วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2564

เจาะข้อมูลและสเปค All-New Mazda BT-50 ทั้ง 14 รุ่นย่อย มีอะไรแตกต่างบ้าง?

ข้อมูลและสเปค All-New Mazda BT-50 ทั้ง 14 รุ่นย่อย

มี 14 รุ่นย่อย ดังนี้
ตอนเดียว Standard Cab
1.9 E 553,000 บาท
ตอนครึ่ง Freestyle Cab 
1.9 C 679,000 บาท
1.9 C Hi-Racer 714,000 บาท
1.9 C Hi-Racer 6AT 768,000 บาท
1.9 S Hi-Racer 787,000 บาท
1.9 S Hi-Racer 6AT 832,000 บาท
4 ประตู Double Cab
1.9 C 771,000 บาท
1.9 S 847,000 บาท
1.9 S Hi-Racer 891,000 บาท
1.9 S Hi-Racer 6AT 936,000 บาท
1.9 SP Hi-Racer 1,012,000 บาท 
1.9 SP Hi-Racer 6AT 1,070,000 บาท
3.0 SP 4x4 1,118,000 บาท
3.0 SP 4x4 6AT 1,153,000 บาท

สเปคและออปชั่น All-New Mazda BT-50
  • ตอนเดียว ยาว 5,245 มิลลิเมตร กว้าง 1,810 มิลลิเมตร สูง 1,690 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 3,125 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้น 190 มิลลิเมตร รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 6.0 เมตร 
  • ตอนครึ่ง ยาว 5,280 มิลลิเมตร กว้าง 1,810-1,870 มิลลิเมตร สูง 1,700-1,785 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 3,125 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้น 190 มิลลิเมตร รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 6.0-6.1 เมตร 
  • 4 ประตู ยาว 5,280 มิลลิเมตร กว้าง 1,810-1,870 มิลลิเมตร สูง 1,715-1,810 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 3,125 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้น 190 มิลลิเมตร รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 6.0-6.1 เมตร 
  • ระบบเบรกหน้า : ดิสก์เบรกพร้อมครีบระบายความร้อน / เบรกหลัง : ดรัมเบรก
  • ระบบพวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียนพร้อมพาวเวอร์ช่วยผ่อนแรง
  • ระบบกันสะเทือนหน้าอิสระปีกนก 2 ชั้น คอยล์สปริง เหล็กกันโคลงพร้อมโช้คอัพ / ระบบกันสะเทือนหลังแบบแหนบแผ่นซ้อนพร้อมโช้คอัพ
  • ระบบช่วยประหยัดน้ำมัน i-STOP (เฉพาะรุ่นเกียร์อัตโนมัติ) 
ตอนเดียว Standard Cab
* เครื่องยนต์ดีเซล 1.9 ลิตร รหัส RZ4E-TC แถวเรียง 4 สูบ 16 วาล์ว VGS เทอร์โบและอินเตอร์คูลเลอร์ พละกำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,800 – 2,600 รอบ/นาที

1.9 E 553,.000 บาท

อุปกรณ์มาตรฐานภายนอก
  • ไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ LED
  • ไฟหน้าปรับระดับสูง-ต่ำได้
  • กันชนหน้าสีเดียวกับตัวรถ
  • วัสดุตกแต่งกระจังหน้าสีดำ
  • ที่ปัดน้ำฝนกระจกหน้าแบบธรรมดา
  • ล้อกระทะขนาด 15x6.5JJ 
  • ขนาดยางและยางอะไหล่ 215/70 R15
อุปกรณ์มาตรฐานภายใน
  • เบาะนั่งหุ้มไวนิล
  • เบาะนั่งด้านหน้าแถวยาว แยกพับได้ 60:40
  • พวงมาลัยยูรีเทน
  • หัวเกียร์ยูรีเทน
  • เพดานหลังคาสีเทา
  • มาตรวัดความเร็วรอบ
  • หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ MID แบบ Monochrome ขนาด 3.5 นิ้ว
  • พวงมาลัยปรับระดับได้ 4 ทิศทาง
  • ระบบปรับอากาศธรรมดา
  • ไฟในห้องโดยสาร
  • แผงบังแดดคู่หน้าแบบธรรมดา
  • ช่องเก็บของที่แผงประตู พร้อมที่วางขวด
  • ช่องจ่ายไฟสำรอง 12V
  • เครื่องเสียงแบบ 1 DIN พร้อมช่องใส่ CD/MP3 1 แผ่น
  • วิทยุ FM/AM
  • ช่องต่อ USB/AUX
  • ลำโพง 4 ตำแหน่ง
ระบบความปลอดภัย
  • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
  • ระบบลดกำลังเครื่องยนต์เพื่อช่วยเบรก BOS (Brake Override System)
  • ระบบป้องกันล้อล็อค ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบช่วยเบรก BA
  • เข็มขัดนิรภัยเบาะนั่งคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับ และผ่อนแรงอัตโนมัติ (Pre-tensioner with Load Limiter)
  • ไฟเตือนการคาดเข็มขัดนิรภัยสำหรับทุกที่นั่ง
  • พวงมาลัยยุบตัวแปรผันตามการทำงานของถุงลมนิรภัย
  • ประตูคนขับและผู้โดยสารเสริมคานเหล็กนิรภัย

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2564

รวมรถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวภายในปี 2021

   อุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2019 ที่ผ่านมานั้นอาจไม่ได้คึกคักแบบปีก่อนๆ ด้วยการมาเยือนของเชื้อ "โคโรน่าไวรัส 2019" หรือ COVID-19 ที่สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก และย่อมส่งผลกระทบต่อวงการยานยนต์ด้วย 

   โรงงานผลิตหลายโรงงานต้องปิดทำการชั่วคราวเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและการแพร่ระบาดของเชื้อโรค เช่นเดียวกับแผนการเปิดตัวรถของหลายๆค่ายที่ต้องถูกเลื่อนเปิดตัวหรือจัดเปิดตัวในรูปแบบออนไลน์แทน งานแสดงรถยนต์ครั้งใหญ่ต้องถูกเลื่อนการจัดออกไป (เมืองไทยยังโชคดีที่ได้จัด บางประเทศคือยกเลิกไปเลยก็มี) 

  จนมาถึงในปี 2021 นี้ สถานการณ์ในไทยเหมือนจะเริ่มดีขึ้น แต่ก็ต้องมาพบเจอการระบาดระลอกใหม่อีกครั้งช่วงปลายปีที่ผ่านมา ผู้ติดเชื้อหลักร้อยทุกวัน (ณ วันที่กำลังพิมพ์บทความ) ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะจบจริงๆตอนไหน ผมก็ได้แต่อุทาน เห้อออออออออ

------------------------------------------------

   ปีที่ผ่านมา คงไม่มีอะไรที่พีคไปกว่าการยุติการทำตลาดรถยนต์ของ General Motors หรือ Chevrolet ในประเทศไทยแล้ว จัดว่าเป็นข่าวใหญ่ที่สุดในปีที่ผ่านมาเลย เป็นข่าวที่แม้แต่คนใน Chevrolet ประเทศไทยก็ไม่ได้รู้ล่วงหน้า ทั้งที่พวกเขาก็มีแผนเปิดตัวรถใหม่ในไทยอีกหลากหลายรุ่น แต่แผนที่วางไว้ก็ต้องถูกพับเมื่อทางบริษัทแม่ประกาศเลิกขาย รถ Chevrolet Captiva ที่เปิดตัวไม่ถึงปีประกาศลดราคาถึง 5 แสนจนคนแห่เข้าโชว์รูมกันเยอะมากในแบบที่ไม่เคยเห็นบ่อยนักจากค่ายนี้ ส่วนโรงงาน Chevrolet นั้นก็ถูกขายให้บริษัทจีนอย่าง Great Wall Motors ซึ่งในปีนี้ พวกเขามีแผนการที่จะบุกตลาดไทยอย่างเป็นทางการแล้ว

   สำหรับในปีนี้หลังจากที่ได้พิมพ์ข้อมูลรถรุ่นใหม่ที่จะเปิดตัว คิดว่ายังเยอะและน่าสนใจเหมือนทุกๆปี และอย่างที่บอกข้างต้นครับ...ในปีนี้เราเตรียมตัวต้อนรับบริษัทน้องใหม่อย่าง Great Wall Motors ที่เราต้องมาลุ้นว่าทิศทางการทำตลาดของรถค่ายนี้ในบ้านเราจะเป็นอย่างไร บทความนี้จะพยายามรวบรวมรถใหม่ที่เปิดตัวในตลาดไทยและต่างประเทศให้ได้มากที่สุดเท่าที่ความรู้ในหัวจะมี บางรุ่นนั้นก็อาจจะไม่ได้นำเสนอในบทความนี้ (เช่น รถ K-Car หรือรถนำเข้าจากเกรย์มาร์เก็ต) รวมทั้งบางค่ายที่คุณผู้อ่านเห็นว่าอาจจะไม่มี นั่นแปลว่าไม่ทราบข่าวชัดเจนหรืออาจจะยังไม่มีความเคลื่อนไหวในปีนี้ครับ

   และต้องขอย้ำก่อนว่าช่วงเวลาเปิดตัวของรถหลายรุ่นในบทความนี้นั้นมีหลายอันที่เป็นเพียง "การคาดการณ์" เท่านั้น ไม่ได้มีกำหนดการที่ตายตัวหรือเป๊ะๆ 100% บางรุ่นก็มีกำหนดการที่แน่นอนแล้วถึงยืนยันได้ แต่ก็มีหลายรุ่นที่ยังไม่ทราบกำหนดการซึ่งแน่นอนว่าผมหรือคนอื่นๆก็ไม่สามารถจะบอกกำหนดการต่างๆได้ตรง 100% กำหนดการที่คาดการณ์นั้นอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์โลกตอนนี้

   และขอเตือนก่อนว่าบทความนี้โคตรยาว! ใช้เวลาพิมพ์สะสมเป็นเดือน
ถ้าขี้เกียจอ่านจนหมด ก็เลือกอ่านเอาเฉพาะค่ายที่เราสนใจก็ได้ แต่ถ้าใครอยากอ่านจนหมด ถ้าพร้อมแล้วก็เลื่อนอ่านกันต่อได้เลยครับ

------------------------------------------------ 
  
Aston Martin
รถใหม่ในไทย : Vantage Volante
   ค่ายรถสปอร์ตหรูอังกฤษ ปีนี้คาดว่าเราน่าจะได้เห็น Aston Martin Vantage Volante รุ่นเปิดประทุน โดยมากับหลังคาผ้าใบที่สามารถพับเก็บด้วยระบบไฟฟ้าได้ในเวลาเพียง 6.7 วินาทีเท่านั้น (กรณีรถจอดอยู่กับที่หรือใน 6.8 วินาที) ขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงสุดไม่เกิน 50 กม./ชม. ทำให้กลายเป็นรถเปิดประทุนหลังคาผ้าใบไฟฟ้าที่สามารถพับเก็บได้ที่เร็วที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์เลยก็ว่าได้

   และเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับรถเปิดประทุนที่จะมีน้ำหนักมากกว่ารถคูเป้หลังคาแข็ง โดย Vantage Roadster จะมีน้ำหนักรถมากกว่ารุ่นหลังคาแข็ง 60 กิโลกรัม มีการออกแบบกลไกหลังคาแบบ Z-fold และการค้ำรอบตัวถังรถด้วยวัสดุน้ำหนักเบารอบคันรถ

     Vantage Roadster มากับขุมพลังเดียวกับโฉมคูเป้ โดยติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน V8 เทอร์โบคู่ความจุ 4.0 ลิตรเดียวกับรถคูเป้ พละกำลังสูงสุด 510 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 685 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีดที่ถ่ายทอดกำลังไปยังล้อหลัง สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-96 กม./ชม. ในเวลา 3.7 วินาทีซึ่งช้ากว่า Vantage หลังคาแข็งเพียง 0.2 วินาที ก่อนทะยานไปสู่ความเร็๋วสูงสุด 306 กม./ชม.

  คาดว่าช่วงต้นปีนี้ อาจจะได้เห็นการเปิดตัวครับ

Audi
รถใหม่ในไทย : Q2 Minor Change / Q5 Minor Change & Q5 Sportback / A3 Sedan?
   ค่ายสี่ห่วง หลังจากที่ทำตลาดในไทยมาสักพัก ได้เสียงตอบรับจากลูกค้าเยอะพอสมควร แถมมีของน่าสนใจมาให้เชยชมทุกปี
   รถใหม่ในไทยปีนี้ คาดว่าจะมีมาเปิดตัวหลายรุ่นเช่นเคย ขอเริ่มพูดถึงที่เจ้าคันนี้ก่อนเลย คันแรก Audi Q2 Minor Change อเนกประสงค์ไซส์เล็กราคาไม่แพง ที่ปรับโฉมในตลาดโลกช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา งานออกแบบด้านหน้าได้ไฟหน้าที่ปรับปรุงรายละเอียดใหม่ โดยจะได้ไฟ LED เป็นมาตรฐาน ออกแบบรายละเอียดกระจังหน้าใหม่แบบ Singleframe 8 เหลี่ยม พร้อมกันชนหน้าใหม่ที่ดุดันขึ้น

    ด้านท้ายได้กันชนท้ายพร้อมครีบรีดอากาศดีไซน์ใหม่ แต่ไฟท้ายเดิมซึ่งสามารถเลือกได้ 2 แบบ คือ LED ปกติ กับ LED พร้อมไฟเลี้ยว Sequential ภายในห้องโดยสารปรับรายละเอียดช่องแอร์ใหม่ และหัวเกียร์ใหม่ 

  ขุมพลังคาดว่าจะใช้เครื่องเดิม นั่นคือ เบนซินความจุ 1.4 ลิตร 1,395 ซีซี. 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว พร้อมระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบฉีดตรง (direct injection) เทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 5,000-6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรที่ 1,500-3,500 รอบ/นาที คาดว่าเราน่าจะได้เห็นกันในช่วงต้นปีถึงกลางปี

   และอีกคันที่ใหญ่ขึ้นไปอีก Audi Q5 Minor Change ก็น่าจะตามมาด้วยเช่นกัน โดยมีการเปิดตัวรุ่นปรับโฉมเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ภายนอกมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของไฟหน้าทรงใหม่ ปรับปรุงรายละเอียดไฟท้ายใหม่ และไฟเลี้ยวด้านท้ายแบบ Dynamic กระจังหน้ายังเป็นแบบ Singleframe 8 เหลี่ยมที่บางลงและกว้างขึ้นตามแนวทาง Audi ยุคใหม่ มีการออกแบบขอบที่ชายประตูใหม่ และฝาท้ายยังมีคิ้วที่ลากเชื่อมไฟท้ายเข้าด้วยกันด้วย มีสีตัวถัง 2 สีใหม่คือ สีเขียว District Green และสีน้ำเงิน Ultra Blue 

ภายในห้องโดยสารมีการปรับเปลี่ยนในส่วนของจอสัมผัสใหม่ MMI ที่ขยายขนาดเป็น 10.1 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Google Android Auto แบบไร้สาย แน่นอนว่าจะเข้าคู่กับชุดหน้าปัด Audi Virtual Cockpit 12.3 นิ้ว มีการปรับ Trim การตกแต่งใหม่และการตัดเย็บเบาะใหม่ด้วย

  ขุมพลังคาดว่าจะมี 2 ทางเลือก ได้แก่
- 40 TDI ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พละกำลังสูงสุด 204 แรงม้าที่ 3,800-4,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 1,750-3,250 รอบ/นาที เครื่องตัวนี้ยังมีระบบไฮบริดขนาดเล็ก MHEV (mild hybrid system) ขนาด 12 V ที่มีส่วนช่วยให้ประหยัดน้ำมันขึ้นด้วย โดยเครื่องบล็อกนี้สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ 7.6 วินาที ท็อปสปีด 222 กม./ชม. ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติคลัตซ์คู่ 7 สปีดแบบ S Tronic
- 45 TFSI quattro ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร TFSI พละกำลังสูงสุด 262 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตร พ่วงระบบ Mild Hybrid 12V มาให้ด้วย และยังปรับปรุงอัตราเร่งให้ดีขึ้นกว่าเดิม

  คาดว่า Audi Q5 Minor Change อาจจะได้เห็นกันในช่วงกลางปีถึงปลายปีนี้

  และนอกจาก Q5 ธรรมดาแล้ว เป็นไปสูงว่าเมืองไทยจะนำเข้า Q5 Sportback มาทำตลาดเป็นทางเลือกเพิ่มเติมด้วย แน่นอนว่าคู่แข่งสำคัญคงหนีไม่พ้น BMW X4 หรือ Mercedes-Benz GLC Coupe  ตัวรถใช้พื้นฐานเดียวกับ Q5 รุ่นมาตรฐาน เพียงแต่มีการปรับปรุงรายละเอียดกันชนหน้าและกระจังหน้าให้ดูสปอร์ตขึ้น ออกแบบประตูท้ายและฝาท้ายใหม่ให้มีความลาดเทตามสไตล์รถ Coupe รวมทั้งปรับดีไซน์กันชนท้ายใหม่ให้แตกต่างอีกด้วย ส่วนภายในไม่ต่างจาก Q5 รุ่นมาตรฐาน ยกคอนโซลกันมาเลย จะต่างแค่ด้านท้ายที่สูญเสียเนื้อที่ศีรษะไปเล็กน้อยเท่านั้น

 พอมาเป็นรถทรง Coupe แบบนี้ แน่นอนว่าจะต้องสูญเสียความจุสัมภาระด้านท้ายไป โดยความจุสัมภาระท้ายรถคันนี้อยู่ที่ 510 ลิตร (น้อยกว่า Q5 รุ่นมาตรฐาน 40 ลิตร) และเมื่อพับเบาะหลังลงความจุจะเพิ่มเป็น 1,480 ลิตร (น้อยกว่า Q5 รุ่นมาตรฐาน 70 ลิตร)

  ขุมพลังก็คาดว่าจะยกกันมาจาก Q5 รุ่นพื้นฐานเลย และเราอาจจะได้เห็น Q5 และ Q5 Sportback ใหม่เปิดตัวพร้อมกันครับ เชื่อว่า Audi คงไม่พลาดที่จะเอารุ่นนี้มาขาย

   อีกหนึ่งรุ่นที่น่าลุ้นให้เอามาจำหน่ายในไทย ก็คือ Audi A3 Sedan  ด้วยความที่คู่แข่งทั้ง Mercedes-Benz A-Class Sedan และ BMW 2-Series Gran Coupe ต่างมีจำหน่ายในไทย คิดว่าทาง Audi ก็น่าจะนำเข้ารถรุ่นนี้เข้ามาจำหน่ายในบ้านเราบ้าง

  และถ้ามาไทยจริง คาดว่าขุมพลังที่ Audi จะนำเข้ามาจำหน่ายคงเป็นขุมพลังบล็อกเล็ก 35 TFSI เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 4 สูบแถวเรียง พร้อม ระบบ Mild Hybrid 48 โวลต์ พละกำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 5,000-6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรที่ 1,500-3,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ S Tronic 7 สปีดแบบ Dual Clutch อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา 8.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 232 กม./ชม. 

   สุดท้ายมารอชมครับว่า Audi จะนำเข้า A3 Sedan มาจำหน่ายหรือไม่ ถ้ามาจริงก็น่าจะเป็นช่วงต้นปีถึงกลางปีครับ

รถใหม่ในตลาดโลก (และบางคันจะมาไทยด้วย) : RS3 / A8 Minor Change / e-tron GT / Q4 e-tron & Q4 Sportback e-tron
ภาพจาก Carscoops

  สำหรับรถเล็กอย่าง Audi A3 ในปีที่ผ่านมา มีการเปิดตัวเจเนเรชั่นใหม่และตัวแรง S3 ไปแล้ว ก็ยังมีอีกหนึ่งรุ่นที่รอการเปิดตัว นั่นคือ RS3 ตัวแรงขั้นเทพคู่แข่ง Mercedes-AMG CLA 45 ที่จะอัปเกรดภายนอกและภายในให้สปอร์ตดุดันขึ้น แต่หัวใจสำคัญคงเป็นเรื่องพละกำลังที่คาดว่าจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร  5 สูบ เทอร์โบชาร์จ ที่ให้พละกำลังกว่า 420-450 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. น้อยกว่า 4 วินาที คาดว่าน่าจะได้เห็นกันกลางปีจนถึงครึ่งหลังของปีนี้

ภาพจาก Carscoops

  ปีนี้ พี่ใหญ่อย่าง Audi A8 ก็เข้าสู่ช่วงกลางวงจรชีวิต นั่นหมายความว่าได้เวลาปรับโฉม Minor Change แล้ว หลักๆที่เห็นจากรถทดสอบก็คือ การออกแบบด้านหน้าใหม่ตามสไตล์ Audi ยุคใหม่ โดยมากับไฟหน้า กระจังหน้า กันชนหน้าและกันชนท้ายใหม่ ส่วนภายในน่าจะมีการปรับปรุงซอฟท์แวร์ให้ทันสมัยขึ้น คาดว่าช่วงกลางปีถึงปลายปีนี้น่าจะมีการเปิดตัว 

  อีกคันที่น่าติดตามก็คือ Audi e-tron GT สปอร์ตซีดาน 4 ประตูที่เคยเอารถต้นแบบโลดแล่นบนภาพยนตร์ Avengers Endgame มาแล้ว จนมาถึงการผลิตจำหน่ายจริง ซึ่งรูปโฉมนั้นก็แทบไม่ได้ต่างจากรถต้นแบบเลย ขุมพลังนั้นจะมีการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ที่มากับพละกำลัง 598 แรงม้า (PS) และสามารถเรียกกำลังสูงสุดในโหมด OverBoost ได้ 646 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 830 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม. ได้ในเวลาต่ำกว่า 3.5 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 250 กม./ชม. คาดว่าต้นปีนี้อาจจะได้เห็นโฉมกัน ชาวไทยก็น่าลุ้นให้เอามาเหมือนกันครับ

ภาพจาก Motorauthority
ภาพจาก Carscoops
  และนอกจากสปอร์ตซีดานแล้ว ยังมีอเนกประสงค์ไฟฟ้าอีกรุ่นอย่าง Q4 e-tron รอเปิดตัวด้วยเช่นกัน ซึ่งก็มีทั้งตัวถังปกติและ Sportback โดยรถถูกพัฒนาบนแพลตฟอร์ม MEB เช่นเดียวกับ VW iD.4 และ Skoda Enyaq iV
(อ่านรายละเอียด Skoda Enyaq iV  ได้ที่ 
นั่นหมายความว่า รถอาจจะมีทางเลือกพละกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าหลายรูปแบบ ตั้งแต่ 148-306 แรงม้า โดยการเปิดตัวคาดว่าจะมีขึ้นช่วงต้นปีสำหรับ Q4 e-tron รุ่นมาตรฐาน และ Sportback ในปลายปีนี้

Bentley
รถใหม่ในไทย : Bentayga Minor Change
   ค่ายอัครมหายานยนต์หรูรายนี้ เชื่อว่ามี 1 รุ่นที่รอเปิดตัวในช่วงต้นปีนี้ นั่นคือ Bentley Bentayga Minor Change ที่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้สอดคล้องกับธีมดีไซน์ยุคใหม่ของค่าย โดยผสมผสานดีไซน์มาจาก Continental GT เช่นเดียวกับภายในที่ปรับปรุงในหลายๆจุด และเพิ่มเติมเทคโนโลยีทันสมัยเข้าไปไปมากขึ้น

   ขุมพลังยังคงใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 550 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 770 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเป็นมาตรฐาน ทำอัตราเร่งได้จาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.5 วินาที ท็อปสปีด 290 กม./ชม. ราคาค่าตัวก็น่าจะ 24-25 ล้านเหมือนเดิม

BMW / MINI
รถใหม่ในไทย : 3-Series (M340i?) / 4-Series Convertible / M3 & M4 / 5-Series LCI & M5 / 6-Series LCI / 8-Series Gran Coupe & M8 Gran Coupe 
   รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในปีนี้นั้น ในส่วนของ 3-Series นั้น ในปีที่ผ่านมา มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า BMW จะนำตัวแรง M Performance อย่าง M340i เข้ามาจำหน่ายในไทย แต่ก็ไม่มีวี่แววเปิดตัว แต่ก็มีข่าวลืออีกว่า BMW จะเอาตัวแรงคันนี้มาประกอบในประเทศขายในไทย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเท็จจริงแค่ไหน 

  โดยเครื่องยนต์ของ M340i จะทำการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตรเทอร์โบ 6 สูบ พละกำลังสูงสุด 387 แรงม้าที่ 5,000-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,600–4,500 รอบ/นาที พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

  ก็ต้องรอติดตามกันต่อไปครับว่าจะมาหรือไม่มา

  แต่คันนี้ยังไงเชื่อว่าต้องมาแน่นอน....หลังจากปีที่ผ่านมานั้น BMW ได้เปิดตัว 4-Series ในตัวถังแบบ Coupe ไปแล้ว คาดว่าปีนี้คงเป็นคิวของรุ่นเปิดประทุน Convertible ตามมา ความน่าสนใจก็คงจะเป็นการใช้หลังคาผ้าใบแทนหลังคาแข็งพับเก็บได้ในรุ่นที่แล้ว  หลังคาผ้าใบมีส่วนช่วยลดน้ำหนักรถลง ปรับปรุงพื้นที่จุสัมภาระ ให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำและปรับปรุงแฮนด์ลิ่งรถให้ดีขึ้นด้วย ตัวหลังคาทำจากผ้าที่หุ้มด้วยฉนวนกันความร้อนหลายชั้น สามารถเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้าในเวลา 18 วินาทีที่ความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม. และด้วยการใช้หลังคาผ้านี้เอง ส่งผลต่อพื้นที่จุสัมภาระด้านหลังที่เพิ่มขึ้นถึง 255 ลิตร เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า

  เมืองไทยคาดว่าจะทำตลาดด้วยรุ่น  430i Convertible เครื่องเบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบแถวเรียง พละกำลังสูงสุด 258 แรงม้าที่ 5,000-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 1,550-4,400 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ราคาค่าตัวคาดว่าคงอยู่ราวๆ 4 ล้านกว่าบาท

   และนอกจากรุ่นเหล่านี้แล้ว ตัวแรงตระกูล M ทั้งหลายก็เป็นอีกรุ่นที่ทาง BMW คงไม่พลาดที่จะเอามาจำหน่ายในไทยเช่นกัน โดยในปีนี้คาดว่าเราน่าจะได้เห็นการเปิดตัว BMW M3 และ M4 สองตัวแรงที่หลายคันกังขาตั้งแต่ช่วงเปิดตัว เพราะด้วยกระจังหน้าไตคู่สุดใหญ่และแหวกแนวสุดนับแต่ BMW ผลิตมา ก็มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ นอกจากนั้นแล้วก็จะมีการอัปเกรดดีไซน์ภายนอก ภายใน และงานวิศวกรรมให้โหดกว่า 3 & 4-Series ธรรมดา ขุมพลังจะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร 6 สูบ เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 480 แรงม้าที่ 6,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตรที่ 2,650-6,130 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 4.2 วินาที

   ส่วนรุ่นที่แรงยิ่งกว่า Competition จะมากับพละกำลังสูงสุด 510 แรงม้าที่ 6,250 รอบ/นาที  แรงบิดสูงสุด 650 นิวตันเมตรที่ 2,750-6,250 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 3.9 วินาที  ท็อปสปีดทั้งหมดถูกจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. แต่ถ้าหากเลือกจ่ายเงินซื้อ M Driver’s Package จะได้ท็อปสปีดเพิ่มเป็น 290 กม./ชม. ทั้งคู่เช่นกัน พิเศษในตัว Competition อัตราเร่งจากเร็วขึ้นเล็กน้อย เหลือ 3.8 วินาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดหรืออัตโนมัติ 8 สปีด ติดตั้งระบบขับเคลื่อนล้อหลังเป็นมาตรฐาน พิเศษในรุ่น Competition จะมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ M xDrive ให้เลือก คาดว่าช่วงต้นปีหรือกลางปีนั้นน่าจะมีการเปิดตัวในไทย ยังไงก็ต้องรอชม

   คันต่อมาที่คาดว่าจะเปิดตัวก็คือ BMW 5-Series LCI (Minor Change) ที่มีการปรับโฉมใหม่ให้ดูทันสมัยขึ้นทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสาร 

  ขุมพลังคาดว่าจะยังคงมีทางเลือก 2 แบบ เช่นเคย ได้แก่
- 520d เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบความจุ 2.0 ลิตร พละกำลังสูงสุด 190 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 7.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 235 กม./ชม.
- 530e เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ Plug-In Hybrid ความจุ 2.0 ลิตร พละกำลังสูงสุด 184 แรงม้าที่ 5,000-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตรที่ 1,350-4,000 รอบ/นาที พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าแบบซิงโครนัส พละกำลัง 109 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 265 นิวตันเมตร รวมกำลังทั้งระบบ 292 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 5.9 วินาที  ความเร็วสูงสุด 235 กม./ชม. 
 *ความเร็วสูงสุดมอเตอร์ไฟฟ้า 140 กม./ชม. ระยะทางวิ่งสูงสุด 62-67 กม. 

 ความปลอดภัยที่คาดว่าจะเพิ่มชุดความปลอดภัย Driving Assistant ที่ประกอบด้วย
- ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องจราจร Lane Departure Warning
- ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตา Blind Spot Detection
- ระบบเตือนเมื่อมีรถตัดผ่านขณะถอยหลัง Crossing-traffic Warning Rear
- ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ ตรวจจับรถ และ คนเดินถนน ที่ความเร็วต่ำ City Braking Function
- ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ ขณะถอยจอด Rear Collision Prevention
- ระบบเตือนป้ายจราจร Speed Limit Info and no-overtaking indicator

  การเปิดตัวนั้นจะมีขึ้นภายในเดือนมกราคมนี้แน่นอน (เผลอๆ ณ วันที่ปล่อยบทความ รถอาจจะเปิดตัวแล้วก็ได้)

  และแน่นอน นอกจาก 5-Series ธรรมดาแล้ว อีกหนึ่งรุ่นที่เชื่อว่ายังไงก็ต้องเอามาจำหน่ายด้วย นั่นคือ BMW M5 ที่มีการปรับโฉมใหม่ด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าดีไซน์ก็จะปรับไปในทิศทางเดียวกับรุ่นปกติ

   ขุมพลังยังคงติดตั้งเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ ความจุ 4.4 ลิตร มากับพละกำลังสูงสุด 600 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่เน้นส่งกำลังไปยังล้อหลังเป็นหลัก มีโหมดระบบขับเคลื่อนให้เลือกทั้ง 2WD, 4WD และ 4WD Sport ทั้งหมดทั้งมวลนี้ส่งผลให้ M5 สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 3.4 วินาทีเท่านั้น

หากคิดว่ายังแรงไม่พอ ก็ต้องไปหา M5 Competition ที่มากับพละกำลัง 625 แรงม้า (PS)แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตรเท่านั้น ทำ 0-100 กม./ชม. เร็วขึ้นเป็น 3.3 วินาที ทั้งสองมีท็อปสปีดที่จำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. อย่างไรก็ตามลูกค้าสามารถสั่งซื้อแพ็คเกจเสริม M Driver ที่จะปลดล็อคท็อปสปีดเป็น 305 กม./ชม.

   อีกคันที่คงจะตามมาด้วยเช่นกันนั่นก็คือ BMW 6-Series LCI (Minor Change) ที่ปรับโฉมตามติด 5-Series มาเลย โดยภายนอกไฟหน้าดีไซน์ใหม่ มีการออกแบบดีเทลไฟ Daytime Running Lights แบบ L-Shaped กระจังหน้าไตคู่ยังถูกออกแบบใหม่ให้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับออกแบบกันชนใหม่ ส่วนด้านท้ายยังคงไฟท้ายเดิมแต่ปรับปรุงกันชนท้ายใหม่ใน M Sport Package 


   ภายในคงดีไซน์เดิมแต่ปรับปรุงใหม่หลายจุด เข้ามาจะพบกับระบบอินโฟเทนเมนต์หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ 12.3 นิ้วพร้อมปุ่มระบบ iDrive 7.0 และมีแผงหน้าปัดดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้วใหม่  ด้านพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางเหมือนเดิม ด้านท้ายมีความจุสัมภาระมากถึง 600 ลิตร แต่พับเบาะหลังออกไปพื้นที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,800 ลิตร

  ส่วนขุมพลังคาดว่าจะทำตลาดภายใต้รหัสเดิม นั่นคือ 630i Gran Turismo เครื่องยนต์เบนซินสี่สูบ 2.0 ลิตรพละกำลังสูงสุด 258 แรงม้าที่ 5,000-6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 1,550-4,400 รอบต่อนาที สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 6.5 วินาที ความเร็วสูงสุดที่ 250 กม./ชม. โดยในรุ่นปรับใหม่จะมาพร้อมเทคโนโลยี Mild Hybrid 48V อีกด้วย

แต่ไฮไลต์สำคัญของปีนี้นั้น ขอยกให้คันนี้ครับ
   BMW iX3  รถอเนกประสงค์พลังงานไฟฟ้าคันแรกของค่ายใบพัดที่นำเอาพื้นฐานของ BMW X3 มาพัฒนาต่อยอด ปรับรูปลักษณ์ให้ดูล้ำขึ้น ขุมพลังของรถคันนี้แน่นอนว่าต้องเป็นไฟฟ้าล้วน ตัวรถจะมากับชุดแบตเตอรี่ 80 kWh และมอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลังสูงสุด 282 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร เมื่อชาร์จแบตเตอรี่สามารถวิ่งได้ในระยะทางสูงสุด 460 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP ของยุโรป อัตราเร่งของรถคันนี้ สามารถทำ 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 6.8 วินาทีเท่านั้น ส่วนท็อปสปีดจำกัดไว้ที่ 180 กม./ชม.


   สำหรับระบบการชาร์จนั้น iX3 สามารถรองรับระบบการชาร์จไฟแบบกระแสตรงกำลังสูงสุด  150 กิโลวัตต์ ซึ่งระบบนี้นั้นสามารถชาร์จแบตจาก 0-80% ได้ในเวลาเพียง 34 นาทีเท่านั้น และหากใช้เวลาชาร์จ 10 นาทีก็มากพอที่จะทำให้ iX3 วิ่งได้ในระยะทาง 100 กิโลเมตร

   มีข่าวว่า BMW Thailand จะนำเข้า iX3 จากโรงงานเสิ่นหยางในประเทศจีน มาทำตลาดในไทย  ซึ่งทุกคนก็รู้กันอยู่แล้วว่า ก็อย่างที่รู้กันว่าด้วยข้อตกลงเขตการค้าเสรี จีน-อาเซียน ส่งผลให้การนำเข้ารถ EV 100% จากจีนมาไทยสามารถทำราคาได้ถูก และก็ต้องมาลุ้นกันครับว่าราคาค่าตัวนั้นจะเป็นอย่างไร

รถใหม่ในตลาดโลก (และบางคันจะมาไทยด้วย) : 2-Series Coupe / 2-Series Active Tourer / 3-Series EV /  i4 / 4-Series Gran Coupe / X2 LCI / X3 & X4 LCI / M4 Convertible / M5 CS
ภาพจาก Carscoops
    BMW 2-Series Coupe ได้เวลาสำหรับการเปลี่ยนโมเดลใหม่แล้ว ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมานั้นก็มีภาพหลุดให้เห็นดีไซน์ตัวรถแล้ว ใครจะชอบหรือไม่ชอบอันนี้ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ รถคันนี้จะยังคงเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังจากการใช้แพลตฟอร์ม CLAR เช่นเดียวกับ 3 และ 4-Series ไม่เหมือนกับ 2-Series Active Tourer เจเนเรชั่นใหม่ที่จะใช้แพลตฟอร์ม UKL ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มขับหน้าที่ใช้ใน X1, X2, 1-Series และ 2 Gran Coupe คาดว่าช่วงกลางปีถึงปลายปีน่าจะได้เห็นรูปโฉมกัน ส่วนตัวแรง M2 จะตามมาในปีหน้า

ภาพจาก Carscoops
   แน่นอน พอพูดถึง 2-Series Coupe แล้ว ก็ขอพูดถึง 2-Series Active Tourer ต่อเลยแล้วกัน ก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าเจ้า MPV ที่เหมือนจะไม่ได้นิยมกันมากนักจะยังคงได้ไปต่อ และตามที่กล่าวไว้ข้างต้นครับ รถคันนี้จะใช้แพลตฟอร์ม UKL ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มขับหน้าที่ใช้ใน X1, X2, 1-Series และ 2 Gran Coupe คาดว่ากลางปีถึงปลายปีนี้ก็น่าจะได้เห็นโฉมกัน แต่คงไม่มาไทยแล้วก็ขายไม่ค่อยได้

ภาพจาก Motorauthority
  คันต่อมาที่ซุ่มเงียบทดสอบ นั่นคือ 3-Series EV ที่เป็นการเอา 3-Series (G30) มาปรับดีไซน์และวางขุมพลังเป็นรถพลังงานไฟฟ้าล้วน โดยขุมพลังนั้นคาดว่าอาจจะใช้ร่วมกับ BMW iX3 นั่นคือ ได้ชุดแบตเตอรี่ 80 kWh และมอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลังสูงสุด 282 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรและอาจมีตัวเลขอัตราเร่งและระยะทางวิ่งที่ดีกว่า เนื่องด้วยขนาดรถและอากาศพลศาสตร์ที่ดีกว่า คาดว่าช่วงใดช่วงหนึ่งของปีนี้น่าจะเปิดตัว

   และไฟฟ้าอีก 1 คันที่จ่อเปิดตัวก็คือ BMW i4 ซีดานคูเป้พลังงานไฟฟ้าที่ได้เผยโฉมรถต้นแบบไปเมื่อปีที่ผ่านมานี้เอง (อ่านข้อมูลได้ที่ BMW Concept i4 ต้นแบบรถพลังงานไฟฟ้าคันใหม่ พร้อมผลิตจำหน่ายจริงปี 2021) ซึ่งรูปทรงคล้ายๆนี้ก็จะไปอยู่ใน 4-Series Gran Coupe ด้วยเช่นเดียวกัน เพียงแต่ i4 จะมีรูปหน้าที่ดูล้ำกว่า เหมือนที่เห็นใน iX3 

ภาพจาก Carscoops

  มีรายงานว่า i4 จะมีพละกำลังให้เลือกหลายระดับ ในรุ่นเริ่มต้นจะได้มอเตอร์ไฟฟ้าพละกำลัง 284 แรงม้า พร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหลัง แต่ความน่าสนใจอีกก็คือ BMW i4 จะมีเวอร์ชั่นแรงอย่าง "i4 M" ด้วย น่าจะเป็นไฟฟ้าคันแรกของค่ายเลยมั้งที่พ่วงท้ายด้วยรหัส M โดยอาจจะมากับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 80 kWh และสร้างพละกำลังได้ 530 แรงม้าเหมือนในรถต้นแบบ สุดท้ายนี้ก็ต้องมารอดูของจริงที่น่าจะเปิดตัวช่วงปลายปีนี้ครับ ชาวไทยก็รอกันยาวๆ

ภาพจาก Motorauthority

   ตระกูล BMW 4-Series ก็ยังมีอีกหนึ่งรูปแบบตัวถังที่รอเปิดตัว นั่นคือ BMW 4-Series Gran Coupe ทรวดทรงก็จะคล้ายๆ i4 แบบที่กล่าวไว้ข้างบนเลย เพียงแต่คันนี้จะไม่ได้มีหน้าตาล้ำๆ อย่าง i4 เขา หน้าตาก็เหมือน 4-Series ที่เราคุ้นเคย เพียงแต่มากับครึ่งคันหลังในสไตล์ซีดานคูเป้ ขุมพลังก็คงไม่ต่างกัน คาดว่าช่วงต้นปีถึงปลายปีน่าจะมีการเปิดตัวออกมา ส่วนชาวไทยน่าจะได้สัมผัสเร็วสุดช่วงปลายปีนี้ หรือไม่ก็ปีหน้า

ภาพจาก Motorauthority
   และอีกหนึ่งคันในตระกูลก็คือ M4 Convertible หลังจากที่เปิดตัวรุ่น Coupe ไปแล้วเมื่อปีก่อน ปีนี้ก็ถึงคิวรุ่นเปิดประทุน รูปลักษณ์ก็คือๆกัน ต่างแค่รุ่นนี้มากับหลังคาผ้าใบสามารถเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้าในเวลา 18 วินาทีที่ความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม. 

   พละกำลังก็คงเหมือน M3 และ M4 ที่มากับเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร 6 สูบ เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 480 แรงม้าที่ 6,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตรที่ 2,650-6,130 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 4.2 วินาที และ Competition จะมากับพละกำลังสูงสุด 510 แรงม้าที่ 6,250 รอบ/นาที  แรงบิดสูงสุด 650 นิวตันเมตรที่ 2,750-6,250 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 3.9 วินาที  ท็อปสปีดทั้งหมดถูกจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. แต่ถ้าหากเลือกจ่ายเงินซื้อ M Driver’s Package จะได้ท็อปสปีดเพิ่มเป็น 290 กม./ชม. คาดว่าต้นปีจนถึงกลางปีนี้น่าจะมีการเปิดตัว

ภาพจาก Motorauthority

   อัพมาดูตระกูล 5-Series บ้าง หลังจากปีที่ผ่านมามีการปรับโฉม LCI (Life Cycle Impulse) ใน 5-Series รุ่นมาตรฐานและตัวแรง M5 & M5 Competition ไปแล้ว แต่ยังมีอีกหนึ่งตัวแรงที่จะเปิดตัวตามมา นั่นคือ M5 CS รุ่นปรับโฉมที่จะแรงขึ้น และเบาขึ้นกว่า M5 Competition รวมทั้งมีการอัปเกรดภายนอกและภายในให้แตกต่างจาก M5 & M5 Competition ด้วย 

ภาพจาก Tuning Blog EU

  ซึ่งขุมพลังมีการยืนยันว่าจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4.4 ลิตร V8 เทอร์โบคู่ที่จะมากับพละกำลัง 635 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร ซึ่งถือว่าแรงขึ้นกว่า M5 Competition 10 แรงม้า และจะมากับน้ำหนักตัวถังที่เบาลงกว่าเดิม 70 กิโลกรัมอักด้วย ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้น่าจะส่งผลต่ออัตราเร่งที่ดีกว่าเดิม คาดว่าต้นปีนี้น่าจะมีการเผยโฉมออกมา ส่วนประเทศไทยก็รอลุ้นให้ BMW นำเข้ามาจำหน่ายด้วยแล้วกัน

ภาพจาก Motorauthority

   คราวนี้มาดูในฝั่งของ SUV กันบ้าง เริ่มต้นที่ BMW X2 ที่เปิดตัวในตลาดโลกตั้งแต่ปลายปี 2017 ที่ตอนนี้ก็น่าะได้เวลาสำหรับการปรับโฉมแล้ว และก็เริ่มมีรถทดสอบออกวิ่งแล้วด้วย จากภาพเหมือนจะยังไม่ได้พรางตัวอะไรมากมาย แต่เชื่อว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลงมากกว่านี้แน่นอน คาดว่าคงมีการอัปเดตงานดีไซน์ภายนอกใหม่ให้เป็นไปตาม BMW ยุคใหม่ และปรับปรุงภายในห้องโดยสารที่มาพร้อมระบบอินโฟเทนเมนต์ให้ทันสมัยขึ้น คาดว่ากลางปีถึงปลายปีนี้น่าจะมีการเผยโฉม ส่วนชาวไทยก็รอติดตามได้หลังจากนั้น

ภาพจาก Motorauthority
ภาพจาก Motorauthority
ภาพจาก Motorauthority

ภาพจาก Motorauthority

  เช่นเดียวกับรุ่นที่ใหญ่ขึ้นไปอีกอย่าง X3 และ X4 ที่ได้เวลาปรับโฉมใหม่แล้วเช่นเดียวกัน ซึ่ง ณ ตอนนี้ก็มีรถทดสอบออกมาวิ่งทั้งตระกูล ตั้งแต่ตัวปกติยันตัวแรง X3 M และ X4 M โดยคาดว่าจะมีการปรับงานดีไซน์ภายนอกใหม่ให้ทันสมัยขึ้น ทั้งในส่วนไฟหน้า ไฟท้าย กันชนหน้า และกันชนท้าย ส่วนภายในคาดว่าจะมากับจอกลางที่ใหญ่ขึ้น ปรับปรุงซอฟท์แวร์ระบบอินโฟเทนเมนต์ใหม่ คาดว่าน่าจะไล่เรียงการเปิดตัวตั้งแต่ช่วงกลางปีนี้เป็นต้นไป พี่ไทยก็รอติดตามหลังจากนั้นครับ

MINI
รถใหม่ในไทย : Countryman LCI 
   ค่ายรถเล็กยอดนิยม ปีนี้คาดว่าชาวไทยน่าจะได้สัมผัสกับ  MINI Countryman อเนกประสงค์รุ่นขายดีของค่ายกับการปรับโฉมกลางอายุตลาด LCI (Life Cycle Impulse) หรือ Minor Change ซึ่งจัดว่ามีการปรับโฉมเยอะเอาเรื่องเหมือนกัน ทั้งโคมไฟหน้า LED ใหม่ ปรับปรุงดีไซน์กระจังหน้าใหม่ รวมทั้งปรับดีไซน์กันชนหน้าและท้ายใหม่ ด้านท้ายยังโดดเด่นด้วยไฟท้ายใหม่แบบ LED ลายธงชาติ Union Jack ของอังกฤษตามรอย MINI รุ่นใหม่ๆ นอกจากนี้ยังมีล้อลายใหม่ๆ มาให้เลือกด้วย ส่วนภายในมากับพวงมาลัยทรงสปอร์ต อีกทั้งยังเป็นรุ่นที่ 2 ของครอบครัว MINI ที่มีหน้าปัดแบบดิจิตอลมาให้เลือกด้วย มีการปรับปรุงระบบอินโฟเทนเมนต์ใหม่และปรับปรุงการตกแต่งใหม่

  ขุมพลังคาดว่าจะมี 2 ทางเลือกหลักๆ คือ
- MINI Cooper S Countryman เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบ พละกำลัง 178 แรงม้า อัตราเร่ง 0 - 100 กม./ชม. ใน 7.3 วินาที   ความเร็วสูงสุด 222 กม./ชม. 
- MINI JCW Countryman ตัวแรงสุด เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จ พละกำลัง 306 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0 - 100 กม./ชม. ใน 4.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. คาดว่า MINI Countryman ใหม่น่าจะเปิดตัวในไทยราวๆ กลางปีนี้ หรืออย่างช้าก็ช่วงปลายปีนี้ครับ เผลอๆน่าจะมาในรูปแบบรุ่นประกอบในประเทศเลย ไม่ต้องรอประกอบนอกคั่นแล้ว

รถใหม่ในตลาดโลก (และจะตามมาไทยภายหลัง) : MINI Hatch LCI
ภาพจาก Motor1

ภาพจาก Motor1
ภาพจาก Motor1

   หลังจากก่อนหน้านี้ MINI ได้ทำการปรับโฉม LCI ให้กับ MINI Cooper Hatch 3 และ 5 ประตูไปแล้วรอบหนึ่ง ที่ดูเหมือนจะปรับไม่มาก ปรับแค่ไฟหน้าและไฟท้าย การปรับรอบ 2 นี้จะได้เห็นการปรับโฉมใบหน้าใหม่ในแบบที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งก็จะเห็นได้จากภาพแอบถ่าย โดยมากับกระจังหน้าใหม่ที่ลากกินพื้นที่กันชนหน้ามากขึ้น รวมทั้งจะมีล้อลายใหม่ด้วย ส่วนภายในก็คาดว่าน่าจะมีการนำหน้าปัดดิจิตอลแบบใน Cooper SE และ Countryman LCI มาใช้ ขุมพลังน่าจะไม่ต่างจากเดิมมากนัก คาดว่าน่าจะเปิดตัวช่วงต้นปีถึงกลางปีนี้ ส่วนไทยก็รอติดตามได้หลังจากนั้นครับ

Ferrari
รถใหม่ในไทย : SF90 Spider / Portifino M 
   ค่ายม้าลำพองแห่งอิตาลี หลังจากปีก่อนหน้ามีการเปิดตัว SF90 Stradale ปีนี้คงเป็นคิวของเวอร์ชั่นเปิดประทุน SF90 Spider ที่จะมากับหลังคาที่ทำจากอะลูมิเนียม สามารถพับเก็บได้ด้วยระบบไฟฟ้าในเวลา 14 วินาทีเท่านั้น น้ำหนักตัวรถนั้นจะมากกว่ารุ่น Stradale 100 กิโลกรัม อันเป็นผลจากการเสริมความแข็งแรงแซสซีส์และกลไกหลังคา โดยมีน้ำหนักรวมๆอยู่ที่ 1,670 กิโลกรัม

  ส่วนขุมพลังยังคงเหมือนเดิมนั่นคือ เครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 เทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุด 780 แรงม้า (PS) พร้อมแรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตร จับคู่กับระบบไฮบริดซึ่งมีมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว มอเตอร์ตัวใดตัวหนึ่งจะถูกประกบระหว่างเครื่อง V8 และเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 8 สปีด ในขณะที่มอเตอร์อีก 2 ตัวจะติดตั้งอยู่ที่เพลาหน้า มอเตอร์ไฟฟ้าจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 7.9 kWh และให้พละกำลังสูงสุด 220 แรงม้า (PS) ส่งผลให้รถซูเปอร์คาร์คันนี้มีพละกำลังรวมทั้งหมดมากถึง 1,000 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 900 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. สามารถทำได้ในเวลา 2.5 วินาทีและจาก 0-200 กม./ชม. ทำได้ใน 7 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 340 กม./ชม. รุ่น Stradale ราคาก็ปาไป 40.9 ล้านบาทแล้ว รุ่นนี้จะราคาเท่าไหร่มารอลุ้นกัน


   และอีกหนึ่งรุ่นยอดนิยมก็คือ Ferrari Portofino M รถเปิดประทุนรับลมคันงามที่มีการ Minor Change โดยตัว M ที่เพิ่มเข้ามาท้ายชื่อรุ่นนั้นย่อมาจาก Modificata พอจะเดาได้ว่าก็คือการปรับเปลี่ยน แก้ไข (Modification) โดยมีการปรับงานดีไซน์ภายนอกใหม่เล็กน้อยและปรับการตกแต่งภายในห้องโดยสารใหม่
   
   ความน่าสนใจคงเป็นเรื่องขุมพลังที่ยกมาจาก Ferrari Roma นั่นคือ เครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 3.8 ลิตร (3855 ซีซี) V8 ที่สร้างพละกำลังได้ทั้งหมด 620 แรงม้า (PS) ที่ 5,750-7,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 760 นิวตันเมตรที่ 3,000-5,750 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 8 สปีด สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 3.45 วินาที ทำท็อปสปีดได้ไม่ต่ำกว่า 320 กม./ชม. และยังเพิ่มโหมดการขับขี่ใหม่ นั่นคือโหมด Race ในปุ่ม Manettino และอัปเกรดระบบช่วยการขับขี่ขั้นสูง Advanced Driver Assistance Systems (ADAS) ด้วยเช่นกัน 

  คาดว่าทั้งสองคันนี้น่าจะมีการเปิดตัวในไทยราวๆ ต้นปีเป็นอย่างเร็วหรือกลางปีเป็นอย่างช้าครับ

Ford
รถใหม่ในไทย : Ranger FX4 Max
  ค่ายวงรีสีฟ้า ปีที่ผ่านมานั้นไม่ค่อยมีผลิตภัณฑ์ที่กระตุ้นความน่าสนใจมากนัก คงเพราะด้วยผลกระทบจาก COVID-19 ทำให้การเปิดตัวรถใหม่เลื่อนจากช่วงต้นปี-กลางปีมาเป็นช่วงปลายปีแทน และก็มีเพียงแค่การปรับอุปกรณ์กระตุ้นตลาดใน Ranger และ Everest เท่านั้น แล้วก็มี Mustang รุ่นพิเศษ 55 ปี

  คาดว่าในปีนี้ Ford น่าจะมีไม้เด็ดอีก 1 รุ่นที่รอปล่อย นั่นคือ Ranger FX4 Max ตัวลุยออฟโรดผู้เป็นน้อง Ranger Raptor ว่ากันง่ายๆคือวางตำแหน่งตลาดต่ำกว่า Ranger Raptor นั่นเอง

   โดยเมื่อปีที่ผ่านมานั้น ได้มีรถมาวิ่งทดสอบในไทย ซึ่งก็เป็นไปได้ว่า Ford คงไม่พลาดที่จะนำมาจำหน่าย 

   เพื่อให้รถมีประสิทธิภาพทางการขับขี่ออฟโรดในแบบน้องๆ Raptor ทาง Ford ได้ติดตั้งโช้คอัพ Fox monotube ขนาด 2.0 นิ้วที่ด้านหน้าและด้านหลัง รวมทั้งปรับแต่งคอยล์สปริงที่ด้านหน้าและแหนบที่ด้านหลัง โช้คอัพยังมาพร้อมกับ remote reservoir ที่ช่วยให้โช้คคืนสภาพได้เร็วจากการขับขี่เป็นเส้นทางออฟโรดเป็นเวลานาน

  ที่ต้องลุ้นคือเมื่อเปิดตัวในไทยแล้วจะวางราคาเท่าไหร่ 

Great Wall
  หลังการยุติการทำตลาดของแบรนด์ Chevrolet ในไทย นับว่าเป็นข่าวใหญ่ของปีที่แล้วเลยก็ว่าได้ และสิ่งที่เป็นข่าวใหญ่ไม่แพ้กันก็คือแบรนด์ยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Great Wall ได้มาซื้อโรงงานผลิตรถของ Chevrolet ในประเทศไทย นั่นหมายความว่าแบรนด์จีนยักษ์ใหญ่รายนี้พร้อมที่จะมาบุกตลาดไทยอย่างแน่นอน โดยทาง Great Wall เตรียมประกาศเปิดตัวแบรนด์อย่างเป็นทางการในไทยพร้อมแถลงทิศทางการทำตลาดในวันที่ 28 มกราคมนี้

  ซึ่งรถที่มีสิทธิ์มาทำตลาดในไทยแน่ๆ ก็คือคันนี้ครับ Haval H6 รถอเนกประสงค์ดีไซน์สวยที่เพิ่งเปิดตัวในจีนเมื่อปีที่แล้วเอง ด้วยขนาดมิติตัวถังยาว 4,653 มิลลิเมตร กว้าง 1,886 มิลลิเมตร สูง 1,730 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,738 มิลลิเมตร ขนาดทรวดทรงก็จะประมาณ Honda CR-V, Mazda CX-5 อะไรทำนองนี้ และตอนนี้รถก็กำลังอยู่ในระหว่างการวิ่งทดสอบในไทยอยู่ด้วย

   เมื่อไม่นานมานี้...รถรุ่นนี้ก็มีดราม่าร้อนแรงในหมู่ผู้ใช้รถชาวจีน เมื่อรถได้ถูกนำไปทดสอบการชนด้านข้างตามมาตรฐาน C-NCAP ของจีน ผลคือ ถุงลมด้านข้างและม่านถุงลมไม่ทำงาน และประตูของรถด้านที่ถูกชนไม่สามารถเปิดได้ ทาง C-NCAP ให้เหตุผลว่า ในการทดสอบนั้น..รถอยู่ในสภาพที่ไม่ได้ติดเครื่องยนต์ และรถล็อคประตูไว้ทุกด้าน ทำให้เปิดประตูไม่ได้ ส่วนการชนด้านอื่น รถไม่มีการเสียรูปตัวถัง เสา A ยังคงอยู่ดี จึงไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย 

   แต่อย่างไรก็ตาม...เรื่องนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์เป็นแน่ ทาง Great wall จึงต้องร่อนจดหมายแถลงการณ์อันแสดงถึงความไม่นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ พวกเขาบอกว่า พวกเขาให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของรถ เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในผลิตภัณฑ์ และยังยินดีต้อนรับหน่วยงานใหญ่มาตรวจสอบความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งยินดีให้ผู้บริโภคทุกคนรับรู้กระบวนการทดสอบด้วย ผมเองก็หวังว่าถ้าเกิดมาไทย จะไม่เจออะไรแบบนี้ก็แล้วกันครับ

  สำหรับขุมพลังทางเลือกในจีนจะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร DOHC 4 สูบ เทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 169 แรงม้าที่ 5,000-5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 285 นิวตันเมตรที่ 1,400-3,600 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DCT 7 สปีด

   ความปลอดภัยรวมๆ ถือว่าให้มาครบๆ ในตัวท็อป
- ถุงลมนิรภัย 6 ใบ
- ระบบเตือนแรงดันลมยาง TPMS
- ระบบควบคุมการทรงตัว ESP
- ระบบป้องกันการลื่นไถล TCS
- ระบบเบรกอัตโนมัติ AEB
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW
- ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA
- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาด้านข้าง BSD
- ระบบช่วยเตือนการชนด้านหน้า FCW
- ระบบตรวจจับป้ายจราจร TSR

   ราคาจำหน่ายในจีนนั้นจะอยู่ที่ 115,900-134,900 หยวน หรือประมาณ 533,000-620,000 บาท ซึ่งผมคาดว่าถ้ามาไทย ราคาน่าจะอยู่ในช่วงเดียวกับ MG HS ที่มีราคาราวๆ 919,000-1,119,000 บาทครับ สุดท้ายแล้วต้องมารอชมว่ารถคันนี้จะพร้อมทำตลาดไทยเมื่อไหร่ สเปคจะเป็นอย่างไรบ้าง และทิศทางการทำตลาดของ Great Wall จะเป็นอย่างไร วันที่ 28 มกราคม ได้รู้คำตอบแน่นอน

Honda
รถใหม่ในไทย : All-New Civic / Accord Minor Change / All-New HR-V? หรือ New B-SUV?
   ค่ายนี้ในปีที่ผ่านมานั้น ก็มีทั้ง Jazz รุ่นปรับอุปกรณ์, CR-V รุ่นปรับโฉม, City e:HEV และโมเดลใหม่หมดจดที่เป็นดาวเด่นอย่าง City Hatchback ซึ่งก็สร้างความคึกคักให้กับตลาดได้มากเอาเรื่อง

   ในปีนี้ จะเป็นอีกปีที่ Honda คึกคักแน่นอน เพราะมีโมเดลใหม่หลากหลายรุ่นจ่อเปิดตัวในไทย รถที่หลายคนรอคอยเลยเชื่อว่าคงเป็น All-New Honda Civic เจเนเรชั่นที่ 11 ซึ่งตอนนี้ก็มีรถทดสอบออกมาวิ่งบนท้องถนนเมืองไทยแล้ว และเมื่อปลายปีที่ผ่านมาทาง Honda ฝั่งอเมริกามีการเปิดภาพรถ Prototype ออกมาแล้วด้วย ทำให้เห็นว่างานดีไซน์นั้นรับมาจาก Accord โฉมล่าสุดอยู่พอสมควร ตัวรถดูเพรียว เตี้ย มีหน้าที่ดูเหลี่ยมๆ ทื่อๆ แต่มีการออกแบบให้ดูอ่อนโยนลงกว่า Accord 

ภาพจาก CivicXI

   แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีข้อมูลเรื่องขุมพลัง แต่คาดว่าในไทยน่าจะทำตลาดด้วยขุมพลังเบนซิน 1.5 ลิตรเทอร์โบต่อไป และเบนซิน 1.8 ลิตรก็มีแววลากขายต่อ (หรือไม่รู้เหมือนกันว่า Honda จะเอาเครื่องบล็อกไหนมาแทน) อีกทั้งยังเป็นไปได้ที่ Honda อาจจะนำเสนอขุมพลัง Hybrid (e:HEV) เพื่อมาต่อกรกับ Toyota Corolla Altis คาดว่าการเปิดตัวของ Civic เจเนเรชั่นใหม่น่าจะมีขึ้นในช่วงต้นปีนี้ก่อนสำหรับตลาดอเมริกา ส่วนชาวไทยน่าจะได้เจอกลางปีนี้ครับ

   คันต่อไปที่น่าจะมาแน่ๆ ก็คือ Honda Accord Minor Change ที่เพิ่งเปิดตัวในอเมริกาเมื่อปีที่ผ่านมานี้เอง หลักๆที่เห็นการเปลี่ยนแปลงก็คือการปรับดีไซน์ภายนอกใหม่ ส่วนภายในห้องโดยสารนั้นแทบไม่เปลี่ยนแปลง หลักๆคือ การเพิ่มการรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย (หวังว่ามาไทยคงมีให้ด้วย) นอกจากนี้..โฉมอเมริกาทุกรุ่นจะมาพร้อมกับระบบแจ้งเตือนที่เบาะหลังและแจ้งเตือนการคาดเข็มขัดนิรภัยด้านหลังมาให้ นอกจากนั้นแล้วยังมีการปรับปรุงตำแหน่งเสียบ USB ใหม่ และเกรดบนๆ จะได้พอร์ต USB 2.5 โวลต์ 2 ตำแหน่งสำหรับผู้โดยสารแถวหลังด้วย

ในไทยคาดว่าจะทำตลาดด้วย 2 ขุมพลังเหมือนเดิม
- รุ่นเบนซินธรรมดา เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว VTEC TURBO พละกำลังสูงสุดที่ 190 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 243 นิวตัน-เมตรที่ 1,500 - 5,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT รองรับเชื้อเพลิงสูงสุด E85
- รุ่น Hybrid เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC พละกำลังสูงสุดที่ 145 แรงม้าที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 175 นิวตัน-เมตรที่ 3,500 รอบ/นาที ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าพละกำลัง 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 315 นิวตัน-เมตร รวมพละกำลังทั้งระบบที่ 215 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT รองรับเชื้อเพลิงสูงสุด E20 พร้อมกับแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออน ความจุไฟฟ้า 1.3 kWh (เครื่องตัวนี้ในโฉมอเมริกามีการปรับให้ตอบสนองต่อคันเร่งดีขึ้นกว่าเดิมด้วย)


   ส่วนความปลอดภัยนั้น ในชุด Honda Sensing มีการอัปเดตระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control (ACC) และระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในเลน Lane Keeping Assist (LKAS) ใหม่ และยังเพิ่มแนะนำระบบเบรกใหม่ที่เรียกว่า Low Speed ​​Braking Control ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องมารอดูเวอร์ชั่นไทยครับ คาดหวังว่าช่วงต้นปีหรือกลางปีอาจจะได้เห็นกัน

   และอีกหนึ่งรุ่นที่เชื่อว่าหลายคนรอคอยกันเยอะแน่นอน นั่นก็คือ All-New Honda HR-V ปีนี้ก็มีแววจะได้เห็นรูปโฉมกัน โดยรถเริ่มทดสอบแล้ว รูปลักษณ์ถือว่าพลิกโฉมจากเดิมค่อนข้างเยอะทีเดียว จากที่มีความโค้งมนโฉบเฉี่ยวแบบรุ่นปัจจุบัน สู่ความมีเหลี่ยมสันและดูโมเดิร์นขึ้นตามสไตล์ Honda ยุคใหม่ ตัวรถดูเหมือนจะยาวขึ้น กว้างขึ้น แต่เตี้ยลงกว่าเดิมเล็กน้อย ที่สำคัญคือเอกลักษณ์มือจับประตูหลังแบบซ่อนบริเวณเสา C ก็ยังคงไว้อยู่เช่นเดิม ส่วนภายในห้องโดยสารยังไม่มีภาพออกมา ณ ตอนนี้
ภาพจาก Carscoops

  คาดว่า All-New Honda HR-V จะมีการเปิดตัวในญี่ปุ่นราวๆ ปลายปีนี้
แต่สำหรับเมืองไทยนั้น แอบได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า HR-V เวอร์ชั่นที่จะจำหน่ายในไทย จะไม่ใช่ Global Model เหมือนที่เคยขายมาอีกต่อไป อาจจะมี B-SUV แยกเป็นอีกรุ่นหนึ่งจำหน่ายในประเทศโลกที่ 3 (คล้ายๆแยก Jazz กับ City Hatchback) ผมไม่มีข้อมูลอะไรมากเลยครับตรงนี้ เพราะไม่ได้คลุกวงใน Honda ไม่มีวงในมาส่งข่าวให้ ผมก็ได้แต่ภาวนาว่าขอให้ประเทศไทยได้ Global Model เถอะ เอาเป็นว่าติดตามต่อไปละกัน

Hyundai 
รถใหม่ในไทย : All-New H-1 & Grand Starex / iONIQ Minor Change / Kona Electric Minor Change
  ค่ายรถเกาหลีรายนี้ยังคงเน้นขายรถตู้อย่าง H-1 และ Grand Starex ในปีที่ผ่านมา เป็นอีกหนึ่งคันที่ลากขายแบบยาวนานจนบางคนแซวว่าแม่พิมพ์แตกหรือยัง แต่ทำไงได้..โฉมใหม่หมดจดในตลาดอื่นๆ ยังไม่เปิดตัวกันเลย แต่เชื่อว่าในปีนี้ เราน่าจะได้เห็น H-1 โฉมใหม่กันอย่างแน่นอน 

ภาพจาก electricvehicleweb

ภาพจาก Motor1

  ซึ่งรถทดสอบ H-1 โฉมใหม่นั้นก็ได้ออกวิ่งมาสักระยะแล้ว เห็นได้ชัดว่ารูปโฉมนั้นค่อนข้างพลิกการออกแบบจากเดิมมากทีเดียว ก็จะเป็นไปตามแนวทางของ Hyundai ยุคใหม่ๆ ที่น่าสนใจคงจะเป็นกระจกด้านข้างที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่โตมากกว่าเดิมทีเดียว และใหญ่โตกว่ารถตู้หลายๆรุ่น ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อทัศนวิสัยไม่น้อย โดยรวมรถก็ยังคงไว้ซึ่งทรงกล่องเพื่อรักษาความกว้างขวางและรองรับการบรรทุก ขุมพลังนั้นยังไม่มีข้อมูล แต่คาดว่าจะมีทางเลือกทั้งดีเซลและเบนซินเหมือนเดิม คาดว่าต้นปีนี้เราอาจจะได้เห็นการเปิดตัวในต่างประเทศก่อน และเมืองไทยน่าจะตามมาช่วงปลายปีนี้เป็นอย่างเร็วที่สุด

   และผมเองก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าปีนี้เราคงจะได้เห็น Hyundai iONIQ Minor Change เมื่อปีที่ผ่านมาลงข้อมูลไว้ก็ไม่มีการเปิดตัว การเปลี่ยนแปลงหลักๆคือ ปรับโฉมภายนอกใหม่ให้สดใหม่และทันสมัยมากยิ่งขึ้น แต่ที่น่าสนใจคงจะเป็นการปรับเปลี่ยนคอนโซลหน้าใหม่ยกชุดให้ดูดียิ่งกว่าเดิม ขุมพลังจะติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor แต่ได้พละกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 136 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 295 นิวตันเมตรเท่าเดิม พร้อมแบตเตอรี่ Lithium-Ion Polymer ที่มีความจุเพิ่มขึ้นเป็น 38.3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ส่งผลให้รถมีระยะทางวิ่งสูงสุดเพิ่มเป็น 311 กิโลเมตร ก็หวังว่าจะมานะครับ

   ปิดท้ายด้วยอีกหนึ่งรถพลังงานไฟฟ้าที่หลายคนชื่นชอบ นั่นคือ Hyundai Kona Electric ผมก็หวังว่าปีนี้จะมีการ Minor Change เช่นเดียวกัน เพราะปีที่ผ่านมาเพิ่งเปิดตัวรุ่นปรับโฉมในต่างประเทศ โดยภายนอกมีการปรับงานออกแบบใหม่ทั้งหน้าและท้าย เช่นเดียวกับภายในห้องโดยสาร 

   พละกำลังยังคงมาจาก มอเตอร์ไฟฟ้าประเภท Permanent Magnet Synchronous Motor พละกำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 395 นิวตัน-เมตร มี ระยะทางที่วิ่งได้สูงสุดตามมาตรฐาน Worldwide Harmonised Light Vehicle Test Procedure (WLTP) 484 กิโลเมตร หากใช้ระบบการชาร์จเร็ว Fast Charging 100 kW สามารถชาร์จจาก 10 จนถึง 80% ได้ในเวลาแค่ 47 นาทีเท่านั้น ยังไงก็ต้องรอชมว่าจะมาหรือไม่มาในปีนี้

Isuzu
รถใหม่ในไทย : D-Max รุ่นพิเศษ/ปรับอุปกรณ์
   อย่างที่รู้กันว่า ค่ายนี้มีรถขายไม่กี่รุ่น หลักๆก็ D-Max ที่ในปีก่อนมีการแนะนำรุ่น X-Series และเพิ่มรุ่นย่อยตัวเตี้ย เกียร์อัตโนมัติ ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ครองแชมป์อันดับ 1 ยอดขายกระบะในหลายเดือน และเชื่อว่าต้องเป็นกระบะขายดีอันดับ 1 ในปีที่ผ่านมาแน่นอน ส่วน MU-X ก็มีการเปิดตัว THE NEW ONYX ส่งท้าย ก่อนที่ปลายปีจะมีการเปิดตัว All-New Isuzu MU-X ที่ได้กระแสตอบรับค่อนข้างดีทีเดียว เรียกได้ว่าปีที่ผ่านมาน่าจะเป็นปีทองของค่ายนี้ก็เลยก็ว่าได้
   
   สำหรับในปีนี้นั้น สิ่งที่ Isuzu ทำได้ก็คงจะเป็นการปรับอุปกรณ์ หรือเปิดตัวรุ่นพิเศษ เพื่อกระตุ้นไม่ให้เงียบ สิ่งที่แอบหวังก็คือ การเพิ่มออปชั่นและความปลอดภัยต่างๆ ในกระบะ D-Max ให้ครบมากขึ้น แอบหวังว่าระบบความปลอดภัยล้ำๆ ที่ใส่มาใน MU-X น่าจะเอาไปลงในกระบะบ้าง ท้ายสุดนี้ก็ต้องติดตามกันต่อไป เพราะค่ายนี้มักซุ่มเงียบตลอด

Jaguar/Land Rover
Jaguar
รถใหม่ในไทย : XF Minor Change / E-Pace Minor Change / F-Pace Minor Change
   ค่ายเสือแห่งแดนผู้ดีนั้น อาจไม่ใช่รถหรูที่ชาวไทยนิยมนัก เพราะส่วนใหญ่ก็ไป Benz หรือ BMW หมด แต่ก็เป็นอีกค่ายที่มีดีไซน์ที่สวยและน่าสนใจไม่น้อยเลย แถมยัง Config ออปชั่นที่อยากได้ได้อีกด้วย 

  ปีนี้คาดหวังว่าน่าจะได้เห็นรถรุ่นปรับโฉมหลายรุ่นจากค่ายนี้ 
ไม่ว่าจะเป็น Jaguar XF Minor Change ตัวหรูคู่แข่ง Mercedes-Benz E-Class, BMW 5-Series หรือ Audi A6 โดยภายนอกปรับปรุงดีไซน์ภายนอกใหม่และภายในใหม่เช่นกัน ความน่าสนใจคือการติดตั้งจอสัมผัส HD แบบกระจกโค้งขนาด 11.4 นิ้วแบบใหม่ที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Pivi Pro อันเป็นระบบล่าสุดของบริษัท รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay เป็นมาตรฐานและ Android Auto ในบางตลาด ระบบยังสามารถอัปเดตซอฟต์แวร์แบบ over-the-air ได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีระบบตัดเสียงรบกวนในห้องโดยสาร Active Road Noise Cancellation และระบบการสร้างอนุภาคเพื่อกรองฝุ่น PM2.5 อีกด้วย

   ขุมพลังคาดว่าจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 250 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 365 นิวตันเมตรที่ 1,300-4,500 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 6.9-7.0 วินาที ท็อปสปีด 240-250 กม./ชม. ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีด คาดว่าต้นปีถึงกลางปีอาจจะได้เห็นกัน

   คันต่อมาก็คือ Jagaur E-Pace Minor Change ครอสโอเวอร์ไซส์เล็กทรงสวยที่ผ่านการปรับโฉมภายนอกเล็กน้อย และปรับภายในที่มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่เช่นเดียวกับ XF ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่คันนี้ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะมาหรือไม่ เพราะเห็นถอดข้อมูลออกจากใบราคาแล้วรวม (ในเว็บยังอยู่) เอาเป็นว่ารอชมแล้วกันครับ

  และอีกหนึ่งคันที่เชื่อว่ายังไงก็มา Jagaur F-Pace Minor Change อเนกประสงค์รุ่นใหญ่ ที่ผ่านการปรับโฉมภายนอกให้ทันสมัยขึ้น และปรับภายในใหม่ครั้งใหญ่ รวมทั้งมาพร้อมเทคโนโลยีเหมือนที่กล่าวไว้ข้างต้นเช่นกัน ขุมพลังคาดว่าจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุด 250 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100 กม.ชม. ใน 6.1 วินาที ท็อปสปีด 240 กม./ชม. ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเป็นมาตรฐาน คาดว่าน่าจะได้เห็นราวๆ ต้นปีหรือกลางปีนี้

รถใหม่เปิดตัวในต่างประเทศก่อน (และอาจมาไทยภายหลัง) : All-New XJ / i-Pace Minor Change
ภาพจาก Carscoops

   ในปีนี้ เราน่าจะได้เห็นรถซาลูนระดับเรือธงของค่ายอย่าง XJ ที่ถึงเวลาเปลี่ยนโฉมใหม่แล้ว แต่ไฮไลต์สำคัญคงหนีไม่พ้นเรื่องขุมพลัง เพราะ XJ โฉมใหม่นั้นจะกลายเป็นรถ EV 100% เต็มตัวเพื่อมาต่อกรกับ Tesla Model S และ Porsche Taycan โดยตัวรถจะสร้างบนแพลตฟอร์มใหม่ Modular Longitudinal Architecture (MLA) อันเป็นแพลตฟอร์มที่รองรับและต่อยอดการพัฒนาได้ทั้งค่าย Jaguar และ Land Rover เลย มีรายงานว่า XJ โฉมใหม่จะมากับมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัว และแบตเตอรี่ขนาด 90kWh ที่สามารถทำให้รถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 470 กม. โดยคาดว่าการเปิดตัว XJ โฉมใหม่จะมีขึ้นในต้นปีนี้ ส่วนชาวไทยก็ต้องมารอลุ้นกันว่าจะมาตอนไหน

  และนอกจากนี้ เราน่าจะได้เห็นการอัปเดตรูปโฉมภายนอกของ Jaguar i-Pace รถไฟฟ้าล้วนคันแรกของค่าย โดยปีที่แล้วก็มีภาพหลุดสิทธิบัตรออกมา หลักๆก็คือการปรับรูปโฉมภายนอกเล็กน้อยให้ดูดีขึ้น ทั้งในส่วนกระจังหน้า กันชนหน้า และกันชนท้าย โดยยังไม่มีข้อมูลว่าจะมีการปรับปรุงสมรรถนะหรือปรับระยะทางวิ่งรถให้มากขึ้นหรือเปล่า อันนี้ก็ต้องรอชม

Land Rover 
รถใหม่ในไทย Discovery Minor Change / Range Rover Velar MY2021
   สำหรับค่าย SUV หรูสายลุย ปีนี้เราน่าจะได้เห็น Land Rover Discovery Minor Change ที่เพิ่งปรับโฉมเมื่อปลายปีที่ผ่านมา มีไฮไลต์คือการเพิ่มรูปแบบการตกแต่ง R-Dynamic ที่ช่วยเสริมความเท่ของรถได้ดีทีเดียว ส่วนภายในก็มีการปรับการออกแบบขนานใหญ่ พร้อมติดตั้งเทคโนโลยีใหม่เข้ามาอย่าง ระบบอินโฟเทนเมนต์เวอร์ชั่นล่าสุดของค่ายอย่าง Pivi Pro รองรับการเชื่อมต่อได้ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto รวมทั้งรับการอัปเดตแบบ over-the-air จอใหม่ถูกปรับปรุงให้สัมผัสดีขึ้นและมีเมนูใช้งานง่านขึ้น ห้องโดยสารยังมาพร้อมระบบช่วยกรองฝุ่น PM 2.5 อีกด้วย

  โดยขุมพลังนั้นน่าจะติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล Ingenium 3.0 ลิตร 6 สูบ พละกำลัง 249 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 570 นิวตันเมตร พร้อมระบบ Mild Hybrid อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 8.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 194 กม./ชม. การเปิดตัวน่าจะมีขึ้นช่วงต้นปีถึงกลางปีนี้ครับ สำหรับใครที่อยากอ่านข้อมูลเต็มๆ ของรถคันนี้ก็ไปอ่านได้ตามลิงก์นี้ https://www.facebook.com/CarNewsUpdateFanpage/posts/3163987200391187

  และอีกคันหนึ่งที่คาดว่าน่าจะมาก็คือ Range Rover Velar ที่มีการปรับอุปกรณ์ใหม่ หลักๆก็คือ การเปลี่ยนพวงมาลัยทรงใหม่ เปลี่ยนเกียร์มาใช้แบบหัวเกียร์ธรรมดาอีกครั้ง รวมทั้งติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ Pivi Pro เหมือนที่อธิบายไปใน Discovery Sport นอกจากนี้แล้วในตลาดอังกฤษ ยังมีการอัปเกรดให้เกือบทุกขุมพลังมาพร้อมกับระบบ Mild Hybrid 48V   และไฮไลต์สำคัญคงเป็นการแนะนำรุ่น Plug-In Hybrid ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรแบบ Plug-In Hybrid ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ได้พละกำลัง 404 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 640 นิวตันเมตรที่ 1,500-3,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 5.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 209 กม./ชม. สามารถชาร์จไฟจาก 0-80% ในเวลา 30 นาทีผ่านอุปกรณ์ชาร์จเร็วแบบกระแสตรง วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ระยะทาง 53 กม. 

   แต่ถ้าอิงจากรุ่นปัจจุบัน คาดว่าเวอร์ชั่นไทยน่าจะทำตลาดในรุ่น P250 AWD Automatic ที่มากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร Ingenium 4 สูบเทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุด 250 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 7.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 217 กม./ชม. อย่างไรก็ตามก็ยังแอบหวังว่ารุ่น Plug-In Hybrid ก็น่าจะเอามาทำตลาดในไทยด้วยเช่นกัน ยังไงก็ต้องรอชม

รถใหม่เปิดตัวในต่างประเทศก่อน (และบางคันมาไทยภายหลัง) : Defender V8 / Range Rover Evoque ฐานล้อยาว / Range Rover โฉมใหม่
ภาพจาก Motorauthority

    การเปิดตัว Land Rover Defender เจเนเรชั่นใหม่ถอดด้าม สร้างความน่าสนใจให้กับแฟนๆหลายคนมากทีเดียว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ารถ SUV สายลุยคันนี้เตรียมที่จะเพิ่มรุ่นขุมพลังแรง V8 ลงไป เพื่อตีตลาดบนด้วย และไม่แน่ว่าในอนาคตก็อาจจะมี Defender พร้อมชื่อพ่วงท้าย SVR ซึ่งก็น่าจะเป็นความแปลกใหม่สำหรับรถตระกูล Defender เลยก็ว่าได้ แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่จะได้เป็นการเพิ่มความหลากหลายเหมือนที่ Mercedes-Benz G-Class ที่ยังมีตัวแรง AMG จำหน่ายนั่นเอง และก็มีข่าวลือว่า Jaguar Land Rover เตรียมเอาเครื่อง V8 4.4 ลิตรเทอร์โบคู่มาใช้แทนเครื่อง 5.0 ลิตร V8 ของ Ford ที่เก่าแล้ว สุดท้ายแล้วก็ต้องมารอดูเมื่อรถถูกเปิดตัวออกมา หวังว่าภายในปีนี้น่าจะได้เห็นกัน


  ในส่วนของ Range Rover Evoque ที่เปิดตัวมาได้สักพัก ด้วยขนาดตัวรถที่เล็กกะทัดรัด อาจจะไม่ตอบโจทย์หลายคนเท่าไหร่นักโดยเฉพาะพื้นที่ห้องโดยสารด้านหลัง ทาง Land Rover จึงมีแผนเปิดตัว Range Rover รุ่นฐานล้อยาว Long Wheel Base (LWB) ในช่วงปีนี้ แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าจะขายทั่วโลกหรือสงวนไว้แค่ประเทศจีนที่ชอบของยาวๆอยู่แล้ว โดยความต่างหลักๆก็คือ ประตูหลังที่ยาวขึ้นอันจะส่งผลให้มีพื้นที่วางขาด้านหลังมากขึ้น นอกนั้นก็เหมือน Range Rover Evoque ธรรมดา คาดว่าช่วงต้นปีนี้เป็นอย่างเร็วอาจจะได้เห็นการเปิดตัว

ภาพจาก Carscoops

  แต่ไฮไลต์ที่น่าติดตามสุดคงเป็นพี่ใหญ่ Range Rover ที่เตรียมเปิดตัวโมเดลใหม่ถอดด้าม หลังจากที่โมเดลปัจจุบันขายมายาวนานกว่า 8 ปีกว่าๆ ตัวรถจะถูกพัฒนาบนแพลตฟอร์ม Modular Longitudinal Architecture (MLA) ซึ่งก็จะถูกใช้ใน Range Rover Sport โฉมถัดไปที่จะเปิดตัวตามมา และ Jaguar XJ โฉมใหม่ที่จะเปิดตัวในอนาคตอันใกล้ด้วย รูปทรงโดยรวมยังคงเป็น Range Rover ในแบบที่คุ้นเคยกัน เช่นเดียวกับภายในที่น่าจะมากับการอัปเกรดขนานใหญ่ และจะมาพร้อมกับระบบอินโฟเทนเมนต์ Pivi Pro เหมือนรุ่นอื่นๆ

  ทางด้านขุมพลัง คาดว่าจะมีทางเลือกทั้งดีเซลและเบนซิน มีทั้ง Mild Hybrid, Plug-In Hybrid และ EV 100% ทยอยเปิดตัวตามๆ กันมา การเปิดตัวน่าจะมีขึ้นในช่วงกลางปีเป็นอย่างเร็ว หรืออย่างช้าปลายปีนี้

Lamborghini
รถใหม่ในไทย : Huracan STO
   ค่ายกระทิงดุ ต้นปีนี้ได้มีการเปิดตัว Lamborghini Huracan STO ตัวแรงที่นำจิตวิญญาณรถแข่งมาใส่รถถนน โดยขุมพลงยังคงใช้ครื่องยนต์เบนซิน V10 ไร้เทอร์โบ ความจุ 5.2 ลิตร ยังคงมากับพละกำลังสูงสุด 640 แรม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 565 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 3 วินาที, 0-200 กม./ชม. ใน 9 วินาที และท็อปสปีด 310 กม./ชม. แม้ว่าสมรรถนะจะเท่าเดิม แต่สิ่งที่แตกต่างก็คืองานวิศวกรรมของรถ โดยรถสร้างขึ้นจากแผนก Squadra Corse อันเป็นแผนกมอเตอร์สปอร์ตของค่าย ตัวรถได้รับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ขั้นสุด อย่างชิ้นส่วนฝากระโปรง บังโคลน และกันชนที่หลอมรวมเป็นชิ้นเดียวกันไปเลยเหมือนกับรถตัวแรร์ Lamborghini Sesto Elemento ของค่าย โครสร้างตัวรถโดยรวมนั้นยังใช้คาร์บอนไฟเบอร์เป็นส่วนประกอบถึง 75%

   นอกจากนี้รถยังปรับปรุงในหลายๆจุด ทั้งช่วงล่างที่แข็งขึ้น คันเร่งตอบสนองไวขึน เปลี่ยนเกียร์เร็วขึ้น พวงมาลัยคมขึ้น และปรับปรุงเสียงเครื่องยนต์ในรอบสูงๆ ให้ไพเราะขึ้น  มีโหมดการขับขี่ใหม่ 3 โหมด ได้แก่ 
- STO ใช้ในการขับขี่บนถนนปกติ
- Trofeo เน้นเค้นประสิทธิภาพของรถออกมาทั้งหมดออกใช้เวลาทำรอบในสนาม 
- Pioggia เป็นภาษาอิตาลี แปลว่า "ฝน" นั่นแปลว่าโหมดนี้ใช้สำหรับการชับขี่บนถนนลื่น โหมดนี้จะปรับแรงบิดและระบบเบรกให้เหมาะสมเพื่อให้ขับขี่บนถนนลื่นได้แบบไร้ปัญหา
อ่านรายละเอียดตัวรถเพิ่มเติมที่ https://www.facebook.com/CarNewsUpdateFanpage/posts/3208100859313154 

Maserati
รถใหม่ในไทย : MC20 
   ค่ายรถหรูอินดี้จากอิตาลี ปีนี้คาดว่าชาวไทยน่าจะได้สัมผัสกับ Maserati MC20 รถ Supercar คันใหม่ล่าสุดของค่ายที่จะเปิดปฐมบทของ Maserati ยุคใหม่ ติดตั้งขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน V6 3.0 ลิตรเทอร์โบคู่บล็อกใหม่หมดจดที่สร้างโดย Maserati ล้วนๆ 100%  มีระบบหัวฉีดคู่และระบบเผาไหม้ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก F1 พร้อมทั้งหัวเทียนคู่ ส่งผลให้รถสร้างพละกำลังได้ 630 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 730 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 8 สปีด มากับระบบขับเคลื่อนล้อหลังที่มีเฟืองท้ายแบบลิมิเต็ดสลิป ทำให้รถสามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาน้อยกว่า 2.9 วินาทีก่อนที่จะทำความเร็วสูงสุดเกิน 325 กม. /ชม. 
(รายละเอียดรถเพิ่มเติมอ่านได้ตามลิงก์นี้ครับ https://www.facebook.com/CarNewsUpdateFanpage/posts/2986071061516136)

รถใหม่ในตลาดโลก (และน่าจะมาไทยด้วย) : MC20 Spider & EV / All-New GranTurismo / All-New Grecale (New Mid-Size SUV)
    สำหรับ Maserati MC20 ตามที่ได้นำเสนอไปนั้น เห็นว่าในปีนี้จะมีการเปิดตัวเวอร์ชั่นพลังงานไฟฟ้าล้วน 100% ด้วย ซึ่ง

   ทาง Maserati ยังคงอุบสเปคไว้ แต่มีรายงานว่าขุมพลังนี้ช่วยทำให้รถทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ใน 2.8 วินาทีเท่านั้น และมีท็อปสปีด 310 กม./ชม. สามารถเดินทางได้ในระยะทางสูงสุด 323 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ก็ต้องรอดูตัวเลขสมรรถนะครับ และนอกจากนี้เราน่าจะได้เห็นเวอร์ชั่นเปิดประทุนของเจ้าคันนี้ด้วย

  นอกจากนี้ ในปีนี้เราจะได้เห็นการเปลี่ยนโฉมใหม่หมดจดของสปอร์ตรุ่นดังอย่าง GranTurismo ที่ทางค่ายแอบปล่อยภาพทีเซอร์ออกมาคร่าวๆ ก็พอเห็นว่าทรวดทรงตัวรถนั้นยังคงเอกลักษณ์จากรุ่นปัจจุบันไว้ แต่ก็น่าจะมีการปรับเปลี่ยนแนวทางการออกแบบให้เป็นไปตามแนวทางของ Maserati ยุคใหม่ และที่สำคัญคือ คาดว่ารุ่นนี้จะมีขุมพลังให้เลือกทั้งแบบเครื่องยนต์สันดาปภายในธรรมดาและขุมพลังไฟฟ้าล้วนด้วย หลังจากเปิดตัวรุ่นนี้แล้ว GranCabrio ที่เป็นรุ่นเปิดประทุนจะตามมาในปีหน้า

   แต่ที่เป็นไฮไลต์สำคัญคงจะเป็นรุ่นนี้ครับ รถอเนกประสงค์คันใหม่ของค่ายที่มีขนาดเล็กกว่า Levante ที่มาในชื่อ "Grecale" ที่หวังจะมาชิงแบ่งก้อนเค้กจาก Porsche Macan โดยคาดว่าจะมีทางเลือกขุมพลังทั้งเบนซินเทอร์โบ , Hybrid และ ไฟฟ้าล้วน คาดว่าภายในช่วงกลางปีถึงปลายปีนี้น่าจะได้เห็นกัน ส่วนชาวไทยก็รอลุ้นมาทำตลาดได้เลย

Mazda
รถใหม่ในไทย : All-New BT-50 / CX-5 MY2021-2022 / CX-8 MY2021-2022
   ค่าย Mazda ในปีที่ผ่านมา มีไฮไลต์เด็ดอย่าง Mazda CX-30 โฉมใหม่ที่เปิดตัวออกมา ส่วน CX-3 ก็ยังคงขายอยู่แต่ถูกหั่นราคาและออปชั่นลง และนอกจากนี้ยังมีรุ่นพิเศษฉลอง 100 ปีอีกด้วย 


  สำหรับในปีนี้ แน่นอนไฮไลต์เด็ดที่หลายคนรอคอยคงเป็น All-New Mazda BT-50 กระบะเจเนเรชั่นใหม่ที่คราวนี้หันมาซบ Isuzu ในการแชร์โครงสร้าง เครื่องยนต์และระบบส่งกำลังร่วมกัน เพียงแต่มีการปรับดีไซน์ภายนอกและภายในให้เป็นสไตล์ Mazda เท่านั้น มาครบทั้งตัวถังตอนเดียว ตอนครึ่ง และ 4 ประตู มี 2 ขุมพลังทางเลือกเหมือน Isuzu เป๊ะ นั่นคือ
- เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร พละกำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน – เมตร ที่ 1,600 – 2,600 รอบ/นาที
- เครื่องยนต์ดีเซล 1.9 ลิตร พละกำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน – เมตร ที่ 1,800 – 2,600 รอบ/นาที เป็นทางเลือกด้วย
ระบบส่งกำลังจะใช้เกียร์ธรรมดา 6 สปีดและอัตโนมัติ 6 สปีด
สำหรับการเปิดตัวจะมีขึ้นในวันที่ 21 มกราคมที่จะถึงนี้ ยังไงก็มาลุ้นสเปคแบบเต็มๆ และราคากันครับ

  และในปีนี้ คาดว่าจะได้เห็นการอัปเดตสเปคใน Mazda CX-5 และ CX-8 ใหม่ 2021 Collection โดยปลายปีที่ผ่านมาที่ญี่ปุ่นนั้น ก็มีการปรับเปลี่ยนดังต่อไปนี้
- ปรับปรุงสมรรถนะเครื่องยนต์ดีเซล SKYACTIV-D 2.2 ลิตร ที่เพิ่มพละกำลังเป็น 200 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที (เดิม 190 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที) ปรับปรุงแป้นคันเร่งใหม่ให้ตอบสนองดีขึ้นทั้งในจังหวะเร่งแซงและลดความเร็ว
- ปรับปรุงการตอบสนองเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดใหม่ (ยกเว้น 2.5 ลิตรเทอร์โบ) ให้เร็วขึ้นในจังหวะที่เรากดหรือปล่อยคันเร่ง
- ภายในปรับปรุงหน้าจอกลางใหม่ให้ใหญ่ขึ้นเป็น 8.8-10.25 นิ้ว 
- ใน CX-8 จะเพิ่มฝาท้ายไฟฟ้าแบบ Hands-Free ระบบชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สายมาให้ด้วย 
ซึ่งคาดว่าเราน่าจะได้เห็นการเปิดตัวในช่วงต้นปีถึงกลางปีนี้ หรืออย่างช้าก็ปลายปีครับ

McLaren
รถใหม่ในตลาดโลก (และน่าจะมาไทยด้วย) : Artura  
   ค่ายสปอร์ตแดนผู้ดีรายนี้เตรียมเปิดตัว Supercar คันใหม่ นามว่า "Artura" ซึ่งจะเป็น Supercar ที่มากับขุมพลังแบบ Plug-In Hybrid โดยขุมพลังอาจจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน V6 ผสานกำลังกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่สร้างพละกำลังได้มากกว่า 600 แรงม้า และคาดว่าน่าจะวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าล้วนได้ในระยะทางราวๆ 32 กม.

  Artura จะถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มใหม่ทั้งหมด ตัวรถคิดใหม่ทำใหม่ตั้งแต่แพลตฟอร์มยันระบบส่งกำลัง รวมทั้งภายนอกและภายใน และเทคโนโลยีต่างๆภายในรถ แต่สิ่งที่ยังคงไว้ก็คือประสบการณ์ในการสร้างรถตลอดหลายทศวรรษ และด้วยตัวรถที่แบกรับแบตเตอรี่ไฮบริดนั้น ทางค่ายก็จะชดเชยด้วยโครงสร้างตัวถังและระบบส่งกำลังที่ใช้วัสดุน้ำหนักเบาพิเศษ คาดว่าช่วงต้นปีนี้เป็นอย่างเร็วที่สุดน่าจะได้เห็นกัน ส่วนลูกค้าชาวไทยเชื่อว่าคงจะได้สัมผัสกันหลังจากนั้น

Mercedes-Benz 
รถใหม่ในไทย : E-Class Minor Change (Sedan, Coupe & Cabriolet)/ All-New S-Class / GLE Coupe / Maybach S-Class & GLS ? 
   ค่ายดาวสามแฉก ถ้าให้ไล่รถใหม่ในปีที่ผ่านมาคงไม่ไหว เพราะมีมากมายหลายรุ่น บางทีก็จำไม่ได้ครับ มีทั้งรุ่นปรับอุปกรณ์ รุ่น Minor Change และ โมเดลใหม่เปิดตัวในตลาด ต้องยอมรับว่าในไลน์อัพค่ายนี้มีรถเยอะมากมายก่ายกองจริงๆ รุ่นรถเผลอๆมากกว่าแบรนด์ญี่ปุ่นที่จำหน่ายตอนนี้เสียอีก


  คาดว่าปีนี้คงเป็นอีกปีที่ค่ายตราดาวจะนำเสนอรถใหม่หลากรุ่นให้เศรษฐีชาวไทยได้จับจองกัน ขอไล่เรียงตามขนาดเลยละกันครับ เริ่มที่ E-Class Minor Change คันนี้ยังไงซะต้องเปิดตัวในไทยปีนี้แน่นอน เผลอๆอาจจะมาในรูปแบบของรุ่นประกอบในประเทศเลยก็เป็นได้ เพราะหลังๆ ค่ายนี้ Minor Change หรือเปลี่ยนโมเดลโดยไม่ต้องมีรุ่นนำเข้ามาคั่นก่อนแล้ว

  รูปโฉมภายนอกนั้นโดยเฉพาะตัวถังซีดานจะมากับการปรับเปลี่ยนดีไซน์ครั้งใหญ่ทั้งด้านหน้าและด้านท้าย  ด้านหน้าได้สลัดไฟหน้า 4 ดวง ทิ้งไปจนหมดสิ้น ด้วยด้านหน้าตามสไตล์ตราดาวยุคใหม่ ผสานการออกแบบระหว่าง Mercedes-Benz CLS และ Mercedes-AMG GT 4-Door มาพร้อมไฟหน้าทรงใหม่ที่เรียวยาวขึ้น กระจังหน้าและกันชนหน้าใหม่ที่ออกแบบให้รับกับไฟหน้า ไฮไลต์เด็ดคงจะเป็นไฟท้ายที่เปลี่ยนทรงจากไฟก้อนแนวตั้งเป็นไฟท้ายแนวนอน 

    เข้ามาภายในห้องโดยสารจะพบกับการเปลี่ยนแปลงในส่วนของพวงมาลัยที่เป็นทรงใหม่ นับเป็น Mercedes-Benz รุ่นแรกที่ใช้พวงมาลัยทรงนี้ แผงหน้าปัดดิจิตอลยังมีการออกแบบในส่วนของกราฟิกใหม่ บนหน้าจอดิจิตอลขนาด 10.25-12.3 นิ้ว 

  ขุมพลังนั้นคาดว่าจะมีทางเลือกทั้ง 3 แบบ คือ
- E 220 d เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบความจุ 2.0 ลิตร พละกำลังสูงสุด 194 แรงม้าที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,800 รอบ/นาที
- E 300 e เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง 2.0 ลิตร พละกำลังสูง 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที และมีแรงบิด 350 นิวตันเมตรที่ความเร็วรอบ 1,200 – 4,000 ต่อนาที ผสานพลังกับมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง 122 แรงม้า รวมกำลังทั้งระบบ 320 แรงม้าที่ 4,500 – 5,500 รอบ/นาที และมีแรงบิดถึง 700 นิวตันเมตร
- AMG E 53 เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร 6 สูบแถวเรียง มากับพละกำลัง 435 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตร  มาพร้อมกับ EQ Boost Starter-Alternator ที่ช่วยเพิ่มพละกำลังอีก 22 แรงม้า (PS) พร้อมแรงบิด 250 นิวตันเมตรในช่วงระยะเวลสั้นๆ ส่งผลให้ทำพละกำลังสูงสุดได้ที่ 457 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 770 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีดพร้อม Paddle Shift และมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Matic +

  คาดว่าเราน่าจะได้เห็น E-Class ใหม่กันในช่วงต้นปีเป็นอย่างเร็วที่สุดครับ ซึ่งน่าจะประเดิมด้วยตัวถังซีดาน 4 ประตูก่อน ส่วนตัวถังคูเป้และเปิดประทุนน่าจะตามๆ กันมาภายหลัง

  อีกคันที่น่าสนใจก็คือ All-New Mercedes-Benz S-Class รถซาลูนระดับเรือธงที่เพิ่งเปลี่ยนโฉมใหม่เมื่อปีที่ผ่านมา ยกระดับทั้งดีไซน์และเทคโนโลยีขึ้นไปอีกขั้น ยิ่งภายในคือทีเด็ดเลยเพราะมีจอภายในรถถึง 5 จอ หลักๆคือ หน้าจอสัมผัสตรงกลางขนาดใหญ่แบบ OLED 12.8 นิ้ว อันเป็นสิ่งที่แทบจะควบคุมฟังก์ชั่นทุกอย่างของรถ ,หน้าปัดแบบดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้วถูกแยกออกมาเป็นพิเศษไม่เหมือนรุ่นเก่า และแน่นอนสิ่งที่ขาดไม่ได้ในเบนซ์ยุคใหม่ก็คือ ระบบ MBUX พร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง "Hey Mercedes" สามารถใช้งานได้ในทุกตำแหน่งที่นั่ง และมีจอหลังบริเวณเบาะคู่หน้าและจอแท็บเลตด้านหลังด้วย ระบบ MBUX ใน S-Class โฉมใหม่ยังอัปเดตระบบซอฟท์แวร์ได้เสมอแบบ Over-the-air อีกด้วย
  และ 3 ขุมพลังที่เป็นไปได้ว่าจะเอามาจำหน่ายในไทย ก็คือ
- S 500 4MATIC เครื่องยนต์เบนซิน M256 ความจุ 3.0 ลิตร 2999 ซีซี. 6 สูบแถวเรียง พละกำลังสูงสุดที่ 435 แรงม้าที่ 5,900-6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตรที่ 1,800-5,500 รอบ/นาที มากับระบบ Mild Hybrid 48 ที่มี EQ Boost เพิ่มพละกำลังอีก 22 แรงม้า และแรงบิด 250 นิวตันเมตร ในชั่วขณะหนึ่ง อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 4.9 วินาที ท็อปสปีด 250 กม./ชม.

- S 350 d / S 350 d 4MATIC เครื่องยนต์ดีเซล OM656 ความจุ 3.0 ลิตร 2925 ซีซี. 6 สูบแถวเรียง พละกำลังสูงสุดที่ 286 แรงม้าที่ 3,400-4,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตรที่ 1,200-3,200 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 6.2 วินาที (4MATIC 6.4 วินาที) ท็อปสปีด 250 กม./ชม.

- S 580 e  เครื่องยนต์เบนซิน M256 ความจุ 3.0 ลิตร 2999 ซีซี. 6 สูบแถวเรียง พละกำลังสูงสุดที่ 367 แรงม้าที่ 5,500-6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,600-4,500 รอบ/นาที ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าพละกำลัง 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร รวมพละกำลังทั้งระบบ 510 แรงม้า ไม่มีข้อูลอัตราเร่งแต่ ท็อปสปีด 250 กม./ชม.

ทั้งหมดส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9G-Tronic

ข้อมูลของรถรุ่นนี้โคตรเยอะครับ ฉะนั้นจะแปะลิงก์ให้ไปอ่านเพิ่มเติมกัน
คาดว่ารถคันนี้น่าจะเปิดตัวในไทยช่วงต้นปีถึงกลางปีนี้ครับ

อีกหนึ่งคัน...ในปีที่ผ่านมานั้นถือว่าเงียบ ไร้ความเคลื่อนไหว ก็หวังว่าปีนี้จะมานะครับ 
Mercedes-Benz GLE Coupe ครอสโอเวอร์คูเป้สุดหรูคู่แข่ง BMW X6 เดาว่าหากมาไทยน่าจะทำตลาดด้วยรุ่น GLE 350 d 4MATIC ที่มากับเครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร 6 สูบ พละกำลังสูงสุด 272 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 600 นิวตัวเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9G ‑ TRONIC ซึ่งส่งกำลังไปยังระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ 4MATIC เป็นมาตรฐาน

   และนอกจากนี้อาจจะมีตัวแรง AMG GLE 53 Coupe ติดตั้งขุมพลังเครื่องยนต์แบบ Mild-Hybrid ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร 6 สูบ แถวเรียง จับคู่กับระบบประจุไฟฟ้าที่ทำงานโดยใช้คอมเพรสเซอร์ช่วยที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้า (Electric Auxiliary Compressor) ทั้งหมดนี้ส่งผลให้รถมีพละกำลังสูงสุดที่ 435 แรงม้า (PS) พร้อมแรงบิดสูงสุด 520 นิวตัน-เมตร และยังสามารถเรียกพละกำลังเพิ่มเติมจากมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่ช่วยเพิ่มพละกำลังอีก 21 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. สามารถทำได้ใน 5.3 วินาที ก่อนทะยานไปสู่ความเร็วสูงสุดที่ 250 กม./ชม. อันเป็นความเร็วที่ล็อคไว้
ยังไงก็ต้องรอติดตาม

   สำหรับตัวหรู Maybach นั้น ทาง Mercedes-Benz ไทย น่าจะไม่พลาดเอาตัวหรู Mercedes-Maybach GLS มาจำหน่าย ชื่อก็บอกชัดอยู่แล้วว่าเป็นการเอา SUV อย่าง GLS มายกระดับความหรูให้สุดติ่งกระดิ่งแมวขึ้นทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสาร ไม่เชื่อดูภาพประกอบได้เลย

   แน่นอนว่าสุดยอด SUV หรูแบบนี้ก็ต้องใช้ขุมพลังที่สุดยอดเช่นกัน โดยจะทำการติดตั้งเครื่องยนต๋เบนซิน Twin-turbo V8 4.0 ลิตร พละกำลังสูงสุด 558 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 - 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 730 นิวตันเมตรที่ 2,500 - 5,000 รอบต่อนาที เครื่องบล็อกนี้ได้รับการพัฒนาสำหรับ Maybach โดยเฉพาะ รถคันนี้ยังเป็นระบบ Mild Hybrid ซึ่งจะมีการติดตั้งระบบ EQ Boost 48 โวลต์ซึ่งเพิ่มกำลัง 22 แรงม้า และแรงบิด 250 นิวตันเมตรในชั่วระยะหนึ่งได้ด้วย 

   ขุมพลังนี้ช่วยนำพารถ Mercedes-Maybach GLS 600 ที่มีน้ำหนักตัว 2.78 ตัน เร่งจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 4.9 วินาทีเท่านั้นและความเร็วสูงสุดล็อคไว้ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ที่ 11.7 ลิตร/100 กม. (8.55 กม./ลิตร) โดยมีอัตราการปล่อย CO2 ที่ 266 กรัม/กิโลเมตร คาดว่าในช่วงใดช่วงหนึ่งของปีนี้ ไม่ต้นปีก็กลางปีน่าจะมีการเปิดตัว

Mercedes-Maybach S-Class ก็เป็นอีกรุ่นที่น่าจะเข้ามาทำตลาดในไทยด้วย เพราะรุ่นปัจจุบัน (ที่ตกรุ่นแล้ว) ก็ยังมีจำหน่ายอยู่ สิ่งที่แตกต่างจาก S-Class มาตรฐานก็คือ มีการปรับกันชนหน้าและกระจังใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะรุ่น รวมทั้งมากับประตูหลังที่ยาวขึ้น ลูกค้าสามารถเลือกออปชั่นสีตัวถังภายนอกแบบทูโทนได้และเส้นแบ่งบตัวถังที่ลากด้วยมือ กระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาในการทำถึง 1 สัปดาห์เต็มๆ

  นอกจากนี้ Mercedes-Maybach S-Class ใหม่ทุกรุ่นจะมาพร้อมเบาะนั่งด้านหลังแบบ 2 ที่นั่งซึ่งมาพร้อมกับฟังก์ชั่นการนวดแบบใหม่ในส่วนน่องขา และมีแพ็คเกจคนขับรถมาให้เป็นมาตรฐาน และยังมีเทคโนโลยีที่น่าสนใจอย่างระบบ MBUX Interior Assist ที่ช่วยให้เราควบคุมรถได้ผ่านการแสดงท่าทาง ไม่ว่าจะเป็นการเปิด-ปิดม่านบังแดด เปิดไฟอ่านหนังสือ ระบบยังตรวจจับผู้โดยสารด้านหลัง หากรถอยู่ในมืด ระบบจะช่วยเปิดไฟให้อัตโนมัติเพื่อเพิ่มการมองเห็นที่ดีขึ้นด้วย หรือยิ่วไปกว่านั้น ระบบยังรองรับการสั่งปิดประตูหลังอีกด้วย
.
  คาดว่าปลายปีนี้อาจจะได้สัมผัสเจ้าตัวหรูคันนี้กัน 
ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ที่ https://www.facebook.com/CarNewsUpdateFanpage/posts/3189447614511812 ครับ 

  ส่วนนอกนั้นก็อาจจะมีการเปิดตัวรุ่นย่อยใหม่หรือรุ่นปรับอุปกรณ์ของรถที่มีในไลน์อัพครับ

รถใหม่ในตลาดโลก (และบางคันจะมาไทยด้วย) : All-New C-Class / CLS-Class Minor Change / All-New SL-Class / AMG S63 e & S 73 e/ AMG GT 63 e & 73 e / EQA / EQB / EQS
ภาพจาก Carscoops

    คอมแพกต์ซีดานของค่ายตราดาวอย่าง Mercedes-Benz C-Class เตรียมเปิดตัวโฉมใหม่หมดจดถอดด้ามในเร็วๆนี้ แล้ว โดยโฉมใหม่รหัสตัวถัง W206 รูปทรงของรถถือว่าตามรอย Benz ยุคใหม่ๆ หลากหลายรุ่น แต่ก็ยังคงมีทรวดทรงที่เป็นเอกลักษณ์ของ C-Class แต่ที่น่าสนใจก็คงเป็นภายในที่ออกแบบใหม่ให้ล้ำมากขึ้น โดยได้กลิ่นอายมาจาก S-Class โฉมล่าสุด เลิกทำจอกลางทรงตั้งและเอาจอมาไว้ใต้ช่องแอร์แล้ว

ภาพจาก Carscoops

ภาพจาก Autoevolution

   ขุมพลังคาดว่าจะยังคงมีทางเลือกดีเซลและเบนซิน ทั้งแบบ EQ Boost Mild Hybrid 48V และ Plug-In Hybrid และจากภาพรถทดสอบจะเห็นว่ารถเริ่มเปิดเผยสัดส่วนมากขึ้น บ่งบอกว่าใกล้จะเปิดตัวแล้ว คาดว่าช่วงต้นปีนี้แหละน่าจะได้เห็นรูปโฉมกัน ส่วนลูกค้าชาวไทยก็น่าจะได้สัมผัสราวๆ ครึ่งปีหลังของปีนี้ครับ 

ภาพจาก Motorauthority

  นอกจากนั้นแล้ว ตัวแรงอย่าง AMG C 53 และ C 63 ก็จะทยอยเปิดตัวตามมาด้วยเช่นกัน แล้ว C 43 ไปไหนล่ะ?
ใช่ครับ... AMG C 53 ว่ากันว่าจะมาทดแทน C 43 ที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน และจะโละขุมพลังเบนซิน 3.0 ลิตร 6 สูบ แล้วแทนที่ด้วยเครื่องเบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จแทน แล้วผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าแทน (อาจกลายเป็น Mild Hybrid หรือ Plug-In Hybrid) คาดว่าน่าจะอิงขุมพลังมาจาก AMG CLA 45 ที่มากับแรงม้าสูงสุด 421 แรงม้า และหากเสริมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าก็น่าจะมีพละกำลังราวๆ 450 แรงม้าขึ้นไปได้

ภาพจาก Carscoops

  ไม่เพียงแต่ C 53 เท่านั้น แต่ยังรวมถึง C 63 ที่อาจจะบอกลาเครื่อง V8 แล้วมาใช้ขุมพลังเบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ เทอร์โบชาร์จ แล้วเสริมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแทน และต้องรวมพละกำลังได้ไม่ต่ำกว่า 510 แรงม้าแบบในรุ่นปัจจุบัน เอาเป็นว่าตัวเลขตอนนี้ยังไม่แน่นอน ต้องติดตามกันต่อไป

ภาพจาก Autoevolution

   สปอร์ตซีดานอย่าง Mercedes-Benz CLS ที่น่าจะได้เวลาปรับโฉม Minor Change กลางอายุตลาดแล้ว แต่จากรถทดสอบที่พรางเล็กน้อยเท่านั้น จึงไม่ทราบแน่ชัดว่ารถจะปรับเปลี่ยนจุดไหนบ้าง แอบเชื่อว่ารถน่าจะเปลี่ยนมากกว่าที่เห็นแน่ อย่างน้อยเราน่าจะได้เห็นการปรับดีไซน์ภายนอกใหม่ให้ทันสมัย รวมทั้งปรับปรุงภายในใหม่ เพิ่มระบบอินโฟเทนเมนต์ MBUX เวอร์ชั่นล่าสุด คาดว่าช่วงครึ่งปีหลังของปีจนไปถึงปลายปีนี้อาจจะได้เห็นครับ 

       รถสปอร์ตคูเป้อย่าง Mercedes-AMG SL นั้นก็เตรียมเปิดตัวโฉมใหม่หมดจดในเร็วๆนี้ ในขณะที่ S-Class Coupe และ Convertible นั้นจะไม่ได้ไปต่อในรหัสตัวถัง W223 แต่นับว่าโชคดีที่โรดสเตอร์ไอคอนของค่ายอย่าง SL นั้นยังได้ไปต่อภายใต้ชายคาตัวแรง Mercedes-AMG รูปโฉมนั้นถือว่ามีกลิ่นอาย Benz ยุคใหม่พอสมควร ผสมผสานงานออกแบบกับ AMG GT ซึ่งดูแล้วน่าจะสวยลงตัวไม่น้อย แต่ไฮไลต์สำคัญคงเป็นการกลับมาใช้หลังคาผ้าใบอีกครั้งในรอบเกือบ 2 ทศวรรษ นับจากโฉม R129 แน่นอนว่ารถคันนี้น่าจะมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ที่ทันสมัย เช่นภายในที่ได้จอใหญ่ไฮเทค ตกทอดเทคโนโลยีมาจาก S-Class โฉมล่าสุด รองรับระบบอินโฟเทนเมนต์ MBUX สุดอัจฉริยะ

ภาพจาก Motor1

ขุมพลังคาดว่าจะมีทางเลือกในหลายรหัส ไม่ว่าจะเป็น
- SL 53 e เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร 6 สูบแถวเรียง แบบ Mild Hybrid + EQ Boost 48 V ได้พละกำลังมากกว่า 430 แรงม้า
- SL 63 เครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 แบบ Mild Hybrid + EQ Boost 48 V ได้พละกำลังมากกว่า 610 แรงม้า
- SL 73 e เครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 แบบ Plug-In Hybrid + มอเตอร์ไฟฟ้า ได้พละกำลังมากกว่า 800 แรงม้า
คาดว่าการเปิดตัว  Mercedes-AMG SL น่าจะมีขึ้นช่วงกลางปีนี้เป็นอย่างไว หรืออย่างช้าปลายปีนี้ ส่วนไทยก็รอติดตามได้หลังจากนั้น

ภาพจาก Carscoops

   รถซาลูนสุดหรูอย่าง S-Class ก็เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่จะมีตัวแรง AMG ทำตลาด แต่จะเป็นตัวแรงที่รักษ์โลกขึ้น เพราะหันมาใช้ขุมพลังแบบ Mild Hybrid และ Plug-In Hybrid แทน ซึ่งคาดว่าจะมี 2 รหัส ได้แก่ 
- S 63 e เครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 แบบ Plug-In Hybrid + มอเตอร์ไฟฟ้า ได้พละกำลังมากกว่า 700 แรงม้า
- S 73 e  เครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 แบบ Plug-In Hybrid + มอเตอร์ไฟฟ้า ได้พละกำลังมากกว่า 800 แรงม้า
ยังไม่มีข้อมูลตัวเลขที่แน่ชัด เอาเป็นว่ารอติดตามตอนเปิดตัว คาดว่าคงเผยโฉมให้ชาวโลกได้เห็นช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้

ภาพจาก Autoevolution

  นอกจากนี้แล้ว ขุมพลัง Plug-In Hybrid ใหม่นี้ จะถูกนำไปติดตั้งในสปอร์ตซีดาน 4 ประตูอย่าง Mercedes-AMG GT 4-Door Coupe อีกด้วย ซึ่งก็มีรถทดสอบออกมาวิ่งระยะหนึ่งแล้ว ก็ต้องมาลุ้นกันว่าจะเปิดตัวเมื่อไหร่ หวังว่าต้นปีหรือกลางปีนี้อาจจะได้เห็น
   
ภาพจาก Carscoops

   ดูตัวแรงกันมามากแล้ว มาดูรถไฟฟ้าล้วนกันบ้าง...รถไฟฟ้าคันแรกที่จะเปิดตัวประเดิมต้นปีนี้จากค่ายตราดาวก็คือ Mercedes-Benz EQA รถครอสโอเวอร์ไฟฟ้าที่ใช้พื้นฐานจาก GLA แต่มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดกระจังหน้าใหม่ กันชนหน้าใหม่ ฝาท้ายใหม่ และล้อลายใหม่ โดยขุมพลังนั้นคาดว่าอาจติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้พละกำลังราวๆ 204 แรงม้า และแรงสุด 335 แรงม้า อีกทั้งจะมีทางเลือกระบบทางเลือกระบบขับเคลื่อน 4 ล้อให้เลือกด้วย ระยะทางวิ่งสูงสุดคาดว่าจะทำได้ราวๆ 400 กิโลเมตร สำหรับกำหนดการเปิดตัว...ล่าสุดมีการแจ้งแล้วว่าจะเปิดตัวในวันที่ 20 มกราคมนี้ ยังไงก็รอติดตามรายละเอียดกันได้เลย

ภาพจาก Autoevolution

  ต่อเนื่องกับรถอเนกประสงค์ 3 แถวไซส์กะทัดรัด EQB ซึ่งใช้พื้นฐาน GLB ก็จะเปิดตัวตามมาอีกเช่นกัน และน่าจะมีทางเลือกขุมพลังเหมือนกับ EQA ความแตกต่างหลักๆจาก GLB ก็เห็นจะเป็นดีเทลภายนอกและน่าจะมีการปรับแต่งภายในเล็กน้อยด้วยเช่นกัน

ภาพจาก Carscoops

  แต่ไฮไลต์เด็ดที่หลายคนน่าจะรอคอยเลยก็คือ Mercedes-Benz EQS รถซีดานหรูพลังงานไฟฟ้าระดับ Flagship คันแรกของค่าย ผู้ซึ่งเป็นไฟฟ้าตั้งแต่เกิดเลย ไม่ได้นำรุ่นที่มีอยู่มาต่อยอด ซึ่งรูปทรงนั้นก็จัดว่ามีความโค้งมนพลิ้วไหวยิ่งกว่า CLA หรือ CLS เสียอีกครับ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ รถไฟฟ้าสุดล้ำคันนี้จะเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีจอภาพภายในห้องโดยสารสุดล้ำ "MBUX Hyperscreen" (อ่านรายละเอียดได้ที่ https://www.facebook.com/CarNewsUpdateFanpage/posts/3310335669089672
 
  ขุมพลังคาดว่าจะติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่สร้างพละกำลังได้มากกว่า 400 แรงม้า ในรุ่นเริ่มต้น และตัวท็อปสุดอาจจะสร้างพละกำลังได้สูงสุด 700 แรงม้า ส่วนระยะทางวิ่งนั้นอาจจะวิ่งได้มากสุดถึง 700 กม. ถือว่าไม่น้อยเลย รถเริ่มพรางน้อยขนาดแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานเกินรอเปิดตัวแน่นอน

MG
รถใหม่ในไทย : All-New MG5 / ZS EV Minor Change / HS Minor Change / Extender Minor Change
   ค่ายรถแดนมังกรรายนี้ เมื่อปีที่ผ่านมาถือว่ามีการเปิดตัวรถที่น่าสนใจหลายรุ่น ทั้ง ZS Minor Change, HS PHEV และ รถไฟฟ้าล้วน EP ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ช่วยขับเคลื่อนยอดขายให้เป็นกอบเป็นกำขึ้นทั้งนั้น ในขณะที่ยังมีทั้งคนจงเกลียดจงชังค่ายนี้ (รวมทั้งแฟนคลับบางกลุ่ม) มากทีเดียว

    สำหรับปีนี้ แอบคาดเดายากเหมือนกันว่าค่ายนี้จะเอารุ่นไหนมาเปิดตัวในไทย แต่ก็มีหนึ่งรุ่นที่น่าจับตาและเป็นไปได้สูงว่าอาจจะมาไทย นั่นคือ All-New MG5 เพราะมีคำยืนยันจากผู้บริหาร MG Australia ว่า MG5 รุ่นใหม่คันนี้จะเปิดตัวในประเทศออสเตรเลีย โดยการนำเข้าจากประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของ MG พวงมาลัยขวา น่าจะเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ เพราะ MG ที่จำหน่ายในออสเตรเลียตลอดมานั้น นำเข้าจากประเทศจีน แต่ MG5 ใหม่นี้ จะเป็นการนำเข้าจากประเทศไทย

  ความน่าสนใจคือหากมาไทยแล้ว รถน่าจะวางตำแหน่งทางตลาดในกลุ่ม C-Segment เพราะด้วยขนาดมิติตัวถังยาว 4,675 มิลลิเมตร กว้าง 1,842 มิลลิเมตร สูง 1,473 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,680 มิลลิเมตร เมื่อพิจารณาจากขนาดตัวถังแล้วนั้น...รถจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับ Toyota Corolla Altis, Honda Civic, Mazda 3 ซึ่ง MG ถือว่าใหญ่โตกว่าทุกคันที่กล่าวมา ยกเว้นฐานล้อที่สั้นกว่ากันไม่มาก

  หลายคนอาจจะคิดว่า MG บ้านเราจะเทรถเก๋ง 4 ประตูไปเน้น SUV แทนแล้ว แต่พอได้ข่าวแบบนี้ก็พอจะยืนยันได้ในระดับหนึ่งแล้วว่า MG5 โฉมใหม่มีแววมาขายในไทยแน่ๆ ซึ่งมันอาจเป็นเหตุผลที่ MG5 Wagon ในไทยถึงเลี่ยงตั้งชื่อเป็น MG EP ก็คงเพราะเปิดทางให้ MG5 มาทำตลาด และเพื่อไม่ให้เป็นการสับสนกัน

    ขุมพลังในตลาดจีนจะมี 2 แบบ คือ
- เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร MegaTech 4 สูบ พละกำลังสูงสุด 120 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีดและอัตโนมัติ CVT ท็อปสปีด 180-185 กม./ชม.
- เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตรเทอร์โบ MegaTech 4 สูบ พละกำลังสูงสุด 173 แรงม้าที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 275 นิวตันเมตรที่ 1,750-4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DCT 7 สปีด ท็อปสปีด 200 กม./ชม.
  
   สุดท้ายแล้วมารอดูกันครับว่า All-New MG5 จะมีการเปิดตัวในไทยจริงหรือไม่ และจะมาเมื่อไหร่

   คันต่อมาที่น่าลุ้นเหมือนกันก็คือ MG ZS EV ที่ดูเหมือนจะได้เวลาสำหรับการปรับโฉม Minor Change แล้ว เพราะรุ่นเบนซินก็ปรับโฉมมาจะครบปีแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าถ้าหากปรับโฉมก็น่าจะอิงดีไซน์จากตัวเบนซินนั่นแหละ แค่ปรับรายละเอียดบางอย่างเท่านั้น และขุมพลังก็อาจจะมีการเพิ่มแรงม้า หรือเพิ่มระยะทางวิ่งให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในจีนยังไม่มีการเปิดตัว ZS EV ที่ Minor Change เลย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีการเปิดตัวเมื่อไหร่

  พี่ใหญ่อย่าง MG HS นั้นยังแอบมีลุ้นกว่า เพราะปีที่ผ่านมานั้น ประเทศจีนได้ทำการเปิดตัวรถ "MG Linghang" หรือ "MG Pilot" ซึ่งเป็นการนำ HS มาศัลยกรรมภายนอกใหม่ และปรับภายในใหม่ให้ดูหรูดูแพงขึ้น เพิ่มเติมและปรับปรุงความปลอดภัยให้มากขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งขุมพลังเหมือน HS ก็แอบหวังว่าหน้าตาแบบนี้อาจถูกนำมาใส่ใน HS Minor Change เวอร์ชั่นไทยก็เป็นได้ อันนี้ก็ต้องรอดูต่อไป
(อ่านข้อมูล MG Pilot PHEV : 
  
   ปิดท้ายด้วยกระบะ Extender ที่ดูเหมือนว่าช่วงแรกที่เปิดตัว ไม่ประสบความสำเร็จกับยอดขายมากนัก จนต้องอัดส่วนลดหนักๆ ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นมาในแบบที่ควรจะเป็น คาดว่าในปีนี้เราอาจจะได้เห็นการปรับโฉมของกระบะคันโตรุ่นนี้ โดยน่าจะอิงโฉมมาจากกระบะ Maxus T80 ที่เตรียมเปิดตัวที่จีนเร็วๆนี้ ซึ่งรูปโฉมทั้งภายนอกและภายในนั้นถือว่าปรับจาก Maxus T60 มากทีเดียว เอาเป็นว่าต้องรอติดตามเช่นเดียวกัน

ภาพจาก Autohome1 / Autohome2 / Autohome3

Mitsubishi 
รถใหม่ในไทย : รุ่นปรับอุปกรณ์/รุ่นพิเศษ/รุ่นย่อยใหม่
   ค่ายสามเพชร เป็นอีกหนึ่งค่ายที่ขยันออกรุ่นปรับอุปกรณ์ รุ่นพิเศษ หรือรุ่นย่อยใหม่เยอะอยู่เหมือนกัน โดยปีที่ผ่านมาก็มีการแนะนำสารพัดรุ่นพิเศษ รุ่นปรับอุปกรณ์ออกมากระตุ้นตลาด ที่พีคหน่อยก็คงเป็นการแนะนำรุ่นปรับโฉมของ MPV ที่ขายดีอย่าง Xpander Minor Change และ MPV Crossover อย่าง Xpander Cross และส่งท้ายปลายปีแบบสวยหรูด้วยการเปิดตัว Mitsubishi Outlander PHEV ตัวถังที่ใกล้ตกรุ่นแล้ว ในขณะที่ต่างประเทศใกล้จะเปิดตัวโมเดลใหม่หมดจดแล้ว

  คาดว่าปีนี้อาจจะไม่มีอะไรมากยิ่งกว่าปีก่อน คงจะได้เห็นรุ่นปรับอุปกรณ์/รุ่นพิเศษ/รุ่นย่อยใหม่ของรถในไลน์อัพเปิดตัวออกมาเพื่อกระตุ้นตลาดฆ่าเวลารอการปรับโฉม หรือเปลี่ยนโฉมใหม่ ส่วนใครรอ Outlander PHEV โมเดลใหม่นั้น บอกได้เลยว่า ให้รอปี 2022 แต่โมเดลใหม่หมดจดเตรียมเผยโฉมในตลาดโลกปีนี้แน่นอน

รถใหใ่ในต่างประเทศ (และจะตามมาไทยภายหลัง) : All-New Outlander
   เป็นจังหวะที่ค่อนข้างโบ๊ะบ๊ะมาก! ในขณะที่บ้านเราเพิ่งเปิดตัว Mitsubishi Outlander PHEV ที่เอาโฉมเก่าใกล้ตกรุ่นมาจำหน่ายฆ่าเวลาก่อนโฉมใหม่จะมาในปี 2022 ยังไม่ทันไรก็มีภาพหลุดเจเนเรชั่นใหม่ออกมาให้เห็นกันแล้ว แต่อย่าเพิ่งน้อยใจไป เพราะในหลายๆตลาดก็เพิ่งปรับอุปกรณ์ในเวลาไม่กี่เดือนนี้เอง

  รูปโฉมจัดว่าสวยล้ำกว่าเดิมค่อนข้างมากทีเดียว ส่วนภายในยังไม่มีภาพออกมา แต่ให้ดูต้นแบบ Mitsubishi Engelberg Tourer Concept ไว้ คาดว่าน่าจะอิงการออกแบบกันมาเลย ขุมพลังคาดว่าจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร Plug-In Hybrid เหมือนเดิม ที่คาดว่าจะมีระยะวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าล้วนราวๆ 70 กม. สำหรับตลาดสหรัฐฯ แคนาดา และ เปอร์โตริโก จะเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ส่วนประเทศไทยคาดว่าเราน่าจะได้ใช้โฉมนี้กันในช่วงปี 2022 ตามที่บอกไปครับ

Nissan
รถใหม่ในไทย : Navara Single Cab Minor Change / Terra Minor Change / All-New Note
    ค่ายเพื่อนที่แสนดี (หรือบางคนเรียก "ค่ายสวยไม่ขาย") ต้องยอมรับว่าปีที่ผ่านมานั้น มีอะไรพีคๆจากค่ายนี้เยอะมาก เช่น การเปิดตัว Nissan Kicks e-POWER ครั้งแรกในโลกที่ไทย แต่ก็ติดปัญหาเรื่องชิ้นส่วนจนทำให้เลื่อนลงโชว์รูมหลายเดือนเลย และอีกบิ๊กเซอร์ไพรซ์ก็คือการเชือดรถ 3 รุ่นทิ้ง ได้แก่ Sylphy, X-Trail และ Teana  และไฮไลต์เด็ดส่งท้ายปีก็คหนีไม่พ้นการเปิดตัว Navara Minor Change กับการปรับโฉมใหม่ในรอบ 6 ปี

   สำหรับปีนี้นั้น ก็ยังมีอะไรหลายอย่างน่าสนใจเหมือนเดิม คาดว่าเราน่าจะได้เห็นการปรับโฉม Minor Change ของ Navara Single Cab หลังจากที่ประเดิมปรับโฉมในตัวแค็บและ 4 ประตูไปแล้ว แน่นอนรูปโฉมก็คงอิงตามๆกันมา สิ่งที่หวังก็คือ การติดตั้งระบบเบรก ABS EBD มาให้เป็นมาตรฐานทุกรุ่นย่อย แต่หวังยิ่งไปกว่านั้นคือการเพิ่มระบบควบคุมการทรงตัวด้วย (ถึงจะยากก็เถอะ) คาดว่าต้นปีนี้อาจจะได้เห็นกัน

   อีกหนึ่งคันที่เข้าคิวเปิดตัวเลยก็คือ Nissan Terra Minor Change รถ PPV คันเก่งของค่ายที่ดูจะไม่ประสบความสำเร็จด้านยอดขายเท่าไหร่ รอบนี้จึงมีการปรับภายนอกใหม่ให้แตกต่างจาก Navara มากขึ้น เหนือไปกว่านั้นคือการปรับดีไซน์แดชบอร์ดใหม่ทั้งดุ้นจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม โดยขุมพลังเวอร์ชั่นไทยก็น่าจะยืนหยัดด้วยเครื่องดีเซลหัส YS23DDTT ความจุ 2.3 ลิตร 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว เทอร์โบคู่แปรผัน VGS อินเตอร์คูลเลอร์ ให้พละกำลังสูงสุด 190 แรงม้าที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตรที่ 1,500-2,500 รอบ/นาที ทุกรุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดพร้อมโหมดแมนวล คาดว่าช่วงต้นปีเป็นอย่างเร็วที่สุด หรืออย่างช้ากลางปีคงจะมีการเปิดตัวออกมา แต่แนะนำว่ามาต้นปีเถอะ

   ในส่วนของรถเก๋งนั้น มีอีกหนึ่งรุ่นที่ลุ้นอยากให้มาให้ทันภายในปีนี้ นั่นคือ All-New Nissan Note ที่เพิ่งเปิดตัวในญี่ปุ่นเมื่อปีก่อน รูปโฉมภายนอกถือว่าพลิกจากรูปเดิมค่อนข้างมาก แต่ทีเด็ดคงเป็นภายในที่จัดว่าล้ำสมัยและมีก้าวกระโดดด้านดีไซน์ที่มากทีเดียว ในตลาดญี่ปุ่นนั้นจะมากับทางเลือกขุมพลัง e-POWER เท่านั้น โดยมากับเครื่องยนต์สำหรับการสร้างกระแสไฟฟ้า เครื่องเบนซิน HR12DE 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว ความจุ 1.2 ลิตร 1,198 ซีซี. พละกำลังสูงสุด 82 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 103 นิวตันเมตรที่ 4,800 รอบ/นาที  สร้างพลังงานให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าที่เป็นกำลังหลัก ได้พละกำลัง 116 แรงม้าที่ 2,900-10,341 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตรที่ 0-2,900 รอบ/นาที มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ 

   ซึ่งผมว่าน่าสนใจเหมือนกันหาก Nissan Thailand เอารุ่นนี้มาทำตลาดด้วยขุมพลัง e-POWER เช่นญี่ปุ่น แต่เดาว่าถ้ามาไทยก็คงจะติดตั้งขุมพลังเดียวกับ Almera นั่นคือ เครื่องยนต์เบนซินรหัส HRA0 ความจุ 1.0 ลิตร เทอร์โบ 999 ซีซี. แบบ DOHC Indirect Injection พละกำลังสูงสุด 100 แรงม้าที่ 5,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 152 นิวตันเมตรที่ 2,400-4,000 รอบ/นาที ทุกรุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ XTronic CVT with D-Step Logic (Hydraulic+Mechanical)

   เอาเป็นว่าคันนี้ขอยังไม่ Make Sure ว่าจะมาทันปีนี้หรือไม่ เพราะยังแอบไม่ไว้ใจในความช้าหรือความตลาดวายของค่ายนี้อยู่เล็กๆ แต่ก็หวังใจไว้ว่าจะมีการเปิดตัวในไทยภายในไม่เกินปีนี้ ต้องรอดูยาวๆ

รถใหม่ในต่างประเทศ (อาจะมีบางรุ่นมาไทย) : All-New Qashqai / All-New 400Z  
   รถครอสโอเวอร์ดีไซน์สวยที่เน้นจำหน่ายในตลาดยุโรปอย่าง Qashqai เป็นอีกหนึ่งคันที่้เตรียมเปิดตัวเจเนเรชั่นใหม่ ตัวรถจะสร้างบนแพลตฟอร์ม CMF-C เหมือนกับ Nissan X-trail เจเนเรชั่นใหม่ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ คาดว่าดีไซน์ก็น่าจะอิงกันมาเพียงแต่ Qashqai จะดูโฉบเฉี่ยวและกะทัดรัดกว่า 

  มีรายงานว่าขุมพลังของ Qashqai อาจมี 2 ขุมพลังทางเลือกคือ
- เบนซิน 1.3 ลิตรเทอร์โบ HR13 DiG-T พละกำลัง 158 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร เครื่องยนต์ยังเป็นแบบ Mild Hybrid ที่มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก
- e-POWER ที่มากับเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร MR15 ขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าพละกำลัง 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตร
คาดว่าการเปิดตัวน่าจะมีขึ้นช่วงต้นปีนี้ และแน่นอนว่ารถคันนี้ไม่มีแผนมาขายในไทยครับ

   และหลังจากปีที่แล้ว Nissan ได้ทำการเผยโฉมรถ Prototype อย่าง Nissan Z Proto ผู้ที่จะมาสานต่อตำนาน Nissan 370Z และแน่นอนว่าในปีนี้ก็ได้เวลาสำหรับการเปิดตัวรุ่นจำหน่ายจริง ซึ่งรถจำหน่ายจริงก็น่าจะไม่ต่างอะไรจากรถ Prototype มาก ขุมพลังเครื่องยนต์มีการยืนยันว่าจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน V6 เทอร์โบคู่ พร้อมเกียร์ธรรมดา 6 สปีด 

   ทั้งนี้ทั้งนั้นยังไม่มีการประกาศตัวเลขออกมา แต่มีสื่อคาดว่าจะหยิบยืมเครื่องมาจาก Infiniti Q60 Red Sport 400 ที่มากับพละกำลัง 400 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 474 นิวตันเมตร คาดว่าการเปิดตัวอาจจะมีขึ้นราวๆ ต้นปีถึงกลางปีนี้ ยังไงก็ต้องรอชม
(ข้อมูล Nissan Z Proto : 

Peugeot
รถใหม่ในไทย : 2008 / 3008 & 5008 Minor Change
   ค่ายสิงห์ฝรั่งเศส ปีก่อนหน้าผมเดาถูกด้วยว่าครอสโอเวอร์ไซส์เล็ก Peugeot 2008 จะต้องมาทำตลาดในไทย ซึ่งตัวรถถูกนำมาโชว์ตัวให้ชาวไทยได้ชมตั้งแต่ช่วงกลางปีแล้ว ตามเดิมนั้นเราจะต้องได้ทราบสเปคและราคาในช่วงปลายปีที่ผ่านมาแล้ว แต่เดาว่าน่าจะถูกเลื่อนการเปิดตัวออกไป เพราะแม้แต่ประเทศมาเลเซียที่เรานำเข้ารถจากตรงนี้มาก็ยังไม่มีการเปิดตัว แต่ยังดีที่ Peugeot บ้านเราเอา 2008 พวงมาลัยขวามาโชว์แก้ขัดที่งาน Motor Expo 2020 เพื่อเป็นการฆ่าเวลาไปก่อน

  แน่นอนว่าปีนี้ชาวไทยน่าจะได้จับจอง Peugeot 2008 แล้ว ขุมพลังที่น่าจะทำตลาดไทย น่าจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร PureTech 3 สูบ ที่มีพละกำลัง 3 ระดับ ได้แก่
– พละกำลัง 100 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 205 นิวตันเมตร
– พละกำลัง 130 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตันเมตร
– พละกำลัง 155 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร
และแน่นอนว่าจะส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ที่ต้องลุ้นคือว่าไทยจะได้พละกำลังเท่าไหร่ ส่วนราคาค่าตัวนั้น จากที่เคยถามพนักงานขายเมื่อนานมาแล้ว พนักงานให้ข้อมูลว่าอาจอยู่ราวๆ 1.2-1.3 ล้านบาท กับความเป็นรถยุโรปแท้ๆ ผมยังถือว่ารับได้ ยังไงก็ต้องรอการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ และรอดูสเปคกับราคาอย่างเป็นทางการอีกที คาดว่าต้นปีนี้คงได้สัมผัสกัน หรืออย่างช้ากลางปี ยังไงต้องรอดูทางมาเลเซียด้วย

   และอีก 2 คันที่มีลุ้นตามมาด้วยก็คือ Peugeot 3008 และ 5008 Minor Change ที่มีการปรับโฉม Minor Change ไปเมื่อปีก่อน การเปลี่ยนแปลงหลักๆคือ งานออกแบบด้านหน้าใหม่ทั้งหมด โดยได้ไฟหน้าและกระจังหน้าใหม่ ออกแบบไฟ DRL ใหม่และไฟเลี้ยวใหม่ ส่วนด้านท้ายปรับรายละเอียดไฟท้ายใหม่ที่เพรียวบางกว่าเดิม ส่วนภายในได้หน้าจอระบบอินโฟเทนเมนต์ตรงกลางใหม่ขนาด 10 นิ้ว  

  คาดว่าขุมพลังที่จะทำตลาดในไทยคงหนีไม่พ้นเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร Puretech พละกำลัง 180 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด หวังว่าภายในปีนี้น่าจะทันเห็นการเปิดตัวในไทยนะครับ

Porsche
รถใหม่ในตลาดโลก (และบางคันจะมาไทยด้วย) : 718 Cayman GT4 RS / 911 Family (GT3, GT3 RS) / Macan Minor Change / Taycan Cross Turismo
   ค่ายสปอร์ตหน้ากบ Porsche ขอไม่พูดถึงรถใหม่ในไทย เพราะหลายรุ่นที่เปิดตัวในตลาดโลกไม่นาน สักพักก็ขึ้นเว็บขายในไทยแบบรวดเร็ว เพราะยังไงแทบทุกรุ่นทุกโมเดล ทาง Porsche เอามาขายอยู่แล้ว เลยขอโฟกัสที่รถใหม่ที่ยังไม่เปิดตัวและรอการเปิดตัวดีกว่า ซึ่งเชื่อว่ารถพวกนี้ยังไงทาง AAS ก็เอามาขายครับ

ภาพจาก Carscoops

   ไล่จากรุ่นเล็กสุดอย่าง 718 Cayman หลังจากที่มีการเปิดตัวตัวแรงอย่าง 718 Cayman GT4 ซึ่งถือว่าสุดจัดในตระกูลแล้ว แต่ Porsche เตรียมเปิดตัวรุ่นที่สุดจัดยิ่งกว่าอย่าง 718 Cayman GT4 RS ที่จะมีการอัปเกรดทั้งภายนอก ภายในและขุมพลังให้โหดขึ้นไปอีกระดับ อีกทั้งอัปเกรดช่วงล่างใหม่อีกด้วย 

  โดยขุมพลังน่าจะยังคงยืนหยัดด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร Boxer 6 สูบแบบหายใจเอง ไม่ต้องพึ่งเทอร์โบ ที่น่าจะอัปเกรดสมรรถนะให้มากกว่า 450 แรงม้า และอาจจะแรงสุดถึง 500 แรงม้า แต่ก็ต้องไม่ให้เกินหน้าเกินตารุ่นพี่ 911 GT3 คาดว่าการเปิดตัวน่าจะมีขึ้นในอย่างเร็วสุดต้นปี หรืออย่างช้าช่วงกลางปีครับ

ภาพจาก Carscoops

  และแน่นอน ในปีนี้เราน่าจะได้เห็นรถในตระกูล 911 เปิดตัวอีกเรื่อยๆ เชื่อว่าในปีนี้เราน่าจะได้เห็นตัวโหด 911 GT3 อันเป็นตัวโหดระดับเริ่มต้นในตระกูลเปิดตัวออกมา โดยมีการอัปเกรดงานดีไซน์ภายนอกให้ดุดันกว่ารุ่นอื่นๆ ในตระกูล (ยกเว้น GT2 ที่จะยกระดับความโหดขึ้นไปอีก) ส่วนกันชนหน้า กันชนท้าย และสปอยเลอร์ท้ายขนาดใหญ่ พร้อมท่อไอเสียคู่ตรงกลาง เครื่องยนต์น่าจะติดตั้ง เครื่องเบนซิน 4.0 ลิตร 6 สูบแบบไร้ระบบอัดอากาศ พละกำลังน่าจะออกมาได้ไม่ต่ำกว่า 510-520 แรงม้า พร้อมเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 8 สปีด

ภาพจาก Motor1

     แต่ถ้าหากใครอยากได้รุ่นเกียร์ธรรมดาก็ยังมีอีกตัวคือ 911 GT3 Touring Package ที่จะลดทอนความดุดันลงมาเล็กน้อย โดยถอดสปอยเลอร์ท้ายขนาดใหญ่ออก แทนที่ด้วยสปอยเลอร์ไฟฟ้าแทน

   หรือถ้าใครอยากได้เวอร์ชั่นที่โหดขึ้นอีกระดับจาก 911 GT3 แน่นอนก็ต้องไปหา 911 GT3 RS ที่จะอัปเกรดภายนอกให้ดุดันขึ้นไปอีกระดับ ไล่เบาชิ้นส่วนและข้าวของที่ไม่จำเป็นออกไป คาดว่าจะอาจจะได้ขุมพลังที่ใหญ่ขึ้นอีกเป็น 4.2 ลิตร 6 สูบที่น่าจะทำพละกำลังได้ราวๆ 580 แรงม้า 

คาดว่าการเปิดตัวรถในตระกูล 911 เหล่านี้จะไล่เรียงเปิดตัวกันตั้งแต่ต้นปีนี้เป็นต้นไป ยังไงสาวกก็ต้องติดตามครับ

ภาพจาก Motorauthority

   มาดูในส่วนของอเนกประสงค์รุ่นเล็กอย่าง Macan บ้าง เพราะเจ้ารถ SUV ยอดนิยมคันนี้จะมีการปรับโฉมรอบที่ 2 เพื่อขายต่ออีกสักพัก โดยหลักๆก็จะมีการปรับงานออกแบบด้านหน้าใหม่เล็กน้อย และปรับปรุงซอฟท์แวร์ภายในให้ทันสมัยขึ้นอีก โดยขุมพลังยังไม่มีข้อมูลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน แต่ก็ไม่แน่ว่ารถอาจจะปรับเครื่องยนต์ใหม่ให้มาพร้อมกับระบบ Mild Hybrid 48V ยังไงก็ต้องรอดูเมื่อรถเปิดตัว 

  น่าแปลกใจเหมือนกันที่ Porsche ตัดสินใจลากขาย Macan ต่อทั้งที่รถเปิดตัวตั้งแต่ปี 2014 แล้ว แต่เท่าที่รู้ตอนนี้ก็คือ Porsche กำลังซุ่มพัฒนา Macan เวอร์ชั่นขุมพลังไฟฟ้าล้วนที่จะสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มใหม่ PPE Platform เหมือนที่ใช้ในรถไฟฟ้า VW และ Audi ตอนนี้ แต่การเปิดตัวน่าจะมีขึ้นในปี 2022 หรือปีหน้า ดังนั้นทาง Porsche จึงตัดสินใจปรับโฉมลากขาย Macan ปัจจุบันไปอีกสักระยะก่อนนั่นเอง คาดว่ารุ่นปรับโฉมอาจจะได้เห็นกันครึ่งปีหลังของปีนี้

ภาพจาก Autoevolution

   แต่ในปีนี้ยังมีรถไฟฟ้าอีกหนึ่งคันของค่ายที่รอเปิดตัว นั่นคือ Taycan Cross Turismo แต่เริ่มเดิมทีที่ต้องเปิดตัวในปีนี้ แต่ถูกเลื่อนออกไปเพราะการระบาดของ COVID-19 รูปแบบสไตล์ตัวรถจะมาในสไตล์แวกอนเหมือน Panamera Sport Turismo ซึ่งจะเน้นอรรถประโยชน์ที่มากขึ้นกว่าตัวถังแบบมาตรฐาน โดยขุมพลังนั้นคาดว่าคงไม่ต่างจาก Taycan ปกติ การเปิดตัวน่าจะมีขึ้นในช่วงต้นปีนี้ 
(ข้อมูล Porsche Taycan

Subaru
รถใหม่ในไทย : XV Minor Change / All-New Outback / All-New Levorg / All-New BRZ
รถใหม่เปิดตัวในต่างประเทศก่อน (และมาไทยภายหลัง) : Forester Minor Change
   ค่ายดาวลูกไก่ในปีที่ผ่านมาไม่ค่อยมีอะไรมาก ก็หวังว่าปีนี้น่าจะมีอะไรน่าสนใจให้เราได้สัมผัสเยอะ คันแรกที่คาดว่าจะได้เห็นกันก็คือ Subaru XV Minor Change รุ่นปรับโฉมที่เพิ่งเผยโฉมในปีที่ผ่านมา หลักๆก็จะมีการออกแบบกระจังหน้าใหม่ และกันชนหน้าใหม่ รวมทั้งล้อลายใหม่ ซึ่งเมื่อมองผ่านๆ ก็ไม่ได้ต่างจากรุ่นเดิมมากนัก ส่วนภายในมากับมาตรวัดปรับปรุงรายละเอียดพร้อมจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ LCD แบบสี และยังมีการตกแต่งใหม่อีกหลายรายการ

   เครื่องเบนซิน Boxer 2.0 ลิตร 4 สูบ ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 6,200 รอบต่อนาที แรงบิด 196 นิวตันเมตรที่ 4,200 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT พร้อม Paddle Shift ติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ให้เป็นมาตรฐาน

  ส่วนระบบความปลอดภัยนั้นก็เป็นไปได้มากที่จะมีการติดตั้งชุดความปลอดภัย Eyesight ให้ในตัว XV ซึ่งประกอบด้วย
- ระบบเบรกอัตโนมัติก่อนชน Pre-Collision Braking
- ระบบจัดการกำลังเครื่องยนต์ก่อนชน Pre-Collision Braking
- ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงหรือออกจากช่องทางขับ Lane Sway and Departure Warning
- ระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบแปรผัน Adaptive Cruise Control
- ระบบการเตือนรถคันหน้าออกตัว Lead Vehicle Start Alert
คาดว่าช่วงต้นปีถึงกลางปีนี้น่าจะมีการเปิดตัวครับ

    คันต่อมาที่มีแววเปิดตัวเหมือนกัน นั่นก็คือ All-New Subaru Levorg รถทรงแวกอนขวัญใจพ่อบ้านที่เพิ่งเปลี่ยนโฉมเมื่อปีที่ผ่านมา ภายนอกมีรูปโฉมที่สวยและเฉียบคมขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์เหมือนเดิม ถูกพัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์มใหม่ Subaru Global Platform เหมือนที่ใช้ใน Impreza รุ่นล่าสุด แพลตฟอร์มใหม่ส่งผลให้ตัวรถใหญ่ขึ้น ส่งผลต่อพื้นที่วางขาด้านหลังกว้างมากขึ้น แถมยังมีความจุท้ายรถที่เพิ่มขึ้นด้วย

   ขุมพลังติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร Boxer 4 สูบเทอร์โบชาร์จพร้อมไดเร็กอินเจคชั่นที่ให้พละกำลัง 177 แรงม้า (PS) ที่ 5,200-5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตรที่ 1,600-3,600 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Lineartronic CVT 
  
   นี่น่าจะเป็นอีกรุ่นที่พ่อบ้านขาซิ่งชาวไทยรอคอย เชื่อว่า Subaru น่าจะไม่พลาดที่จะนำเข้ามาจำหน่ายในไทย แต่จะเป็นเมื่อไหร่นั้นต้องรอติดตาม ผมเดาว่าคงเป็นช่วงต้นปีถึงกลางปีครับ

    และอีกหนึ่งคันที่เชื่อว่า Subaru ไม่พลาดเอามาเช่นกัน นั่นก็คือ Subaru BRZ โฉมใหม่ล่าสุด สปอร์ตคูเป้ตัวจี๊ดที่เพิ่งเปิดตัวปลายปีที่แล้วเอง มีการออกแบบใหม่หมดแทบทั้งคัน มากับแซสซีส์ใหม่ที่ปรับให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำลง เสริมความแข็งแรงเพิ่มเติมในหลายๆ จุด มิติตัวถังของรถมีขนาดยาวขึ้น 30 มิลลิเมตร กว้างเท่ารุ่นเดิม แต่เตี้ยลง 10 มิลลิเมตร ระยะฐานล้ออยู่ที่ 2,575 มิลลิเมตร (เพิ่มขึ้น 5 มิลลิเมตร)

   ขุมพลังจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน Flat-Four ความจุ 2.4 ลิตรไร้เทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 228 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดหรืออัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sport Mode ทางค่ายยังไม่เปิดเผยตัวเลขอัตราเร่ง เพียงแต่บอกว่า มีการแนะนำระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว VSC ที่ปรับตั้งค่าได้ถึง 6 ระดับ

   All-New Subaru BRZ จะเข้าสู่การผลิตที่โรงงาน Gunma ในญี่ปุ่น จำหน่ายในสหรัฐฯ ช่วงฤดูใบไม้ร่วง (เดือนกันยายน) ปีนี้ คาดว่าชาวไทยน่าจะได้สัมผัสกันราวๆ ปลายปีนี้ครับ

   คันนี้ขอพูดถึงทิ้งท้าย เพราะยังไม่มีรูปโฉมจริงเลย... Subaru Forester ที่ในปีนี้เราอาจจะได้พบกับการเปิดตัวรุ่นปรับโฉม Minor Change ใหม่ หลักๆที่เราจะได้เห็นก็น่าจะเป็นการปรับรูปโฉมภายนอกให้ดูทันสมัยขึ้น แต่ก็คงไม่ได้ปรับอะไรมากเหมือนกับ XV Minor Change เช่นเดียวกับการอัปเดตการตกแต่งภายในที่น่าจะปรับเปลี่ยนเล็กน้อย 

ภาพจาก kolesa.ru

   ซึ่งในรุ่นปรับโฉมใหม่นี้ก็เป็นไปได้ที่อาจจะมีการนำเสนอขุมพลัง "e-Boxer" อันเป็นขุมพลังแบบ Mild Hybrid ที่เปิดตัวในตลาดสิงคโปร์เมื่อปีที่แล้ว โดยยังคงติดตั้งเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 4 สูบขนาด 2.0 ลิตรพละกำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 196 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที ที่สิ่งที่เพิ่มมาก็คือ ตัวช่วยเสริมพละกำลัง คือ มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 16.7 แรงม้า (PS) พร้อมแรงบิดสูงสุด 66 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Hybrid Lineartronic CVT มอเตอร์ไฟฟ้าจะใช้พลังงานจากชุดแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนที่ตั้งอยู่ใต้พื้นรถบริเวณห้องสัมภาระด้านหลัง แต่ไม่กระทบต่อความจุสัมภาระด้านหลังมากนัก 

    นอกจากนี้เราอาจจะได้เห็นการติดตั้งชุดความปลอดภัย Eyesight ในหลากหลายรุ่นย่อยขึ้นด้วย ยังไงก็ต้องรอติดตามชมกันครับ

Suzuki
รถใหม่ในไทย : Swift Minor Change
   เมื่อปีที่ผ่านมา ค่ายนี้มีรถใหม่น่าสนใจหลายรุ่นเลย ไม่ว่าจะเป็น Suzuki Ciaz Minor Change, Ertiga MY2020 และ XL7 รถในค่ายอาจจะไม่มีอะไรโดดเด่นมาก แต่เขาก็มีดีพอ (แถมโปรฯดี) จนทำกอบโกยยอดขายในปีที่ผ่านมาไม่น้อย

   ในปีนี้ก็หวังว่า Suzuki จะทำการอัปเดตให้กับรถเล็กคันเก่งอย่าง Swift ซึ่งมีการปรับโฉม Minor Change แล้วที่ญี่ปุ่นในปีที่ผ่านมา การปรับเปลี่ยนหลักๆ คือ ภายนอกมีการปรับรายละเอียดกระจังหน้าใหม่เป็นตะแกรงรังผึ้งที่รูใหญ่กว่าเดิม ส่วนกันชนยังคงดีไซน์เดิม ไฟหน้ายังมาพร้อมระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติด้วย และได้ล้อลายใหม่ขนาด 16 นิ้ว ส่วนล้อกระทะพร้อมฝาครอบยังใช้ลายเดิม ส่วนภายในห้องโดยสารก็ยังคงดีไซน์เดิมไม่เปลี่ยนแปลง

   ขุมพลังเดาได้ไม่ยากว่าจะใช้เครื่องยนต์เบนซินบล็อกเดิม นั่นคือเครื่องรหัส K12M ความจุ 1.2 ลิตร DualJet มากับพละกำลังสูงสุด 83 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 108 นิวตัน-เมตรที่ 4,400 รอบ/นาที รองรับเชื้อเพลิงถึง E20 ระบบส่งกำลังใช้เกียร์อัตโนมัติ CVT มีข่าวอัปเดตล่าสุดว่าจะมีการเปิดตัวในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้แล้ว ยังไงสาวกต้องติดตามครับ

Toyota / Lexus
Toyota
รถใหม่ในไทย : Corolla Altis MY2021 / Yaris & ATIV Limited Edition
    ค่ายยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่นรายนี้ไม่เคยปล่อยให้เงียบเหงา ต้องมีการเปิดตัวรถในทุกๆปี อย่างในปีที่ผ่านมาก็มีทั้ง Toyota Alphard/Vellfire รุ่นปรับอุปกรณ์, Toyota Hilux Revo และ Fortuner Minor Change, Yaris Minor Change รวมทั้งพระเอกตัวสำคัญอย่าง Corolla Cross ที่มาโกยยอดได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ และที่น่าสนใจอีกหลายรุ่นตลอดปี 2020

  ปีนี้เชื่อว่าน่าจะเป็นอีกปีที่ Toyota จะต้องมีอะไรน่าสนใจมาเสิร์ฟลูกค้าอีกเพียบ ที่แน่ๆ คันแรกที่จะประเดิมเปิดก่อนเพื่อน น่าจะเป็น Toyota Corolla Altis ที่เตรียมปรับอุปกรณ์ใหม่ในเร็วๆนี้ ไฮไลต์หลักๆ คือ
- การเพิ่มรุ่นย่อยเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตรใหม่อีก 1 รุ่น (จากเดิมที่มี 1.8 ลิตรในตัวแต่ง GR Sport รุ่นย่อยเดียว) ออปชั่นโดยรวมค่อนข้างครบ
- เพิ่มออปชั่นใหม่ๆในตัวแต่ง (GR Sport) เช่น มาตรวัดพร้อมจอสี 7 นิ้ว, จอ Head-Up Display, Cruise Control, แท่นชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย
- เพิ่มออปชั่นใน Hybrid รุ่นกลาง ได้แก่ กระจกมองข้างพร้อม Reverse Link, เพิ่ม Cruise Control, BSM และ RCTA
การเปิดตัวนั้นจะมีขึ้นภายในเดือนมกราคมนี้แน่นอน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่
(ณ วันที่พิมพ์บทความ รถยังไม่เปิดตัว แต่หลังจากนั้นรถอาจจะเปิดตัวแล้วก็ได้)

   ต่อเนื่องในเดือนกุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรัก ทาง Toyota ก็มีแผนกระตุ้นตลาดให้กับ 2 รถเล็กอย่าง Yaris และ Yaris ATIV ด้วยการเปิดตัวรุ่นพิเศษ Limited Edition ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่ารุ่นพิเศษนี้จะออกมาแบบไหน แต่ที่รู้ก็คือรุ่นพิเศษนี้จะมี 2 รุ่นย่อย ใช้พื้นฐานจากเกรด Sport และ Sport Premium

หากใครนึกสีไม่ออก สีก็จะประมาณนี้ครับ เอารูป Yaris เวอร์ชั่นญี่ปุ่นมาให้ชม ไม่เกี่ยวกะไทยเด้อ
ที่มา https://www.netz-nishinihon.jp/blog/store/detail/85724

   และไฮไลต์สำคัญคือ จะมีสีตัวถัง..สีชมพู Ice Pink Metallic มาให้เลือกด้วย นอกจากนั้นแล้วก็จะมีสีขาวมุก Platinum White Pearl, สีเทา Gray Metallic และสีดำ Attitude Black Mica (พิเศษใน Yaris 5 ประตู จะได้สีขาวมุกหลังคาดำ และ สีชมพูหลังคาดำด้วย) เอาเป็นว่าต้องมารอชมกันครับ

   คันต่อไปที่คาดว่าจะได้เห็นกันก็คือ Toyota C-HR Minor Change ซึ่งแท้จริงแล้วต้องเปิดตัวตั้งแต่ปีที่ผ่านมาแล้ว แต่คาดว่าคงถูกเลื่อนเพื่อเปิดทางให้ Corolla Cross ได้เปิดตัวและทำยอดขายในปีนี้

 แต่การมาของ Corolla Cross นั้นก็แทบจะปิดจุดบอดหลายจุดที่มีใน C-HR แต่ก็ถูกปรับแต่งเอาใจลูกค้ากลุ่มครอบครัว แต่ทว่า C-HR เองก็มีจุดเด่นในเรื่องรูปลักษณ์ที่สวยโฉบเฉี่ยวและการเซตขับขี่ที่หนึบแน่นกว่า และยังมีออปชั่นบางอย่างที่ Corolla Cross ไม่มีด้วย (เช่น เบรกมือไฟฟ้า, Auto Brake Hold เป็นต้น)

  อย่างไรก็ตามนั้น สิ่งที่พอจะรู้ในตอนนี้ก็คือ C-HR Minor Change จะไม่มีทางเลือกเบนซิน 1.8 ลิตรอีกต่อไปแล้ว และอาจจะทำตลาดเพียงเครื่องยนต์เดียวนั่นคือ  เครื่องยนต์เบนซิน 2ZR-FXE 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว DOHC 1.8 ลิตร Atkinson cycle พละกำลังสูงสุด 98 แรงม้าที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600 รอบ/นาที ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 72 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 163 นิวตัน-เมตร แบตเตอรี่แบบนิกเกิลเมทัลไฮไดรต์ รวมกำลังทั้งระบบ 122 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ E-CVT นั่นแปลว่าใครอยากได้เบนซิน 1.8 ลิตรต้องไปซื้อ Corolla Cross ครับ

   คาดว่าช่วงต้นปีเป็นอย่างเร็วที่สุดหรือกลางปีน่าจะมีการเปิดตัว C-HR Minor Change ยังไงก็ต้องรอติดตาม

   คันนี้ก็คงไม่พลาดที่จะมา..... Toyota Camry Minor Change เพิ่งเปิดตัวรุ่นปรับโฉมในสหรัฐฯ และยุโรปในปีที่ผ่านมา คาดว่าปีนี้ชาวไทยก็คงจะได้สัมผัสกัน  การเปลี่ยนแปลงหลักๆก็จะมีในส่วนของกันชนหน้าใหม่ที่ยังคงปากกว้างเหมือนเดิมและมีการเสริมโครเมียมเล็กน้อย ส่วนด้านท้ายมาพร้อมกับไฟท้ายเดิมที่รมดำ มีทางเลือกล้อใหม่ขนาด 17-18 นิ้ว ภายในมีการปรับเปลี่ยนหน้าจอกลางใหม่ โดยย้ายหน้าจอไปอยู่ข้างบน กลายเป็นจอทรงตั้งเหมือน Corolla และย้ายช่องปรับอากาศมาไว้ด้านล่างแทน โดยมีทั้งขนาด 7 และ 9 นิ้วแล้วแต่รุ่นย่อย

  ขุมพลังคงไม่มีอะไรต่างจากเดิม ทั้งเบนซิน 2.0 ลิตร, เบนซิน 2.5 ลิตร และ Hybrid 2.5 ลิตร ที่ต้องมาลุ้นคือการเพิ่มเติมระบบความปลอดภัยให้ครบครันขึ้นกว่าเก่า ในเวอร์ชั่นอเมริกานั้นจะได้ Toyota Safety Sense เวอร์ชั่น 2.5 ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนดังนี้
- ระบบเตือนความปลอดภัยก่อนการชน พร้อมตรวจจับคนเดินเท้า  Pre-Collision System with Pedestrian Detection  ที่ตอนนี้ไม่เพียงแค่ตรวจจับยานพาหนะหรือคนเดินเท้าธรรมดาได้อย่างเดียว แต่สามารถตรวจจับคนปั่นจักรยานในเวลากลางวัน และคนเดินเท้าในพื้นที่แสงน้อยได้ด้วย
- เพิ่มระบบช่วยควบคุมพวงมาลัย  Emergency Steering Assist
- เพิ่มระบบช่วยเตือนและหยุดรถอัตโนมัติเมื่อผู้ขับขี่เลี้ยวตัดหน้ารถที่กำลังสวน Intersection Turn Assistance
ผมเองก็หวังว่าเวอร์ชั่นไทยน่าจะเพิ่มอะไรพวกนี้เข้ามาด้วย คาดว่าการเปิดตัวรถคันนี้อาจจะได้เห็นในช่วงกลางปีหรือปลายปีนี้ครับ

   และอีกหนึ่งรุ่นที่น่าจับตาก็คือ Toyota Majesty รถตู้หรูที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จกับยอดขายไม่น้อย ในปีนี้อาจจะมีการปรับอุปกรณ์ใหม่ เพิ่มออปชั่นให้ครบครันขึ้น ยังไม่มีข้อมูลและรายละเอียดตอนนี้ เอาเป็นว่าต้องรอติดตามชมครับ

Lexus
รถใหม่ในตลาดโลก (และจะตามมาไทยในภายหลัง) : All-New NX
   ค่ายรถหรูในเครือ Toyota อย่าง Lexus ต้องบอกเลยว่ามีหลายรุ่นที่น่าสนใจเปิดตัวในตลาดไทย ทั้ง LM300h, UX300e และ IS รุ่นปรับโฉมใหม่ 

ภาพจาก Motor1
  ในปีนี้ยังมีอีกหนึ่งรุ่นน่าสนใจ ซึ่งต้องรอการเปิดตัวในต่างประเทศก่อน รถที่ว่านี้ก็คือรถอเนกประสงค์ยอดนิยมของค่าย Lexus อย่าง NX ที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2014 ได้เวลาสำหรับการเปลี่ยนโมเดลใหม่แล้ว ดูรวมๆแล้วนั้น ตัวรถก็ยังคงทรวดทรงที่ไม่ได้ต่างจากรุ่นเดิมมาก แต่คาดว่าจะมีการขัดเกลาดีไซน์ภายนอกให้มีความสวยทันสมัยมากขึ้นตามแนวทางของ Lexus ยุคใหม่ จุดเด่นที่เห็นชัดเลยคือ กระจังหน้าทรงนาฬิกาทราย หรือธีมการออกแบบ Spindle Grille นั้นก็ยังคงอยู่ในโฉมใหม่คันนี้

    คาดว่ารถคันนี้จะมากับแพลตฟอร์ม TNGA-K เหมือน Toyota RAV4 แต่เอามาปรับแต่งใหม่ ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าอาจหยิบยกขุมพลังกันมา เป็นไปได้ว่าอาจจะมี 3 รหัสหลักๆ 
- NX250 เครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร 4 สูบ พละกำลังสูงสุด 206 แรงม้า
- NX350 เครื่องยนต์เบนซิน 3.5 ลิตร V6 พละกำลังสูงสุด 315 แรงม้า
- NX350h Plug-In Hybrid เครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตรแบบ Dynamic Force พละกำลัง 177 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้าพละกำลัง 182 แรงม้าที่เพลาหน้า และมอเตอร์ไฟฟ้า 54 แรงม้าที่เพลาหลัง ผนวกกับแบตเตอรี่ขนาด 18.1 kWh รวมพละกำลังทั้งระบบ 306 แรงม้า คาดว่ารถน่าจะมีการเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ส่วนไทยให้รอติดตามได้หลังจากนั้น

Volvo
รถใหม่ในไทย : XC40 Recharge EV
   ค่ายรถหรูสวีเดนรายนี้ เริ่มมุ่งไปสู่เส้นทางที่รักษ์โลกมากยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดว่าในปีที่ผ่านมานั้น Volvo ได้ทำการปรับเปลี่ยนไลน์อัพรถที่จำหน่ายของพวกเราเป็น Plug-In Hybrid หมดทุกรุ่นแล้ว จากการที่เปิดตัว Volvo XC40 Recharge และ S90 Recharge และปรับเปลี่ยนชื่อพ่วงท้ายทุกรุ่นเป็น Recharge แล้ว สำคัญสุดคือ ในฐานะที่เป็นผู้นำด้านความปลอดภัยในรถยนต์ รถทุกรุ่นของ Volvo ถูกล็อคท็อปสปีดไว้ที่ 180 กม./ชม. แล้ว (ยกเว้นแค่ Polestar ที่ล็อค 230 กม./ชม.)

  คาดว่าปีนี้ เราอาจจะได้เห็นรถพลังงานไฟฟ้าล้วนเปิดตัวในไทย ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นตัวนี้ครับ "Volvo XC40 Recharge" เวอร์ชั่นไฟฟ้าล้วน 100% โดยจะมากับขุมพลังที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว โดย (เพลาหน้า 1 และเพลาหลังอีก 1) ซึ่งให้กำลังรวมทั้งหมด 408 แรงม้า (PS) และติดตั้งชุดแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 78 kWh  อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 4.9 วินาที รองรับระยะทางวิ่งสูงสุด 418 กม. มีความสามารถในการชาร์จไฟได้มากถึง 80% ในเวลาแค่ 40 นาทีผ่านชุดชาร์จแบบ Fast Charge 150kW หรือชาร์จด้วยชุดชาร์จไฟ AC 11 kW จะใช้เวลา 8-10 ชม.

  ความน่าสนใจก็คือ XC40 Recharge EV ล้วนคันนี้ อาจจะนำเข้าจากประเทศจีนเข้ามาทำตลาดในไทยด้วย ก็อย่างที่รู้กันว่าด้วยข้อตกลงเขตการค้าเสรี จีน-อาเซียน ส่งผลให้การนำเข้ารถ EV 100% จากจีนมาไทยสามารถทำราคาได้ถูก อย่างที่เห็นกันมาแล้วใน MG ZS EV และ MG EP และคงจะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นไม่น้อยที่เราจะได้ใช้ EV ราคาดีๆจาก Volvo คาดว่าช่วงกลางปีนี้น่าจะได้เห็นกันครับ

*****************************

อ่านมาถึงตรงนี้ นั่นหมายความว่าคุณอ่านจบแล้วครับ!

เยอะใช่มั้ยละ ใช่ครับ มันเยอะมากกกก คนพิมพ์ยังเหนื่อย เพราะทำคนเดียวไม่มีใครช่วย
ผมก็หวังว่าทุกท่านน่าจะเพลิดเพลินกับรถรุ่นใหม่ที่ผมพยายามรวบรวมมาให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกัน 
ข้อมูลทั้งหมดที่พิมพ์มานี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ และหลังจากวันปิดต้นฉบับ (17 ม.ค. 64) อาจจะมีรถรุ่นใหม่เปิดตัวแล้วหลายรุ่น หรือเปิดตัวก่อนหน้านี้แล้วก็ได้

และก่อนจะจบ อย่างที่กล่าวตั้งแต่ย่อหน้าแรกๆว่าข้อมูลทั้งหมดอาจจะไม่ได้จริงหรือเป๊ะๆ 100% ฉะนั้นเหมือนที่เคยบอกในบทความทุกๆปีเลยว่า "จงเสพข่าวกันอย่างมีสติ" ครับ และพบกันบทความยาวๆแบบนี้ได้ใหม่"รวมรถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2022"

เรียบเรียงข้อมูลและเนื้อหาทั้งหมดโดย Car News Update 
ขอบคุณที่มาของเนื้อหารูปภาพและแหล่งข่าววงในทุกท่าน

อนุญาตให้นำเนื้อหาเหล่านี้ไปเผยแพร่ได้ไม่ว่ากัน แต่แนะนำว่าควรพิมพ์ในรูปแบบและสไตล์ของตัวเองโดยเฉพาะเว็บบางเว็บที่ชอบก๊อปข่าวไปลงในเว็บตัวเองซึ่งเพจหลายเพจทั้งเพจใหญ่เพจน้อยก็โดนกันมาเยอะ ซึ่งมีอยู่ครั้งหนึ่งผมโดนเว็บนี้เอาเนื้อหาทั้งดุ้นไปลง รูปแบบการเขียนรู้เลยว่าก๊อปปี้มาแก้คำนิดหน่อย และไม่มีการให้เครดิต ไม่มีคำขอโทษจากเว็บนั้น

ถ้าเนื้อหาเรื่องรถที่เปิดตัวเหมือนกันเราอันนี้ยังโอเคไม่ว่ากัน แต่ก๊อปทั้งประโยคทั้งย่อหน้าไปแก้นิดหน่อยมันไม่ใช่ โปรดเห็นใจคนที่อุตส่าห์นั่งพิมพ์นอนพิมพ์ด้วย กว่าจะทำเสร็จใช้เวลานาน แต่ตัวเองยกไปวางแล้วไม่ให้เครดิตคนทำเลย!!

Like Box