วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

Exclusive News : เจาะข้อมูล Toyota Hilux Revo MY2018 ก่อนเปิดตัวเร็วๆนี้

   การแข่งขันในตลาดกระบะค่อนข้างมีความโหดและเข้มข้นทุกๆปี อย่างเมื่อปีที่ผ่านมานั้นเป็นปีที่น่าสนใจ เพราะ Toyota Hilux Revo เสียตำแหน่งแชมป์ยอดขายประจำปีให้กับ Isuzu D-Max ชวดตำแหน่งแชมป์ยอดขาย 12 ปีซ้อนไปโดยปริยาย ในขณะที่คู่แข่งต่างเพิ่มอะไรโดดเด่นเข้ามาเรื่อยๆ อย่าง Ford Ranger ที่เพิ่งปรับโฉมและแนะนำเครื่องดีเซล 2.0 ลิตรใหม่ เพิ่มรุ่นย่อยใหม่ Limited แถมยังมีตัวสมรรถนะสูงอย่าง Raptor อีกด้วย ดังนั้นไม่แปลกที่ยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota จะต้องขยับบ้างอะไรบ้าง เพื่อทวงคืนบัลลังก์แชมป์กลับมาอีกครั้ง

   และล่าสุดผมก็ได้รับข้อมูลจากวงในท่านหนึ่ง เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของ Toyota Hilux Revo รุ่นปรับอุปกรณ์ปี 2018 ที่น่าจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้

    สำหรับการปรับปรุงหลักๆใน Toyota Hilux Revo MY2018 จะเน้นไปที่การปรับ "เพิ่ม-ลด" รุ่นย่อย และเพิ่มระบบเกียร์มากกว่า ส่วนระบบความปลอดภัยหรือออปชั่นต่างๆนั้นยังคงเหมือนเดิมทุกอย่างไม่เปลี่ยนแปลงอะไร




  สิ่งที่น่าสนใจอย่างแรกคือ ในตัวเตี้ยหลายรุ่นจะมีการเปลี่ยนจาก "เกียร์ธรรมดา 5 สปีด" เป็น "เกียร์ธรรมดา 6 สปีด" รุ่นที่จะมีการเปลี่ยนแปลง ได้แก่
- Standard Cab 2.4 J Cab & Chassis
- Standard Cab 2.4 J
- Smart Cab 2.4 J
- Smart Cab 2.4 J Plus
- Smart Cab 2.4 E
- Double Cab 2.4 J Plus
- Double Cab 2.4 E
ส่วนรุ่นอื่นๆยังเหมือนเดิม
นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงระบบเกียร์ธรรมดาแล้ว ยังมีการเพิ่มทางเลือก "เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดแบบ Sequential Shift" ในตัวเตี้ยหลายรุ่นอีกด้วย โดยรุ่นที่จะมีการเพิ่ม ได้แก่
- Standard Cab 2.4 J Cab & Chassis
- Standard Cab 2.4 J
- Smart Cab 2.4 J Plus
- Double Cab 2.4 J Plus

  นอกจากนี้ในรุ่น Standard Cab 2.4 J Cab & Chassis ทั้งเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ จะมีการเพิ่มพู่เล่ย์เสริมหน้าเครื่องสำหรับลูกค้าที่จะนำรถไปดัดแปลงเป็นรถตู้เย็นอีกด้วย

  อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงถัดมาก็คือ การปรับระบบ T-Connect เดิม เพิ่มเป็นระบบ T-Connect Telemetics ในรุ่นย่อยหลายรุ่น ได้แก่
- Double Cab Prerunner 2.8 Rocco AT
- Double Cab 4x4 2.8 G MT
- Double Cab 4x4 2.8 G AT
- Double Cab 4x4 2.8 Rocco AT
ระบบ T-Connect Telemetics
* Find My Car เช็คตำแหน่งรถคุณผ่านแอพพลิเคชั่น
* Stolen Vehicle Tracking ตรวจสอบตำแหน่งรถยนต์เมื่อถูกโจรกรรมพร้อมช่วยเหลือคุณตลอด 24 ชั่วโมง
* SOS ประสานงานช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในบางกรณี
* Packing Alert ระบบแจ้งเตือนผ่าน Notificationเมื่อรถถูกสตาร์ท หรือเคลื่อนที่
* Navigator ระบบนำทางพร้อมแสดงข้อมูลจราจร
* Pay As You Drive ประกันภัย "ขับน้อย จ่ายน้อย" ให้คุณจ่ายตามการใช้งานจริง สำหรับการทำประกันภัยกับบริษัทฯ ที่กำหนดไว้เท่านั้น
*  My TOYOTA Wi-Fi กระจายสัญญาณ Wi-Fi ได้พร้อมกันสูงสุด 9 อุปกรณ์ ตามเงื่อนไขที่กำหนดในแพ็กเกจ
* OPS (Operator Service) ผู้ช่วยค้นหาเส้นทางตลอด 24 ชั่วโมงพร้อมบริการจองร้านอาหารชั้นนำ
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดที่จะมาใน Toyota Hilux Revo MY2018 ก็คือการเพิ่มรุ่นตกแต่งพิเศษ "Rocco" ในเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงภายนอกจากตัว 2.4 G ดังนี้
การเปลี่ยนแปลงภายนอก
1. กระจังหน้าสีเทาและสีดำเงา
2. กรอบไฟตัดหมอกสีดำเงาตกแต่งด้วยแถบสีเทา
3. ชุดตกแต่งกันชนหน้า
4. ชุดตกแต่งซุ้มล้อ
5. ล้ออัลลอย 17 นิ้ว พ่นสีดำเงา
6. กระจกมองข้างสีดำเมทัลลิก
7. มือเปิดประตูสีดำเมทัลลิก
8. สปอร์ตบาร์พร้อมพื้นปูกระบะ
9. สติกเกอร์ด้านข้างกระบะสำหรับรุ่นตกแต่งพิเศษ
10. มือเปิดฝาท้ายสีดำ
11. กันชนหลังสีเทาเมทัลลิกพร้อมชุดตกแต่งกันชนหลัง

การเปลี่ยนแปลงภายใน
1) มาตรวัดเรืองแสงแบบ Optitron ดีไซน์เฉพาะรุ่นตกแต่งพิเศษ
2) พวงมาลัยหุ้มหนังตกแต่งด้วยแถบสีดำเมทัลลิก
3) แผงข้างประตูตกแต่งด้วยแถบสีดำเมทัลลิก
4) แผงคอนโซลหน้า ตกแต่งด้วยสีดำเมทัลลิก
5) ช่องปรับอากาศตกแต่งด้วยแถบสีดำเมทัลลิก
6) หัวเกียร์หุ้มหนัง ตกแต่งด้วยแถบสีดำเมทัลลิก
7) ฐานเกียร์ตกแต่งด้วยแถบสีดำเมทัลลิก
8) กรอบเสาประตูและแผงบุหลังคาสีดำ
9) ช่องเก็บของด้านบนพร้อมสัญลักษณ์ HILUX
โดย Rocco 2.4 ลิตร จะมี 4 รุ่นย่อยให้เลือก ได้แก่
- Smart Cab Prerunner 2.4 Rocco MT
- Smart Cab Prerunner 2.4 Rocco AT
- Double Cab Prerunner 2.4 Rocco MT
- Double Cab Prerunner 2.4 Rocco AT


  และนอกจากการเพิ่มรุ่นย่อยหลายรุ่นแล้ว ก็ยังมีการตัดรุ่นย่อยต่างๆออกไปเช่นกัน โดยรุ่นย่อยที่จะยุติการจำหน่ายจะมีดังนี้
- Smart Cab 2.4 G MT
- Smart Cab Prerunner 2.4 G MT
- Smart Cab Prerunner 2.4 G AT
- Smart Cab Prerunner 2.8 G MT
- Smart Cab Prerunner 2.8 Rocco MT
- Double Cab Prerunner 2.8 G AT
- Double Cab 4x4 2.8 Rocco MT

   สุดท้ายนี้ก็มารอชมครับว่า Toyota Hilux Revo MY2018 จะเปิดตัวและพร้อมขายเมื่อไหร่ หากมีความคืบหน้าอย่างไรจะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้งครับ

วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ส่อง Honda Civic สเปคยุโรป มากับเครื่องดีเซล 1.6 ลิตร และเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด

   ข้ามน้ำข้ามทะเลมาดูตลาดรถฝั่งยุโรปเมื่อ Honda Civic เวอร์ชั่นยุโรปนั้น ได้แนะนำทางเลือกเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีดจับคู่กับเครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร

  ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร i-DTEC พละกำลังสูงสุด 120 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 300 นิวตัน-เมตร และเป็นครั้งแรกที่เครื่องตัวนี้ใน Civic จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด มีให้เลือกทั้งในตัวถังซีดานและแฮตซ์แบ็ค

   อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 11 วินาที ความเร็วสูงสุดที่ 200 กม./ชม. และยังทำอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 24.39 กม./ลิตร ค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 108 กรัม/กม. ในตัวถังซีดาน และ 109 กรัม/กม. ในตัวถังแฮตซ์แบ็ค ตามมาตรฐาน NEDC (New European Driving Cycle) ของยุโรป

  สำหรับตลาดเมืองไทยนั้น โอกาสที่เครื่องดีเซล 1.6 ลิตร จะมาลงใน Civic นั้นคงจะเป็นไปได้ยากมากจนแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะจะทำให้ราคาโดดสูงกว่า Civic 1.5 Turbo ที่วางขายอยู่แน่นอนและทำให้ขายยาก หรืออาจจะขายได้น้อย ซึ่งไม่คุ้มกับการลงทุนแน่นอน

ที่มา Carscoops

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

์Nissan Terra เตรียมเปิดตัวในไทยวันที่ 16 สิงหาคมนี้

   ปล่อยให้สาวกรอคอยนาน ใกล้ได้ฤกษ์เปิดตัวแล้วสำหรับ Nissan Terra รถกระบะดัดแปลง หรือ PPV น้องใหม่ล่าสุด ที่พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วในวันที่ 16 สิงหาคมนี้ 
  ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ต่อจากฟิลิปปินส์ที่มีการเปิดตัว Nissan Terra ครั้งแรกช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา อีกทั้งไทยยังเป็นฐานการผลิตในการส่งออกไปยังประเทศในกลุ่มอาเซียน ออสเตรเลียและโอเชียเนียอีกด้วย

   คาดว่า Nissan Terra จะใกล้เคียงกับเวอร์ชั่นฟิลิปปินส์ดังที่เห็นในรูป ภายนอกจะมากับโคมไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟ Daytime Running Lights ภายในโคม กระจังหน้าทรงใหม่แบบ V-Motion ที่ออกแบบขนาดใหญ่โตกว่า Navara ออกแบบกันชนหน้าให้ดูทันสมัยมากขึ้น กระจกมองข้างจะเป็นสีเดียวกับตัวรถ (พร้อมไฟเลี้ยวในตัว) ต่างจากจีนที่จะเป็นโครเมี่ยม ในส่วนของราวหลังคาจะพ่นสีเงิน ต่างจากจีนที่เช่นกันที่เป็นสีดำ

   ต่อเนื่องไปถึงด้านท้ายที่มากับโคมไฟท้ายแนวนอนพร้อมไฟหรี่ LED ภายในโคม บริเวณแถบโครเมี่ยมเหนือป้ายทะเบียนจะสลักตัวอักษร Terra ไว้ด้วย (จีนไม่มี) นอกจากนี้ก็จะมีล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วติดตั้งมาให้ ทางด้านสัดส่วนของ Nissan Terra เวอร์ชั่นฟิลิปปินส์จะมีสัดส่วนความยาว 4,885 มิลลิเมตร กว้าง 1,865 มิลลิเมตร สูง 1,835 มิลลิเมตร และมีฐานล้อยาว 2,850 มิลลิเมตร ระยะความสูงจากพื้นรถ 225 มิลลิเมตร


  ภายในห้องโดยสารยกคอนโซลหน้ามาจาก Navara แบบเต็มๆ ในเวอร์ชั่นฟิลิปปินส์โทนสีเบาะภายในห้องโดยสารเป็นสีน้ำตาล (ไทยจะใช้สีอะไรต้องรอชม)  ในรุ่นท็อปๆของ Terra เวอร์ชั่นฟิลิปปินส์จะติดตั้งเบาะคนขับปรับไฟฟ้าด้านคนขับ 8 ทิศทาง , พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น , หน้าจอสัมผัส 7 นิ้วที่รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay , ระบบการเชื่อมต่อ Bluetooth และอื่นๆ

   สำหรับเวอร์ชั่นฟิลิปปินส์จะทำการติดตั้งเครื่องดีเซลรหัส YD25DDTi ความจุ 2.5 ลิตร 4 สูบแถวเรียง เทอร์โบแปรผัน VGS อินเตอร์คูลเลอร์ ที่มีพละกำลัง 190 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที พร้อมทางเลือกเกียร์ธรรมดา 6 สปีดและเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ในรุ่นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อจะติดตั้งเฟืองท้ายแบบ Diff-Lock มาให้ด้วย และยังมีระบบช่วงล่างด้านหลังคอยล์สปริงแบบ 5-Link , ระบบเบรกหน้าดิสก์เบรก และหลังแบบดรัมเบรก ส่วนเวอร์ชั่นไทยนั้นแว่วๆว่าอาจจะติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลความจุ 2.3 ลิตร เทอร์โบคู่ มากับพละกำลัง 190 แรงม้า ที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 1,500 – 2,500 รอบ/นาที

   ทางด้านระบบความปลอดภัยใน Nissan Terra เวอร์ชั่นฟิลิปปินส์ จะมีระบบที่เด่นๆก็คือ ถุงลมนิรภัย 7 ใบ , ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Warning , ระบบเตือนมุมอับสายตา Blind Spot Warning , ระบบแสดงภาพรอบทิศทางพร้อมตรวจจับวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหว Intelligent Around View Monitor with Moving Object Detection และ กระจกมองหลังแบบดิจิตอล Smart Rear View Mirror และระบบอื่นๆก็ตามมาครบ ไม่ว่าจะเป็นระบบเบรก ABS/EBD/BA , ระบบควบคุมการทรงตัว , ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill-Start Assist , ระบบช่วยขับขี่ขณะลงทางชัน Hill-Descent Control , เซ็นเซอร์ช่วยในการถอยจอด Parking Sensors และ ระบบเตือนแรงดันลมยาง Tire Pressure Monitoring System

สุดท้ายมารอดูกันว่า Nissan Terra เวอร์ชั่นไทยจะมีออปชั่นอะไรที่น่าสนใจบ้าง และจะมีราคาค่าตัวเท่าไหร่ ต้องติดตามครับ!

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

แอบถ่ายรถทดสอบ All-New BMW X6 (G06) ครอสโอเวอร์คูเป้จากค่ายใบพัด

    BMW X6 รถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์ทรงคูเป้ หรือที่ทาง BMW นิยามว่าเป็น "Sports Activity Coupe" เปิดตัวเจเนเรชั่นแรกในปี 2007 ถือเป็นต้นกำเนิดแนวคิดใหม่ของอเนกประสงค์หรูแนวนี้จนทำให้หลายค่ายต่างทำคู่แข่งออกมา และตอนนี้ BMW X6 ก็กำลังจะเดินทางเข้าสู่เจเนเรชั่นที่ 3 แล้ว 

  คราวนี้ก็มีตากล้องมือดีสามารถจับภาพรถทดสอบ  All-New BMW X6 รหัสตัวถัง G06 ได้แถวๆโรงงาน Spartanburg ของ BMW ในรัฐเซาท์แคโรไลนา สหรัฐิอเมริกา ซึ่งจากภาพจะเห็นว่าตัวรถทดสอบสวมชุดแต่ง M Sport รอบคัน โดยด้านหน้าทั้งในส่วนของไฟหน้าและกระจังหน้าจะเหมือนกับ X5 แต่อาจมีการออกแบบรายละเอียดกันชนหน้าใหม่ อีกทั้งยังเห็นถึงกระจกมองข้างสีเงินบ่งบอกว่าเป็นตัวแรง M Performance

  โดยหลักๆแล้วทรวดทรงตัวถังก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์จากเจเนเรชั่นแรกและเจเนเรชั่นที่ 2 ไว้ครบถ้วน แต่ก็ได้มีการขัดเกลาให้มีความเฉียบคมมากยิ่งขึ้น จุดที่เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เห็นจะเป็นด้านท้ายที่ย้ายตำแหน่งป้ายทะเบียนมาไว้ที่กันชนท้ายแทน อีกทั้งยังมากับโคมไฟท้ายทรงใหม่ที่ดูเรียวบางขึ้นซึ่งดูคล้ายคลึงกับ 8-Series Coupe นั่นเอง

  ส่วนภายในห้องโดยสารแม้ไม่มีรูปแต่ก็เดาได้มายากว่าน่าจะยกมาจาก X5 โฉมล่าสุด รวมทั้งยกเทคโนโลยีต่างๆจาก X5 มาใส่ด้วย
   ขุมพลังของรถนั้นน่าจะยกชุดมาจาก X5 โดยจะมีเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 แถวเรียง เทอร์โบชาร์จ มากับพละกำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร และน่าจะมีรุ่นย่อย M50i ที่จะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 4.4 ลิตร V8 เทอร์โบคู่ ที่ยกมาจาก BMW M850iมากับพละกำลังสูงสุด 523 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 750 นิวตัน-เมตร

  คาดว่า All-New BMW X6 จะเปิดตัวภายในปีหน้าเพื่อมาต่อกรกับ Mercedes GLE Coupe, Audi Q8 และ Porsche Cayenne Coupe ที่กำลังจะตามมาอีกด้วย

ที่มา Carscoops

วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ส่อง Mazda CX-3 Minor Change ปรับโฉมเพิ่มความทันสมัยและความปลอดภัย ในราคาเริ่มที่ 879,000 บาท

 สิ้นสุดการรอคอยสำหรับสาวกค่ายปีก เมื่อทาง Mazda Thailand ได้เปิดตัว Mazda CX-3 รุ่นปรับโฉมใหม่ปี 2018 ออกมาให้สาวกได้ชื่นชมและจับจ่ายใช้สอยกัน ซึ่งก็มีการปรับทั้งดีไซน์และเพิ่มเติมเทคโนโลยีรวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆมากขึ้น

   รูปลักษณ์ภายนอกจะมากับกระจังหน้าที่ได้รับการออกแบบรายละเอียดใหม่ให้ดูหรูหราขึ้น ตกแต่งเพิ่มเติมด้วยแถบโครเมี่ยมบริเวณกันชนหน้าและชายขอบล่างประตูรถ เสาประตูรถด้านข้างผิวมันวาวแบบ Piano Black ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วได้รับการออกแบบใหม่ ในส่วนของด้านท้ายยังมีการปรับปรุงรายละเอียดไฟท้าย LED ใหม่ ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ ในเวอร์ชั่นไทยจะติดตั้งหลังคาซันรูฟมาให้ ทางด้านสีตัวถังรถจะมีนำเสนอสีแดงใหม่ Soul Red Crystal และสีเทา Machine Gray ซึ่งเป็นสองสีพรีเมี่ยมนั่นเอง

   ภายในห้องโดยสารจะมีการออกแบบช่องแอร์ตรงกลางแดชบอร์ดใหม่ ที่ไม่ได้ลากยาวจนถึงฝั่งผู้โดยสารอย่างเดิมแล้ว และมากับวัสดุหุ้มเบาะนั่งใหม่ที่มีคุณภาพสูงมากยิ่งขึ้น จุดที่สำคัญคือการเปลี่ยนมาใช้เบรกมือแบบปุ่มกดไฟฟ้าซึ่งช่วยเพิ่มพื้นที่ในการเก็บของกลางคอนโซล อีกทั้งคราวนี้ยังมีที่พักแขนมาให้แล้ว ส่วนเบาะหลังยังมากับที่พักแขนตรงกลางพร้อมกับที่วางแก้วในตัว

ทางด้านเครื่องยนต์นั้นยังใช้ขุมพลังเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
- เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร SkyActiv-G แบบแถวเรียง 4 สูบ 16 วาล์ว มากับพละกำลัง 156 แรงม้าที่ 1,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 204 นิวตัน-เมตรที่ 2,800 รอบ/นาที สามารถรองรับเชื้อเพลิง E85 ได้
- เครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตร SkyActiv-D เทอร์โบแปรผัน 4 สูบ 16 วาล์ว มากับพละกำลัง 105 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 270 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,500 รอบ/นาที
ทั้งหมดนี้ส่งกำลังด้วยเกียร์ SKYACTIV-DRIVE อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมแมนนวลโหมด Active Matic

ทางด้านระบบความปลอดภัยนั้นทาง Mazda ก็ได้จัดเต็ม เสริมระบบความปลอดภัยในรุ่นล่างๆมากขึ้น โดย "ทุกรุ่นย่อย" จะมีระบบดังนี้
- ระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อมระบบ Auto Hold
- ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ABSM (Advanced Blind Spot Monitoring)
- ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)

- ระบบป้องกันล้อล็อก 4W-ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD
- ระบบควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ DSC (Dynamic Stability Control)
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
- ระบบช่วยออกตัวของรถขณะอยู่บนทางลาดชัน HLA (Hill Launch Assist)
- ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินเตือนอัตโนมัติ เมื่อเบรกกะทันหัน ESS (Emergency Signal System)
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า SRS
นอกจากนี้ยังมีระบบความปลอดภัยอื่นๆอีกมากมาย ได้แก่
- ถุงลมนิรภัยด้านข้างสำหรับผู้โดยสารตอนหน้าและม่านถุงลมนิรภัย (เฉพาะรุ่น 2.0 SP และ 1.5 XDL)
- ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ ALH (Adaptive LED Headlamps) (เฉพาะรุ่น 2.0 SP และ 1.5 XDL)
- ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน LDWS (Lane Departure Warning System) (เฉพาะรุ่น 2.0 SP และ 1.5 XDL)
- ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติ SCBS (Smart City Brake Support) (เฉพาะรุ่น 2.0 SP และ 1.5 XDL)
- ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง SCBS-R (Smart City Brake Support-Reverse) (เฉพาะรุ่น 2.0 SP และ 1.5 XDL)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ DAA (Driver Attention Alert) (เฉพาะรุ่น 2.0 SP และ 1.5 XDL)
- ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ SBS (Smart Brake Support) (เฉพาะรุ่น 2.0 SP และ 1.5 XDL)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ MRCC (Mazda Radar Cruise Control) (เฉพาะรุ่น 2.0 SP และ 1.5 XDL)
- ระบบแสดงภาพ 360 องศา รอบทิศทาง (360º View Monitor) พร้อมระบบเซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้า 4 จุด (เฉพาะรุ่น 2.0 SP และ 1.5 XDL)
- กล้องมองหลัง (รุ่น 2.0 C ขึ้นไป โดยรุ่น 2.0 S จะมากับระบบเซ็นเซอร์กะระยะด้านหลัง 4 จุด)

  Mazda CX-3 Minor Change มีสีตัวถังภายนอกให้เลือก 7 สี ได้แก่ สีแดงใหม่ Soul Red Crystal และสีเทา Machine Gray ที่เป็นสองสีพรีเมี่ยม นอกจากนั้นก็จะมีสีน้ำเงิน Eternal Blue , สีขาว Ceramic Metallic , สีน้ำตาล Titanium Flash , สีดำ Jet Black และสีขาวมุก Snowflake White Pearl

  โดย Mazda CX-3 Minor Change จะยังคงมีทางเลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อยเท่าเดิม ได้แก่
- 2.0 E ราคา 879,000 บาท (+44,000 บาท)
- 2.0 C ราคา 955,000 บาท (+45,000 บาท)
- 2.0 S ราคา 1,029,000 บาท (+54,000 บาท)
- 2.0 SP ราคา 1,083,000 บาท (เท่าเดิม)
- 1.5 XDL ราคา 1,189,000 บาท (-4,000 บาท)

วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

Audi TT Minor Change ปรับเพิ่มความสดใหม่พร้อมรุ่นพิเศษฉลอง 20 ปี

  ค่ายสี่ห่วง Audi ได้ทำการเผยโฉมสปอร์ตรุ่นขายดี Audi TT ที่มีการปรับปรุงรูปโฉมใหม่ทั้งในตัวถัง Coupe และ Roadster อีกทั้งยังมีการปรับปรุงสมรรถนะและเปิดตัวรุ่นพิเศษอีกด้วย

  โดยในรุ่นปรับโฉมใหม่ จะตัดทางเลือกเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร TFSI พละกำลัง 180 แรงม้าออกไปแล้ว ทำให้ขุมพลังเริ่มต้นนั้นจะกลายเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร TFSI เทอร์โบชาร์จ พละกำลัง 197 แรงม้า แปะป้าย 40 TFSI ซึ่งเครื่องยนต์ตัวนี้จะมีพละกำลังหลายระดับ โดยรุ่นเดิมที่มีพละกำลัง 230 แรงม้า จะถูกอัปเกรดขุมพลังเป็น 245 แรงม้า รุ่นนี้จะแปะตรา 45 TFSI

  ส่วนขุมพลังแรงสุดจะอยู่ในรุ่น TT S ที่จะมากับพละกำลัง 306 แรงม้า ลดลงจากเดิม 4 แรงม้า อันเนื่องมาจากมาตรฐานข้อกำหนดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ พร้อมระบบการทดสอบแบบใหม่ World Harmonized Light Vehicle Test Procedure (WLTP) ของยุโรป อย่างไรก็ตามทาง Audi บอกว่ารถจะมีอัตราเร่งที่เร็วขึ้น ในรุ่น Coupe จะอยู่ที่ 4.5 วินาที และ Roadster 4.8 วินาที

  สำหรับตัวแรงฮาร์ดคอร์อย่าง Audi TT RS นั้น คาดว่าจะมีการใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร 5 สูบเทอรโบ แต่ทางค่ายยังไม่มีการเผยตัวเลขสเปคใดๆออกมาทั้งสิ้น ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการเปิดตัวปีหน้า

  การเปลี่ยนแปลงภายนอก ค่ายสี่ห่วงได้ทำการออกแบบลวยลายกระจังหน้าใหม่แบบ 3 มิติ Singleframe รุ่น S-Line และ TTS มีการออกแบบกันชนหน้าให้มีความดุดันมากขึ้น เช่นเดียวกับด้านท้ายที่มากับรูระบายอากาศ ออกแบบครีบรีดอากาศ (Diffuser)ใหม่ ในรุ่น TTS จะพิเศษขึ้นด้วยท่อไอเสียคู่ฝั่งละ 2 ท่อ

  สีตัวถังภายนอกจะมีการแนะนำสีใหม่ 3 สี ได้แก่ สีน้ำเงิน Cosmos Blue , สีส้ม Pulse Orange และสีน้ำเงิน Turbo Blue เฉพาะตัว S-Line เท่านั้น รวมทั้งมีล้ออัลลอยขนาด 18-20 นิ้วจาก Audi และ Audi Sport

   ส่วนภายในยังคงดีไซน์ที่สวยงามล้ำสมัยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่มีการอัปเดตการตกแต่งและชุดหน้าปัดดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้วที่มีโหมดให้เลือก ได้แก่ Classic View ที่แสดงผลหน้าปัดความเร็วและความเร็วรอบเป็นปกติ / Infotainment Mode ที่จะแสดงผลอย่างระบบนำทางให้ใหญ่และเห็นชัดขึ้น นอกจากนั้นแล้วยังมีออปชั่นใหม่บนหน้าปัด ที่สามารถแสดงผลข้อมูลกำลังเครื่องยนต์ แรงบิด หรือค่า G-Force ได้ด้วย

  และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง 20 ปีของ Audi TT จึงมีการเปิดตัวรุ่นพิเศษ "TT 20 Years” ซึ่งจะมากับเบาะนั่งหุ้มหนัง Nappa สีน้ำตาล moccasin รวมทั้งดีไซน์การตัดเย็บภายในแบบพิเศษโดยเฉพาะ

คุณสมบัติอื่น ๆ ก็จะมี พวงมาลัยและหัวเกียร์หุ้มหนังสีน้ำตาล , ท่อไอเสียสแตนเลส , ไฟท้ายแบบ Matrix OLED และสัญลักษณ์ Audi ข้างๆชายประตูด้านล่าง -สีตัวถังจะมีให้เลือกเฉพาะสี Arrow gray หรือ Nano gray เท่านั้น และผลิตจำนวนจำกัดแค่ 999 คันเท่านั้น

ที่มา Carscoops

Like Box