วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เผยข้อมูลคร่าวๆ Toyota C-HR ก่อนวางขายในไทยต้นปี 2018

  Toyota C-HR ถือเป็นรถครอสโอเวอร์ B-SUV ที่สาวกต่างเฝ้ารอคอยว่าจะมีการเปิดตัวในไทยตอนไหน ซึ่งล่าสุดทางค่าย Toyota เมืองไทยได้ทำการปล่อยข้อมูลคร่าวๆของ Toyota C-HR ที่จะจำหน่ายในไทยออกมาให้ชมกันแล้ว 

  Toyota C-HR เวอร์ชั่นไทยจะขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง 2 แบบ ได้แก่
เครื่องยนต์เบนซิน 2ZR-FBE 4 สูบแถวเรียง 1.8 ลิตร พละกำลัง 141 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 177 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT 
- เครื่องยนต์เบนซิน 2ZR-FXE DOHC 4 สูบแถวเรียง Atkinson cycle  1.8 ลิตร พละกำลังสูงสุด 98 แรงม้าที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600 รอบ/นาที  ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 72 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 163 นิวตัน-เมตร แบตเตอรี่แบบนิกเกิลเมทัลไฮไดรต์ รวมกำลังทั้งระบบ 122 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ E-CVT

ส่วนด้านล่างนี้จะเป็นข้อมูลสเปคคร่าวๆในแต่ละรุ่นย่อย
1.8 Entry ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท (9xx,xxx)
- ไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ Bi-Halogen
- ไฟท้าย LED
- ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว
- ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง
- เครื่องเล่น DVD หน้าจอสัมผัส
- กล้องมองหลัง
- เบาะผ้าสีดำ
1.8 Mid (สิ่งที่เพิ่มจาก 1.8 Entry) บวกจากรุ่นเริ่มต้นไม่เกิน 20,000 บาท
- ระบบ Push Start / Smart Entry
- เบาะหนังสีดำ
HV Mid (สิ่งที่เพิ่มจาก 1.8 Mid) ราคาประมาณ 1,050,000 บาท
- ระบบไฮบริด
- ไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ Bi-LED
- ไฟท้าย Full LED
- ระบบเชื่อมต่อ T-Connect พร้อมระบบ Telematics
  * ค้นหาพิกัดรถพร้อมฟังก์ชั่น Parking Alert เตือนเมื่อรถเคลื่อนย้ายหรือถูกสตาร์ท
  * สัญญาณ Wi-Fi ภายในรถ (Toyota Wi-Fi)
  * แจ้งขอความช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชม. (SOS Emergency Service)
  * ผู้ช่วยส่วนตัวในรถยนต์ (Operator Service)
 HV Hi (สิ่งที่เพิ่มจาก HV Mid) ราคาไม่เกิน 1,200,000 บาท
- ระบบนำทาง Navigator
- ชุดระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense 
  ระบบความปลอดภัยก่อนการชน
 ระบบควบคุมและปรับความเร็วอัตโนมัติ
 ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ
 ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ
* ราคาทั้งหมดนี้ไม่รวมสีพิเศษ

  Toyota C-HR เวอร์ชั่นไทยมีสีตัวถังให้เลือก 6 สีได้แก่
- สีขาวมุก WHITE PEARL CRYSTAL
- สีดำ ATTITUDE BLACK MICA
- สีบรอนซ์เงิน METAL STREAM METALLIC 
- สีน้ำเงิน/หลังคาดำ BLUE METALLIC / BLACK ROOF (เฉพาะรุ่นไฮบริด)
- สีแดง/หลังคาดำ PREMIUM RED / BLACK ROOF (เฉพาะรุ่นไฮบริด)
- สีเขียว/หลังคาดำ RADIANT GREEN METALLIC / BLACK ROOF (เฉพาะรุ่นไฮบริด)

  ทุกท่านสามารถรับชม Toyota C-HR คันจริงได้ภายในงาน Motor Expo 2017 ในวันที่ 30 พ.ย.-11 ธ.ค. 60 ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี โดยรถจะทำการเปิดตัว เปิดสเปคแบบเต็มๆและราคา รวมทั้งส่งมอบในช่วงเดือนมีนาคมปี 2018 

   และพิเศษ! สำหรับผู้จองสิทธิ์เป็นเจ้าของ C-HR ตอนนี้ รับฟรี CUSTOM NAME PLATE เลือกดีไซน์ชื่อได้ตามสไตล์คุณ ตั้งแต่วันนี้ – 28 ก.พ. 2018
  

วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ชม All-New Toyota Rush รถครอสโอเวอร์ MPV คันใหม่จากค่ายสามห่วง

  รู้ๆกันดีว่าประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างอินโดนีเซียถือว่าเป็นตลาดรถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่งที่ใหญ่ที่สุดเลยก็ว่าได้ ซึ่งล่าสุดค่าย Toyota ประเทศอินโดนีเซียได้ทำการเปิดตัว All-New Toyota Rush รถอเนกประสงค์แนวครอสโอเวอร์ MPV 7 ที่นั่ง คู่แข่ง Honda BR-V , Mitsubishi Xpander 

  All-New Toyota Rush มากับขุมพลังบล็อกเดียวกับ Toyota Avanza โฉมปัจจุบัน โดยเป็นเครื่องเบนซินรหัส 2NR 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-i พละกำลังสูงสุด 104 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 136 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ/นาที มาพร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหลัง มีระบบส่งกำลัง 2 แบบคือเกียร์ธรรมดา 5 สปีดและเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด

  All-New Toyota Rush มากับสัดส่วนความยาว 4,435 มิลลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตร สูง 1,705 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,665 มิลลิเมตร ระยะความสูงจากพื้นรถ 220 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Honda BR-V แล้ว Toyota จะมีความยาวสั้นกว่า 18 มิลลิเตร ความกว้างน้อยกว่า 40 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาวกว่า 23 มิลลิเมตร มีระยะสูงจากพื้นรถมากกว่า BR-V 19 มิลลิเมตร

  ภายนอกมีการออกแบบที่ค่อนข้างเฉียบคม ด้วยดีไซน์ด้านหน้าที่อาจทำให้นึกถึง Honda CR-V Gen 4 มากับโคมไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟ LED Light Guiding ภายในโคม รวมไปถึงไฟท้ายดีไซน์สวยที่แบบ LED เช่นเดียวกัน ในรุ่น TRD Sportivo จะมีการตกแต่งภายในให้ดูดุดันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชุดแต่งกรอบไฟตัดหมอก ชุดแต่งใต้กันชนหน้า กันกระแทกด้านข้าง ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว (รุ่นปกติได้ขนาด 16 นิ้ว)

  ภายในห้องโดยสารมีการออกแบบที่ค่อนข้างทันสมัย อุปกรณ์มาตรฐานในรุ่นธรรมดามากับพวงมาลัยปรับระดับสูงต่ำได้,ปุ่มสตาร์ทและ Keyless Entry,กล้องมองหลังและลำโพง 8 ตัว และในรุ่น TRD Sportivo จะมาพร้อมกับการบุนุ่มและเดินด้ายตะเข็บจริงบริเวณคอนโซลหน้า ติดตั้งชุดเครื่องเล่น DVD หน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว , จอ MID แบบสี และช่องต่อ USB ทุกแถว

  สำหรับระบบความปลอดภัยนั้นก็มีการติดตั้งระบบเบรก ABS EBD , ระบบควบคุมการทรงตัว VSC , ไฟเตือนฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน ESS , ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA , ถุงลมนิรภัย และเข็มขัดนิรภัย 7 จุดมาให้เป็นมาตรฐาน

  All-New Toyota Rush จะทำการเปิดเผยข้อมูลสเปคและราคาแบบเต็มๆภายในต้นปีหน้า ก็ต้องติดตามกันครับว่ารถคันนี้มีโอกาสแค่ไหนที่จะเอามาทำตลาดในไทย

ที่มา Paultan

วันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

แอบถ่ายใบหน้าของ Toyota Alphard Minor Change ก่อนเปิดตัวที่ญี่ปุ่น 25 ธ.ค. นี้

  Toyota Alphard โฉมปัจจุบันเปิดตัวครั้งแรกในช่วงเดือนมกราคมปี 2015 นับเป็นเวลา 2 ปีกว่าๆจนจะเข้าปีที่ 3 แล้วก็ได้เวลาสมควรแก่การปรับโฉมให้มีความสดใหม่มากขึ้น ซึ่งล่าสุดก็มีผู้ใช้ทวิตเตอร์นามว่า @ArancioAtlas สามารถแอบถ่ายในส่วนของดีไซน์ด้านหน้าของ Toyota Alphard Minor Change ได้

  จากภาพจะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงบริเวณด้านหน้าชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของกระจังหน้าที่มีการออกแบบรายละเอียดใหม่ให้มีความหรูหรามากขึ้น มีการใส่ลูกเล่นเส้นกระจังหน้าให้ทิ่มแทงไปถึงไฟหน้าที่มีการออกแบบใหม่ให้มีความเรียวมากขึ้นเช่นเดียวกัน นอกจากนี้จะเห็นกรอบไฟตัดหมอกดีไซน์ใหม่ที่มีเส้นลากเชื่อมมาจากไฟหน้า 

  คาดว่าจากรูปที่เห็นน่าจะเป็นรุ่นที่มีการออกแบบกันชนให้ดุดันกว่ารุ่นหน้าตาปกติ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงล้ออัลลอยลายใหม่ด้วย

รุ่นปัจจุบัน
  ทางด้านขุมพลังนั้นน่าจะยังคงไว้ซึ่งขุมพลังเดิม นั่นคือ
เครื่องยนต์ 2AR-FXE Atkinson-cycle มากับพละกำลัง 152 แรงม้า PS ที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิด 206 นิวตัน-เมตรที่ 4,400 – 4,800 รอบต่อนาที ผนวกกับกับมอเตอร์ ไฟฟ้า 2 ตัว ด้านหน้ามี 68 แรงม้า แรงบิด 139 นิวตัน-เมตร ด้านหลังนั้นมี 143 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ E-Four 
- เครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร 2AR-FE (ในรุ่น Veilfire)มากับพละกำลัง 182 แรงม้า PS ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 235 นิวตัน-เมตรที่ 4,100 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Sports Sequential Shiftmatic 7 สปีด 
 - เครื่องยนต์เบนซิน 3.5 ลิตร 2GR-FE  V6 3.5 ลิตร (ในรุ่น Alphard 3.5 V6) มากับพละกำลัง 280 แรงม้า PS ที่ 6,200 รอบต่อนาที แรงบิด 344 นิวตัน-เมตรที่ 4,700 รอบต่อนาที  ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Sequential Shiftmatic 6 สปีด จังหวะพร้อม ECT

  Toyota Alphard Minor Change เตรียมเผยโฉมภายในวันที่ 25 ธันวาคมปีนี้ ส่วนเมืองไทยก็รอผู้นำเข้าอิสระเอามาขายได้เลย

ที่มา Paultan

วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

All-New Aston Martin Vantage โฉมใหม่ของสปอร์ตรุ่นเล็กค่ายอังกฤษ

  Aston Martin Vantage โฉมที่ผ่านมาถือเป็นรถที่ได้รับคำชมและได้รับการยกย่องอย่างล้นหลามด้วยรูปลักษณ์ที่ดูสวยงาม ฉะนั้นการเปลี่ยนโฉมใหม่ให้ Vantage ก็ถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของทางค่าย และพวกเขาก็ได้เปิดตัวโฉมใหม่ของ Aston Martin Vantage ออกมาแล้วหลังจากที่โฉมเก่าอยู่ในตลาดมาเนิ่นนาน

  ทุกสิ่งทุกอย่างใน All-New Aston Martin Vantage ถือเป็นของใหม่แทบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นแซสซีส์จนไปถึงระบบส่งกำลัง มากับเทคโนโลยีใหม่ที่ทันสมัยหลายอย่างและการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่ดีเยี่ยม

  เครื่องยนต์นั้นมากับเครื่องเบนซิน 4.0 ลิตร V8 ทวินเทอร์โบจาก AMG มากับพละกำลัง 510 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 685 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีด อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.6 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 313 กม./ชม. 

  ทาง Aston Martin ยังวางตำแหน่งเครื่องยนต์ให้ต่ำและไกลด้านหน้าและเข้าใกล้ด้านท้ายรถที่สุดเพื่อให้รถตั้งอยู่ในจุดศูนย์ถ่วงที่ดีที่สุด และยังมีอัตราการกระจายน้ำหนักรถ 50:50 อีกด้วย โดยน้ำหนักตัวรถไม่รวมของเหลวอยู่ที่ 1,530 กิโลกรัม 

  แซสซีส์ของ Vantage เป็นการต่อยอดมาจากรุ่นพี่อย่าง DB11 ทาง Aston Martin อ้างว่ากว่า 70% นั้นเป็นของใหม่หมดจด โดยมีการออกแบบซับเฟรมด้านหลังให้แข็งแรงมากขึ้นเพื่อให้ผู้ขับขี่สัมผัสและเข้าถึงกับระบบกันสะเทือนของรถที่ด้านหน้าเป็นแบบดับเบิลวิชโบนและด้านหลังแบบมัลติลิงก์ พร้อมโหมดการขับขี่ให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ Sport, Sport Plใหเus และ Track

  All-New Aston Martin Vantage เป็นรถรุ่นแรกของบริษัทที่ใช้ระบบเฟืองท้ายด้านหลังแบบ Electronic Differential (E-Diff) ที่ทำงานเชื่อมต่อกับระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ ถือว่าระบบใหม่ที่สามารถปรับจูนให้เหมาะกับลักษณะของนิสัยของรถได้มากกว่าเฟืองท้ายแบบลิมิเต็ดสลิป ทำให้รถรู้สึกนิ่งขึ้นทั้งในทางตรงและขณะเข้าโค้ง

  สำหรับดีไซน์ภายนอกถือเป็นการยกระดับรูปโฉมให้ทันสมัยและดุดันมากขึ้น มีดีไซน์ที่ได้กลิ่นอายจาก Aston Martin ยุคใหม่มาเต็มๆ จะเห็นว่าด้านหน้ามากับโคมไฟที่ดูเรียวกว่าเดิมและกันชนหน้าที่มากับช่องระบายอากาศขนาดใหญ่เหมือนรถแข่ง กันชนหน้ามีลิ้นด้านหน้าสีดำเพื่อรองรับการไหลเวียนของอากาศใต้ท้องรถจากด้านหน้าไปด้านท้ายให้ไหลไปตามทางที่เหมาะสม หรือแม้แต่ช่องระบายอากาศที่แก้มด้านข้างยังออกแบบให้ช่วยลดความดันอากาศที่ซุ้มล้อ เส้นสายด้านข้างดูมีความโค้งมน ปราดเปรียวเหมือน DB10 ในภาพยนตร์ 007 ด้านท้ายมีการออกแบบโคมไฟท้ายให้มีลูกเล่นลากยาวจากซ้ายจรดขวาไหลไปตามสัดส่วนของฝาท้าย

  ภายในห้องโดยสารออกแบบให้มีความทันสมัยน่าสัมผัสยิ่งขึ้น ตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพสูง เข้ามาก็จะพบกับชุดหน้าปัดแบบดิจิตอล พวงมาลัย และหน้าจอสัมผัสชุดเดียวกับ DB11 แม้ปุ่มภายในจะดูเยอะแต่ก็จัดวางเรียงอย่างสวยงาม นอกจากนี้ยังมี Touchpad ควบคุมหน้าจอที่ยกมาจาก Mercedes-Benz เหมือนใน DB11 อีกด้วย

  All-New Aston Martin Vantage เริ่มเปิดรับจองแล้วตอนนี้ โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 120,900 ปอนด์ หรือประมาณ 5,245,000 บาทไทยไม่รวมภาษี และคาดว่าน่าจะเริ่มการส่งมอบได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2018 ครับ ส่วนเมืองไทยจะมีการเปิดตัวเมื่อไหร่ก็ต้องติดตามให้ดี

ที่มา Carscoops
   

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Mitsubishi Triton Athlete รุ่นพิเศษกระตุ้นตลาดปลายปี ประกาศราคาที่งาน Motor Expo 2017

  ค่าย Mitsubishi เตรียมกระตุ้นตลาดกระบะปลายปีด้วยการเปิดตัวรุ่นตกแต่งพิเศษ "Mitsubishi Triton Athlete" เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันตลาดกระบะที่ค่อนข้างร้อนระอุช่วงปลายปีนี้จากการเปิดตัวของรุ่นปรับใหม่และรุ่นพิเศษจากค่ายรถหลากหลายค่าย
  ภายนอกมีการตกแต่งรอบคันให้มีความสปอร์ตและดุดันมากยิ่งขึ้น โดยมีการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มเติมรายละเอียดต่างๆหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าสีดำลาย Honeycomb (ฮันนี่โคมบ์) , ขอบกันชนหน้าด้านบนสีดำ , วงแหวนไฟตัดหมอกสีดำ , ชุดตกแต่งกันชนหน้า , สติ๊กเกอร์สีดำ-ส้มตกแต่งรอบคัน, คิ้วล้อสีดำ , ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว สีดำ (ล้อหน้า/หลัง และ ล้ออะไหล่) , บันไดข้างสีดำ , กระจกมองข้างสีดำ , มือจับประตูสีดำ , สไตลิ่งบาร์ , สปอยเลอร์หลัง , กันชนหลังสีดำ , สัญลักษณ์ "ATHLETE" บนฝากระโปรงหลังและพื้นปูกระบะท้าย


  ภายในห้องโดยสารมีการตกแต่งด้วยโทนสีดำและส้ม มากับชุดเบาะหนังสีดำ-ส้มทูโทนเดินด้ายตะเข็บสีส้ม , พรมปูพื้นตกแต่งด้วยด้ายสีส้ม , หัวเกียร์หุ้มหนังตกแต่งด้วยด้ายสีส้ม (ทั้งเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ) สำหรับระบบอินโฟเทนเมนต์ทุกรุ่นจะมากับชุดหน้าจอสัมผัสขนาด 6.5 นิ้ว ในรุ่น Double Cab Plus จะสามารถรองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนและ Apple CarPlay ได้ด้วย 

  ขุมพลังนั้นยังคงใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว MIVEC เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ ความจุ 2.4 ลิตร (2442 ซีซี.) มากับพละกำลังสูงสุด 181 แรงม้าที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตัน-เมตรที่ 2,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดหรือเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด มีให้เลือกทั้งระบบขับเคลื่อน 2 ล้อและขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Super Select 4WD II พร้อม Diff Lock ที่เฟืองท้าย

  สำหรับระบบความปลอดภัยนั้นก็จะมีดังนี้
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
- ถุงลมนิรภัยด้านข้างและม่านถุงลมนิรภัย (เฉพาะ Double Cab 4WD Athlete)
- ระบบเบรก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรกอิเล็กทรอนิกส์ EBD
- ระบบเสริมแรงเบรก BA (เฉพาะ Double Cab 4WD Athlete)
- ระบบล็อคประตูอัตโนมัติเมื่อรถมีความเร็ว
- ระบบลดกำลังเครื่องยนต์เพื่อช่วยเบรก Brake Override
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว พร้อมระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล ASTC (เฉพาะ Double Cab 4WD Athlete)
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA (เฉพาะ Double Cab 4WD Athlete)
- กุญแจ Immoblizer
- กล้องมองภาพขณะถอยจอดพร้อมเส้นกะระยะ 
- ระบบไฟกะพริบฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน ESS


  Mitsubishi Triton Athlete มีสีตัวถังให้เลือก 3 สีได้แก่ สีขาวมุก White Pearl , สีเทา Titanium Grey และสีดำ Diamond Black

  Mitsubishi Triton Athlete มีทั้งหมด 3 รุ่นย่อยได่แก่ Double Cab Plus MT , Double Cab Plus AT และ Double Cab 4WD AT โดยยังไม่มีการประกาศราคาออกมา โดยราคาค่าตัวแต่ละรุ่นนั้นจะทำการประกาศภายในงาน Motor Expo 2017 ที่จะเริ่มขึ้นวันที่ 30 พ.ย. นี้ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานีครับ


Tesla Semi รถบรรทุกแห่งอนาคตมาพร้อมระบบช่วยการขับขี่อัตโนมัติ

 นอกจาก Tesla Roadster ที่ได้ทำการเผยโฉมในเวทีการเปิดตัวรถใหม่ของ Tesla ยังมีอีกหนึ่งคันที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ Tesla Semi รถบรรทุกพลังงานจากแบตเตอรี่ไฟฟ้่ดีไซน์ล้ำอนาคตที่ทางบริษัทหมายมั่นปั้นมือให้ "มอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นแก่ผู้ขับขี่รถบรรทุก และยังเพิ่มความปลอดภัย ลดต้นทุนการขนส่งสินค้า" อีกด้วย

   ดีไซน์ภายนอกมาแนวเรียบๆแต่ล้ำกว่ารถบรรทุกรุ่นอื่นๆเลยก็ว่าได้ ภายในยิ่งล้ำกว่าด้วยภายในห้องโดยสารที่มีการวางตำแหน่งคนขับไว้ตรงกลางรถ มีหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ 2 จอ (จอชุดเดียวกับ Tesla Model 3) ขนาบกันอยู่ข้างๆพวงมาลัย หน้าจอชุดนี้ยังเชื่อมต่อกับระบบบริหารการจัดการพาหนะเพื่อช่วยให้การกำหนดเส้นทางและช่วงเวลาในการเดินทาง ยังรวมถึงการตรวจสอบตำแหน่งรถจากระยะไกลด้วย
  Tesla Semi ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัวที่เพลาหลัง ด้วยพลังงานขับเคลื่อนนี้ช่วยให้รถทะยานจาก 0-97 กม./ชม. ในเวลา 5 วินาทีเท่านั้น แต่แน่นอนว่าเป็นอัตราเร่งที่ทำได้เฉพาะรถเปล่าที่ไม่ได้ติดเทรลเลอร์ด้านหลัง Tesla กล่าวว่าเมื่อรถบรรทุกน้ำหนักเต็มพิกัด 36,287 กิโลกรัม อัตราเร่งจะเพิ่มเป็น 20 วินาที

  เนื่องจาก Tesla Semi ไม่มีเครื่องยนต์เกียร์หรือคลัตซ์ ทำให้สามารถเร่งหรือชะลอความเร็วได้อย่างราบรื่น และสามารถประหยัดค่าบำรุงรักษาได้ นอกจากนี้ Tesla Semi ยังออกแบบให้ระบบเบรกสามารถนำพลังงานจลน์ที่สูญเสียกลับมาใช้ได้ถึง 98% 

  Tesla Semi ติดตั้งแบตเตอรี่ที่สามารถรองรับการชาร์จซ้ำได้ , กล้องมองภาพรอบคัน , กระจกที่ทนแรงกระแทกแบบพิเศษ , เซ็นเซอร์ออนบอร์ดที่สามารถตรวจจับความไม่มั่นคงของรถและปรับแรงบิดให้กับล้อแต่ละล้อและปรับการทำงานของเบรกเพื่อป้องกันการเสียการทรงตัวของรถได้ นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยเหลือการขับขี่อัตโนมัติ Autopilot ติดตั้งมาให้ , ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติิ Automatic Emergency Braking , ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในเลน Automatic Lane Keeping , ระบบเตือนไม่ให้ออกนอกเลน Lane Departure Warning และ ระบบช่วยบันทึกการขับขี่ 

  Tesla Semi สามารถวิ่งได้เป็นระยะทางสูงสุดกว่า 800 กิโลเมตรเมื่อบรรทุกเต็มอัตรา มีอัตราสิ้นเปลืองพลังงาน 2 กิโลวัตต์ชั่วโมง/1.6 กม. และทาง Tesla ยังแนะนำระบบ  Megachargers ซึ่งเป็นระบบชาร์จไฟกระแสตรงความเร็วสูงใหม่ที่สามารถชาร์จไฟให้วิ่งได้เป็นระยะทาง 644 กิโลเมตรภายในเวลา 30 นาที ระบบชาร์จไฟนี้จะถูกติดตั้งตามจุดสำคัญต่างๆ หรือจุดที่มีการจราจรหนาแน่น ซึ่งจะช่วยให้ชาร์จไฟได้ระหว่างการขนถ่ายสินค้าหรือระหว่างช่วงพักการขับขี่ได้

  Tesla ยังกล่าวอีกว่า Semi จะเป็นอีกหนึ่งทางออกที่ดีที่สุดในการช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า โดยจะช่วยลดค่าขนส่งได้ปีละราวๆ 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6,549,000 บาท) และรองรับการใช้งานได้มากกว่า 1 ล้านไมล์ หรือประมาณ 1.6 ล้านกิโลเมตร

  Tesla Semi เปิดรับจองแล้วด้วยจำนวนเงิน 5,000 ดอลลาร์หรือประมาณ 164,000 บาท และจะเริ่มผลิตส่งมอบลูกค้าในปี 2019 ครับ

ที่มา Paultan

วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ชมกระบะ Projen จากจีนที่ลอก Ford F-150 Raptor มาเต็มๆ

  ประเทศจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหลากหลายแบรนด์รถยนต์ ทั้งแบรนด์ชั้นนำและแบรนด์ในประเทศตัวเอง ซึ่งแบรนด์ในประเทศจีนนั้นก็มีทั้งแบรนด์ที่ออกแบบรถด้วยตัวเองและแบรนด์ที่เล่นง่ายโดยการไปลอกดีไซน์แบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับโลก

  และนี่ก็คือรถภายใต้แบรนด์ Progen บริษัทในเครือของแบรนด์ Lifan ที่สาวกกระบะหลายคนเห็นรูปร่างคงรู้เลยว่าดีไซน์นั้นเหมือนกับกระบะค่ายไหน..Ford F-150 Raptor นั่นเอง รายละเอียดหลายจุดไม่ว่าจะเป็นโคมไฟหน้า กระจังหน้า ซุ้มล้อ กระจกมองข้าง ไฟท้าย และฝากระโปรงท้ายล้วนได้แรงบันดาลใจจาก Raptor ทั้งสิ้น 

  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพวกเขาก็ได้ขัดเกลารายละเอียดให้ดูแปลกตากว่าต้นฉบับ จะว่าไปแล้วดีไซน์นั้นถือว่าสวยพอๆหรืออาจเกินหน้าเกินตาต้นฉบับเลยก็ว่าได้ ส่วนโครงตัวถังหลายน่าจะคุ้นกันดี เพราะใช้โครงเดียวกับ Chevrolet Colorado/Isuzu D-Max ตัวถังปัจจุบันนั่นเอง

  ที่ลอกมาจากต้นแบบไม่ได้ก็เห็นจะเป็นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบขนาด 2.5 ลิตร ซึ่งยังไม่มีตัวเลขสมรรถนะออกมา

  รายละเอียดทั้งหลายต้องรอตอนรถเปิดตัวในจีนอีกครั้งหนึ่ง

ที่มา Paultan

Like Box