างเร็วที่สุด หรือไม่ก็ต้นปีหน้าเลย
ต่อกันที่คันนี้ Mercedes-Benz GLB รถอเนกประสงค์น้องใหม่ที่จะมาเติมเต็มช่องว่างทางการตลาดให้มีความหลากหลายมากขึ้น ตัวรถถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม MFA2 (Modular Front-drive Architecture) อันเป็นแพลตฟอร์มเดียวกับที่ใช้ใน A-Class , B-Class รวมทั้ง CLA-Class และ GLA-Class ที่จะเปิดตัวในอนาคตกันใกล้นี้ ภายนอกมีรูปลักษณ์ที่ดูมีเหลี่ยมมีมนและเป็นไปได้ที่จะติดตั้งเบาะ 3 แถว 7 ที่นั่งเพื่อเอาใจลูกค้ากลุ่มที่มีครอบครัวนั่นเอง ส่วนภายในห้องโดยสารจะใช้คอนโซลชุดเดียวกับ A-Class เลย และน่าจะมีการติดตั้งระบบอินโฟเทนเมนต์ MBUX ด้วยเช่นกัน
ขุมพลังของรถคาดว่าน่าจะมีให้เลือกตั้งแต่เบนซินและดีเซล 3-4 สูบ ส่วนใครอยากได้ขุมพลังที่แรงขึ้นอีก ทางค่ายตราดาวยังมีรุ่น AMG GLB35 อีกด้วย โดยมากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จบล็อกใหม่ มากับพละกำลัง 306 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร สำหรับการเปิดตัว GLB น่าจะเกิดขึ้นภายในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ส่วนตัวแรง GLB35 น่าจะตามมาหลังจากนั้น สำหรับชาวไทยคาดว่ารุ่นนี้ก็เป็นอีกคันที่อาจจะเอามาขายในไทยด้วยก็เป็นได้
ถัดมาที่จะพูดถึงอีกคันก็คือ Mercedes-Benz GLC ที่ในปีนี้จะมีการปรับโฉม Minor Change เพิ่มความสดใหม่ ไล่ปรับตั้งแต่รุ่นปกติยันตัวแรงทั้งหลาย ปรับทั้งตัวปกติและตัว Coupe จะเห็นว่างานออกแบบด้านหน้าจะเป็นไปตาม Mercedes-Benz ยุคใหม่ เห็นได้ชัดจากทรวดทรงไฟหน้าที่คล้ายคลึงกับ GLE โฉมล่าสุด รวมทั้งมีการปรับดีไซน์กันชนหน้าใหม่ เช่นเดียวกับไฟท้ายที่มีการปรับปรุงรายละเอียดใหม่ ส่วนภายในห้องโดยสารจะมีการปรับปรุงในทิศทางเดียวกับ C-Class Minor Change ที่เปิดตัวเมื่อปีที่ผ่านมา โดยจะมากับมาตรวัดแบบดิจิตอลพร้อมจอกลางที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
ขุมพลังก็น่าจะยังคงมีให้เลือกทั้งดีเซลและเบนซินเหมือนเคย ส่วนใครอยากได้ขุมพลังที่แรงขึ้นก็ต้องไปหา GLC43 ที่น่าจะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 ทวินเทอร์โบเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือพละกำลักลายเป็น 390 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 521 นิวตัน-เมตร บล็อกเดียวกับ C43 หรือถ้าจะเอาแบบแรงจัดปลัดบอก (ปลัดลาออกก็ยังแวะมาบอกว่าแรงจัด!) ก็ต้องเป็นรุ่น GLC63 ที่จะมากับเครื่องเบนซิน 4.0 ลิตร V8 ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการอัปเกรดพละกำลังให้แรงขึ้นกว่าเดิม โดยในปัจจุบันจะมีพละกำลังอยู่ที่ 476 แรงม้า และในรุ่น GLC63 S กับพละกำลัง 510 แรงม้า คาดว่าการเปิดตัว GLC รุ่นปรับโฉมใหม่น่าจะมีขึ้นประมาณกลางปี-ปลายปีนี้
และหลังจากที่ปีที่ผ่านมามีการเปิดตัว Mercedes-Benz GLE โฉมใหม่ในรุ่นปกติไปแล้ว ในปีนี้ก็จะเป็นคิวของ GLE Coupe บ้าง โดยจากรถทดสอบที่ยังคงติดสติ๊กเกอร์หนาแน่น คาดว่าด้านหน้าอาจจะมีการปรับดีไซน์ด้านหน้าใหม่ให้แตกต่างจาก GLE รุ่นปกติเหมือนเจเนเรชั่นก่อน เช่นเดียวกับเส้นสายตัวถังที่ดูปราดเปรียวขึ้นกว่าเดิม ส่วนภายในห้องโดยสารแม้จะไม่มีภาพหลุดออกมาแต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าจะยกคอนโซลหน้ามาจาก GLE รุ่นปกติ ขุมพลังคาดว่าจะติดตั้งเครื่องยนต์แบบเดียวกับ GLE โฉมปกติ ที่จะมีให้เลือกตั้งแต่เครื่องดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบ จนไปถึงเครื่้องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 คาดว่าการเปิดตัวน่าจะมีขึ้นประมาณต้นปีถึงกลางปีนี้ ส่วนชาวไทยก็รอติดตามได้หลังจากนั้น
ส่วนใครอยากได้เวอร์ชั่นแรงขึ้นไปอีก คาดว่าในปีนี้ทางค่ายดาวสามแฉกก็จะเปิดตัว GLE53 และ GLE63 ทั้งตัวถังปกติและตัวถังคูเป้ ซึ่งรุ่นนี้น่าจะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 435 แรงม้าพร้อมแรงบิดสูงสุด 520 นิวตัน-เมตร พร้อมระบบ Mild-Hybrid ที่ผสานการทำงานกับระบบ EQ Boost ใช้ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น มากับพละกำลัง 21 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ระบบ EQ Boost จะผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก 48 โวลต์ ระบบส่งกำลังใช้เกียร์อัตโนมัติแบบ AMG Speedshift TCT 9G ความเร็ว 9 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ 4Matic+
และแรงสุดๆกับ GLS63 ที่จะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 เทอร์โบคู่ ที่น่าจะแรงขึ้นกว่าเดิม โดยในรุ่นเก่าจะมากับพละกำลังสูงสุด 571 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 750 นิวตัน-เมตร ส่วน GLE63 S จะเพิ่มพละกำลังให้แรงขึ้นเป็น 612 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 850 นิวตัน-เมตร รุ่นเก่าก็น่าจะแรงขึ้นกว่านี้ คาดการณ์ว่าทั้ง 2 ตัวถังนั้นในตัวถังปกติ GLE น่าจะมีการเปิดตัวออกมาก่อน และ GLE Coupe น่าจะตามมาทีหลังจนถึงประมาณช่วงปลายปีนี้
ปิดท้ายด้วยรถเอสยูวีพี่ใหญ่อย่าง Mercedes-Benz GLS โฉมใหม่หมดจด ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม MHA (Modular High Architecture) เหมือนกับ GLE โฉมล่าสุด โดยดีไซน์ของ GLS จะมีความบึกบึนและดูแข็งแกร่งกว่า GLE ชัดเจน ส่วนภายในห้องโดยสารก็จะใช้คอนโซลชุดเดียวกับ GLE เช่นกันแต่อาจจะมีการปรับการตกแต่งภายในให้ดูหรูหรากว่า และมีพื้นที่สัมภาระด้านหลังที่กว้างกว่าจากขนาดตัวถังที่ใหญ่ขึ้นด้วย
ขุมพลังคาดว่าจะมีการติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร V6 แถวเรียงที่มีพละกำลังตั้งแต่ 272 - 330 แรงม้า , เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 แถวเรียง พละกำลังสูงสุด 367 แรงม้าแบบ Mild Hybrid ที่ผสานการทำงานกับระบบ EQ Boost และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก 48 โวลต์ , เครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 ทวินเทอร์โบ การเปิดตัวน่าจะมีขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ส่วนชาวไทยก็น่าจะได้สัมผัสเช่นกัน
และถ้าหากใครอยากได้แรงๆก็จะมีตัว GLS 63 ซึ่งจะมากับขุมพลังเบนซิน 4.0 ลิตร V8 เช่นเดียวกับ GLE 63 โดยรุ่นเก่าจะมีพละกำลังที่ 571 แรงม้า และ GLS 63 S กับพละกำลัง 612 แรงม้า คาดว่าในรุ่นใหม่จะต้องเพิ่มพละกำลังมากขึ้นไปอีก
หรือถ้าใครอยากได้ในเวอร์ชั่นที่ยกระดับความหรู Mercedes-Benz ยังมี Mercedes-Maybach GLS เอาใจลูกค้ากลุ่มดังกล่าวด้วย โดยจะมากับกระจังหน้าซี่ลวดแนวตั้งเหมือนใน Mercedes-Maybach S-Class รุ่นล่าสุด พร้อมกับตกแต่งภายในห้องโดยสารให้มีความหรูหราในแบบฉบับของ Maybach สำหรับขุมพลังนั้นมีข้อมูลจากการจดชื่อทะเบียนการค้าในชื่อ GLS 600 และ GLS 680 ซึ่งทั้งหมดนี้จะใช้ขุมพลังเบนซิน 6.0 ลิตร V12 พละกำลัง 530 แรงม้า แต่ในรหัส GLS 680 นั้นน่าจะมีจำหน่ายในตลาดจีนเท่านั้น โดยเลข "8" เสมือนเป็นเลขนำโชคตามความเชื่อของชาวจีนนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่จะมีรุ่นขุมพลังเบนซิน 4.0 ลิตร V8 เทอร์โบคู่แบบที่ใช้ในตัวแรง AMG ด้วย สำหรับตัวแรงและ Maybach น่าจะมีการเปิดตัวครึ่งปีหลังของปีนี้ ตามหลัง GLS รุ่นปกติครับ
ไทย : A-Class Sedan / AMG A35 Hatch / CLA / C-Class Plug-In Hybrid? , AMG C43 Sedan?/ S-Class Plug-In Hybrid / GLE / G-Class / AMG GT 4 Door? / AMG GT 2019
เปิดตัวในตลาดโลกก่อน : AMG A35 Sedan / AMG A45 Htach / CLA Shooting Brake , AMG CLA35 , AMG CLA45 / E-Class Minor Change / GLA / GLB / GLC Minor Change / GLE Coupe / GLS
ค่ายดาวสามแฉกในไทยมักมีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจทุกๆปี และมีมากมายหลายรุ่น ในปีนี้ก็คงจะมีรุ่นใหม่เปิดตัวเยอะไม่แพ้ปีที่แล้ว เริ่มที่ Mercedes-Benz A-Class Sedan รถซีดานรุ่นเล็กสุดของค่าย ถ้าหากใครอยากได้ในรูปแบบที่โฉบเฉี่ยวกว่าก็ไปหา CLA แต่ถ้าความโฉบเฉี่ยวผสมเรียบหรูก็คงต้องเป็นคันนี้ ขุมพลังในต่างประเทศจะมี 4 แบบด้วยกัน ได้แก่
- A180d เครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 116 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7G-DCT
- A200 เครื่องยนต์เบนซิน 1.4 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 163 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7G-DCT หรือเกียร์ธรรมดา 6 สปีด
- A220 4MATIC เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 190 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7G-DCT พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
- A250 เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 224 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7G-DCT
สุดท้ายก็ต้องมาลุ้นกันว่าเมืองไทยจะเอาเครื่องเบนซินหรือดีเซลมาขาย ซึ่งการเปิดตัวน่าจะมีขึ้นราวๆต้นปีนี้ครับ
คันต่อมาที่มีสิทธิ์เปิดตัวในไทยสูงมากก็คือ Mercedes-Benz CLA เจเนเรชั่นที่ 2 ที่เพิ่งเผยโฉมไม่นานมานี้ ซึ่งยังคงมากับรูปโฉมที่รักษาเอกลักษณ์เดิมๆไว้ครบถ้วน พร้อมกับรูปร่างหน้าตาที่ดูสวยงามและทันสมัยมากขึ้น ซีดานคูเป้โฉมใหม่คันนี้จะมากับความยาว 4,688 มิลลิเมตร (ยาวขึ้น 48 มิลลิเมตร) กว้าง 1,830 มิลลิเมตร (กว้างขึ้น 48 มิลลิเมตร) เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนในขณะที่ระยะฐานล้อก็ยาวขึ้น 30 มม. ด้วยขนาดภายนอกที่ใหญ่ขึ้นยังส่งผลต่อภายในห้องโดยสารที่กว้างขึ้นด้วย
เบื้องต้นขุมพลังตอนนี้มีการเผยแพร่ข้อมูลในรุ่น CLA250 ที่มากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จที่มากับพละกำลัง 225 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 7 สปีด คาดว่าชาวไทยอาจจะได้สัมผัสช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมรถคันนี้ที่ All-New Mercedes-Benz CLA นิยามใหม่ของซีดานคูเป้น้องเล็กจากดาวสามแฉก
และหลังจากการแนะนำ Mercedes-Benz C-Class ในรุ่น C220d เครื่องดีเซลไประยะหนึ่งแล้ว เชื่อว่าปีนี้ทางค่ายมีแววจะยกเลิกขายรุ่นนี้แล้วเปลี่ยนเป็น C-Class Plug-In Hybrid ทั้งหมด ยกเว้นตัวคูเป้ โดยคาดว่าน่าจะมาภายใต้รหัส C300de ซึ่งจะมากับเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรเทอร์โบ มากับพละกำลังสูงสุด 194 แรงม้า (PS) ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 122 แรงม้า (PS) พร้อมติดตั้งชุดแบตเตอรี่ขนาด 13.5 kWh รวมกำลังทั้งระบบที่ 306 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุดถึง 700 นิวตัน-เมตรที่รอบต่ำเพียง 1,400 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9G-Tronic สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.ในเวลา 5.6 วินาที (5.7 วินาทีสำหรับรุ่น Wagon) ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 250 กม./ชม. การเปิดตัวในไทยอาจจะมีขึ้นราวๆต้นปีนี้ก็เป็นได้
นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ที่ Mercedes-Benz จะเสริมตลาดตัวแรงด้วยการแนะนำ Mercedes-AMG C43 4Matic โฉมซีดานหลังจากที่เปิดตัวรุ่นคูเป้ 2 ประตูไปเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา รูปร่างหน้าตาภายนอกและภายในก็จะไม่ต่างจากตัวคูเป้ โดยจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 ทวินเทอร์โบเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือพละกำลังที่แรงขึ้น 23 แรงม้า กลายเป็น 390 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 521 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังไปยังล้อทั้งสี่ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ความเร็วสูงสุดยังคงจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.7 วินาที ต้นปีนี้ช่วงงาน Bangkok Motor Show 2019 อาจจะได้เห็นกัน ต้องรอชมต่อไป
นอกจาก C-Class ที่มีแววจะเปลี่ยนมาใช้เครื่อง Plug-In Hybrid แล้ว อีกรุ่นที่มีแววไม่แพ้กันก็คือ Mercedes-Benz S-Class ที่น่าจะกับรหัส S560e มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 พละกำลังสูงสุด 367 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 121 แรงม้า พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด จะได้พละกำลังทั้งระบบที่ 476 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร ความเร็วสูงสุดยังคงจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาแค่ 5 วินาทีเท่านั้น คาดการณ์ว่าอาจจะมีการเปิดตัวภายในช่วงต้นปีนี้ราวๆงาน Bangkok Motor Show 2019 ก็เป็นได้
คันต่อมาที่น่าจะมีการเปิดตัวในไทยก็คือ All-New Mercedes-Benz GLE-Class รถอเนกประสงค์หรูโฉมใหม่หมดจดที่มีการออกแบบตามแนวทางของ Mercedes-Benz ยุคใหม่ทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสาร GLE ยังได้รับการติดตั้งระบบ MBUX เช่นเดียวกับ A-Class ที่เปิดตัวช่วงต้นปีที่ผ่านมา ระบบอินโฟเทนเมนต์ "MBUX" เป็นการผสานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ไว้เข้ากับรถ โดยเราสามารถเริ่มสั่งการทำงานด้วยการพูดคีย์เวิร์ดคำว่า "Hey Mercedes" และตามด้วยคำสั่ง ซึ่งจะได้จอสี 12.3 นิ้วสองจอเป็นมาตรฐาน
ขุมพลังของรถจะมีทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่
- GLE300d 4MATIC เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบแถวเรียง พละกำลังสูงสุด 245 แรงม้าที่ 4,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตรที่ 1,600 - 2,400 รอบ/นาที
- GLE350d 4MATIC เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร V6 แถวเรียง พละกำลังสูงสุด 272 แรงม้าที่ 3,400 - 4,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตัน-เมตรที่ 1,200 - 3,200 รอบ/นาที
- GLE400d 4MATIC เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร V6 แถวเรียง พละกำลังสูงสุด 330 แรงม้าที่ 3,600 - 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตรที่ 1,200 - 3,000 รอบ/นาที
- GLE450 4MATIC เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 แถวเรียง พละกำลังสูงสุด 367 แรงม้าที่ 5,500 - 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตรที่ 1,600 - 4,500 รอบ/นาที ผสานการทำงานกับระบบ EQ Boost ที่จะใช้ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น โดยจะมากับพละกำลัง 22 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ระบบ EQ Boost จะผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก 48 โวลต์ ถือว่าเป็นระบบ"Mild-Hybrid" ดีๆนี่เอง ระบบส่งกำลังจะใช้เกียร์อัตโนมัติ 9G-Tronic ในทุกขุมพลัง
สุดท้ายมาลุ้นกันว่าเมืองไทยจะทำตลาดด้วยขุมพลังไหน คาดการณ์ว่าการเปิดตัวอาจจะเกิดขึ้นในช่วงงาน Bangkok Motor Show 2019 ครับ
อีกคันที่คาดว่าทางค่ายอาจจะเอามาเสริมตลาดเอาใจคนชอบความไม่ธรรมดา นั่นก็คือ All-New Mercedes-Benz G-Class รถเอสยูวีทรงกล่องดีไซน์สุดอมตะ ที่แม้จะมีทรวดทรงภายนอกไม่ค่อยต่างจากตัวเก่าแต่ภายในห้องโดยสารก็ได้รับการออกแบบให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้นตามรอยรถเก๋งรุ่นใหม่ๆในค่าย เครื่องยนต์จะมีทางเลือกดังต่อไปนี้
- G350d เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร V6 พละกำลังสูงสุด 286 แรงม้าที่ 3,400 - 4,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตัน-เมตรที่ 1,200 - 3,200 รอบ/นาที
- G500 เครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 พละกำลังสูงสุด 416 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 609 นิวตัน-เมตร ทั้งหมดส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด
สุดท้ายก็มารอดูว่าเมืองไทยจะเอามาขายหรือไม่ และจะทำตลาดด้วยเครื่องยนต์ไหน ต้องติดตาม
- GT43 4MATIC+ เครื่องยนต์แบบ Mild Hybrid (ไม่ใช่ไฮบริด 100% แค่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วยส่งกำลังบางจังหวะเท่านั้น) เบนซิน 3.0 ลิตรแถวเรียง V6 พละกำลังสูงสุด 367 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ผสานการทำงานกับระบบ EQ Boost ซึ่งมากับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 48V พละกำลัง 21 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลา 4.9 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 270 กม./ชม. ระบบส่งกำลังจะใช้เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด AMG Speedshift TCT 9G พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Matic+
- GT53 4MATIC+ เครื่องยนต์แบบ Mild Hybrid เบนซินแถวเรียงความจุ 3.0 ลิตร V6 เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 435 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 520 นิวตัน-เมตร ผสานการทำงานกับระบบ EQ Boost ซึ่งมากับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 48V พละกำลัง 21 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 285 กม./ชม. ระบบส่งกำลังจะใช้เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด AMG Speedshift TCT 9G พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Matic+
- GT 63 4MATIC+ เครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 585 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 800 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 310 กม./ชม. ระบบส่งกำลังจะใช้เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด AMG Speedshift MCT 9G พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Matic+
- GT 63 S 4MATIC+ เครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 639 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 900 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 315 กม./ชม. ระบบส่งกำลังจะใช้เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด AMG Speedshift MCT 9G พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Matic+
คาดว่าการเปิดตัวในไทย (ถ้าเกิดเบนซ์ใจถึงเอามาขาย) ก็น่าจะเกิดขึ้นช่วงต้นปีนี้ครับ
ปิดท้ายด้วย Mercedes-AMG GT Coupe ที่เพิ่งมีการปรับอุปกรณ์ใหม่ไปหมาดๆ โดยมากับการปรับปรุงรายละเอียดที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก AMG GT 4-Door Coupe ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า LED ที่ปรับปรุงรายละเอียดใหม่ รวมทั้งด้านท้ายที่มากับครีบรีดอากาศและท่อไอเสียดีไซน์ใหม่ นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกล้อลายใหม่ด้วย ภายในห้องโดยสารยังมีการเปลี่ยนแปลงใหม่หลายๆจุดเช่นกัน เริ่มที่แผงหน้าปัดดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้วเป็นมาตรฐาน พร้อมกับหน้าจอมัลติมีเดียขนาด 10.25 นิ้วที่คอนโซลกลาง แผงหน้าปัดจะมีรูปแบบการแสดงผลที่แตกต่างกันจำนวนมากรวมถึงโหมด 'Supersport' ที่สามารถแจ้งเตือนกับผู้ขับขี่ได้ว่าเมื่อใดที่ผู้ขับขี่ควรเปลี่ยนเกียร์ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนปุ่มกดใหม่บริเวณช่วงฐานเกียร์อีกด้วย และที่ขาดไม่ได้ก็คือพวงมาลัย AMG ทรงใหม่เหมือนที่ใช้ในรถตระกูล AMG รุ่นใหม่ๆหลายรุ่น
ขุมพลังก็ยังคงเหมือนเดิม โดยใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 ที่มีพละกำลังแตกต่างกันตามแต่ละรุ่น ได้แก่
- Mercedes-AMG GT พละกำลัง 476 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 630 นิวตัน-เมตร
- Mercedes-AMG GT S พละกำลัง 522 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 650 นิวตัน-เมตร
- Mercedes-AMG GT C พละกำลัง 558 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 680 นิวตัน-เมตร
- Mercedes-AMG GT R พละกำลัง 580 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร
- Mercedes-AMG GT พละกำลัง 476 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 630 นิวตัน-เมตร
- Mercedes-AMG GT S พละกำลัง 522 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 650 นิวตัน-เมตร
- Mercedes-AMG GT C พละกำลัง 558 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 680 นิวตัน-เมตร
- Mercedes-AMG GT R พละกำลัง 580 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร
แน่นอนว่า ณ ปัจจุบันก็มี AMG GT ขายอยู่แล้ว ดังนั้นตัวนี้ก็คงไม่พลาดที่จะมา แต่จะมาตอนไหนก็ต้องติดตาม ถ้าให้เดาก็คงราวๆต้นปีถึงกลางปีนี้ครับ อ่านรายละเอียดตัวรถเพิ่มเติมที่ Mercedes-AMG GT R Pro อีกรุ่นย่อยใหม่สุดพิเศษ พร้อมปรับอุปกรณ์ใน AMG GT รุ่นอื่นๆ
ภาพจาก Motor1.com |
ภาพจาก Motor1.com |
ภาพจาก Motor1.com |
ภาพจาก Motorauthority |
ภาพจาก Motor1.com |
ภาพจาก Autoevolution |
ภาพจาก Motor1.com |
ภาพจาก Autoevolution |
ภาพจาก walkoART videos |
ภาพจาก Motorauthority |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
จาก walkoARTvideos |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
MG
- HS? / T60
ค่ายรถลูกครึ่งอังกฤษ-จีนรายนี้เมื่อปีที่ผ่านมามีเพียงแค่การเปิดตัว MG3 Minor Change เท่านั้น ถือว่าห่างหายจากการเปิดตัวรถโมเดลใหม่มาพอสมควร ซึ่งภายในปีนี้เป็นไปได้ว่าที่เราอาจจะได้เห็น MG HS รถอเนกประสงค์โฉมใหม่หมดจด ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะมาแทน MG GS ในไทย ด้วยภายนอกที่มากับการออกแบบยุคใหม่ของ MG เหมือนที่พบได้ใน MG3 Minor Change / MG6 โฉมล่าสุด เช่นเดียวกับภายในห้องโดยสารมีการออกแบบที่ค่อนข้างหรูหราและทันสมัย มีที่นั่งภายในทั้งหมด 5 ที่นั่ง เพิ่มความหรูหราด้วยการตกแต่งภายในรอบคันด้วยหนัง ติดตั้งหลังคาซันรูฟแบบพานอรามิคมาให้ มีระบบเครื่องเสียงจาก Bose และมีไฟภายในห้องโดยสารที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ถึง 64 สี
ขุมพลังของรถนั้นในตลาดจีนจะมีทางเลือก 2 แบบ ได้แก่
- เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 4 สูบ เทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 169 แรงม้าที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตรที่ 1,700-4,400 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ TST 7 สปีด
- เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ เทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 231 แรงม้าที่ 5,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 360 นิวตัน-เมตรที่ 2,500-4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ TST 6 สปีด
สุดท้ายก็มาลุ้นกันว่าเมืองไทยจะมีการเปิดตัวเมื่อไหร่
อีกคันที่มีข่าวมาสักพักใหญ่ๆแล้ว นั่นคือกระบะ Maxus T60 ที่จะมาแปะตรา MG ขายในประเทศไทย รูปโฉมก็ถือว่าสวยงามแข็งแกร่งใช้ได้แต่อาจจะมีกลิ่นการออกแบบจากค่ายญี่ปุ่นและอเมริกันผสมเข้ามาบ้าง ขุมพลังนั้นจะมากับเครื่องยนต๋ดีเซล 2.8 ลิตร VGT ติดตั้งหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงจาก BOSCH มากับพละกำลัง 150 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 360 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด/6 สปีด หรือ เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแ บบอิเล็กทรอนิกส์จาก BorgWarner
นอกจากนี้ Maxus T60 ยังมีโหมดการขับขี่ให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ Normal/Eco/Power ส่วนระบบความปลอดภัยนั้น ทาง SAIC ก็จัดระบบความช่วยเหลือมาแบบไม่น้อยหน้าใคร ด้วยการติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย ระบบควบคุมการทรงตัว ESP ระบบเตือนไม่ให้ออกนอกเลน เป็นต้น ข่าวตอนนี้ก็ค่อนข้างเงียบและยังไม่มีรถทดสอบออกมาวิ่ง คาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้น่าจะมีการเปิดตัวในไทยครับ
- HS? / T60
ค่ายรถลูกครึ่งอังกฤษ-จีนรายนี้เมื่อปีที่ผ่านมามีเพียงแค่การเปิดตัว MG3 Minor Change เท่านั้น ถือว่าห่างหายจากการเปิดตัวรถโมเดลใหม่มาพอสมควร ซึ่งภายในปีนี้เป็นไปได้ว่าที่เราอาจจะได้เห็น MG HS รถอเนกประสงค์โฉมใหม่หมดจด ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะมาแทน MG GS ในไทย ด้วยภายนอกที่มากับการออกแบบยุคใหม่ของ MG เหมือนที่พบได้ใน MG3 Minor Change / MG6 โฉมล่าสุด เช่นเดียวกับภายในห้องโดยสารมีการออกแบบที่ค่อนข้างหรูหราและทันสมัย มีที่นั่งภายในทั้งหมด 5 ที่นั่ง เพิ่มความหรูหราด้วยการตกแต่งภายในรอบคันด้วยหนัง ติดตั้งหลังคาซันรูฟแบบพานอรามิคมาให้ มีระบบเครื่องเสียงจาก Bose และมีไฟภายในห้องโดยสารที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ถึง 64 สี
ขุมพลังของรถนั้นในตลาดจีนจะมีทางเลือก 2 แบบ ได้แก่
- เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 4 สูบ เทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 169 แรงม้าที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตรที่ 1,700-4,400 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ TST 7 สปีด
- เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ เทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 231 แรงม้าที่ 5,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 360 นิวตัน-เมตรที่ 2,500-4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ TST 6 สปีด
สุดท้ายก็มาลุ้นกันว่าเมืองไทยจะมีการเปิดตัวเมื่อไหร่
นอกจากนี้ Maxus T60 ยังมีโหมดการขับขี่ให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ Normal/Eco/Power ส่วนระบบความปลอดภัยนั้น ทาง SAIC ก็จัดระบบความช่วยเหลือมาแบบไม่น้อยหน้าใคร ด้วยการติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย ระบบควบคุมการทรงตัว ESP ระบบเตือนไม่ให้ออกนอกเลน เป็นต้น ข่าวตอนนี้ก็ค่อนข้างเงียบและยังไม่มีรถทดสอบออกมาวิ่ง คาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้น่าจะมีการเปิดตัวในไทยครับ
MINI
- Clubman LCI / MINI EV
สำหรับรถค่ายเล็กแดนผู้ดีรายนี้ในปีที่ผ่านมามีการแนะนำ MINI Cooper รุ่น 3 และ 5 ประตูที่มีการปรับ
โฉมใหม่ รวมทั้ง Countryman รุ่นประกอบมาเลเซียที่มีราคาถูกลง ในปีนี้นั้นยังมีอีกหนึ่งรุ่นที่จะมีการปรับโฉมก็คือ MINI Clubman กับฝาประตูท้ายตู้กับข้าวอันเป็นเอกลักษณ์ การปรับปรุงโฉมน่าจะเป็นไปตามทิศทางเดียวกับตัว 3 และ 5 ประตู นั่นคือการปรับไฟหน้าให้มีรายละเอียดวงแหวนในโคมแบบเต็มวง รวมทั้งปรับรายละเอียดไฟท้ายใหม่ที่มีรายละเอียดแบบธง Union Jack ของอังกฤษ และปรับปรุงการตกแต่งภายในห้องโดยสารใหม่ ทางด้านเครื่องยนต์นั้นก็น่าจะใช้เครื่องยนต์เบนซินและดีเซล 3-4 สูบเหมือนเคย
และถ้าอยากได้แรงๆก็ต้องไปหารุ่น John Cooper Works ที่ใช้เครื่องเบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบ 4 สูบ มากับพละกำลัง 228 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร คาดว่าการเปิดตัวน่าจะมีขึ้นในช่วงต้นปีนี้ ส่วนเมืองไทยก็คงเปิดตัวตามมาหลังจากนั้น
นอกจากนี้ค่าย MINI ยังวางแผนเปิดตัวรถพลังงานไฟฟ้า 100% หรือรถ EV อีกด้วย รูปร่างหน้าตาภายนอกก็จะมีการปรับในส่วนของกระจังหน้าที่่จะไม่มีรูระบายอากาศเพราะไม่ต้องมีการระบายความร้อนจากเครื่องยนต์แล้ว รายละเอียดกระจังหน้าอาจจะคล้ายคลึงกับต้นแบบ MINI E Concept ที่เผยโฉมเมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา ทางด้านขุมพลังยังไม่มีข้อมูลชัดเจน แต่เป็นไปได้ว่ารถคันนี้อาจใช้มอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่แบบเดียวกับ BMW i3 ที่จะมากับพละกำลัง 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 259 นิวตัน-เมตร รองรับระยะทางวิ่งได้สูงสุด 300 กม. คาดว่าการเปิดตัวอาจจะมีขึ้นในช่วงต้นถึงกลางปีนี้
- Clubman LCI / MINI EV
ภาพจาก Carscoops |
โฉมใหม่ รวมทั้ง Countryman รุ่นประกอบมาเลเซียที่มีราคาถูกลง ในปีนี้นั้นยังมีอีกหนึ่งรุ่นที่จะมีการปรับโฉมก็คือ MINI Clubman กับฝาประตูท้ายตู้กับข้าวอันเป็นเอกลักษณ์ การปรับปรุงโฉมน่าจะเป็นไปตามทิศทางเดียวกับตัว 3 และ 5 ประตู นั่นคือการปรับไฟหน้าให้มีรายละเอียดวงแหวนในโคมแบบเต็มวง รวมทั้งปรับรายละเอียดไฟท้ายใหม่ที่มีรายละเอียดแบบธง Union Jack ของอังกฤษ และปรับปรุงการตกแต่งภายในห้องโดยสารใหม่ ทางด้านเครื่องยนต์นั้นก็น่าจะใช้เครื่องยนต์เบนซินและดีเซล 3-4 สูบเหมือนเคย
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Autocar UK |
Mitsubishi
- Eclipse Cross? / Pajero Sport Minor Change / Triton Special Edition?
เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมาค่าย Mitsubishi มีรถเด่นๆที่เปิดตัวอยู่ก็คือ Xpander ที่ถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร หลายคนต้องรอรถกันนานหลายเดือน และอีกคันที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ Triton ที่มีการปรับโฉมครั้งใหญ่ซึ่งได้ใจสาวกกระบะหลายคนไปเต็มๆ
คาดว่าในปีนี้ชาวไทยอาจจะได้สัมผัสรถอเนกประสงค์อย่าง Mitsubishi Eclipse Cross ที่จะมาต่อกรกับ Toyota C-HR , Honda HR-V และรถในระดับเดียวกันนี้ โดยมีรูปลักษณ์ที่ออกแบบตามแนวทางของ Dynamic Shield ยุคใหม่ ซึ่งแนวการออกแบบคันนี้ได้เป็นแนวการออกแบบให้กับ Xpander และ Triton Minor Change ไปด้วยนั่นเอง ทางด้านขุมพลังนั้นจะมีทางเลือกดังต่อไปนี้
- Eclipse Cross? / Pajero Sport Minor Change / Triton Special Edition?
เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมาค่าย Mitsubishi มีรถเด่นๆที่เปิดตัวอยู่ก็คือ Xpander ที่ถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร หลายคนต้องรอรถกันนานหลายเดือน และอีกคันที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ Triton ที่มีการปรับโฉมครั้งใหญ่ซึ่งได้ใจสาวกกระบะหลายคนไปเต็มๆ
คาดว่าในปีนี้ชาวไทยอาจจะได้สัมผัสรถอเนกประสงค์อย่าง Mitsubishi Eclipse Cross ที่จะมาต่อกรกับ Toyota C-HR , Honda HR-V และรถในระดับเดียวกันนี้ โดยมีรูปลักษณ์ที่ออกแบบตามแนวทางของ Dynamic Shield ยุคใหม่ ซึ่งแนวการออกแบบคันนี้ได้เป็นแนวการออกแบบให้กับ Xpander และ Triton Minor Change ไปด้วยนั่นเอง ทางด้านขุมพลังนั้นจะมีทางเลือกดังต่อไปนี้
- เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร MIVEC เทอร์โบ ไดเร็คอินเจคชั่น มากับพละกำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 5,500 รอบนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตรที่ 2,000 - 3,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด หรือ เกียร์อัตโนมัติ CVT 8 สปีดพร้อม Sport Mode
- เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร MIVEC พละกำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 198 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียอัตโนมัติ CVT 8 สปีดพร้อม Sport Mode
ซึ่งไม่นานมานี้มีคนสามารถถ่ายภาพ Eclipse Cross กำลังวิ่งเล่นแถวโรงงานย่านแหลมฉบังได้ ซึ่งก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าเอารถมาวิ่งเฉยๆ หรือทดสอบเพื่อรอการเปิดตัวในไทยกันแน่ ถ้ามาเมืองไทยจริงตามสารพัดข่าวลือทั้งหลายก็เป็นไปได้ว่าต้นปีนี้น่าจะมีการเปิดตัวครับ
ภาพจาก Paultan |
นอกเหนือจากนี้อาจจะเป็นการเปิดตัวรุ่นตกแต่งพิเศษและรุ่นปรับโฉมกระตุ้นตลาด ซึ่งกระบะอย่าง Mitsubishi Triton ที่เพิ่งเปิดตัวรุ่นปรับโฉมใหญ่ช่วงปลายปี 2018 ที่ผ่านมา เป็นไปได้ว่าอาจจะมีการเพิ่มรุ่นตกแต่งพิเศษระดับท็อปที่เหนือกว่ารุ่น GT-Premium ขึ้นไปอีก เหมือน Triton Athlete นั่นเอง แต่จะมีหรือไม่ ถ้ามีจะมาเมื่อไหร่ก็ต้องติดตาม
เช่นเดียวกับ Mitsubishi Pajero Sport ที่ในปีนี้น่าจะถึงเวลาสำหรับการปรับโฉม Minor Change แล้ว และจากที่มีภาพรถทดสอบที่มีการเปลี่ยนแปลงแค่ด้านหน้านั้นก็ยังทำให้แอบลังเลว่าจะปรับแค่นั้นจริงหรือ แต่เราก็คาดหวังการปรับปรุงงานออกแบบด้านหน้าและด้านท้ายใหม่ให้ดูสวยและทันสมัยมากขึ้น เป็นไปได้ว่าอาจจะเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆ เช่น ฝาท้ายไฟฟ้า และระบบความปลอดภัยใหม่ๆอีกด้วย คาดว่าการเปิดตัวอาจจะเกืดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ครับ
Nissan
ไทย : X-Trail Minor Change / Note E-Power / All-New March? / All-New Almera? / Kicks?
เปิดตัวในตลาดโลกก่อน : All-New Sylphy
ค่ายเพื่อนที่แสนดีดูเหมือนว่าจะเป็นค่ายที่หลายคนมองว่าคิดช้าทำช้าตลอดจนได้ฉายาว่าเป็น "เจ้าพ่อตลาดวาย" ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัว Terra ที่แม้รูปทรงจะสวยใช้ได้แต่ก็มีภายในที่ดูธรรมดาและองค์ประกอบต่างๆที่ตามคู่แข่งแทบไม่ทัน หรือที่ท็อปฟอร์มสุดๆก็เห็นจะเป็นการเพิ่งเปิดตัว Teana Minor Change ในขณะที่สหรัฐฯเปิดตัวเจเนเรชั่นใหม่ไปแล้ว นอกนั้นก็เป็นแค่การปรับอุปกรณ์กระตุ้นตลาดไปเรื่อยๆ
เรียกได้ว่าปีที่ผ่านมา Nissan Thailand เสมือนอยู่ในสภาวะ "จำศีล" อยู่ แต่ในปีนี้นั้นเมื่อไล่เรียงแผนการเปิดตัวแล้ว Nissan กำลังจะตื่นขึ้นอีกครั้งแล้วครับ ซึ่งถ้าเปิดตัวตามที่กล่าวมาหมดก็คงเรียกได้ว่า "ตื่นนอนเต็มที่พร้อมลุย" แต่ถ้าเปิดตัวได้ไม่ถึงครึ่งของที่จะพูดถึงต่อไปนี้ก็คงเป็นแค่การตื่นแบบงัวเงียๆแล้วก็ล้มตัวลงนอนไปหลับต่อนี่แหละครับ
สำหรับในปีนี้ รถที่จะมีการเปิดตัวในไทยแน่ๆก็คือ Nissan X-Trail Minor Change เป็นรถที่ผมใส่มาตั้งแต่บทความรถใหม่ปี 2017 แล้วก็ยังไม่มีการเปิดตัวในไทยเสียทีเลย ไม่รู้จะลากยันลูกบวชเลยหรือไง แต่มาตอนนี้ก็ยังดีกว่ามาตอนจะเปลี่ยนโมเดลใหม่หมดจด รูปร่างหน้าตาก็เป็นไปตามที่เห็น จะมากับดีไซน์กระจังหน้าแบบ V-Shape อันเป็นเอกลักษณ์ รวมทั้งภายในห้องโดยสารที่จะเปลี่ยนพวงมาลัยทรงใหม่ และตกแต่งให้ดูหรูหราขึ้น คาดว่าขุมพลังในไทยน่าจะมีให้เลือก 3 แบบเช่นเคย ได้แก่
- เครื่องเบนซินรหัส MR20DD ความจุ 2.0 ลิตร Direct Injection 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว พละกำลังสูงสุด 144 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 200 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที
- ขุมพลังไฮบริด เครื่องเบนซินรหัส MR20DD ความจุ 2.0 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 144 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 200 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบซิงโครนัส กำลังสูงสุด 41 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 160 นิวตัน-เมตร รวมพละกำลังทั้งระบบ 179 แรงม้า
- เครื่องยนต์เบนซินรหัส QR25DE ความจุ 2.5 ลิตร 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว พละกำลังสูงสุด 171 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 233 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ทุกเครื่องยนต์ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Xtronic CVT พร้อม Manual Mode
คาดว่า Nissan X-Trail Minor Change น่าจะเปิดตัวในไทยช่วงต้นปีนี้ ไม่น่าเลื่อนไปจากนี้อีกแล้ว อย่าเลื่อนเลย รอมา 4 ปีแล้ว!
และในปีนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่เราจะได้เห็น Nissan Note E-Power ที่มีจุดเด่นคือ เครื่องยนต์เบนซินจะมีหน้าที่มาช่วยชาร์จกระแสไฟให้กับแบตเตอรี่เท่านั้น โดยมอเตอร์ไฟฟ้าจะเป็นกำลังหลักของรถนั่นเอง โดยจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน HR12DE 3 สูบแถวเรียง DOHC ความจุ 1.2 ลิตร มากับพละกำลัง 79 แรงม้าที่ 5,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 103 นิวตันเมตร ที่ 3,500 - 5,200 รอบ/นาที กำลังหลักกของรถจะมาจากมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับซิงโครนัสติดตั้งพร้อมกับแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนความจุ 1.5kWh มากับพละกำลังสูงสุด 95-109 แรงม้า คาดว่าการเปิดตัวอาจจะอยู่ในช่วงต้นปีนี้ก็เป็นได้
นอกจากนี้ในช่วงปีนี้เราอาจจะได้เห็นข่าวความเคลื่อนไหวของ All-New Nissan Almera ซึ่งถือว่าเป็นอีโคคาร์ซีดานรุ่นที่ขายดีที่สุดของ Nissan เมืองไทยเลยก็ว่าได้ ตัวรถจะถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม CMF-B เหมือนกับ Nissan Micra/March โฉมล่าสุด แม้ตอนนี้จะยังไม่มีแม้แต่รถทดสอบออกมาวิ่ง แต่ก็ขอคาดเดาว่าดีไซน์น่าจะมีการผสมผสานกันระหว่าง Nissan Micra/March กับ Nissan Altima ส่วนภายในห้องโดยสารก็น่าจะมีการยกคอนโซลมาจาก Micra/March เลย เช่นเดียวกับขุมพลังที่คาดว่าจะทำการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตร 3 สูบ พละกำลัง 70 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 91 นิวตัน-เมตรที่ 2,850 รอบ/นาที และน่าจะมาในรูปแบบของรถ Eco Car Phase 2 คาดว่าการเปิดตัวนั้นอาจจะมีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้
สำหรับ Nissan March โฉมใหม่นั้น เราก็ยังไม่ทราบความชัดเจนนัก เพราะถ้าเกิดเอาขายในไทยแล้วจะมีการทับซ้อนกับ Note หรือไม่ อันนี้ก็ต้องรอชม...แต่ผมก็ยังคาดหวังว่ารุ่นนี้ก็เป็นอีกหนึ่งคันที่มีโอกาสเปิดตัว จากรถทดสอบติดป้าย TC ที่เคยมาวิ่งเมื่อปีที่ผ่านมา หลายคนอาจจะเคยเห็นภาพผ่านทางโซเชียล ถ้ามาจริงก็เป็นไปได้ว่าที่จะอยู่ภายใต้โครงการ Eco Car Phase 2 คาดว่าน่าจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตร 3 สูบ พละกำลัง 70 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 91 นิวตัน-เมตรที่ 2,850 รอบ/นาที ในช่วงครึ่งปีหลังนี้อาจจะได้ข่าวคราวครับ
คันต่อมาก็คือ Nissan Kicks ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่รอคอยมาอย่างยาวนานมากกกกกกกกกก (ก. ไก่ 11 ตัว) เพราะตัวรถเปิดตัวตั้งแต่ช่วงปี 2016 แล้วจนผ่านมาจะ 3 ปีแล้วก็ยังไม่เอามาขายเสียที แต่ไม่เป็นไรเพราะขนาดสหรัฐฯ ก็เพิ่งจำหน่ายไปเมื่อช่วงกลางปี 2018 ที่ผ่านมานี้เอง แน่นอนว่าเจ้าครอสโอเวอร์คันนี้จะมาแทนที่ตำแหน่งทางการตลาดของ Nissan Juke ที่เลิกจำหน่ายไปแล้ว
ถ้ารุ่นนี้มาไทยก็เป็นไปได้ว่าจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินรหัส HR16DE 1.6 ลิตร บล็อกเดียวกับ Nissan Sylphy แต่จะมากับพละกำลัง 125 แรงบิด แรงบิดสูงสุด 155 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Xtronic CVT เครื่องตัวเดียวกันนี้เองก็วางใน Kicks โฉมอเมริกาเช่นเดียวกัน และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นรถทดสอบวิ่งบนถนนในไทย ก็อาจเป็นไปได้ว่า Nissan ซุ่มทดสอบในโรงงานก็เป็นได้ ขอหวังแบบนี้แล้วกัน คาดว่าการเปิดตัวรถครอสโอเวอร์ B-SUV คันนี้น่าจะมีขึ้นราวๆกลางปีนี้ พร้อมมาต่อกรกับคู่แข่งอย่าง Toyota C-HR , Honda HR-V , Mazda CX-5 หรือ MG ZS
ปิดท้ายด้วยซีดานคอมแพกต์ของค่ายอย่าง All-New Nissan Sylphy ที่ตอนนี้มีภาพแอบถ่ายรถทดสอบหลุดออกมาจากทางฝั่งของเว็บไซด์จีนแล้ว แม้ตัวรถจะมีการพรางด้วยสติ๊กเกอร์สีดำอย่างหนาแน่น แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่า Sylphy โฉมใหม่จะได้รับแรงบันดาลใจจาก Nissan Altima โฉมล่าสุดแต่มีการปรับให้ดูโฉบเฉี่ยวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ด้วยการออกแบบที่มากับกระจังหน้าทรง V-Motion อันเป็นเอกลักษณ์ของ Nissan ยุคนี้ ขุมพลังนั้นยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน แต่ก็น่าจะมีทางเลือกเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 และ 1.8 ลิตร หรืออาจจะเป็นเครื่องบล็อกใหม่ที่ลดความจุลงมาแต่ใส่เทอร์โบเพิ่มตามเทรนด์รถยุคใหม่ ส่วนระบบส่งกำลังน่าจะหนีไม่พ้นเกียร์อัตโนมัติ CVT และแน่นอนว่าต้องมีเกียร์ธรรมดามาให้ด้วย
ไทย : X-Trail Minor Change / Note E-Power / All-New March? / All-New Almera? / Kicks?
เปิดตัวในตลาดโลกก่อน : All-New Sylphy
ค่ายเพื่อนที่แสนดีดูเหมือนว่าจะเป็นค่ายที่หลายคนมองว่าคิดช้าทำช้าตลอดจนได้ฉายาว่าเป็น "เจ้าพ่อตลาดวาย" ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัว Terra ที่แม้รูปทรงจะสวยใช้ได้แต่ก็มีภายในที่ดูธรรมดาและองค์ประกอบต่างๆที่ตามคู่แข่งแทบไม่ทัน หรือที่ท็อปฟอร์มสุดๆก็เห็นจะเป็นการเพิ่งเปิดตัว Teana Minor Change ในขณะที่สหรัฐฯเปิดตัวเจเนเรชั่นใหม่ไปแล้ว นอกนั้นก็เป็นแค่การปรับอุปกรณ์กระตุ้นตลาดไปเรื่อยๆ
เรียกได้ว่าปีที่ผ่านมา Nissan Thailand เสมือนอยู่ในสภาวะ "จำศีล" อยู่ แต่ในปีนี้นั้นเมื่อไล่เรียงแผนการเปิดตัวแล้ว Nissan กำลังจะตื่นขึ้นอีกครั้งแล้วครับ ซึ่งถ้าเปิดตัวตามที่กล่าวมาหมดก็คงเรียกได้ว่า "ตื่นนอนเต็มที่พร้อมลุย" แต่ถ้าเปิดตัวได้ไม่ถึงครึ่งของที่จะพูดถึงต่อไปนี้ก็คงเป็นแค่การตื่นแบบงัวเงียๆแล้วก็ล้มตัวลงนอนไปหลับต่อนี่แหละครับ
สำหรับในปีนี้ รถที่จะมีการเปิดตัวในไทยแน่ๆก็คือ Nissan X-Trail Minor Change เป็นรถที่ผมใส่มาตั้งแต่บทความรถใหม่ปี 2017 แล้วก็ยังไม่มีการเปิดตัวในไทยเสียทีเลย ไม่รู้จะลากยันลูกบวชเลยหรือไง แต่มาตอนนี้ก็ยังดีกว่ามาตอนจะเปลี่ยนโมเดลใหม่หมดจด รูปร่างหน้าตาก็เป็นไปตามที่เห็น จะมากับดีไซน์กระจังหน้าแบบ V-Shape อันเป็นเอกลักษณ์ รวมทั้งภายในห้องโดยสารที่จะเปลี่ยนพวงมาลัยทรงใหม่ และตกแต่งให้ดูหรูหราขึ้น คาดว่าขุมพลังในไทยน่าจะมีให้เลือก 3 แบบเช่นเคย ได้แก่
- เครื่องเบนซินรหัส MR20DD ความจุ 2.0 ลิตร Direct Injection 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว พละกำลังสูงสุด 144 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 200 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที
- ขุมพลังไฮบริด เครื่องเบนซินรหัส MR20DD ความจุ 2.0 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 144 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 200 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบซิงโครนัส กำลังสูงสุด 41 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 160 นิวตัน-เมตร รวมพละกำลังทั้งระบบ 179 แรงม้า
- เครื่องยนต์เบนซินรหัส QR25DE ความจุ 2.5 ลิตร 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว พละกำลังสูงสุด 171 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 233 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ทุกเครื่องยนต์ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Xtronic CVT พร้อม Manual Mode
คาดว่า Nissan X-Trail Minor Change น่าจะเปิดตัวในไทยช่วงต้นปีนี้ ไม่น่าเลื่อนไปจากนี้อีกแล้ว อย่าเลื่อนเลย รอมา 4 ปีแล้ว!
และในปีนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่เราจะได้เห็น Nissan Note E-Power ที่มีจุดเด่นคือ เครื่องยนต์เบนซินจะมีหน้าที่มาช่วยชาร์จกระแสไฟให้กับแบตเตอรี่เท่านั้น โดยมอเตอร์ไฟฟ้าจะเป็นกำลังหลักของรถนั่นเอง โดยจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน HR12DE 3 สูบแถวเรียง DOHC ความจุ 1.2 ลิตร มากับพละกำลัง 79 แรงม้าที่ 5,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 103 นิวตันเมตร ที่ 3,500 - 5,200 รอบ/นาที กำลังหลักกของรถจะมาจากมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับซิงโครนัสติดตั้งพร้อมกับแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนความจุ 1.5kWh มากับพละกำลังสูงสุด 95-109 แรงม้า คาดว่าการเปิดตัวอาจจะอยู่ในช่วงต้นปีนี้ก็เป็นได้
นอกจากนี้ในช่วงปีนี้เราอาจจะได้เห็นข่าวความเคลื่อนไหวของ All-New Nissan Almera ซึ่งถือว่าเป็นอีโคคาร์ซีดานรุ่นที่ขายดีที่สุดของ Nissan เมืองไทยเลยก็ว่าได้ ตัวรถจะถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม CMF-B เหมือนกับ Nissan Micra/March โฉมล่าสุด แม้ตอนนี้จะยังไม่มีแม้แต่รถทดสอบออกมาวิ่ง แต่ก็ขอคาดเดาว่าดีไซน์น่าจะมีการผสมผสานกันระหว่าง Nissan Micra/March กับ Nissan Altima ส่วนภายในห้องโดยสารก็น่าจะมีการยกคอนโซลมาจาก Micra/March เลย เช่นเดียวกับขุมพลังที่คาดว่าจะทำการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตร 3 สูบ พละกำลัง 70 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 91 นิวตัน-เมตรที่ 2,850 รอบ/นาที และน่าจะมาในรูปแบบของรถ Eco Car Phase 2 คาดว่าการเปิดตัวนั้นอาจจะมีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้
สำหรับ Nissan March โฉมใหม่นั้น เราก็ยังไม่ทราบความชัดเจนนัก เพราะถ้าเกิดเอาขายในไทยแล้วจะมีการทับซ้อนกับ Note หรือไม่ อันนี้ก็ต้องรอชม...แต่ผมก็ยังคาดหวังว่ารุ่นนี้ก็เป็นอีกหนึ่งคันที่มีโอกาสเปิดตัว จากรถทดสอบติดป้าย TC ที่เคยมาวิ่งเมื่อปีที่ผ่านมา หลายคนอาจจะเคยเห็นภาพผ่านทางโซเชียล ถ้ามาจริงก็เป็นไปได้ว่าที่จะอยู่ภายใต้โครงการ Eco Car Phase 2 คาดว่าน่าจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตร 3 สูบ พละกำลัง 70 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 91 นิวตัน-เมตรที่ 2,850 รอบ/นาที ในช่วงครึ่งปีหลังนี้อาจจะได้ข่าวคราวครับ
คันต่อมาก็คือ Nissan Kicks ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่รอคอยมาอย่างยาวนานมากกกกกกกกกก (ก. ไก่ 11 ตัว) เพราะตัวรถเปิดตัวตั้งแต่ช่วงปี 2016 แล้วจนผ่านมาจะ 3 ปีแล้วก็ยังไม่เอามาขายเสียที แต่ไม่เป็นไรเพราะขนาดสหรัฐฯ ก็เพิ่งจำหน่ายไปเมื่อช่วงกลางปี 2018 ที่ผ่านมานี้เอง แน่นอนว่าเจ้าครอสโอเวอร์คันนี้จะมาแทนที่ตำแหน่งทางการตลาดของ Nissan Juke ที่เลิกจำหน่ายไปแล้ว
ถ้ารุ่นนี้มาไทยก็เป็นไปได้ว่าจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินรหัส HR16DE 1.6 ลิตร บล็อกเดียวกับ Nissan Sylphy แต่จะมากับพละกำลัง 125 แรงบิด แรงบิดสูงสุด 155 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Xtronic CVT เครื่องตัวเดียวกันนี้เองก็วางใน Kicks โฉมอเมริกาเช่นเดียวกัน และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นรถทดสอบวิ่งบนถนนในไทย ก็อาจเป็นไปได้ว่า Nissan ซุ่มทดสอบในโรงงานก็เป็นได้ ขอหวังแบบนี้แล้วกัน คาดว่าการเปิดตัวรถครอสโอเวอร์ B-SUV คันนี้น่าจะมีขึ้นราวๆกลางปีนี้ พร้อมมาต่อกรกับคู่แข่งอย่าง Toyota C-HR , Honda HR-V , Mazda CX-5 หรือ MG ZS
ปิดท้ายด้วยซีดานคอมแพกต์ของค่ายอย่าง All-New Nissan Sylphy ที่ตอนนี้มีภาพแอบถ่ายรถทดสอบหลุดออกมาจากทางฝั่งของเว็บไซด์จีนแล้ว แม้ตัวรถจะมีการพรางด้วยสติ๊กเกอร์สีดำอย่างหนาแน่น แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่า Sylphy โฉมใหม่จะได้รับแรงบันดาลใจจาก Nissan Altima โฉมล่าสุดแต่มีการปรับให้ดูโฉบเฉี่ยวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ด้วยการออกแบบที่มากับกระจังหน้าทรง V-Motion อันเป็นเอกลักษณ์ของ Nissan ยุคนี้ ขุมพลังนั้นยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน แต่ก็น่าจะมีทางเลือกเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 และ 1.8 ลิตร หรืออาจจะเป็นเครื่องบล็อกใหม่ที่ลดความจุลงมาแต่ใส่เทอร์โบเพิ่มตามเทรนด์รถยุคใหม่ ส่วนระบบส่งกำลังน่าจะหนีไม่พ้นเกียร์อัตโนมัติ CVT และแน่นอนว่าต้องมีเกียร์ธรรมดามาให้ด้วย
คาดว่า All-New Nissan Sylphy น่าจะมีการเผยโฉมในตลาดโลกช่วงต้น-กลางปีนี้ ส่วนชาวไทยก็มีแววสูงที่จะได้ใช้โฉมนี้แบบไม่ต้องรอนานอย่างรุ่นอื่น เพราะแอบได้ข่าวว่ามีการสั่งชิ้นส่วนในโรงงานกันแล้ว ซึ่งก็เป็นไปได้ที่ชาวไทยน่าจะได้สัมผัสอย่างเร็วที่สุดปลายปีนี้หรืออย่างช้าก็ภายในปีหน้าเลย แต่ก็หวังว่า Nissan เมืองไทยจะไม่บ้าจี้ลากขาย Sylphy โฉมปัจจุบันต่อก็แล้วกัน
Porsche
ไทย : 911 รหัสตัวถัง 992
เปิดตัวในตลาดโลกก่อน : 718 Boxster Spyder / 718 Cayman GT4 / 911 ตัวแรงทั้งหลาย / Cayenne Coupe / Taycan
ค่ายสปอร์ตหน้ากบอย่าง Porsche เมื่อปีที่ผ่านมา มีพระเอกสำคัญก็คิอ Cayenne เจเนเรชั่นใหม่นั่นเอง ซึ่งในปีนี้รถใหม่ที่จะมีการเปิดตัวในไทยคงจะหนีไม่พ้น All-New Porsche 911 เจเนเรชั่นที่ 8 ภายใต้รหัสตัวถัง 992 ซึ่งยังคงการออกแบบภายนอกให้รักษาเอกลักษณ์เดิมๆไว้ แต่ก็เพิ่มเติมเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามามากมาย รวมทั้งภายในห้องโดยสารที่มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น
ขุมพลังของรถจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 ที่มีพละกำลังหลายระดับ ในรุ่น Carrera จะมีพละกำลังระหว่าง 370-385 แรงม้า ตามด้วยรุ่น Carrera S ที่จะมากับพละกำลัง 450 แรงม้า ในรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 3.7 วินาที ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ 4S จะทำเวลาได้เร็วขึ้นเป็น 3.6 วินาที ในรุ่น Carrera S/4S จะมีข้อได้เปรียบเพิ่มขึ้นอีก 0.2 วินาทีจากที่สามารถเลือกสั่ง Sport Sport Chrono Package เพิ่มเติมได้ ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 308 กม./ชม.และ 306 กม. / ชม. หรือ 190 ไมล์ต่อชั่วโมงสำหรับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยใน 911 Carrera S จะอยู่ที่ 8.9 ลิตร /100 กม. (ประมาณ 11.24 กม./ลิตร) คาดว่าสาวกชาวไทยน่าจะได้สัมผัสราวๆกลางปีนี้ อ่ารายละเอียดตัวรถเพิ่มเติมได้ที่ All-New Porsche 911 (รหัส 992) เจ้าชายกบโฉมใหม่ที่ยังรักษาเอกลักษณ์เดิมๆไว้ครบ
เช่นเดียวกับรุ่นเปิดประทุน 911 Convertible ที่มีการออกแบบภายนอกเหมือนตัวคูเป้แทบทุกอย่าง ต่างแค่ว่าตัวนี้จะมากับหลังคาผ้าใบที่เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าที่ทำจากโครงสร้างน้ำหนักเบา และที่สำคัญยังสามารถเปิด-ปิดได้เร็วกว่ารุ่นก่อนเนื่องด้วยระบบไฮดรอลิคใหม่ สำหรับเวลาในการพับเก็บหรือกางออกจะใช้เวลาราวๆ 12 วินาที ขณะขับขี่ที่ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 50 กม./ชม. เมื่อหลังคาพับลงแล้ว แผ่นกันลมข้างหลังจะกางขึ้นมาเพื่อให้ผู้โดยสารยังคงรู้สึกสบายและช่วยลดเสียงลมที่ตีเข้ามาอีกด้วย
สำหรับใครที่อยากได้เวอร์ชั่นที่เป็นหลังคาแข็ง ก็คงต้องหนีไปคบ 718 Cayman GT4 แทน ซึ่งจะมีดีไซน์กันชนหน้าภายนอกแบบเดียวกับ 718 Boxster Spyder ที่มีความดุดันขึ้นจาก 718 รุ่นปกติไม่น้อย เช่นเดียวกับขุมพลังที่จะไม่ต่างกัน คาดว่าทั้ง 718 Boxster Spyder และ 718 Cayman GT4 จะมีการเปิดตัวภายในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ เมืองไทยก็น่าจะมีการเปิดตัวหลังจากนั้น
และหลังจากการเปิดตัว Porsche 911 เจเนเรชั่นใหม่ภายใต้รหัสตัวถัง 992 กันไปแล้ว ในปีนี้น่าจะมีเวอร์ชั่นสมรรถนะสูงในตระกูลนี้ออกมาอีกมากมายหลายรุ่นด้วยกัน เริ่มจาก 911 GTS ที่จะเพิ่มพละกำลังความแรงจาก Carrera / Carrera S ขึ้นไปอีกระดับ โดยจะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 อ้างอิงจาก Carrera S ที่มีพละกำลังที่ 450 แรงม้า ในตัว GTS อาจจะเพิ่มเติมขึ้นเป็น 480 แรงม้าก็เป็นได้
หรือถ้าอยากได้อะไรที่แรงสะใจกว่านี้ก็คงต้องไปหา 911 Turbo ที่จะมีการปรับปรุงรูปร่างหน้าตาภายนอกให้สปอร์ตขึ้นไปอีกจากตัว GTS และคาดว่าน่าจะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 3.8 ลิตร V6 ที่อาจจะมีพละกำลังราวๆ 600 แรงม้า และแรงขึ้นไปอีกกับ Turbo S ที่อาจจะมีพละกำลังถึง 650 แรงม้า
และถ้าใครที่อยากได้ความดุและดิบไปกว่านี้ 911 GT3 คือคำตอบ จะมากับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูสปอร์ตและดุดันขึ้นกว่าในรุ่น Turbo แต่สำหรับขุมพลังนั้นจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 ที่น่าจะมีพละกำลังอยู่ราวๆ 550 แรงม้า ซึ่งตัวแรงเหล่านี้น่าจะทยอยเปิดตัวตามๆกันมาภายในช่วงปีนี้แน่นอน
คันต่อมาก็คือ Porsche Cayenne Coupe รูปแบบตัวถังใหม่ที่หวังจะมาท้าชนกับ Mercedes-Benz GLE Coupe และ BMW X6 ช่วงครึ่งคันหน้าจะไม่ต่างต่างจาก Porsche Cayenne รุ่นปกติมากเท่าไหร่นัก แต่ความแตกต่างจะเริ่มเห็นได้ชัดตั้งแต่ช่วงประตูหลังจนไปถึงช่วงเสา C-Pillar ซึ่งจะมีความลาดเทและโค้งมนในแบบรถคูเป้มากยิ่งขึ้น และยังเห็นได้ชัดว่าจะมีสปอยเลอร์ท้ายแบบยกขึ้นอัตโนมัติ รวมทั้งภายในห้องโดยสารจะพบว่าไม่ได้แตกต่างจากรุ่นปกติเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงแน่ๆคือพื้นที่จุสัมภาระด้านท้าย ซึ่งรุ่นปกติมีพื้นที่บรรจุสัมภาระได้ 770 ลิตร ในขณะที่รุ่น Coupe มีโอกาสที่พื้นที่น่าจะลดลงจากแนวหลังคาที่ลาดเอียงและดูเตี้ยกว่าเดิม
ขุมพลังนั้นคาดว่าจะมีการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.9 ลิตร V6 เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 440 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร รวมไปถึงรุ่นบนสุดที่อาจติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 ที่ให้พละกำลัง 550 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ที่จะมีเวอร์ชั่น Plug-In Hybrid อีกด้วย คาดว่าการเปิดตัว Cayenne Coupe น่าจะมีขึ้นราวๆกลางปีนี้ ส่วนเมืองไทยก็รอติดตามได้หลังจากนั้น
ปิดท้ายด้วยอีกหนึ่งคัน ซึ่งคันนี้ค่อนข้างน่าสนใจมาก นั่นคือ All-New Porsche Taycan ที่จะถือว่าเป็นรถพลังงานไฟฟ้า 100% คันแรกของค่ายเลยก็ว่าได้ จากรูปลักษณ์ก็จะเห็นได้ว่าจะมาในรูปแบบซีดานคูเป้ 4 ประตูและมีทรวดทรงที่เล็กกว่า Porsche Panamera อีกทั้งยังมีเวอร์ชั่น Sport Turismo มาด้วย
ข้อมูลที่ทราบคร่าวๆก็คือ รถคันนี้จะติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวที่รวมๆแล้วจะมีพละกำลังมากกว่า 600 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาไม่ต่ำกว่า 3.5 วินาที มีให้เลือกทั้งระบบขับเคลื่อนล้อหลังและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ สำหรับแบตเตอรี่ของรถจะเป็นแบบลิเธียมไอออน สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 500 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และเมื่อชาร์จกับเครื่องจ่ายไฟฟ้าขนาด 800 วัตต์ จะสามารถวิ่งได้มากสุดถึง 400 กม. โดยที่ใช้เวลาชาร์จไม่ถึง 20 นาที และอาจจะมีระบบโคตรชาร์จเร็วที่ใช้เวลาชาร์จเพียง 4 นาที ก็สามารถวิ่งได้ระยะทางสั้นๆ 100 กม. ได้แล้ว
สำหรับรุ่นย่อยของรถนั้นมีข้อมูลว่าจะมีให้เลือกตั้งแต่ Taycan รุ่นมาตรฐาน , Taycan 4S และ Taycan Turbo ซึ่งจะมีระดับความแรงที่ต่างกันในแต่ละรุ่น คาดว่าการเปิดตัวรถพลังงานไฟฟ้ารุ่นนี้จะมีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปีหน้า และเริ่มวางขายช่วงปลายปีครับ
ไทย : 911 รหัสตัวถัง 992
เปิดตัวในตลาดโลกก่อน : 718 Boxster Spyder / 718 Cayman GT4 / 911 ตัวแรงทั้งหลาย / Cayenne Coupe / Taycan
ค่ายสปอร์ตหน้ากบอย่าง Porsche เมื่อปีที่ผ่านมา มีพระเอกสำคัญก็คิอ Cayenne เจเนเรชั่นใหม่นั่นเอง ซึ่งในปีนี้รถใหม่ที่จะมีการเปิดตัวในไทยคงจะหนีไม่พ้น All-New Porsche 911 เจเนเรชั่นที่ 8 ภายใต้รหัสตัวถัง 992 ซึ่งยังคงการออกแบบภายนอกให้รักษาเอกลักษณ์เดิมๆไว้ แต่ก็เพิ่มเติมเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามามากมาย รวมทั้งภายในห้องโดยสารที่มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น
ขุมพลังของรถจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 ที่มีพละกำลังหลายระดับ ในรุ่น Carrera จะมีพละกำลังระหว่าง 370-385 แรงม้า ตามด้วยรุ่น Carrera S ที่จะมากับพละกำลัง 450 แรงม้า ในรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 3.7 วินาที ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ 4S จะทำเวลาได้เร็วขึ้นเป็น 3.6 วินาที ในรุ่น Carrera S/4S จะมีข้อได้เปรียบเพิ่มขึ้นอีก 0.2 วินาทีจากที่สามารถเลือกสั่ง Sport Sport Chrono Package เพิ่มเติมได้ ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 308 กม./ชม.และ 306 กม. / ชม. หรือ 190 ไมล์ต่อชั่วโมงสำหรับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยใน 911 Carrera S จะอยู่ที่ 8.9 ลิตร /100 กม. (ประมาณ 11.24 กม./ลิตร) คาดว่าสาวกชาวไทยน่าจะได้สัมผัสราวๆกลางปีนี้ อ่ารายละเอียดตัวรถเพิ่มเติมได้ที่ All-New Porsche 911 (รหัส 992) เจ้าชายกบโฉมใหม่ที่ยังรักษาเอกลักษณ์เดิมๆไว้ครบ
เช่นเดียวกับรุ่นเปิดประทุน 911 Convertible ที่มีการออกแบบภายนอกเหมือนตัวคูเป้แทบทุกอย่าง ต่างแค่ว่าตัวนี้จะมากับหลังคาผ้าใบที่เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าที่ทำจากโครงสร้างน้ำหนักเบา และที่สำคัญยังสามารถเปิด-ปิดได้เร็วกว่ารุ่นก่อนเนื่องด้วยระบบไฮดรอลิคใหม่ สำหรับเวลาในการพับเก็บหรือกางออกจะใช้เวลาราวๆ 12 วินาที ขณะขับขี่ที่ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 50 กม./ชม. เมื่อหลังคาพับลงแล้ว แผ่นกันลมข้างหลังจะกางขึ้นมาเพื่อให้ผู้โดยสารยังคงรู้สึกสบายและช่วยลดเสียงลมที่ตีเข้ามาอีกด้วย
ในเบื้องต้นนั้น 911 Cabriolet จะนำเสนอเฉพาะรุ่น Carrera S และ Carrera 4S ทั้งคู่จะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 450 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 530 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Dual Clutch ลูกใหม่ ส่งผลให้ Carrera S สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.7 วินาที และทะยานไปสู่ความเร็วสูงสุดที่ 306 กม./ชม. ขณะที่รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้ออย่าง Carrera 4S จะสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 3.6 วินาที และมีความเร็วสูงสุดที่ 304 กม./ชม. ส่วนชาวไทยก็คาดว่าทาง Porsche น่าจะเปิดให้จับจองเช่นกัน
เข้ามาดูในส่วนของรถที่จะเปิดตัวในตลาดต่างประเทศก่อนบ้าง เริ่มที่ Porsche 718 Boxster Spyder รถสปอร์ตเปิดประทุนที่มีดีไซน์การเปิดหลังคาที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งต้องพับเก็บด้วยมือ โดยช่วงท้ายนั้นออกแบบฝากระโปรงท้ายเพื่อให้รำลึกถึง Porsche 718 Spyder ในยุค 1960 นั่นเอง ขุมพลังยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะวางเครื่องยนต์แบบไหน แต่มีข่าวลือในรุ่นนี้อาจจะทำการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V6 บล็อกเดียวกับ 911 GT3 โฉมปัจจุบันที่มีพละกำลังกว่า 500 แรงม้า แต่สำหรับสปอร์ตที่เล็กกว่าในตระกูล 718 อาจจะลดระดับพละกำลังเหลือราวๆ 400 แรงม้าเพื่อไม่ให้เกิดหน้าเกินตารุ่นพี่ 911 นั่นเอง ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Motorauthority |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
ภาพจาก Carscoops |
สำหรับรุ่นย่อยของรถนั้นมีข้อมูลว่าจะมีให้เลือกตั้งแต่ Taycan รุ่นมาตรฐาน , Taycan 4S และ Taycan Turbo ซึ่งจะมีระดับความแรงที่ต่างกันในแต่ละรุ่น คาดว่าการเปิดตัวรถพลังงานไฟฟ้ารุ่นนี้จะมีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปีหน้า และเริ่มวางขายช่วงปลายปีครับ
Subaru
ค่ายดาวลูกไก่ในปีที่ผ่านมา มีสิ่งที่น่าสนใจก็คือการเปิดตัว All-New Subaru Forester ที่มีการผลิตในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังให้สิทธิ์สำหรับผู้จอง 99 คันแรกไปการเข้าเชื่อมชมการผลิตที่โรงงานในประเทศไทยอีกด้วย และในปีนี้นั้นก็เป็นปีที่จะพร้อมขาย Forester อย่างเป็นทางการแน่นอน ซึ่งน่าจะเริ่มส่งมอบได้ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป
นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ที่ Subaru อาจจะนำเสนอขุมพลังเพิ่มเติมใน Forester นั่นคือ "E-Boxer" ซึ่งใช้หลักการทำงานเครื่องยนต์แบบ Mild Hybrid โดยจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินรหัส FB20 ความจุ 2.0 ลิตร มากับพละกำลังสูงสุด 145 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 188 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 13.6 แรงม้า แรงบิด 65 นิวตัน-เมตร นอกจากนี้ยังติดตั้งแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนบริเวณด้านท้ายรถ ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT แบบ Lineatronic คงจะน่าสนใจไม่น้อยถ้าไทยจะเอามาขาย
สำหรับอีกคันที่จะมีการเปิดตัวในตลาดต่างประเทศก่อนก็คือ All-New Subaru Legacy ซีดานรุ่นใหญ่ของค่าย ที่แม้ดูผ่านๆนั้นจะยังคงไม่ต่างจากรุ่นเดิมมากนัก แต่ก็เห็นว่าได้มีการปรับเส้นสายตัวรถให้มีความโค้งมนและปราดเปรียวขึ้น อีกทั้งยังมีช่วงแนวหลังคาบริเวณกระจกบานท้ายที่ลาดเอียงขึ้นกว่าเดิมด้วย ส่วนการออกแบบภายนอกก็จะเหมือนกับ Subaru ยุคใหม่ๆหลายรุ่น เป็นไปได้ว่าเครื่องยนต์นั้นจะทำการติดตั้งเครื่องเบนซิน 2.5 ลิตร Boxer พละกำลัง 182 แรงม้า และ เครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร Boxer แบบฉีดตรงและเทอร์โบคู่ พละกำลัง 260 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Symmetrical All-Wheel Drive คาดว่าการเปิดตัวอาจจะมีขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้
ค่ายดาวลูกไก่ในปีที่ผ่านมา มีสิ่งที่น่าสนใจก็คือการเปิดตัว All-New Subaru Forester ที่มีการผลิตในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังให้สิทธิ์สำหรับผู้จอง 99 คันแรกไปการเข้าเชื่อมชมการผลิตที่โรงงานในประเทศไทยอีกด้วย และในปีนี้นั้นก็เป็นปีที่จะพร้อมขาย Forester อย่างเป็นทางการแน่นอน ซึ่งน่าจะเริ่มส่งมอบได้ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป
นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ที่ Subaru อาจจะนำเสนอขุมพลังเพิ่มเติมใน Forester นั่นคือ "E-Boxer" ซึ่งใช้หลักการทำงานเครื่องยนต์แบบ Mild Hybrid โดยจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินรหัส FB20 ความจุ 2.0 ลิตร มากับพละกำลังสูงสุด 145 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 188 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 13.6 แรงม้า แรงบิด 65 นิวตัน-เมตร นอกจากนี้ยังติดตั้งแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนบริเวณด้านท้ายรถ ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT แบบ Lineatronic คงจะน่าสนใจไม่น้อยถ้าไทยจะเอามาขาย
ภาพจาก Autoblog |
Suzuki
เมื่อปีที่ผ่านมา ชาวไทยได้สัมผัส All-New Suzuki Swift กันไปแล้ว คาดว่าในปีนี้ทาง Suzuki จะมีรถอีกหนึ่งคันเปิดตัวในตลาดไทย นั่นก็คือ All-New Suzuki Ertiga ที่สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มใหม่ HEARTECT เหมือนที่ใช้ใน Suzuki Swift โฉมล่าสุดนั่นเอง ขุมพลังจะทำการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินรหัส K15B ขนาด 1.5 ลิตร มากับพละกำลังสูงสุดที่ 108 แรงม้าที่ค 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 138 นิวตันเมตรที่ 4,400 รอบ/นาที ระบบส่งกำลังมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 5 สปีดและเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ที่ 18 กม./ลิตรในรุ่นเกียร์ธรรมดา และ 16.7 กม./ลิตรในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ การเปิดตัวนั้นทาง Suzuki ยืนยันแล้วว่าจะเปิดตัวในไทยวันที่ 6 ก.พ. ที่กำลังจะถึงนี้ ใครที่กำลังรอซื้อก็เตรียมทุบกระปุกรอได้เลยครับ
คันต่อมาเป็นหนึ่งในรถที่หลายคนให้การรอคอยการเยอะมากทีเดียว นั่นก็คือ Suzuki Jimny รถอเนกประสงค์ทรงกล่องขนาดกะทัดรัดที่ยืนยันแน่นอนแล้วว่ามาขายในไทยแน่นอน โดยจะมีการเปิดจองผ่านทางช่องทางออนไลน์ก่อนงาน Bangkok Motor Show 2019 จะเริ่มขึ้นช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้
แต่จะเป็นข่าวดีสำหรับคนที่จะซื้อ (หรือสายเชียร์ทางโซเชียล) หรือเปล่าอันนี้ก็ไม่รู้นะครับ เพราะว่า Suzuki Jimny ที่จะเอามาขายนั้นเป็นการ "นำเข้าทั้งคัน" จากญี่ปุ่น ซึ่งราคาน่าจะอยู่แถวๆ 1.5 ล้านบาท ฉะนั้นใครที่หวังว่าจะราคาสัก 7-8 แสนบาทก็เลิกคิดได้เลย ที่สำคัญคือในช่วงแรกจะได้โควตาจากญี่ปุ่นมาขายแค่ราวๆ 10 กว่าคันเท่านั้น ซึ่งถ้าหมดโควตาอาจจะต้องไปอีกครึ่งปีเพราะที่ญี่ปุ่นรุ่นนี้้ขายดีมาก ไม่มีรถพอที่จะตัดมาขายในไทยได้
สำหรับเมืองไทยมีความเป็นไปได้สูงที่จะนำเข้า Suzuki Jimmy Sierra ซึ่งจะมากับรูปลักษณ์ที่ดูบึกบึนและแข็งแกร่งกว่า Jumny รุ่นปกติ ด้วยการติดตั้งโป่งซุ้มล้อรอบคัน ขุมพลังในรุ่นนี้จะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 4 สูบ พละกำลังสูงสุดที่ 102 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 130 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด หรือ เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
เอาเป็นว่าใครงบถึงและอยากได้ความไม่ธรรมดานี้ก็รอจัดได้เลยครับ!
อีกคันที่น่าจะมีการเปิดตัวในไทยก็คือ Suzuki Ciaz Minor Change ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะอ้างอิงรูปโฉมตามเวอร์ชั่นอินเดีย โดยภายนอกจะมากับไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ LED พร้อมไฟ Daytime Running Lights ภายในโคม กระจังหน้าถูกออกแบบใหม่ให้เชื่อมติดกับไฟหน้าตามสไตล์รถสมัยนี้ เช่นเดียวกับกันชนหน้าดีไซน์ใหม่พร้อมแถบโครเมียมบริเวณกรอบไฟตัดหมอกที่เสริมความหรูหราให้กับรถได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ด้านท้ายยังมากับโคมไฟท้ายแบบ LED และมีล้ออัลลอยลายใหม่ปัดขอบเงาดำขนาด 16 นิ้ว
ส่วนภายในห้องโดยสารของเวอร์ชั่นอินเดียจะตกแต่งด้วยโทนสีเบจพร้อมลายไม้รอบคันรถซึ่งทำให้ดูหรูหรามากขึ้น มีการออกแบบมาตรวัดใหม่ซึ่งมีการติดตั้งหน้าจอแสดงผลการขับขี่บริเวณหน้าปัดขนาด 4.2 นิ้ว มาตรวัดสามารถปรับสีตามรูปแบบการขับขี่ได้ ส่วนฟังก์ชั่นอื่นๆที่น่าสนใจก็จะกระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ มีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control และไฟหน้าปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติมาให้ในรุ่นบนๆ
ขุมพลังในไทยคาดว่าจะยังใช้เครื่องเดิมนั่นคือ เครื่องเบนซิน 1.25 ลิตรแบบเดียวกับ Swift มากับพละกำลัง 91 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 118 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และ เกียร์อัตโนมัติ CVT และอาจจะมีการเพิ่มระบบความปลอดภัยใหม่ๆอย่างระบบควบคุมการทรงตัวมาให้เหมือนรุ่นอื่นๆด้วย คาดว่าการเปิดตัวอาจจะเกิดขึ้นราวๆต้นถึงกลางปีนี้
เมื่อปีที่ผ่านมา ชาวไทยได้สัมผัส All-New Suzuki Swift กันไปแล้ว คาดว่าในปีนี้ทาง Suzuki จะมีรถอีกหนึ่งคันเปิดตัวในตลาดไทย นั่นก็คือ All-New Suzuki Ertiga ที่สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มใหม่ HEARTECT เหมือนที่ใช้ใน Suzuki Swift โฉมล่าสุดนั่นเอง ขุมพลังจะทำการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินรหัส K15B ขนาด 1.5 ลิตร มากับพละกำลังสูงสุดที่ 108 แรงม้าที่ค 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 138 นิวตันเมตรที่ 4,400 รอบ/นาที ระบบส่งกำลังมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 5 สปีดและเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ที่ 18 กม./ลิตรในรุ่นเกียร์ธรรมดา และ 16.7 กม./ลิตรในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ การเปิดตัวนั้นทาง Suzuki ยืนยันแล้วว่าจะเปิดตัวในไทยวันที่ 6 ก.พ. ที่กำลังจะถึงนี้ ใครที่กำลังรอซื้อก็เตรียมทุบกระปุกรอได้เลยครับ
คันต่อมาเป็นหนึ่งในรถที่หลายคนให้การรอคอยการเยอะมากทีเดียว นั่นก็คือ Suzuki Jimny รถอเนกประสงค์ทรงกล่องขนาดกะทัดรัดที่ยืนยันแน่นอนแล้วว่ามาขายในไทยแน่นอน โดยจะมีการเปิดจองผ่านทางช่องทางออนไลน์ก่อนงาน Bangkok Motor Show 2019 จะเริ่มขึ้นช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้
แต่จะเป็นข่าวดีสำหรับคนที่จะซื้อ (หรือสายเชียร์ทางโซเชียล) หรือเปล่าอันนี้ก็ไม่รู้นะครับ เพราะว่า Suzuki Jimny ที่จะเอามาขายนั้นเป็นการ "นำเข้าทั้งคัน" จากญี่ปุ่น ซึ่งราคาน่าจะอยู่แถวๆ 1.5 ล้านบาท ฉะนั้นใครที่หวังว่าจะราคาสัก 7-8 แสนบาทก็เลิกคิดได้เลย ที่สำคัญคือในช่วงแรกจะได้โควตาจากญี่ปุ่นมาขายแค่ราวๆ 10 กว่าคันเท่านั้น ซึ่งถ้าหมดโควตาอาจจะต้องไปอีกครึ่งปีเพราะที่ญี่ปุ่นรุ่นนี้้ขายดีมาก ไม่มีรถพอที่จะตัดมาขายในไทยได้
สำหรับเมืองไทยมีความเป็นไปได้สูงที่จะนำเข้า Suzuki Jimmy Sierra ซึ่งจะมากับรูปลักษณ์ที่ดูบึกบึนและแข็งแกร่งกว่า Jumny รุ่นปกติ ด้วยการติดตั้งโป่งซุ้มล้อรอบคัน ขุมพลังในรุ่นนี้จะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 4 สูบ พละกำลังสูงสุดที่ 102 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 130 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด หรือ เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
เอาเป็นว่าใครงบถึงและอยากได้ความไม่ธรรมดานี้ก็รอจัดได้เลยครับ!
อีกคันที่น่าจะมีการเปิดตัวในไทยก็คือ Suzuki Ciaz Minor Change ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะอ้างอิงรูปโฉมตามเวอร์ชั่นอินเดีย โดยภายนอกจะมากับไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ LED พร้อมไฟ Daytime Running Lights ภายในโคม กระจังหน้าถูกออกแบบใหม่ให้เชื่อมติดกับไฟหน้าตามสไตล์รถสมัยนี้ เช่นเดียวกับกันชนหน้าดีไซน์ใหม่พร้อมแถบโครเมียมบริเวณกรอบไฟตัดหมอกที่เสริมความหรูหราให้กับรถได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ด้านท้ายยังมากับโคมไฟท้ายแบบ LED และมีล้ออัลลอยลายใหม่ปัดขอบเงาดำขนาด 16 นิ้ว
ส่วนภายในห้องโดยสารของเวอร์ชั่นอินเดียจะตกแต่งด้วยโทนสีเบจพร้อมลายไม้รอบคันรถซึ่งทำให้ดูหรูหรามากขึ้น มีการออกแบบมาตรวัดใหม่ซึ่งมีการติดตั้งหน้าจอแสดงผลการขับขี่บริเวณหน้าปัดขนาด 4.2 นิ้ว มาตรวัดสามารถปรับสีตามรูปแบบการขับขี่ได้ ส่วนฟังก์ชั่นอื่นๆที่น่าสนใจก็จะกระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ มีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control และไฟหน้าปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติมาให้ในรุ่นบนๆ
ขุมพลังในไทยคาดว่าจะยังใช้เครื่องเดิมนั่นคือ เครื่องเบนซิน 1.25 ลิตรแบบเดียวกับ Swift มากับพละกำลัง 91 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 118 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และ เกียร์อัตโนมัติ CVT และอาจจะมีการเพิ่มระบบความปลอดภัยใหม่ๆอย่างระบบควบคุมการทรงตัวมาให้เหมือนรุ่นอื่นๆด้วย คาดว่าการเปิดตัวอาจจะเกิดขึ้นราวๆต้นถึงกลางปีนี้
Toyota
ค่ายยักษ์ใหญ่สามห่วงเมื่อปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการประเดิมการแนะนำให้คนไทยรู้จักกับสถาปัตยกรรม TNGA ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่ล่าสุดของค่าย ซึ่งมากับรถโฉมใหม่ถอดด้าม 2 รุ่น นั่นคือ Toyota C-HR และ Toyota Camry อีกทั้งยังมีการเปิดตัวรุ่นปรับโฉม/ปรับอุปกรณ์มากมาย
ในปีนี้ชาวไทยจะได้สัมผัสอีก 1 ผลิตผลจากโครงสร้าง TNGA นั่นก็คือ All-New Toyota Corolla Altis รถซีดานที่ขายดีที่สุดอันดับต้นๆของโลก อีกทั้งยังเป็นขวัญใจชาวแท็กซี่ (ถ้าไม่ดีจริงเขาคงไม่เอามาทำหรอก จริงมั้ย!) ซึ่งรูปโฉมนั้นน่าจะอิงตามเวอร์ชั่นยุโรปเหมือนรุ่นก่อนๆ ขุมพลังของรถคาดว่ายังคงใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 และ 1.8 ลิตรเหมือนเคย การเปิดตัวในไทยคาดว่าจะมีขึ้นในช่วงกลางปีถึงปลายปีนี้
คันต่อมาที่เป็นไปได้ที่จะมีการเปิดตัวก็คือ Toyota Sienta Minor Change ที่มีการปรับปรุงงานออกแบบภายนอกใหม่และตกแต่งภายในใหม่ และแน่นอนว่าเมืองไทยก็คงอาศัยการนำเข้าจากอินโดนีเซียมาขายอีกตามเคย คอนโซลหน้าก็คงจะไม่ใช่แบบญี่ปุ่นอย่างแน่นอน ขุมพลังที่ใช้จะทำการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2NR-FE ความจุ 1.5 ลิตร มากับพละกำลัง 108 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 140 นิวตัน-เมตรที่ 4,200 รอบ/นาที รองรับเชื้อเพลิงสูงสุดถึง E20 ทุกรุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT 7 สปีด คาดว่าการเปิดตัวน่าจะมีขึ้นช่วงต้นปี-กลางปีนี้
นอกจากนี้ก็น่าจะเป็นเพียงแค่การปรับโฉมหรือปรับอุปกรณ์ให้กับรถรุ่นอื่นๆที่วางขายเพื่อให้ดูไม่เงียบนั่นเอง อย่าง Toyota Vios ที่หลายคนคิดว่าทางค่ายอาจจะทอดทิ้งตลาดนี้ไปแล้วหลังจากการมาของ Yaris ATIV แต่ดูเหมือนว่าในปี 2019 นี้จะมีการกระตุ้นตลาดเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงหลักๆห็จะมีการปรับลดรุ่นย่อย เพิ่มอุปกรณ์อย่างเช่น กล้องบันทึกภาพหน้ารถ ซึ่งคาดว่าภายในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์อาจจะได้เห็นกัน อ่านรายละเอียดกันได้ที่ ส่องสเปค Toyota Vios MY2019 รุ่นปรับอุปกรณ์ใหม่ก่อนเปิดตัวปีหน้า
คันต่อมาที่จะมีการปรับอุปกรณ์ก็คือ Toyota C-HR ซึ่งหลังจากการเปิดตัวก็มีเสียงบ่นหลายกระแสเกี่ยวกับรถคันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภายในห้องโดยสารหลังที่ดูทึบ (อันนี้คงจะแก้ยาก) ลายล้อที่ดูแสนเชย หรือตัวเลือกสีที่กั๊กไว้ในรุ่นไฮบริด สำหรับในรุ่นปรับใหม่นี้เท่าที่ทราบจะมีการปรับปรุงและเพิ่มเติมไม่กี่อย่างเท่านั้น ได้แก่
- ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้วลายใหม่
- เพิ่มสีตัวถังใหม่ในรุ่นไฮบริด สี "White Pearl CS พร้อมหลังคาดำ (Black Roof) " ในรุ่นไฮบริด
- รุ่น 1.8 Entry เปลี่ยนจากเบาะผ้าเป็นเบาะหนัง
สำหรับการเปิดตัวของ C-HR MY2019 น่าจะเกิดขึ้นภายในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคมนี้ รอติดตามได้เลย อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ส่องข้อมูล Toyota C-HR MY2019 ก่อนเปิดตัวในไทยเร็วๆนี้
อีกคันที่มีแววว่าจะมีการปรับโฉมแต่ข่าวก็ยังคงเงียบกริบ นั่นคือ Toyota Fortuner ซึ่งถ้านับตามเวลาตั้งแต่การเปิดตัวในปี 2015 ก็ถึงเวลาสำหรับการปรับโฉมกระตุ้นตลาดแล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่มีรายละเอียดอะไรที่แน่นอนเลย แต่สิ่งที่อยากให้ปรับเปลี่ยนก็คือ การติดตั้งระบบความปลอดภัยใหม่ๆให้ใกล้เคียงคู่แข่งมากขึ้น (อย่างเช่นการใส่ระบบเตือนมุมอับสายตา ระบบแจ้งเตือนขณะถอยหลังมาให้ หรือใส่ทั้งแพ็คเกจ Toyota Safety Sense เลยจะดีมาก)โดยขึ้นราคาไม่เยอะ เพราะรุ่นปัจจุบันก็แพงเกินตัวไปมาก การเปิดตัวถ้าให้เดาก็คงอยู่ในช่วงกลางๆปีครับ
Toyota Hilux Revo ก็เป็นอีกหนึ่งคันที่มีสิทธิ์ที่จะปรับอุปกรณ์เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งมากขึ้น หลังจากปีที่ผ่านมาคู่แข่งมากหน้าหลายตาต่างปรับโฉมเพิ่มความน่าสนใจเยอะมากทีเดียว ดังนั้นเพื่อรักษาส่วนแบ่งยอดขายและรักษาอันดับ 1 กระบะไว้คาดว่าอาจจะมีการปรับเพิ่มเติม เป็นไปได้ว่า Toyota อาจจะติดตั้งระบบควบคุมการทรงตัว ระบบป้องกันการลื่นไถล และอีกสารพัดในรุ่นย่อยกลางๆลงมา จากเดิมที่กระจุกแต่ในรุ่นท็อป คงต้องรอช่วงกลางปีอาจจะได้เห็นความเคลื่อนไหวกัน
นอกจากคันนี้แล้วยังมีอีกคันที่มีสิทธิ์เปิดตัวก็คือ Toyota Camry ESPORT หรือ Camry 2.0 Extremo ซึ่งตามธรรมเนียมของ Camry นั้นจะต้องมีตัวแต่งสปอร์ตเครื่อง 2.0 ลิตรวางขายด้วย เนื่องจากรุ่น 2.0 ลิตรถือเป็นตัวทำยอดขายให้ Camry เลยก็ว่าได้ดังนั้นการมีตัวแต่งน่าจะเป็นอะไรที่ตอบโจทย์ แต่จะมาในรูปแบบหน้าตาสปอร์ตหรือจะเป็นหน้าหรูแบบที่ขายในปัจจุบันแล้วเอามาใส่สเกิร์ตเพิ่มก็ต้องติดตามกันต่อไป แต่ดูมีแววว่าจะเป็นอย่างหลังสูง
ซึ่งถ้าหากเป็นแบบที่กล่าวข้างต้น รุ่นที่หน้าตาสปอร์ตๆอย่างที่เห็นนี้อาจจะกลายเป็น Camry 2.5 ESPORT ก็เป็นได้ หาก Toyota นึกสนุกอยากจะขายโดยการนำเข้ารถจากออสเตรเลียมาขายแบบโฉมที่แล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องตามดูกันต่อไป
Volvo
ค่ายรถสวีเดนของเรา เมื่อปีที่แล้วมีพระเอกของงานอย่าง Volvo XC40 เปิดตัวในตลาดไทย คาดว่าในปีนี้ชาวไทยน่าจะได้สัมผัสรถรุ่นใหม่อย่าง Volvo S60 ที่มีการเปิดตัวในตลาดโลกเมื่อกลางปีก่อน ที่สำคัญคือรุ่นนี้จะเป็นรุ่นแรกของ Volvo ที่จะวางขายโดยไม่มีทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซล เป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นของผู้ผลิตที่จะเน้นไปที่ขุมพลังไฟฟ้ามากขึ้น โดยขุมพลังของรถจะมีทางเลือกดังนี้
- T6 Twin Engine AWD PHEV เครื่องยนต์เบนซินซูเปอร์ชาร์จและเทอร์โบชาร์จขนาด 2.0 ลิตร พละกำลัง 253 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตรที่ 1,700-5,000 รอบ/นาที ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าพละกำลัง 117 แรงม้า รวมกำลังทั้งระบบ 340 แรงม้า แรงบิด 590 นิวตันเมตร
- T8 Twin Engine AWD PHEV เครื่องยนต์เบนซินซูเปอร์ชาร์จและเทอร์โบชาร์จขนาด 2.0 ลิตรมากับพละกำลัง 303 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 2,200-4,800 รอบ/นาที ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหลังพละกำลัง 87 แรงม้า แรงบิด 240 นิวตัน-เมตร รวมพละกำลังทั้งระบบที่ 390 แรงม้า พร้อมแรงบิด 640 นิวตัน-เมตร
- T5 ที่มากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ พละกำลังสูงสุด 250 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 349 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด
นอกจาก S60 แล้ว อีกคันที่มีความเป็นได้ที่จะมาก็คือ Volvo V60 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นแวกอนของ S60 นั่นเอง ขุมพลังของรถในรูปแบบ Plug-In Hybrid ก็จะเหมือนกับ S60 แต่ในรุ่นเบนซินจะมาในรุ่น T6 AWD เครื่องยนต์เบนซินซูเปอร์ชาร์จและเทอร์โบชาร์จขนาด 2.0 ลิตร พละกำลัง 310 แรงม้าที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 2,200 – 5,100 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 5.8 วินาที มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ จะมาไทยหรือไม่ก็ต้องติดตาม
และทั้งหมดนี้ก็คือ รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวภายในปี 2019 ที่พยายามรวบรวมมาเท่าที่จะนึกออกครับ ซึ่งก็หวังว่าข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้น่าจะพอเป็นประโยชน์สำหรับใครหลายๆคนไม่น้อยครับ และอย่างที่บอกไว้ย่อหน้าต้นๆก่อนเริ่มเนื้อหาครับว่า ข่าวสารทั้งหมดนี้อาจมีความเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ได้ อาจจะไม่ได้ตรงตามความเป็นจริง 100% ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติอยู่เแล้ว ต่อให้ใช้คุกกี้เสี่ยงทายก็ไม่มีทางเป๊ะหรอกครับ...ถ้าอยากให้เป๊ะๆคงต้องนั่งไทม์แมชชีนวาร์ปไปอนาคตแล้วแหละ เอาเป็นว่าเหมือนที่เคยทิ้งท้ายอย่างทุกๆปี "จงเสพข่าวอย่างมีสติ"
ค่ายรถสวีเดนของเรา เมื่อปีที่แล้วมีพระเอกของงานอย่าง Volvo XC40 เปิดตัวในตลาดไทย คาดว่าในปีนี้ชาวไทยน่าจะได้สัมผัสรถรุ่นใหม่อย่าง Volvo S60 ที่มีการเปิดตัวในตลาดโลกเมื่อกลางปีก่อน ที่สำคัญคือรุ่นนี้จะเป็นรุ่นแรกของ Volvo ที่จะวางขายโดยไม่มีทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซล เป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นของผู้ผลิตที่จะเน้นไปที่ขุมพลังไฟฟ้ามากขึ้น โดยขุมพลังของรถจะมีทางเลือกดังนี้
- T6 Twin Engine AWD PHEV เครื่องยนต์เบนซินซูเปอร์ชาร์จและเทอร์โบชาร์จขนาด 2.0 ลิตร พละกำลัง 253 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตรที่ 1,700-5,000 รอบ/นาที ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าพละกำลัง 117 แรงม้า รวมกำลังทั้งระบบ 340 แรงม้า แรงบิด 590 นิวตันเมตร
- T8 Twin Engine AWD PHEV เครื่องยนต์เบนซินซูเปอร์ชาร์จและเทอร์โบชาร์จขนาด 2.0 ลิตรมากับพละกำลัง 303 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 2,200-4,800 รอบ/นาที ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหลังพละกำลัง 87 แรงม้า แรงบิด 240 นิวตัน-เมตร รวมพละกำลังทั้งระบบที่ 390 แรงม้า พร้อมแรงบิด 640 นิวตัน-เมตร
- T5 ที่มากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ พละกำลังสูงสุด 250 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 349 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด
สุดท้ายต้องมาลุ้นกันว่าเมืองไทยจะได้ขุมพลังไหนเข้ามาจำหน่าย การเปิดตัวคาดว่าน่าจะเปิดตามหลังมาเลเซีย และไทยก็คงนำเข้าจากมาเลเซียอีกตามเคย ต้องติดตามต่อไป
-------------------------------------------------------------------
และทั้งหมดนี้ก็คือ รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวภายในปี 2019 ที่พยายามรวบรวมมาเท่าที่จะนึกออกครับ ซึ่งก็หวังว่าข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้น่าจะพอเป็นประโยชน์สำหรับใครหลายๆคนไม่น้อยครับ และอย่างที่บอกไว้ย่อหน้าต้นๆก่อนเริ่มเนื้อหาครับว่า ข่าวสารทั้งหมดนี้อาจมีความเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ได้ อาจจะไม่ได้ตรงตามความเป็นจริง 100% ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติอยู่เแล้ว ต่อให้ใช้คุกกี้เสี่ยงทายก็ไม่มีทางเป๊ะหรอกครับ...ถ้าอยากให้เป๊ะๆคงต้องนั่งไทม์แมชชีนวาร์ปไปอนาคตแล้วแหละ เอาเป็นว่าเหมือนที่เคยทิ้งท้ายอย่างทุกๆปี "จงเสพข่าวอย่างมีสติ"
และพบกันใหม่อีกทีใน "รวมรถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวภายในปี 2020" ครับ ^_^
-----------------------------------------------------------------
เรียบเรียงข้อมูลโดย Car News Update
สามารถเอาเนื้อหาไปเผยแพร่ได้ เพราะข้อมูลรถต่างๆก็น่าจะเหมือนๆกันอยู่แล้ว แต่ถ้า Copy เอาข้อความไปทั้งดุ้นเลย Copy ทั้งแพทเทิร์นการจัดรูป แพทเทิร์นการใช้คำเหมือนกันยังไงก็มองออก โดยเฉพาะเว็บที่มีตัวเลขสามหลัก 2xx ถ้าเห็นแล้วอยากเอาไปโพสต์ก็ได้ครับ แต่ให้เครดิตกันหน่อยก็ดี เพราะผมเสียเวลาพิมพ์เยอะมาก
ขอบคุญครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวรถได้
ห้ามแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพนัน หรือสิ่งผิดกฎหมาย