วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ชมภาพรถทดสอบ Aston Martin DBX รถครอสโอเวอร์คันแรกจากค่ายสปอร์ตผู้ดี

  หลังจากที่เคยเผยโฉมต้นแบบรถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์ไปเมื่อปี 2015 และล่าสุดตอนนี้ค่ายสปอร์ตผู้ดี Aston Martin พร้อมแล้วสำหรับการสร้างรถครอสโอเวอร์ออกจำหน่ายจริงภายใต้ชื่อว่า "DBX" ซึ่งทางค่ายก็ได้เผยภาพและวีดิโอของรถทดสอบขณะกำลังทดสอบบนเส้นทางดิน 

   ชื่อ DBX มาจากการผสมผสานระหว่าง อักษร DB อันเป็นสิ่งที่บ่งบอกความเป็นรถสปอร์ตที่มีความเชื่อมโยงและย้อนกันไปถึงยุค David Brown ส่วนตัว X จะบ่งบอกถึงความเป็นรถครอสโอเวอร์ โดยในรูปแบบเวอร์ชั่นจำหน่ายจริงนั้นจะเป็นรถแบบ 5 ประตู

  ด้วยรูปโฉมภายนอกแม้จะพรางด้วยสติ๊กเกอร์อย่างแน่นหนา แต่ก็ดูออกได้เลยว่าการออกแบบจะได้แรงบันดาลใจมาจาก Aston Martin รุ่นใหม่ๆอย่าง Vantage , DB11 และ DBS Superleggara คือมองแล้วก็รู้เลยว่าเป็นรถจากค่าย Aston Martin แน่นอน

  อย่างไรก็ตามถือว่านี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ทาง Aston Martin นำรถมาทดสอบในเส้นทางที่ปราศจากคนแอบถ่าย ในขณะที่สำนักงานใหญ่ที่ Gaydon ก็มีอแผนที่จะนำรถรุ่นนี้ไปทดสอบในสถานที่เช่นเดียวกับรถรุ่นอื่นในค่ายโดยไปทดสอบที่สนาม Nürburgring และแน่นอนว่าจะนำไปทดสอบบนเส้นทางออฟโรดด้วย  ซึ่งหนึ่งในสถานที่ทดสอบก็คือสนามแรลลี่ที่เวลส์ ประเทศอังกฤษ สำหรับ Aston Martin DBX มีแผนจะผลิตที่โรงงานแห่งใหม่ของบริษัทที่ฐานทัพอากาศ St Athan

   Matt Becker หัวหน้าวิศวกรของ Aston Martin บอกว่า DBX ถือว่าเป็นรถที่แปลกใหม่กว่ารุ่นอื่นๆในค่าย พวกเขาจะทำการทดสอบในทุกสภาวะและทุกพื้นที่เพื่อให้แน่ใจว่ารถคันนี้จะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่คุ้มค่าสมกับเป็นแบรนด์ Aston Martin เช่นเดียวกับผู้บริหารใหญ่อย่าง Aston Martin อย่าง Andy Palmer ก็ได้บอกว่า DBX นั้นจะไม่ใช่แค่ SUV ธรรมดา มันยังเป็นรถรุ่นแรกที่จะผลิตขึ้นในโรงงานแห่งใหม่ที่ St Athan ถือว่าเป็นการเริ่มต้นของยุคใหม่ที่กล้าหาญในประวัติศาสตร์อันยาวนานของบริษัท 

  ทางด้านขุมพลังนั้นคาดว่าจะมีให้เลือกทั้งเครื่องเบนซิน V8 4.0 ลิตรและ V12 5.2 ลิตร โดยการเปิดตัวนั้นจะมีขึ้นช่วงกลางถึงปลายปีหน้า



ที่มา Carscoops

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ส่องสเปค Toyota Vios MY2019 รุ่นปรับอุปกรณ์ใหม่ก่อนเปิดตัวปีหน้า

  การมาของ Toyota Yaris ATIV ที่อัดออปชั่นและระบบความปลอดภัยกระหน่ำจนรุ่นพี่อย่าง Vios ต้องอาย รวมทั้งการตั้งราคาขายเว่อร์วังเกินข้าวของที่ติดรถมา ทำให้ดูเหมือนว่า Toyota พยายามจะลดบทบาทของ Vios ลง และไปเน้นขาย ATIV แทน จนหลายคนอาจจะเลยเถิดคิดไปว่า Toyota คงจะไม่ทำ Vios ต่อแล้ว

  แต่ล่าสุดทาง Car News Update ก็เพิ่งได้ข่าวจากวงในว่า Toyota จะมีการปรับอุปกรณ์ให้กับ Vios ใหม่ในช่วงปี 2019 หรือปีหน้านั่นเอง ซึ่งจากรายละเอียดการปรับเปลี่ยนนั้นก็ค่อนข้างน่าสนใจพอสมควร

  ความน่าสนใจคือ Toyota Vios MY2019 (Model Year 2019) จะทำการปรับลดรุ่นย่อยลงและจัดชื่อรุ่นย่อยใหม่ ซึ่งจากเดิมนั้น Vios จะมีทั้งหมด 4 รุ่นย่อยคือ 
- 1.5 J
- 1.5 E
- 1.5 G
- 1.5 S
แต่ในรุ่นใหม่ MY2019 จะปรับลดลงเหลือทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ได้แก่
- Entry
- Mid
- High
สำหรับอุปกรณ์มาตรฐานคร่าวๆที่ติดตั้งในรถจะมีดังต่อไปนี้
รุ่น Entry 
- รุ่นเริ่มต้น อุปกรณ์จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงจาก 1.5 J รุ่นปัจจุบัน

รุ่น Mid (พื้นฐานน่าจะมาจากรุ่น 1.5 G ในปัจจุบัน) สิ่งที่เพิ่มเติมจากรุ่น Entry
- ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์พร้อม LED Light Guiding
- LED Daytime Running Lights
- ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ
- สวิตซ์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย
- วัสดุหุ้มเบาะ หนังและหนังสังเคราะห์สีดำ
- เครื่องเสียงหน้าจอสัมผัส พร้อม Bluetooth และระบบ T-Link
- กล้องมองหลัง

 
รุ่น High (พื้นฐานน่าจะมาจากรุ่น 1.5 S ในปัจจุบัน) สิ่งที่เพิ่มเติมจากรุ่น Mid
- ไฟตัดหมอกหน้า LED
- กล้องบันทึกภาพหน้ารถ
- วัสดุหุ้มเบาะ หนังและหนังสังเคราะห์สีดำ
- เบาะนั่งคู่หน้าทรงสปอร์ต
- ระบบ Smart Entry และ Push Start
- สัญญาณกะระยะถอยหลัง

--ระบบเชื่อมต่อ T-Link--
- เชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือกับเครื่องเสียงบนรถยนต์ พร้อมภาพแสดงผล
- ระบบทั้งระบบ iOS และ Android
- สามารถใช้งาน Application นำทาง เช่น Google Maps , Waze และฟังเพลงชั้นนำจากโทรศัพท์มือถือได้ ผ่านแอพ เช่น Joox , Spotify หรือ Youtube Music

   สำหรับรายละเอียดเครื่องยนต์และระบบความปลอดภัยคงไม่ต้องพูดถึงเพราะเหมือนเดิมทุกประการ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมแต่อย่างใด คาดว่าการเปิดตัว Toyota Vios MY2019 จะมีขึ้นช่วงราวๆเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2019 หากมีความคืบหน้า ทาง Car News Update จะแจ้งให้ทราบอีกครั้งครับ

เรียบเรียงโดย Car News Update 

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ชม Porsche 718 T Boxster / Cayman คุณอ๊บเวอร์ชั่นไล่เบา

  ค่ายสปอร์ตหน้ากบ Porsche ได้ทำการแนะนำ 2 รถสปอร์ตอย่าง  Porsche 718 T Boxster และ Cayman รุ่นย่อยสุดพิเศษที่หั่นอุปกรณ์หลายอย่างที่ไม่จำเป็นเพื่อให้รถมีน้ำหนักตัวที่เบาขึ้นนั่นเอง

  ขุมพลังของรถจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จ มากับพละกำลังสูงสุดที่ 300 แรงม้า (PS) พร้อมแรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตร มีทางเลือกระบบส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดหรือเกียร์อัตโนมัติ PDK ก็ได้

   อัตราเร่งจาก 0-96 กม./ชม. สามารถทำได้ใน 4.9 วินาทีสำหรับรุ่นเกียร์ธรรมดา ในขณะที่เกียร์อัตโนมัติ PDK นั้นจะเร็วกว่า 0.2 วินาที และเมื่อใช้โหมด Sport Plus อัตราเร่งจาก 0-96 กม./ชม. จะใช้เวลาเพียง 4.5 วินาทีก่อนทะยานไปสู่ความเร็วสูงสุดที่ 275 กม./ชม.

    718 T ทั้งสองตัวถังจะมีระบบช่วงล่างพิเศษ Porsche Active Suspension Management system  ซึ่งช่วยลดความสูงของรถลงอีก 20 มม. รูปแบบยังมีการติดตั้งระบบ Active Engine Mounts , เฟืองท้ายด้านหลัง Locking Rear Differential และเทคโนโลยีการควบคุมแรงบิด Torque Vectoring

   การเปลี่ยนแปลงภายนอกของ Porsche 718 T จะมีแค่นิดหน่อยเท่านั้น มีความโดดเด่นด้วยฝาครอบกระจกมองข้างสี Agate Gray และล้อขนาด 20 นิ้วเคลือบด้วยไทเทเนียมสีเทามันวาวสูง และยังมีชุดท่อไอเสียแบบสปอร์ตสีดำ ปิดท้ายด้วยแถบด้านข้างตัวถังที่มีสัญลักษณ์ “718 Boxster T” หรือ“ 718 Cayman T”

   การเปลี่ยนแปลงภายในจะพร้อมกับพวงมาลัยใหม่ดีไซน์สปอร์ตขึ้น เบาะนั่งแบบสปอร์ตสีดำที่มีการปัก สัญลักษณ์ "718" ไว้บนพนักพิงศีรษะ ผู้ขับขี่จะพบกับการตกแต่งสีดำมันวาวรอบคัน มือจับประตูภายในถูกแทนที่ด้วยสายดึงประตูเพื่อลดน้ำหนัก และแผ่นสคัพเพลทที่มีสัญลักษณ์ “Boxster T” หรือ“ Cayman T”

   ไฮไลต์เด็ดของคันนี้คือการไล่เบาแบบสุดๆ ด้วยการโละระบบอินโฟเทนเมนต์หน้าจอสัมผัสออกไป แต่ลูกค้าสามารถเลือกติดตั้งเพิ่มได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม

  สำหรับราคาค่าตัวของ Porsche 718 T Boxster และ Cayman ยังไม่มีการประกาศออกมาครับ

ที่มา Carscoops

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ส่อง Bentley Continental GT Convertible เปิดประทุนสุดหรูจากค่ายผู้ดี

  หนึ่งในรถสปอร์ตหรูเปิดประทุนที่น่าสนใจจากค่ายรถหรูแดนผู้ดี Bentley Continental GT Convertible กับรูปโฉมที่ดูสวยงามหรูหราน่าสัมผัสไม่แพ้เวอร์ชั่น Coupe หลังคาแข็งเลย
  
   ด้วยหลังคาผ้าใบที่สามารถพับเก็บได้ด้วยเวลา 19 วินาทีที่ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 50 กม./ชม. โดยหลังคาสามารถเลือกสีหลังคาได้ทั้งหมด 7 สีแ ตัวหลังคายังทำจากผ้า authentic tweed ให้เลือกเป็นครั้งแรกอีกด้วย ซึ่งผ้าชนิดนี้ยังมีคุณสมบัติในการเก็บเสียงด้วย ส่งผลให้ Continental GT Convertible มีภายในห้องโดยสารที่เงียบสงบไม่ต่างจาก Coupe เลย

   นอกจากนี้ Continental GT Convertible ยังมีระบบให้ความอบอุ่นที่ต้นคอ Neck Warmer ที่เงียบและมีความอุ่นกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ ซึ่งระบบนี้ติดตั้งบนเบาะนั่งที่สามารถปรับระดับได้ 20 ทิศทาง 

 ดีไซน์ภายนอกไม่ต้องพูดถึงอะไรมากเพราะไม่ได้ต่างจาก Coupe เลย ต่างแค่หลังคาที่เป็นแบบผ้าใบเท่านั้น เช่นเดียวกับภายในห้องโดยสารที่ไม่ได้มีอะไรต่าง มีฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวกครบครันเหมือนเดิม โดยประกอบด้วยพวงมาลัย เบาะนั่งและที่วางแขนพร้อมฟังก์ขั่นปรับอุ่น นอกจากนี้ยังมีแผงหน้าปัดดิจิตอลรวมทั้งจอแสดงผลความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้วที่สามารถซ่อนเก็บได้บริเวณกลางแดชบอร์ด


  แน่นอนว่าขุมพลังยังคงติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน W12 ความจุ 6.0 ลิตรที่คุ้นเคย มากับพละกำลังสูงสุด 635 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 900 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 8 สปีด อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.8 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 333 กม./ชม. ด้วยหลังคาที่หายไปจึงทำให้รถต้องเสริมความแข็งแรงเพิ่มจนมีน้ำหนักมากกว่ารุ่น Coupe อยู่ที่ 160 กิโลกรัม โดยน้ำหนักรถคันนี้จะอยู่ที่ 2,414 กิโลกรัม

   ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรถเปิดประทุนที่สวยงามไม่น้อยเลย 

ที่มา Carscoops

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2561

Nissan Maxima Minor Change ปรับโฉมซีดานรุ่นใหญ่แดนมะกัน

   ข้ามทวีปมาดูฝั่งตลาดรถสหรัฐฯ ในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานั้น ได้มีการเปิดตัว Nissan Maxima Minor Change (ซีดานหรูรุ่นใหญ่ผู้เป็นรุ่นพี่ของ Altima) ที่มีการปรับทั้งดีไซน์และเทคโนโลยีให้มีความทันสมัยมากขึ้น

  ด้วยภายนอกที่มากับกระจังหน้าทรง V-Motion ขนาดใหญ่โตขึ้นกว่าเดิม ไฟหน้า LED ที่ปรับรายละเอียดในโคมใหม่ เช่นเดียวกับกันชนหน้าที่ออกแบบใหม่พร้อมกับกรอบไฟตัดหมอกใหม่ รวมทั้งด้านท้ายที่ปรับปรุงรายละเอียดไฟท้ายและกันชนท้ายใหม่ ท่อไอเสีย 4 ท่อ ข้างละ 2 ท่อซ้าย-ขวา สำหรับเกรด SR จะมีการติดตั้งสปอยเลอร์ท้ายมาให้ด้วย

  ใน Maxima Minor Change ยังมีการพัฒนาล้อสี Hyper Silver สำหรับเกรด Platinum ซึ่งมีขนาด 19 นิ้วและเพิ่มสีตัวถังใหม่ สีส้ม Sunset Drift อีกด้วย

  ภายในห้องโดยสารจะมีการปรับปรุงเบาะนั่งใหม่ บุเสา A และผิวเพดานหลังคารถด้วยสีดำชาร์โคลในเกรด SR และ Platinum เข้ามาภายในจะพบกับแผงหน้าปัดใหม่ รูปแบบตกแต่งแผงประตู, พวงมาลัย, ลักษณะการตัดเย็บ, วัสดุเบาะนั่ง , การตกแต่งช่วงเสาและเพดานภายในรถจะแตกต่างกันไปตามระดับเกรดที่ลูกค้าเลือกซื้อ รุ่นย่อยที่เหนือ Maxima S ขึ้นไปจะติดตั้งระบบวิทยุดาวเทียม SiriusXM ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่พร้อมคุณสมบัติอัตโนมัติขั้นสูง และ มีระบบนำทางแบบ Door to Door Navigation

  Nissan Maxima Minor Change จะมีการติดตั้งชุดระบบความปลอดภัย Safety Shield 360 ที่ประกอบด้วยระบบเบรกอัตโนมัติพร้อมตรวจจับคนเดินถนน  Automatic Emergency Braking with Pedestrian Detection , ระบบเตือนมุมอับสายตา Blind Spot Warning , ระบบแจ้งเตือนขณะถอยหลัง Rear Cross Traffic Alert , ระบบเตือนไม่ให้รถออกนอกเลน Lane Departure Warning , ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ High Beam Assist และระบบช่วยเบรกอัตโนมัติขณะถอยหลัง Rear Automatic Braking ซึ่งระบบนี้จะมีในรุ่น Platinum ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ SR Premium Package

  ภายใต้ห้องเครื่องจะมากับขุมพลังเบนซิน 3.5 ลิตร V6 พละกำลังสูงสุด 300 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 353 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ Xtronic CVT 

  Nissan Maxima Minor Change มีราคาเริ่มต้นที่ 33,950 จนถึง 41,440 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,101,000 - 1,344,000 บาท) และแน่นอนว่ารุ่นนี้ไม่มีขายในไทยครับ

ที่มา Carscoops / Carscoop_1

วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2561

Audi SQ2 ครอสโอเวอร์เล็กพริกขี้หนู พละกำลัง 300 แรงม้า 0-100 กม./ชม. ใน 4.8 วินาที

  ค่ายสี่ห่วง Audi ได้เปิดเผยรายละเอียดของครอสโอเวอร์น้องเล็กตัวแรงอย่าง Audi SQ2  ซึ่งก็ได้ทำการเปิดให้ลูกค้าในยุโรปสั่งซื้อเป็นที่เรียบร้อย

  ขุมพลังของรถจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร TFSI พละกำลังสูงสุด 300 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตรที่รอบ 2,000-5,200 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ S-Tronic 7 สปีดพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียง 4.8 วินาทีเท่านั้น ส่วนความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม.

  ภายนอกของ Audi SQ2 จะมากับกระจังหน้าแบบเส้นตรงแนวตั้ง 8 แถว กันชนหน้าดีไซน์ใหม่ที่มีความดุดันมากขึ้น ชุดตกแต่งรอบคันทั้งบริเวณกันชนหน้า-หลังและด้านข้าง ชุดสปอยเลอร์ดีไซน์ใหม่ ครีบรีดอากาศที่กันชนท้าย ท่อไอเสีย 4 ท่อ ฝั่งละ 2 ท่อซ้าย-ขวา

  Audi ยังนำเสนอแพ็คเกจการตกแต่งภายนอกอีกรูปแบบให้กับลูกค้า นั่นคือ "Black Styling Package" ซึ่งจะมากับการตกแต่งรอบคันด้วยสีดำ Gloss Black ในหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของกันชนหน้า-หลัง ด้านข้างรถ กระจกมองข้าง และยังมากับสปอยเลอร์ดีไซน์พิเศษ พร้อมโลโก้ Quattro บริเวณด้านข้างตัวถัง

 Audi SQ2 จะมากับล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วพร้อมยางขนาด 235/45 นอกจากนี้ยังมีล้อขนาด 19 นิ้วพร้อมยาง 235/40 เป็นออปชั่น เบรกด้านหน้าจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 340 มิลลิเมตรและ 310 มิลลิเมตรที่ด้านหลัง ตัวรถจะเตี้ยกว่ารุ่นปกติ 20 มิลลิเมตร  และยังมากับพวงมาลัยแบบแปรผันที่ปรับแต่งเฉพาะสำหรับ SQ2 , มีการปรับปรุงเกียร์ใหม่ให้ตอบสนองการขับขี่ได้ดีมากขึ้น

   สำหรับภายในจะมีการตกแต่งให้ดูสปอร์ตน่าเกรงขามมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่งแบบสปอร์ตและพวงมาลัยทรงใหม่ ตกแต่งภายในด้วยวัสดุอะลูมิเนียมขัดเงาพร้อมโทนสีภายในแดง-ดำ และยังมาออปชั่นที่ต้องจ่ายเพิ่มอย่างแผงหน้าปัดแบบดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้วที่มีโหมดหน้าจอเฉพาะรุ่น SQ2 นอกจากนี้ยังมากับระบบ Infonainment MMI พร้อมหน้าจอขนาด 8.3 นิ้วที่รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto, Voice control, LTE และ Wi-Fi hotspot อื่น ๆ

  การส่งมอบ Audi SQ2 สำหรับลูกค้าชาวยุโรปจะเริ่มขึ้นช่วงต้นปี 2019

ที่มา Carscoops

Like Box