วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561

2019 Mercedes-Maybach S-Class ปรับหน้าตาใหม่สู่ความหรูหราพรีเมี่ยมยิ่งกว่าเดิม

  เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ ค่ายดาวสามแฉก Mercedes-Benz ได้เปิดเผยโฉม Mercedes-Maybach S-Class รุ่นใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงหน้าตาให้แตกต่างจาก S-Class รุ่นปกติ เพื่อยกระดับความหรูหรามากยิ่งขึ้น


  โดยภายนอกจะมากับกระจังหน้าซี่ลวดแนวตั้งที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากต้นแบบ Vision Mercedes-Maybach 6 Concept นอกจากนี้ก็ยังมีทางเลือกสีตัวถังทูโทนที่มีให้เลือก 9 รูปแบบที่แตกต่างกัน รวมทั้งล้ออัลลอยที่จะได้ขนาด 20 นิ้วเป็นมาตรฐานและยังมีลายแปลกๆใหม่ๆเพิิ่มเติมเข้ามาด้วย

  ส่วนภายในห้องโดยสารจะมีทางเลือก 2 รูปแบบสีใหม่ ได้แก่ สีน้ำตาลดำทูโทน Armagnac Brown/Black และ สีเบจดำทูโทน Savanna Beige/Black นอกจากนั้นแล้วยังมีตัวเลือกสีตะเข็บที่เย็บหนังภายในรถ ได้แก่ สีทองแดง , สีทอง , สีแพลตทินั่ม และยังมีตัวเลือกแพ็คเกจการตกแต่ง Designo Magnolia อีกด้วย
 
  สำหรับทางเลือกเครื่องยนต์จะมี 2 แบบ ได้แก่
- S560 มากับเครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 4.0 ลิตรเทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 469 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร
- S650 มากับเครื่องยนต์เบนซิน V12 ขนาด 6.0 ลิตรเทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 630 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 1,000 นิวตันเมตร 

  หากใครคิดว่า Maybach รุ่นปกติยังไม่สุดยอดพอ ยังมีทางเลือกในรุ่นฐานล้อยาวพิเศษ Mercedes-Maybach S-Class Pullman โดยมีขนาดความยาวตัวถังถึง 6.5 เมตร มีทางเลือกสีตัวถังสุดพิเศษ ได้แก่ สีเทา Magma Grey, สีน้ำตาล Mahogany Brown และสีเบจ-น้ำเงินทูโทน Silk Beige/Deep Sea Blue

  Mercedes-Maybach S-Class Pullman ยังทำการติดตั้งกล้องมองภาพด้านหน้ารถซึ่งสามารถแสดงผลให้ผู้โดยสารตอนหลังได้เห็นด้วยแม้ว่าจะมีแผ่นกระจกกั้นระหว่างด้านหน้าและด้านหลังรถก็ตาม นอกจากนี้ยังมีระบบ 2 Cabin Sound ที่จะแยกเสียงระหว่างผู้โดยสารด้านหน้าและหลัง สำหรับด้านหลังจะสามารถนั่งได้ 4 คน จัดวางตำแหน่งเบาะให้หันหน้าเข้าหากัน และในรุ่นนี้ยังมีพื้นที่ Legroom มากสุดอีกด้วยตามคำบอกของ Mercedes-Benz

  ขุมพลังใน Pullman จะมีทางเลือกเครื่องยนต์เบนซิน V12 ขนาด 6.0 ลิตรเทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 630 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 1,000 นิวตันเมตร แบบเดียว สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 6.5 วินาที อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 6.85 กม./ลิตร และการปล่อยไอเสียอยู่ที่ 330 กรัม/กม.

  Mercedes-Maybach S-Class Pullman เริ่มเปิดจองแล้วในราคาเริ่มต้นประมาณ 500,000 ยูโร หรือประมาณ 19,221,700 บาทไทย ไม่รวมภาษี

ที่มา Carscoops 1 / 2

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2561

2019 Mazda CX-3 ปรับปรุงดีไซน์เล็กน้อย เพิ่มเติมเทคโนโลยีใหม่ๆตามคู่แข่ง

  ที่งาน New York Auto Show 2018 ที่จัดขึ้นในสหรัฐฯตอนนี้ ค่าย Mazda ได้ทำการปรับโฉมเล็กน้อยให้กับครอสโอเวอร์รุ่นเล็กอย่าง Mazda CX-3 พร้อมทั้งปรับปรุงภายในห้องโดยสารใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน

 การเปลี่ยนแปลงภายนอกจะเห็นชัดว่ากระจังหน้าได้รับการออกแบบรายละเอียดใหม่ให้ดูหรูหราขึ้น ตกแต่งเพิ่มเติมด้วยแถบโครเมี่ยมบริเวณกันชนหน้าและชายขอบล่างประตูรถ ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วได้รับการออกแบบใหม่ ในส่วนของด้านท้ายยังมีการปรับปรุงรายละเอียดไฟท้าย LED ใหม่อีกด้วย และที่ขาดไม่ได้คือตัวถังสีแดงใหม่ Soul Red Crystal

  ภายในห้องโดยสารมีการออกแบบช่องแอร์ตรงกลางแดชบอร์ดใหม่ ที่ไม่ได้ลากยาวจนถึงฝั่งผู้โดยสารอย่างเดิมแล้ว แผงแดชบอร์ดด้านหน้าและแผงประตูถูกบุนุ่มด้วยหนังกลับคุณภาพสูง รวมทั้งตกแต่งช่องแอร์ด้วยขอบสีแดง อีกจุดที่สำคัญคือการเปลี่ยนมาใช้เบรกมือแบบปุ่มกดไฟฟ้าซึ่งช่วยเพิ่มพื้นที่ในการเก็บของกลางคอนโซล ส่วนเบาะหลังยังมากับที่เท้าแขนตรงกลางพร้อมกับที่วางแก้วในตัว

  ขุมพลังยังคงเหมือนเดิม แต่อาจจะมีการปรับจูนเพิ่มเติม โดยในตลาดสหรัฐฯจะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร SkyActiv-G พละกำลังสูงสุด 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 200 นิวตัน-เมตร

ตลาดไทยในรุ่นปัจจุบันจะมีทางเลือกเครื่องยนต์ ได้แก่
- เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร SkyActiv-G แบบแถวเรียง 4 สูบ 16 วาล์ว มากับพละกำลัง 156 แรงม้าที่ 156 แรงม้าที่ 1,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 204 นิวตัน-เมตรที่ 2,800 รอบ/นาที สามารถรองรับเชื้อเพลิง E85 ได้
- เครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตร SkyActiv-D เทอร์โบแปรผัน 4 สูบ 16 วาล์ว มากับพละกำลัง 105 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 270 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,500 รอบ/นาที

  2019 Mazda CX-3 จะเริ่มจำหน่ายในตลาดสหรัฐฯในฤดูใบไม้ผลินี้ (ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม) ส่วนเมืองไทยจะมีการเปิดตัวเมื่อไหร่ต้องติดตามชม

ที่มา Carscoops
  

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2561

All-New Nissan Altima (หรือที่รู้จักในนาม Teana) พลิกรูปโฉมใหม่สู่ความไฉไลกว่าเดิม

   ข้ามน้ำข้ามทะเลมาพูดถึงงาน New York Auto Show 2018 ที่จัดขึ้นในแดนมะกันตอนนี้ ค่าย Nissan ได้ทำการเปิดตัว All-New Nissan Altima หรือที่บ้านเรารู้จักในชื่อ (Nissan Teana) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มากับรูปโฉมที่พลิกการออกแบบจากรุ่นเดิมทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสาร

  ดีไซน์ภายนอกของ All-New Nissan Altima จะอ้างอิงดีไซน์มาจากต้นแบบ Nissan Vmotion 2.0 Concept แต่ได้ปรับให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันมากขึ้น ด้านหน้าของรถยังคงมากับกระจังหน้า V-Motion อันเป็นเอกลักษณ์ ออกแบบให้มีขนาดใหญ่โตกินเนื้อที่กันชนหน้า ไฟหน้าทรงเรียวกว่าเดิมออกแบบให้เชื่อมติดกับไฟหน้า เส้นสายด้านข้างออกแบบให้มีความโค้งมน ปราดเปรียวและดูสปอร์ตมากขึ้นประตูท้ายมีการออกแบบแนว Floating Roof คล้ายคลึงกับ Nissan Maxima ต่อเนื่องไปถึงไฟท้ายที่ออกแบบให้ดูเรียวและยาวกว่าเดิม

  เข้ามาภายในห้องโดยสารถือเป็นอีกจุดที่พลิกการออกแบบใหม่ จากรุ่นที่แล้วที่ดูเชยๆ คราวนี้ก็ได้ออกแบบให้ทันสมัยน่าใช้งานมากขึ้น เข้ามาจะพบกับพวงมาลัย 3 ก้านดีไซน์ใหม่ที่คุ้นตาจาก Nissan หลายๆรุ่น หน้าปัดดีไซน์ใหม่ที่มาพร้อมกับจอแสดงผลข้อมูลขนาดใหญ่ กลางแดชบอร์ดจะติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้วที่เหมือนแท็บเล็ตตั้งโดดเด่นตรงกลาง มากับระบบอินโฟเทนเมนต์ NissanConnect SM ที่รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto

  ขุมพลังเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญ ด้วยการเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบแถวเรียงเทอร์โบจากแบรนด์หรูอย่าง Infiniti ซึ่งมาแทนที่เครื่องยนต์เบนซิน 3.5 ลิตร V6 เดิม โดยจะมากับพละกำลังสูงสุด 248 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 370 นิวตัน-เมตร จะถูกนำเสนอในเกรดรุ่น SR และ Platinum เท่านั้น

  นอกจากนีิ้ยังมีเกรดรุ่นรองลงมา ได้แก่ S,SV และ SL รวมทั้ง 2 เกรดรุ่นก่อนหน้า จะมีทางเลือกเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 188 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 244 นิวตัน-เมตร ซึ่งเครื่องตัวนี้ได้รับการปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่ถึง 80% นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกที่จะมีออปชั่นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อให้เลือกใน Altima ด้วย

  ทางด้านระบบความปลอดภัย ได้รับการยืนยันแล้วว่า Altima โฉมใหม่จะติดตั้งระบบช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติ ProPILOT Assist โดยในสภาวะอย่างเช่นการขับขี่เลนเดียว ระบบจะช่วยลดการเร่งส่งกำลัง ช่วยควบคุมพวงมาลัย และระบบเบรกได้อีกด้วย

  นอกจากนั้นแล้วยังมีการติดตั้งระบบเบรกอัตโนมัติเมื่อมีรถผ่านขณะถอยหลัง Rear Automatic Braking , ระบบบรกอัตโนมัติพร้อมป้องกันคนเดินถนน Automatic Emergency Braking with Pedestrian Detection , ระบบเตือนไม่ให้ออกนอกเลน Lane Departure Warning , เรดาร์ที่ทำงานร่วมกับระบบเตือนมุมอับสายตา  Blind Spot Warning , ระบบเตือนการชนขณะถอยหลัง Rear Cross Traffic Alert และระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ

  Nissan จะทำการเปิดตัว Altima รุ่น Launch Edition ที่ใช้พื้นฐานของเกรดรุ่น Platinum เครื่อง Turbo ผลิตจำนวนจำกัดอีกด้วย และตัวรถจะเริ่มวางขายในช่วงฤดูร้อนหรือกลางปีนี้ ส่วนเมืองไทยก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่า Nissan จะเอามาขายหรือไม่

ที่มา Carscoops

 

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2561

All-New Toyota RAV4 ปฏิวัติรูปโฉมสู่ความแข็งแกร่งดุดันมากขึ้น

  ค่ายยักษ์ใหญ่ Toyota ได้ทำการเปิดตัว All-New Toyota RAV4 เจเนเรชั่นที่ 5 เตรียมนำไปโชว์ตัวต่อสาธารณะชนภายในงาน New York Auto Show 2018 ที่จะจัดขึ้นในสหรัฐฯเร็ววันนี้ มากับรูปโฉมที่พลิกการออกแบบจากเดิมให้มีความดุดันและแข็งแกร่งมากขึ้น

  รูปโฉมของ All-New Toyota RAV4 จะอ้างอิงดีไซน์จากต้นแบบ Toyota FT-AC Concept ที่เผยโฉมเมื่อปลายปี 2017 ที่ผ่านมา ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงภายนอกที่ค่อนข้างพลิกโฉมไปพอสมควร จากรุ่นที่แล้วที่ดูมีโค้งมน คราวนี้มาในรูปทรงที่ดูมีเหลี่ยมสันและดูแข็งแกร่งมากขึ้น

  ภายนอกจะมากับโคมไฟหน้าใหม่แบบ LED ดีไซน์เฉียบคม กระจังหน้าและกันชนหน้าจะมีดีไซน์ที่แตกต่างกันตามรุ่นย่อยของรถ อย่างรุ่น XSE Hybrid และ Limited จะเน้นความหรูหรา ส่วนรุ่น Adventure จะเน้นความบึกบึนแข็งแกร่ง ซุ้มล้อออกแบบให้เป็นทรงเหลี่ยมรวมทั้งเส้นสายด้านข้างและรอยบุตัวถังที่ดูมีมัดกล้ามทำให้ตัวรถดูทะมัดทะแมง ต่อเนื่องไปถึงด้านท้ายที่มากับโคมไฟท้ายทรงสวยพร้อมแถบโครเมี่ยมลากเชื่อมไฟท้ายทั้งสองด้าน

  All-New Toyota RAV4 ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม TNGA K (ที่ใช้ร่วมกับ Camry และ Avalon) ที่ถูกพัฒนาต่อยอดจากแพลตฟอร์ม TNGA (ใน Prius และ C-HR) โดย RAV4 โฉมใหม่จะมีความยาวฐานล้อที่ 2,690 มิลลิเมตร (ยาวกว่าเดิม 30 มิลลิเมตร) สัดส่วนความยาวตัวรถอยู่ที่ 4,595 มิลลิเมตร (สั้นลง 5 มิลลิเมตร) ความกว้าง 1,854 มิลลิเมตร (กว้างขึ้น 10 มิลลิเมตร) และความสูง 1,699 มิลลิเมตร (เตี้ยลง 5 มิลลิเมตร)

  ทาง Toyota ให้ข้อมูลว่าโครงสร้างตัวถังใหม่จะมีความแข็งแรงมากขึ้น 57% นอกจากนี้ RAV4 โฉมใหม่ยังมีนะบบ  Dynamic Torque Vectoring All-Wheel Drive with Rear Driveline Disconnect ที่สามารถส่งกำลังแรงบิด 50% ไปยังล้อคู่หลังทั้งซ้ายและขวาเพื่อการขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น โดยระบบนี้จะนำเสนอในรุ่น AWD รุ่น Limited และ Adventure เครื่องเบนซินธรรมดา ส่วนรุ่นไฮบริดจะมากับระบบขับเคลื่อน AWD-i ซึ่งเป็นแบบเฉพาะในรุ่นไฮบริดนั่นเอง

  ภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบให้มีความทันสมัยน่าใช้งานมากยิ่งขึ้น จัดวางปุ่มต่างๆให้ใช้งานได้ง่าย ออกแบบชุดมาตรวัดความเร็วตรงกลางให้เป็นแบบจอดิจิตอล รวมทั้งหน้าจอสัมผัสที่ออกแบบให้ดูลอยเหนือคอนโซล โดยมีตั้งแต่ขนาด 7-8 นิ้ว รองรับระบบอินโฟเทนเมนต์ Enture 3.0 ที่รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay รวมทั้งแอพ Amazon Alexa และระบบเชื่อมต่อ Wi-Fi ระบบเครื่องเสียงจะติดตั้งลำโพงจาก JBL

  ขุมพลังของรถจะมีทางเลือกเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร 4 สูบแถวเรียง ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด และรุ่นไฮบริดเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT

  ทางด้านระบบความปลอดภัยก็จะทำการติดตั้งถุงลมนิรภัย 8 ใบและ Toyota Safety Sense มาเป็นมาตรฐาน ที่ประกอบด้วยระบบป้องกันการชนด้านหน้าพร้อมตรวจจับคนเดินถนน (Pre-Collision System with Pedestrian Detection) , ระบบ Full-Speed Range Dynamic Radar Cruise Control , ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ Lane Departure Alert with Steering Assist , ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Automatic High Beam , ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในเลน Lane Tracing Assist และ ระบบเตือนสัญญาณจราจร Road Sign Assist

  All-New Toyota RAV4 จะวางขายในช่วงปลายปีนี้ที่สหรัฐฯและแคนาดา โดยรุ่น Hybrid จะเริ่มวางขายในช่วงต้นปี 2019 ราคายังไม่มีการประกาศจนกว่าจะถึงช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ส่วนเมืองไทยดูทรงแล้วน่าจะไม่มีมาขายครับ

ที่มา Carscoops

Nissan GT-R เปิดตัวภายใต้การจำหน่ายของ Nissan เมืองไทยในราคาขาย 13.5 ล้านบาท

  หลังจากปล่อยให้ผู้นำเข้าอิสระ (Grey Market) นำเข้ามาขายเป็นเวลานาน คราวนี้ก็ถึงคราวที่ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการอย่าง Nissan Thailand จะลงมาทำตลาดเองแล้ว ซึ่งล่าสุดทาง Nissan ก็ได้เปิดตัวและวางขาย GT-R อย่างเป็นทางการในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย พร้อมวางจำหน่ายในราคา 13,500,000 บาท

  รุ่นที่นำเข้ามาจำหน่ายคือรุ่น Premium Edition จะมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 3.8 ลิตร V6 (มีแผ่นสลักชื่อ Takumi Kurosawa หนึ่งในผู้ประกอบเครื่องยนต์ของ GT-R) ที่มากับพละกำลังสูงสุด 555 แรงม้าที่ 6,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 632 นิวตัน-เมตรที่ 3,300 – 5,800 รอบ/นาที   มาพร้อมกับขับเคลื่อน 4 ล้อ All-Wheel Drive ระบบส่งกำลังจะมากับเกียร์ Dual Clutch 6 สปีด ความเร็วสูงสุด 196 ไมล์/ชม. (ประมาณ 315 กม./ชม.) นอกจากนี้ยังมากับแป้นคันเร่งแบบไฟฟ้า , ระบบ Downshift Rev Matching , ระบบ Predictive pre-shift control (ใน R-Mode) และ ระบบ R-START MODE

  ทางด้านระบบเบรก/ช่วงล่าง/และระบบพวงมาลัย จะมากับดิสก์เบรก 4 ล้อ (ข้างหน้าขนาด 390 มิลลิเมตร/ข้างหลัง 380 มิลลิเมตร) , ช่วงล่างแบบ Asymmetrical Suspension Setup , ช่วงล่างด้านหน้าแบบดับเบิลวิชโบนที่มีปีกนกล่างแบบอะลูมิเนียม , ช่วงล่างหลังแบบมัลติลิงก์พร้อมปีกนกล่างแบบอะลูมิเนียม นอกจากนี้รถยังติดตั้งโช้คอัพจาก Blistein DampTronic Shock Absorber ที่สามารถปรับระดับได้ 3 รูปแบบ และ พวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียนพร้อมระบบช่วยผ่อนแรงแบบไฟฟ้าตามความเร็วรถ

   Nissan GT-R จะมีขนาดมิติตัวถังภายนอกยาว 4,710 มิลลิเมตร กว้าง 1,895 มิลลิเมตร สูง 1,370 มิลลิเมตร และฐานล้อยาว 2,780 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้นรถ 110 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวถังรวม 1,752 กิโลกรัม โดยมีอัตราส่วนการกระจายน้ำหนักที่ 54/46 ความจุถังน้ำมัน 74 ลิตร สวมด้วยล้อขนาด 20 นิ้ว ขนาด 20x9.5" พร้อมยาง 255/40R20 ที่ด้านหน้า และ ขนาด 20x10.5" พร้อมยาง 285/40R20 ที่ด้านหน้า สวมด้วยยาง Dunlop Sport Max GT600 DSST CTT run flat-nitrogen filled

อุปกรณ์มาตรฐานภายนอก
- ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วแบบ Y-Spoke
- สปอยเลอร์หลังสีเดียวกับตัวรถพร้อมไฟเบรก
- ไฟหน้าแบบ Wide-Beam Automatic LED
- ไฟ Daytime Running Lights แบบ LED
- ไฟท้ายแบบ LED
- กระจกมองข้างปรับและพับด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมระบบไล่ฝ้า
- มือจับประตูแบบอะลูมิเนียม
- ท่อไอเสียคู่ ข้างละ 2 ท่อ
- ท่อไอเสียแบบไทเทเนียมพร้อม Open Valve System
- กระจกหน้าต่างแบบกรองแสงและรังสี UV
- ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ

อุปกรณ์มาตรฐานภายใน
- กุญแจ Nissan Intelligent Key และ Push Start
- ฟังก์ชั่นปรับอุ่นเบาะคู่หน้า
- เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางและเบาะผู้โดยสารปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง
- เบาะหลังรองรับผู้โดยสารได้ 2 คน
- หุ้มหนังบริเวณพวงมาลัย , เบรกมือ และหัวเกียร์
- ตกแต่งคอนโซลหน้าด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์
- ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกโซนซ้าย-ขวา
- กระจกหน้าต่างไฟฟ้าคู่หน้า
- พวงมาลัยปรับดึงเข้า-ออกได้พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง
- แผงบังแดดพร้อมกระจกแต่งหน้าฝั่งคนขับและผู้โดยสาร
- ช่องต่อไฟ 12V 2 ช่อง
- คอนโซลกลางพร้อมที่วางแขน , ช่องเก็บของและช่องวางขวดน้ำ
- ที่วางแก้วด้านหลัง
- ไฟอ่านแผนที่
- ฟังก์ชั่นที่บอกสถานะของรถบนหน้าปัด Trip Computer
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
- สายดึงที่ฝากระโปรงหลัง
- Nissan Entertainment System
 * หน้าจอสีความละเอียดสูงขนาด 8 นิ้ว
 * กล้องมองภาพด้านหลัง
 * รองรับการเชื่อมต่อ ฺBluetooth และ Hands-Free
 * ช่องต่อ USB 2 ช่อง และ AUX
 * วิทยุเครื่องเล่น AM/FM/CD
 * Multi-function Meter แสดงผลผ่านหน้าจอสัมผัสที่บอกถึงการปรับตั้งค่าภายใน , ข้อมูลจ่างๆของรถ รวมทั้งข้อมูลด้านสมรรถนะ
- ลำโพง BOSE 11 ตัว
- ระบบลดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร Active Noise Cancellation
- ระบบเพิ่มเสียงเครื่องยนต์ Active Sound Enhanchment
- ปุ่มควบคุมหน้าจอสัมผัสตรงกลางคอนโซล

ระบบความปลอดภัย
- ถุงลมนิรภัย 6 ใบ (คู่หน้า+ด้านข้าง+ม่านถุงลม)
- เข็มขัดนิรภัยแบบดึงรั้งกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ
- กันชนหน้าและหลังแบบดูดซับแรงกระแทก
- ระบบยกฝากระโปรงหน้าเพื่อลดการบาดเจ็บของคนเดินถนน
- ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS / ระบบกระจายแรงเบรก EBD / ระบบเสริมแรงเบรก BA
- ฝากระโปรงหน้าแบบ Hood buckling creases / คานกันกระแทกที่ประตูคู่หน้า / พวงมาลัยแบบดูดซับแรงกระแทก
- ระบบป้องกันการลื่นไถล Electronic Traction Control
- ระบบควบคุมการเสถียรภาพการทรงตัว Vehicle Dynamic Control
- ระบบเตือนแรงดันลมยาง Tyre Pressure Monitoring System
- ระบบป้องกันการโจรกรรม Nissan Anti Theft System Immoblizer
- Nissan Approved Alarm System
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist
- เซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้าและหลัง
- Remote Central Door Locking
- จุดยึดเบาะเด็ก ISOFIX
- ชุด Safety Kid (ประกอบด้วยป้านสามเหลี่ยม , ชุดปฐมพยาบาล และ เสื้อแจ็คเก็ตเซฟตี้)

  Nissan GT-R จะมีสีตัวถังให้เลือก 6 สี ได้แก่ สีส้ม Katsura Orange , สีน้ำเงิน Pearl Blue , สีดำ Pearl Black , สีขาว  Pearl White , สีเทา Gun Metallic และ สีแดง Vibrant Red ส่วนสีตกแต่งภายในห้องโดยสารมีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีดำ Black Amber , สีเบจ Ivory , สีส้ม Saddle Tan และ สีแดง Red Amber

  สำหรับการจำหน่าย Nissan GT-R จะถูกจำหน่ายผ่านดีลเลอร์อย่างสยามนิสสัน ทีเคเอฟ ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียวในไทบ โดยมีที่ตั้งดีลเลอร์อยู่ที่อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร และยังมาพร้อมการรับประกัน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตรอีกด้วย

ที่มา Nissan

Like Box