วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2560

ชมโฉม 2017 Toyota Hilux TRD เวอร์ชั่นออสเตรเลีย

  ในขณะที่ Toyota เมืองไทยยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรกับกระบะ Hilux Revo เลยตอนนี้ ล่าสุด Toyota Australia ได้ทำการเปิดตัว Toyota Hilux ที่มาพร้อมแพ็คเกจชุดแต่ง TRD รอบคัน โดยมีราคาค่าตัวของเริ่มต้นที่ 58,990 ดอลลาร์

   ตัวถังภายนอกมีให้เลือกแค่ สีดำ และ สีขาว ชุดแต่งรอบคันถูกพัฒนาขึ้นโดย Toyota Racing Development (TRD) ส่วนรายละเอียดด้านเครื่องยนต์นั้นยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง นั่นก็คือเครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร พละกำลัง 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 420 นิวตัน-เมตร

   Toyota Hilux TRD ของออสเตรเลียใช้พื้นฐานของรุ่นท็อปสุด SR5 คนไทยหลายคนอาจจะคุ้นตาเพราะดีไซน์นั้นก็เหมือนกับชุดแต่ง TRD ที่ขายในไทยเลย ภายนอกก็จะมีการติดตั้งกระจังหน้าใหม่สีดำที่ค่อนข้างดุดัน มีชุดตกแต่งกันชนด้านหน้าสีดำพร้อมแผ่นกันกระแทกด้านล่างใต้กันชนสีแดง และยังมีการตกแต่งซุ้มล้อสีดำ กระบะท้ายก็มีการติดตั้งสปอร์ตบาร์มาให้ จุดที่แตกต่างก็เห็นจะเป็นบริเวณประตูที่มีการเสริมคิ้วสีดำบริเวณชายล่างขอบประตู ผ้าใบปิดด้านท้ายและที่ครอบไฟท้ายสีดำ รวมทั้งล้ออัลลอยลายสปอร์ตสีดำขนาด 18 นิ้ว ส่วนภายในห้องโดยสารก็จะมีพรม TRD และ หัวเกียร์ TRD ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ

   Tony Cramb ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารและการขายของ Toyota Australia ให้เหตุผลว่า ที่นำรุ่น SR5 มาเป็นพื้นฐานการตกแต่ง TRD Package ก็เพราะว่ารุ่นนี้มียอดขายที่สูงกว่าครึ่งในบรรดารถขับเคลื่อน 4 ล้อของ Hilux รุ่นอื่นๆทั้งหมด

   Toyota Hilux TRD มีฟังก์ชันต่างๆซึ่งมีในตัว SR5 อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นระบบปรับสภาพบรรยากาศ Climate Control,ระบบนำทางผ่านดาวเทียม, รองรับแอพพลิเคชั่น Toyota Link,เบาะคนขับปรับไฟฟ้า, วิทยุเครื่องเสียง DAB, Bluetooth และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน

   อย่างอื่นก็จะมีเฟืองท้ายแบบ Diff-Lock ส่งถ่ายทอดกำลังขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยระบบอิเล็กทรอนิค ถุงลมนิรภัย 7 ใบ,ไฟหน้า LED ปรับระดับสูงต่ำอัตโนมัติ,ปุ่มสตาร์ทและ Smart Entry,ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน และ ระบบช่วยลงเขา

   Toyota Hilux TRD ของออสเตรเลียมีราคาเริ่มต้นที่ 58,990 ดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 1,559,086 บาทในรุ่นเกียร์ธรรมดาสีขาว ส่วนสีดำจะเพิ่มราคาเป็น 59,540 ดอลลาร์ออสเตรเลีย หริอประมาณ 1,573,622 บาท ส่วนออปชั่นเกียร์อัตโนมัติจะต้องเพิ่มเงินอีก 2,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 52,859 บาท
   
ที่มา Caradvice
 มาร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่นี่ครับ 

วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2560

Toyota Hilux Tonka Concept ต้นแบบสุดเท่จากแดนจิงโจ้

    Toyota Australia และบริษัท Tonka ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถบรรทุกของเล่นได้ร่วมกันสร้างสรรค์รถต้นแบบตกแต่งพิเศษ โดยใช้กระบะ Toyota Hilux มาตกแต่งเพิ่ม มาในนาม "Toyota Hilux Tonka Concept"

   พื้นฐานต้นแบบสุดพิเศษนี้มาจาก Toyota Hilux Double Cab ใช้โทนสีการตกแต่งรอบคันเป็นสีเหลืองและสีดำ ภายนอกออกแบบกระจังหน้าให้ดุดันขึ้น ฝากระโปรงใหม่ที่ดูนูนและมีช่องดักลมในตัว ออกแบบชุดแต่งรอบคันทั้งกันชนหน้า โป่งล้อ และกันชนท้ายให้ดูมีความเป็นออฟโรดขาลุยมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีไฟ LED Light Bar ติดตั้งบนหลังคา สปอยเลอร์ที่กันชนท้าย ล้อออฟโรดหุ้มด้วยยางขนาด 35 นิ้ว

   ตัวรถถูกยกให้สูงขึ้นอีก 150 มิลลิเมตร เพิ่มความแข็งแรงให้กับระบบกันสะเทือน รวมทั้งติดตั้งแผ่นกันกระแทกใต้กันชนเพิ่มความหนาอีก 6 มิลลิเมตร ป้องกันเศษหินหรือดินกระเด็นเข้าไปโดนชิ้นส่วนสำคัญในรถ และยังติดตั้งบันไดข้างสไตล์ออฟโรดสีดำมาให้

   ขุมพลังยังคงเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร พละกำลัง 174 แรงม้า พร้อมแรงบิด 420 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดาหรือเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด

  Toyota Hilux Tonka Concept ยังเป็นแค่ต้นแบบที่ตกแต่งขึ้นมาเล่นๆเพื่อนำมาโชว์ที่งานแสดงสินค้าทั่วประเทศออสเตรเลียเท่านั้น ไม่ได้มีแผนการผลิตขายแต่อย่างใด

ที่มา Carscoops
 มาร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่นี่ครับ 

เปิดตัวแล้วในไทยกับ Mazda CX-3 MY2017 ปรับอุปกรณ์ใหม่ตามรุ่นพี่รุ่นน้อง

   ภายในงาน Bangkok Motor Show 2017 ที่กำลังจะเริ่มขึ้นนั้นทาง Mazda ได้ทำการเปิดตัว Mazda CX-3 รุ่นปรับอุปกรณ์ใหม่ปี 2017 ที่ได้ทำการปรับปรุงและเพิ่มเติมระบบต่างๆให้ครบครันมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการปรับตามรุ่นพี่รุ่นน้องอย่าง Mazda 2 และ 3 นั่นเอง

   ดีไซน์ภายนอกไม่ได้มีการปรับอะไรเพิ่มเติม นอกจากการย้ายตำแหน่งไฟเลี้ยวบริเวณกระจกมองข้างใหม่เท่านั้น การเปลี่ยนแปลงจะอยู่ในห้องโดยสาร ซึ่งจะมีการเปลี่ยนชุดมาตรวัดใหม่ และพวงมาลัยดีไซน์ใหม่ รวมทั้งเปลี่ยนการแสดงรายละเอียดจอ Active Driving Display ให้แสดงผลแบบสีสวยงามขึ้น เหมือนเช่นใน Mazda 2 และ Mazda 3 ปี 2017 ส่วนในรุ่นบนๆนั้นจะมีการเพิ่ม Paddle Shift เข้ามาให้ด้วย นอกนั้นก็ยังคงเหมือนๆเดิม

   ขุมพลังก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนอะไร ซึ่งก็จะมี
- เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร SkyActiv-G แบบแถวเรียง 4 สูบ 16 วาล์ว มากับพละกำลัง 156 แรงม้าที่ 156 แรงม้าที่ 1,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 204 นิวตัน-เมตรที่ 2,800 รอบ/นาที สามารถรองรับเชื้อเพลิง E85 ได้
- เครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตร SkyActiv-D เทอร์โบแปรผัน 4 สูบ 16 วาล์ว มากับพละกำลัง 105 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 270 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,500 รอบ/นาที
ทั้งหมดนี้ส่งกำลังด้วยเกียร์ SKYACTIV-DRIVE อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมแมนนวลโหมด Active Matic และทั้งหมดเป็นระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้าเท่านั้น ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ไม่มีให้เลือก


  สำหรับระบบความปลอดภัยนั้น เป็นอีกจุดที่มีการเพิ่มเติมเข้ามาหลายรุ่นด้วยกัน และยังคงจัดเต็มเช่นเดิม โดยมีระบบต่างๆดังนี้ (รุ่นที่ไม่มีตัวหนังสือวงเล็บสีแดงข้างหลังแปลว่าระบบนี้มีทุกรุ่นย่อย)
เซ็นเซอร์กะระยะถอยหลัง (รุ่น 2.0 S ขึ้นไป)
กล้องมองหลัง (รุ่น 2.0 C ขึ้นไป)
*ใหม่ระบบไฟหน้า LED  อัจฉริยะ ALH (Adaptive LED Headlamps) (รุ่น 2.0 SP และ 1.5 XDL)
ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ABSM (Advanced Blind Spot Monitoring) (รุ่น 2.0 SP และ 1.5 XDL)
ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน LDWS (Lane Departure Warning System) (รุ่น 2.0 SP และ 1.5 XDL)
ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic (รุ่น 2.0 SP และ 1.5 XDL)
*ใหม่ ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติ SCBS (Smart City Brake Support) (รุ่น 2.0 SP และ 1.5 XDL)
*ใหม่ ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง SCBS-R (Smart City Brake Support-Reverse) (รุ่น 2.0 SP และ 1.5 XDL)
*ใหม่ ระบบช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ DAA (Driver Attention Alert) (รุ่น 2.0 SP และ 1.5 XDL)
*ใหม่ ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ SBS (Smart Brake Support) (รุ่น 2.0 SP และ 1.5 XDL)
*ใหม่ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ MRCC (Mazda Radar Cruise Control) (รุ่น 2.0 SP และ 1.5 XDL)
ระบบควบคุมความเร็วคงที่ (Cruise Control) (รุ่น 2.0 C ขึ้นไป)
ระบบควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ DSC (Dynamic Stability Control)
ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
ระบบช่วยออกตัวของรถขณะอยู่บนทางลาดชัน HLA (Hill Launch Assist)
ระบบป้องกันล้อล็อก 4W-ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD
ระบบควบคุมเกียร์ AAS (Active Adaptive Shift)
ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินเตือนอัตโนมัติ เมื่อเบรกกะทันหัน ESS (Emergency Signal System)
*ใหม่ - ระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง G-Vectoring Control
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า SRS 
ถุงลมนิรภัยด้านข้างสำหรับผู้โดยสารตอนหน้าและม่านถุงลมนิรภัย (รุ่น 2.0 SP และ 1.5 XDL)

   Mazda CX-3 MY2017 มีให้เลือกทั้งหมด 7 สีด้วยกัน โดยมีสีใหม่เพิ่มเข้ามาคือ สีน้ำเงิน Eternal Blue  ส่วนสีอื่นๆก็จะมีสีแดง Soul Red สีขาว Ceramic White สีขาวมุก Snow Flake White Pearl สีน้ำตาล Titanium Flash สีดำ Jet Black และ สีเทา Meteor Grey

  Mazda CX-3 MY2017 ยังคงมีทางเลือก 5 รุ่นเช่นเดิม ได้แก่
- รุ่น 2.0 E ราคา 835,000 บาท (ราคาเดิม)
- รุ่น 2.0 C ราคา 910,000 บาท
 (ราคาเดิม)
- รุ่น 2.0 S ราคา 975,000 บาท
 (ราคาเดิม)
- รุ่น 2.0 SP ราคา 1,083,000 บาท (ราคาเพิ่ม 38,000 บาท)
- รุ่น 1.5 XDL ราคา 1,193,000 บาท (ราคาเพิ่ม 38,000 บาท)


 มาร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่นี่ครับ 

วันอังคารที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2560

หลุด Toyota Harrier Minor Change ก่อนเปิดตัวในญี่ปุ่นมิถุนายนนี้

   Toyota มีแผนที่จะแนะนำ Toyota Harrier Minor Change ในตลาดญี่ปุ่นช่วงเดือนมิถุนายนปีนี้ และจะเปิดให้ลูกค้าชาวญี่ปุ่นจองได้ในช่วงปลายเดือนเมษายนนี้ แต่ล่าสุดก็มีภาพหลุดแคตตาล็อคของ Harrier Minor Change มาให้เราได้เห็นกันแล้ว

   การเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดนั่นคือบริเวณกันชนหน้าที่มีการออกแบบตามสไตล์ของ Toyota ยุคใหม่ ดีไซน์กันชนชวนให้นึกถึง Toyota Camry 2015 และ Vios 2017 รวมทั้งมีการปรับรายละเอียดกระจังหน้าใหม่ ย้ายตำแหน่งไฟตัดหมอก และมากับไฟหน้า LED ใหม่พร้อม Sequential Turn Indicators อีกทั้งยังมีล้ออัลลอยลายใหม่มาให้ด้วย ส่วนภายในห้องโดยสารนั้นคาดว่าจะเปลี่ยนจอสัมผัสกลางใหม่จากขนาด 8 นิ้วเป็น 9.2 นิ้ว

   ขุมพลังนั้นก็น่าจะใช้เครื่องยนต์เบนซินรหัส 3ZR-FAE ความจุ 2.0 ลิตร N/A ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i ตามด้วยเครื่องยนต์เบนซินรหัส 2AR-FXE ความจุ 2.5 ลิตร พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบไฟฟ้า และนอกจากนี้ยังมีข่าวว่า Toyota จะแนะนำเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จใหม่ด้วย โดยจะมากับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และขับเคลื่อน 4 ล้อ

   สำหรับระบบความปลอดภัยก็จะทำการติดตั้งชุดระบบ Toyota Safety Sense P เพิ่มเติมอันประกอบด้วย ระบบตรวจจับยานพาหนะ Vehicle Detection, ระบบตรวจจับคนเดินเท้า Pedestrian Detection, ระบบช่วยปรับพวงมาลัย Steering Assist Function, Dynamic Radar Cruise Control, และระบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบ Full-Speed Range Dynamic Radar Cruise Control

   ส่วนเมืองไทยก็รอให้ญี่ปุ่นเปิดตัวสักพัก ก็น่าจะมีเกรย์มาร์เก็ตนำเข้ามาขายครับ

ที่มา Indianautosblog
   
 มาร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่นี่ครับ 

วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560

Toyota Sienna Minor Change มินิแวนขายดีของอเมริกาปรับโฉมแล้ว

  ที่เมืองไทยมี Mini MPV สุดแนวอย่าง Toyota Sienta วางขายอยู่ แต่ในตลาดอเมริกา Toyota ก็มี Minivan คันใหญ่ในชื่อ Sienna วางขาย (ชื่อแอบคล้าย Sienta ฉะนั้นอย่าสับสนกัน) และล่าสุด Toyota ในอเมริกาเพิ่งทำการปรับโฉมหน้าให้กับ Minivan ขายดีของพวกเขา


   ดีไซน์ภายนอกมีตามแนวการออกแบบ Keen Look ของ Toyota มีการปรับดีไซน์กระจังหน้าและกันชนหน้าใหม่ให้ดูทันยุคทันสมัยกว่าเดิม ในรุ่น Limited (คันสีน้ำเงิน) จะมาแนวเรียบหรูดูดี ส่วนรุ่น SE (คันสีดำ) จะมาแนวดุดันและสปอร์ต ตะแกรงกันชนหน้าจะดีไซน์คล้ายคลึงกับ Camry 2018 

   ภายในห้องโดยสารยังคงดีไซน์เดิมไม่เปลี่ยนแปลง ติดตั้งระบบอินโฟเทนเมนต์ Entune 3.0 ของ Toyota มาพร้อมกับระบบนำทางและ  App Suite Connect เป็นมาตรฐาน สำหรับเกรด LE,SE และ XLE จะมีระบบอินโฟเทนเมนต์ Entune Audio Plus พร้อม Safety Connect และรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi Connect hotspot เต็มอิ่มความบันเทิงจากลำโพงของ JBL สำหรับรุ่นท็อปอย่าง Limited จะมีระบบนำทางแบบ Dynamic Navigation และระบบเตือนจุดหมายปลายทาง Destination Assist มากับลำโพง 9 ตัว พร้อมซับวูฟเฟอร์ขนาด 10.1 นิ้ว ระบบเสียงแบบ Sound Staging และ Clari-Fi Technology


   สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆก็จะมีช่องเสียบ USB 5 จุดที่เบาะแถว 3 ปรับปรุงระบบความบันเทิงแถวหลังให้รองรับการเชื่อมต่อและสตรีมมิ่งกับระบบ Android ส่วนรุ่นบนอย่าง Limited จะมีกล้องถอยหลังแสดงภาพแบบ Bird’s Eye View และจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ขนาด 4.3 นิ้ว

   สำหรับขุมพลังจะใช้เครื่องเบนซินความจุ 3.5 ลิตร V6 พละกำลัง 296 แรงม้าที่ 6,600 รอบต่อนาทีและ แรงบิดสูงสุด 357 นิวตัน-เมตร ที่ 4,700 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด มีให้เลือกทั้งระบบขับเคลื่อนล้อหน้าและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD

   สำหรับระบบความปลอดภัยของรถจะมีการติดตั้งชุดระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense P ที่ประกอบด้วย ระบบ Pre-Collision System (PCS)  ซึ่งประกอบด้วยระบบป้องกันการชนพร้อมสัญญาณตรวจจับคนเดินถนน Pre-Collision System (PCS) with Pedestrian Detection, ระบบควบคุมอัตโนมัติแบบ  Dynamic Radar Cruise Control (DRCC) , ระบบเตือนไม่ให้ออกนอกเลน Lane Departure Alert (LDA) พร้อมระบบช่วยเลี้ยว และระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ  Automatic High Beam (AHB)

ที่มา Paultan

 มาร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่นี่ครับ 

วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2560

มาดู Ford Ranger Wildtrak Jet Black Edition รุ่นพิเศษจากมาเลเซีย

  บริษัทที่จำหน่ายรถยนต์ Ford ในมาเลเซียอย่าง Sime Darby Auto ConneXion (SDAC) ได้ทำการเปิดตัว Ford Ranger Wildtrak รุ่นพิเศษ Jet Black Edition ที่มากับสีตัวถัง "สีดำ Jet Black" โดยตัวรถใช้พื้นฐานของรุ่น 3.2L WildTrak Automatic 4×4 High Rider ที่จำหน่ายในมาเลเซียนั่นเอง

   การตกแต่งภายนอกก็มีเพียงแค่การติดสติ๊กเกอร์รอบคัน เป็นลายเส้นคู่สีเทาลากยาวจากฝากระโปรงหน้าจนไปถึงฝากระโปรงท้าย และยังมีสติ๊กเกอร์สีเทาบริเวณติดด้านข้างตัวถังด้วย

   สำหรับเครื่องยนต์นั้นไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไร ยังคงเป็นเครื่องดีเซล 3.2 ลิตร Duratorq TDCi 5 สูบ มากับพละกำลัง 200 แรงม้าที่ 3,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 470 นิวตัน-เมตรที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด หรือ เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด

  ภายในห้องโดยสารยังคงเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มากับชุดหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ที่มากับระบบอินโฟเทนเมนต์ของ Ford อย่าง SYNC3 ที่สามารถรองรับการเชื่อมต่อได้ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto รวมถึงแอพพลิเคชั่น Spotify, Pandora และ Google Maps+
   
   Ford Ranger Wildtrak Jet Black Edition มีราคาอยู่ที่ 141,588 ริงกิตมาเลเซีย หรือประมาณ 1,108,224 บาทไทยครับ

 มาร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่นี่ครับ 

วันเสาร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2560

All-New Honda CR-V เปิดตัวแล้วในไทยกับการแนะนำขุมพลังดีเซล i-DTEC

   ปีนี้จัดว่าเป็นอีกหนึ่งปีทองของ Honda ที่ในช่วงปีนี้มีการเปิดตัวรถใหม่ไปแล้วหลายรุ่นด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Honda City Minor Change หรือจะเป็น Honda Civic Hatchback และคันล่าสุดที่หลายคนต่างรอคอยการเปิดตัว นั่นก็คือ All-New Honda CR-V นั่นเอง


    นาย โนริอากิ อาเบะ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารปฏิบัติการประจำภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด และประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท เอเชี่ยน ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า ประเทศไทยนับเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของ Honda โดยเป็นฐานการผลิตและส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของ Honda ในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย ทั้งยังเป็นตลาดที่สำคัญในภูมิภาคอีกด้วย และในครั้งนี้ ประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกในภูมิภาคและเป็นประเทศที่ 3 ของโลกต่อจากสหรัฐอเมริกาและแคนาดาที่เปิดตัว All-New Honda CR-V นี้ ซึ่ง Honda CR-V เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่มีความสำคัญที่สุดรุ่นหนึ่งของฮอนด้า ด้วยการเป็นเอสยูวีที่ครองใจลูกค้าทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยยอดขายสะสมกว่า 8.7 ล้านคัน โดย Honda CR-V ใหม่ จะทำการผลิตที่โรงงานของฮอนด้าที่ จ.อยุธยา และมีแผนการส่งออกรถซีอาร์-วี (CBU) และชิ้นส่วน (CKD Sets) รวม 75,000 คัน ภายใน 1 ปี


   นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารปฏิบัติการ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “นับตั้งแต่การเปิดตัว Honda CR-V  เจเนอเรชั่นที่ 1 เข้าสู่ประเทศไทยเมื่อปี 2539 Honda CR-V นับเป็นโมเดลที่มีส่วนสำคัญในการสร้างกระแสความนิยมรถเอสยูวีให้เพิ่มขึ้นและกระจายความนิยมไปยังลูกค้าทุกกลุ่ม เพื่อเติมเต็มความต้องการของลูกค้าให้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ฮอนด้าจึงได้เปิดตัว Honda HR-V  และ Honda BR-V ซึ่งส่งผลให้ Honda ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาด SUV ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า 60% อีกทั้งทำให้ตลาด SUV เติบโตขึ้น และกลายเป็นเซ็กเมนต์ที่สำคัญของตลาดรถยนต์นั่งประเทศไทย ด้วยสัดส่วนกว่า 15% และในครั้งนี้ Honda CR-V ใหม่ เจเนอเรชั่นที่ 5 จะมาสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่รถ SUV อีกครั้ง”


   Honda CR-V โฉมใหม่จะมีดีไซน์ภายนอกที่ค่อนข้างดุดันขึ้นจากรุ่นที่แล้ว ยังคงใช้ธีมการออกแบบ Exciting H Design!!! ทุกรุ่นจะทำการติดตั้งไฟหน้าและไฟท้ายแบบ LED มาให้ ในเกรด EL จะมี ระบบไฟหน้าปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ (Auto Leveling Headlight) และระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติมาด้วย ความแตกต่างภายนอกระหว่างรุ่นเบนซินกับรุ่นดีเซลก็น่าจะเป็นไฟตัดหมอกที่รุ่นดีเซลจะมาเป็นแบบ LED 

เส้นสายด้านข้างยังคงมีกลิ่นอายจากรุ่นที่แล้วแต่ปรับให้ดูมีความโค้งมนมากยิ่งขึ้น ล้ออัลลอยจะมีให้เลือก 2 ขนาด 2 ลายตั้งแต่ 17-18 นิ้ว ส่วนด้านท้ายมีการออกแบบไฟท้ายค่อนข้างสวยงามและมีไฟท้ายแบบ LED ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น อีกหนึ่งฟังก์ชั่นที่น่าสนใจคือทุกรุ่นจะทำการติดตั้งฝากระโปรงท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ในเกรด EL จะมีความพิเศษคือ ฝาท้ายสามารถเปิดได้ด้วยระบบแฮนด์ฟรี เพียงยื่นเท้าเข้าไปแตะที่กันชนท้าย


   ภายในห้องโดยสารออกแบบคอนโซลใหม่ให้ดูทันสมัยและน่าดึงดูดมากขึ้น มากับชุดมาตรวัดแบบหน้าจอสี TFT เหมือน Honda Civic สำหรับระบบอินโฟเทนเมนต์นั้นในเกรด E จะมากับหน้าจอแสดงผลขนาด 5 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ USB AUX Bluetooth ส่วนเกรด EL จะได้ชุดหน้าจอสัมผัสแบบ Advance Touch ขนาด 7 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay รองรับการเชื่อมต่อ Smart Phone และ รองรับระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI รองรับการเชื่อมต่อ USB HDMI และ Bluetooth สำหรับรุ่นเบนซินมีการติดตั้งระบบควบคุมเสียงรบกวนเข้าห้องโดยสาร (ANC) เข้ามาให้ด้วย ไฮไลต์เด็ดของภายในสำหรับรุ่นดีเซลคือ ระบบเกียร์ Shift by Wire แทนที่คันเกียร์ด้วยปุ่มกดเลือกตำแหน่งเกียร์ ใช้กดปุ่มเพื่อเลือกโหมดเดินหน้า D หรือโหมดสปอร์ต S ถ้าจะถอยหลังก็ดันปุ่มถอยหลัง R และนอกจากนี้ทุกรุ่นจะติดตั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control มาให้


   อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของภายในห้องโดยสาร CR-V ครั้งนี้เห็นจะเป็นการติดตั้งเบาะนั่งแถวที่ 3 มาให้ ซึ่งไทยน่าจะเป็นประเทศแรกในโลกเลยก็ว่าได้ที่มีการเปิดตัว CR-V ในรูปแบบของเบาะนั่ง 3 แถว อีกทั้งยังมีระบบปรับอากาศแถวหลังและสวิตซ์ปรับความเร็วลมมาให้

   สำหรับขุมพลังของรถนั้นมีทางเลือกให้ 2 แบบด้วยกัน และนับเป็นครั้งแรกที่ Honda ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลมาให้ใน CR-V เวอร์ชั่นไทย 
- เครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC มากับพละกำลัง 173 แรงม้าที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 224 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมระบบ Shifting Control of Cornering Gravity & G Design Shift
- เครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-DTEC 2 STAGE TURBO มากับพละกำลัง 160 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร 2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด พร้อม Paddle Shift
ทุกขุมพลังมีระบบขับเคลื่อนให้เลือกทั้งแบบระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ (REAL TIME™ AWD)

  ทางด้านระบบความปลอดภัยนั้น Honda CR-V โฉมใหม่จะมีระบบต่างๆเหล่านี้มาให้ ได้แก่
ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) เฉพาะรุ่น 2.4 EL 4WD และ DT EL 4WD
ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver Attention Monitor) เฉพาะรุ่น 2.4 EL 4WD และ DT EL 4WD
ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock)
กระจกไฟฟ้านิรภัย 4 ตำแหน่ง
ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake)
ระบบ Auto Brake Hold
ถุงลมคู่หน้าอัจฉริยะ (Dual i-SRS)
ถุงลมด้านข้างคู่หน้าอัจฉริยะ (i-Side Airbags)
ม่านถุงลมด้านข้าง (Side Curtain Airbags)
ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS)
ระบบกระจายแรงเบรก (EBD)
ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA)
ระบบช่วยควบคุมการบังคับพวงมาลัย (MA-EPS)
ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA)
สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS)
ระบบเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ (Agile Handling Assist)
- ระบบล็อกประตูรถอัตโนมัติ (Auto Door Lock by Speed)


   All-New Honda CR-V จะมีสีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 5 สี ประกอบด้วย สีขาว White Orchid Pearl (เพิ่ม 12,000 บาท), ดำ Crystal Black Pearl (เพิ่มเงินอีก 8,000 บาท), เทา Modern Steel Metallic, เงิน Lunar Silver Metallic และสีใหม่ เขียว Dark Olive Metallic ที่มีให้เฉพาะรุ่น DT EL 4WD และ 2.4 EL 4WD เท่านั้น


  All-New Honda CR-V มีทางเลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อยดังนี้
เครื่องยนต๋เบนซิน
- 2.4 E ราคา 1,399,000 บาท
- 2.4 EL 4WD ราคา 1,549,000 บาท
เครื่องยนต์ดีเซล
- DT E ราคา 1,549,000 บาท
- DT EL ราคา 1,699,000 บาท

   Honda CR-V โฉมใหม่จะถูกนำไปจัดแสดงต่อสาธารณะชนภายในงาน Bangkok Motor Show 2017 ครั้งที่ 38 ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม – 9 เมษายน 2560 ที่อิมแพ็คอารีนา เมืองทองธานี กำหนดการลงโชว์รูมสำหรับรุ่นเบนซินจะมีขึ้นในวันที่ 22 เมษายน 2560 และรุ่นดีเซลในวันที่ 25 พฤษภาคมครับ

 มาร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่นี่ครับ 

วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2560

Spyshot : Volvo XC40 ครอสโอเวอร์น้องเล็กคันใหม่จากสแกนดิเนเวียน

  ค่าย Volvo มีแผนทำรถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์ขนาดเล็กในนาม XC40 และได้มีการทดสอบรถกันมานานแล้วพอสมควร ส่วนที่กำลังจะพูดถึงก็คือภาพ Spyshot ล่าสุดของรถครอสโอเวอร์น้องเล็กคันใหม่ที่กำลังวิ่งทดสอบท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเย็น

   แม้ตัวรถจะพรางอย่างหนัก แต่ดูรูปทรงคร่าวๆแล้วก็พอบอกได้ว่ารถคันนี้จะยกดีไซน์มาจากต้นแบบ Volvo 40.1 Concept โดยจะมากับไฟหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมูออกแบบรายละเอียดในโคมคล้ายๆค้อนเทพเจ้าสายฟ้าธอร์ กระจังหน้ารถออกแบบดีไซน์คล้ายรถรถตระกูล 90 ของค่าย (XC90,S90,V90) รวมทั้ง XC60 ที่เพิ่งเปิดตัวด้วย

   และแน่นอนความสิ่งล้ำๆจากต้นแบบนั้นจะหายไป อย่างกระจกมองข้างที่เป็นกล้องในต้นแบบก็จะกลายเป็นกระจกมองข้างธรรมดาแทน รวมทั้งมือจับประตูในต้นแบบก็จะถูกเปลี่ยนเป็นมือจับประตูแบบปกติเช่นกัน โดย Volvo XC40 จะเป็นรถคันแรกที่สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มใหม่ล่าสุด Compact Modular Architecture (CMA) ที่พัฒนาร่วมกับบริษัทแม่อย่าง Geely

   สำหรับขุมพลังนั้นคาดว่าจะมีให้เลือกทั้งดีเซลและเบนซิน เครื่องดีเซลก็คงจะเป็นเครื่อง Drive-E ความจุ 2.0 ลิตรที่มีอยู่แล้วในค่าย รวมทั้งเครื่องยนต์เบนซิน T5 Twin Engine ที่จะมากับความจุ1.5 ลิตร 3 สูบ ที่จะถูกจับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า รวมพละกำลังทั้งระบบ 250 แรงม้า พร้อมแรงบิด 400 นิวตัน-เมตร ส่วนรุ่นพลังงานไฟฟ้าเพียวๆอาจตามมาในปี 2020 ที่คาดว่าจะมีระยะทางวิ่งสูงสุด 350 กิโลเมตร

   การเปิดตัว All-New Volvo XC40 น่าจะมีขึ้นในงาน Auto Shanghai 2017 ที่จะจัดขึ้นปลายเดือนหน้า ส่วนการวางขายในตลาดน่าจะมีขึ้นราวๆปี 2018 คาดว่าราคาขายน่าจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 ยูโร หรือประมาณ 1,122,780 บาทครับ

ที่มา Paultan
 มาร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่นี่ครับ 

Like Box