วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557

Porsche เตรียมเปิดตัวขุมพลัง 2.0 ลิตร 4 สูบครั้งแรกใน Macan

  กระแสการ Downsizing ลดความจุเครื่องยนต์แต่ติดเทอร์โบแทน กลายเป็นกระแสฮอตฮิตสำหรับวงการยานยนต์ไปแล้ว ซึ่งค่ายใหญ่ๆหลายค่ายฝั่งยุโรปมักใช้กับรถของตน เพื่อจุดประสงค์ในเรื่องอัตราสิ้นเปลืองที่ดีขึ้นและการปล่อยไอเสียที่น้อยลงด้วยครับ
   ค่าย Porsche ก็เป็นหนึ่งในค่ายที่ขอเกาะกระแสตามค่ายอื่นๆบ้าง หลังจากที่เราเคยได้ยินข่าวมาแล้วว่า Porsche กำลังวางแผนพัฒนาเครื่องยนต์ 4 สูบมาใส่กับรถสปอร์ตและรถเอสยูวีในอนาคต ซึ่งล่าสุด Porsche ก็ได้เปิดตัวเครื่อง 4 สูบตัวใหม่ หลังจากไม่ได้พัฒนาเครื่องยนต์ 4 สูบมานานร่วมทศวรรษแล้ว
   เครื่องยนต์ 4 สูบที่ว่านี้ถูกประจำการใน Porsche Macan นั่นเอง ซึ่งทางค่ายสปอร์ตหน้ากบแห่งสตุทการ์ทรายนี้ได้ทำการเผยโฉม Porsche Macan รุ่นเริ่มต้นที่ใช้เครื่องยนต์แบบ 4 สูบเมื่อไม่นานนี้เอง อย่างที่บอกไว้ครับ Porsche ไม่ได้ทำรถเครื่อง 4 สูบมานานมาก ตั้งแต่เมื่อปี 1995 กับรุ่น 968 โน่นแน่ครับ
   ความแตกต่างหลักของ Porsche Macan เครื่องยนต์ 4 สูบก็คือ ท่อไอเสียภายนอกแบบคู่ ซึ่งรุ่นเครื่องยนต์ 6 สูบขึ้นไปจะใช้ท่อไอเสียแบบท่อ 4 ชุดเลยครับ สำหรับอุปกรณ์มาตรฐานที่ติดมาในรุ่นเครื่องยนต์ 4 สูบ คุณจะได้ล้ออัลลอยขอบ 18 นิ้ว ระบบควบคุมอากาศแบบ Dual-Zone ส่วนหลังคาพาโนรามิกรูฟ และระบบปรับช่วงล่าง Porsche Active Suspension Management (PASM) รวมทั้งระบบเซ็นเซอร์ช่วยจอด Park Assist เป็นออปชั่นที่ต้องจ่ายเพิ่มครับ
   สำหรับเครื่องยนต์ 4 สูบตัวนี้มากับความจุ 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ มาพร้อมพละกำลัง 237 แรงม้า 
ที่ 5,000 - 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 35.66 กก.-ม. ที่ 1,500 - 4,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ PDK ดูอัลคลัตช์ พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ สร้างอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน ใน 6.9 วินาที ความเร็วสูงสุดทำได้ 223 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และยังจิบน้ำมันเฉลี่ยแค่ 13.3 กม./ลิตรเท่านั้นครับ
   เมืองไทยใครที่สนใจ Porsche Macan เครื่องยนต์ 4 สูบคงต้องรอซักพักครับ ส่วนราคาในตลาดโลกยังไม่มีการประกาศออกมาด้วย ฉะนั้นต้องติดตามกันต่อไปครับ
แนะนำ ติชม แสดงความคิดเห็น และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแฟนเพจ Cars New Update ที่นี่!!
 


ปี 2014 ศึกตลาดเก๋งเดือด! ใครจะคว้าใจมหาชนไปครอง

  พูดถึงตลาดรถเก๋งถือเป็นตลาดสำคัญที่ผลักดันยอดขายของรถยนต์ในค่ายใหญ่ๆของเมืองไทยรวมถึงตลาดรถเก๋งระดับ Luxury ซึ่งตลาดพวกนี้เป็นตลาดที่สำคัญพอๆกับรถกระบะเลยละครับ ในที่นี้เราจะขอกล่าวถึงตลาดรถเก๋งระดับชนชั้นกลางเท่านั้นครับ ซึ่งเป็นตลาดของกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปที่มีกำลังซื้อค่อนข้างเยอะพอสมควร
   นับตั้งแต่ต้นปี 2014 ก็นับว่ามีรถเก๋งใหม่หลายรุ่นมาประชันโฉมเปิดตัว ค่าย Toyota เริ่มต้นเปิดเกมตั้งแต่กลางเดือนมกราคมด้วย Toyota Corolla Altis โฉมใหม่ที่มวลมหาประชาชนรอคอย (แต่ก็ไม่วายที่คนจะบ่นเรื่องเป็นแท็กซี่ ถ้ารถไม่ดี เค้าคงไม่เอามาทำ Taxi หรอกครับ) ตามด้วยค่าย Honda ที่เปิดศึกตลาดเก๋งเล็ก B-Segment ด้วย Honda City โฉมใหม่ที่มาพร้อมจุดขายด้วยออปชั่นที่เพียบกว่าใครและเหมือนจะเยอะกว่าพี่ตัวเองอย่าง Civic ด้วยซ้ำ หลังจากที่ Toyota Corolla Altis โฉมใหม่กำลังกวาดยอดขาย โดยเฉพาะสุดหล่อ ESport ที่ดันไมค์-พิรัชต์เป็นพรีเซนเตอร์ Honda เลยจัดก๊อกสองด้วยการเปิดตัว Honda Civic Nanochange ปรับหน้า ปรับอุปกรณ์นิดหน่อย รถที่หลายคนชอบบ้างไม่ชอบบ้างแต่กระแสสื่อต่างชาติติเยอะ ซึ่งทางอเมริกาก็ยกหน้าใหม่ให้หล่อแล้ว พอ Civic 2014 ที่คนไทยรอคอย หวังจะให้ได้อย่างมะกันบ้าง เลยต้องอดและมีความผิดหวังกันมากพอควร ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่เข้าไปใหญ่ Civic ลำบากแน่ และความลำบากยิ่งกว่าต้องมาเยือนเมื่อการมาถึงของ Mazda 3 โฉมใหม่ที่เปลี่ยนบรรทัดฐานใหม่ให้กับตลาด C-Segment ด้วยการจัดออปชั่นกระจาย ชูจุดเด่นเทคโนโลยีสกายแอ็คทีฟ พร้อมฟังก์ชันทันสมัยและอีกหลายอย่างกับราคาน่าคบ ทำให้ได้ใจคนไทยหลายคนไปเลย
   ทั้งหมดที่กล่าวคือก็คือการเกริ่นถึงตลาดรถยนต์ที่คึกคักตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งปีนี้เป็นที่น่าจับตามองเพราะมารถเก๋งเปิดตัวใหม่หลายคัน เป็นที่รู้กันดีครับกว่า การที่มีคู่แข่งมากหน้าหลายตานั้นทำให้ผู้ซื้ออย่างเราๆมีตัวเลือกไว้ในหัวสมองเยอะ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีครับ โดยเฉพาะในการเรื่องโฆษณาและสื่อต่างๆ ซึ่งในปัจจุบัน โลกมันก้าวไกลไปตั้งแต่ไหนต่อไหนแล้ว เดี๋ยวนี้ผู้ที่ติดตามและอัพเดตข่าวสารรถใหม่เค้าก็ค้นหากันตามอินเทอร์เน็ตกันทั้งนั้น เป็นสื่อสำคัญเลยก็ว่าได้ เพียงแค่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือหน้าจอสมาร์ทโฟน แท็บเลตทั้งหลาย อยากรู้ข่าวอะไร Search ได้หมดเลย
  แน่นอนว่าสื่อออนไลน์พวกนี้เป็นตัวตัดสินใจในเรื่องการซื้อรถของแต่ละบุคคลได้ดีทีเดียว และยังเป็นตัวช่วยอัพเดตข่าวสารเรื่องรถให้รู้ทันกว่าใครๆหลายคนด้วย สังเกตว่าหลังๆนั้น ผู้บริโภคหลายคนรู้จักเลือกใช้มากขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่ยึดติดบรรทัดฐานเดิมๆที่ผ่านมา สังเกตว่าผู้ซื้อหลายคนเริ่มหันเหจากค่ายเจ้าตลาดและค่ายมวยรองอีกหลายค่าย ไปหาค่ายอื่นๆกันบ้างหลังจากที่เห็นสรรพคุณของรถ ยกตัวอย่าง ผู้ที่ซื้อ Mazda 3 ใหม่ ซึ่งไม่ชอบความจำเจของ Honda Civic และ Toyota Corolla Altis ที่เต็มถนน จริงมั้ยครับ?
   คราวนี้เราจะเริ่มกล่าวถึงตลาด C-Segment ก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากเป็นเก๋งกลุ่มแรกที่เปิดตลาดก่อนใครตั้งแต่ตั้นปี ยังจำกันได้มั้ยว่าเมื่อวันที่ 14 ม.ค. เป็นวันที่ Toyota Corolla Altis โฉมใหม่เผยโฉมสู่สายตาประชาชนหลังจากรอคอยกันมานาน และแน่นอนเจ้ารุ่นนี้ สิ่งที่หลีกหนีไม่พ้นวงจรของมัน ก็คือ การนำรถมาทำ "แท็กซี่" นั่นเอง ซึ่งหลายคนก็ใช้เหตุผลแบบที่ผู้เขียนขอเรียกว่า "ไม่ค่อยจะเข้าตาเท่าไหร่" หลายคนมักบอกว่า เป็นแท็กซี่แล้วทำให้ตัวรถด้อยค่าลง ขอบอกเลยว่าใครที่ใช้รถเล็กอีโคคาร์หรือ B-Segment ราคาถูกๆ เตรียมโดนแท็กซี่ส่วนบุคคลหัวเราะเยาะได้เลย เพราะคุณกำลังใช้รถถูกกว่าคนขับแท็กซี่อยู่ เหตุผลที่เขาเลือกอัลติสเป็นแท็กซี่ก็เพราะซ่อมง่าย อะไหล่ไม่แพง ค่าใช้จ่ายต่ำ บำรุงรักษาง่าย นอกเรื่องไปแท็กซี่มากพอแล้วครับ มาว่ากันต่อเรื่องตัวรถ Altis ดีกว่า จะว่าไปแล้วรุ่นใหม่ก็ดูหรูหราขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งงานนี้ Toyota ได้จัดเต็มและเสริมความน่าสนใจเข้าไปหลายอย่าง แม้ราคาตัวท็อปอาจสูงไปนิด แต่ยังไงก็ยังเป็นรถขวัญใจมหาชนอยู่ดี โดยเฉพาะตัวแต่ง ESport ที่ยั่วกิเลสสุดๆ บอกเลยว่าชอบมาก 
    ซึ่งความร้อนแรงของ Altis มันดันไปขัดหาขัดตา Civic เข้า งานนี้ Honda แก้เกมด้วยการเปิดตัว Civic ใหม่เมื่อ 14 มี.ค. ปรับปรุงเล็กน้อยที่ปรับหน้าตานิดหน่อยและเพิ่มออปชั่นหน่อย และมีการเพิ่มรุ่น 1.8 ES ซึ่งทำมาเพื่อแข่งเลียนแบบ Altis ESport แบบไม่อายใคร ซึ่งชุดแต่งดูแล้วมันก็ไม่ได้ดีไปกว่า Modulo เลย แตาขอบอก Modulo ยังหล่อกว่านี้ (อย่างไรก็ตามผู้เขียนไม่เคยคิดสนใจ Civic ด้วยซ้ำ ไม่เคยเลย) ซึ่งโฉมหน้ามันหากใครติดตามข่าวสารยานยนต์ต่างประเทศดีจะรู้ว่า Honda Civic FB โฉมนี้ หลังการเปิดตัวเต็มไปด้วยสื่อต่างประเทศจวกเละเรื่องหน้าตาและภายใน ซึ่งพินิจตัวถังดู มันดันทำซะเหมือนกับ City ตัวเก่าซะงั้น ซึ่งมีเพื่อนสมาชิกท่านหนึ่งมาเล่าให้ผู้เขียนฟังทางเพจว่า เคยมอง Civic เป็น City ด้วย แน่นอนว่า Honda ไม่นิ่งดูดายรีบแก้ดีไซน์ด่วนเปิดตัวที่ต่างประเทศเรียบร้อยเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเราก็หวังว่าดีไซน์นี้แหละมันจะมาไทยด้วย แต่ในปีนี้เราก็ต้องกินแห้วครับ ดูเหมือนแผนการขัดแข้ง Altis เป็นต้องล่ม
   แต่สิ่งที่จะทำให้ 2 ค่ายยักษ์นี้ต้องสตั๊นกันเลยทีเดียวก็คือ Mazda 3 โฉมใหม่ที่ใครหลายคนรอคอย เปิดตัวเมื่อ 18 มี.ค. ที่ผ่านมา ที่ขอบอกว่ามีดีไซน์ที่หล่อเหลา เร้าใจกว่า 2 คันที่กล่าวมาเสียอีก งานนี้ Mazda ชูจุดเด่นด้วยเทคโนโลยีสกายแอ็คทีฟพร้อมทั้งระบบความปลอดภัยมากกว่าใคร ที่เห็นจะเด่นก็คือเครื่อง 2.0 ลิตร ที่ Mazda เคลมว่าประหยัดกว่าเดิม และยังเติม E85 ได้ด้วยบวกกับราคาที่เร้าใจ ทำให้ Mazda 3 โฉมใหม่แจ้งเกิดบนเวทีได้อย่างงดงาม ตอนนี้ Mazda นั่งนับกำไรชิลล์ๆแล้วครับ แต่รุ่นนี้ก็ไม่วายมีพวกช่างติมาคอมเม้นต์เรื่องรถคันนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตัดทอนของภายใน อาทิ แอร์อัตโนมัติที่ไม่เหมือนในตลาดโลก การตัดอุปกรณ์หลายอย่างในรถ รวมถึงระบบ i-Activesense ที่ติดมาให้ไม่ครบสูตร ซึ่งเรื่องพวกนี้ก็ไม่น่าใช่เรื่องน่าสนใจหรอกครับ ยังไงเราก็มาดูกันต่อไปว่า ค่ายไหนที่ได้ใจตลาดส่วนนี้ ซึ่งเราขอทำนายว่า Mazda ยอดขายขึ้นแน่นอน แต่ก็อาจจะยังรั้งท้าย Altis และ Civic จากค่าย Toyota และ Honda ที่มีเกมการตลาดที่แจ่มแมวกว่าใคร แต่ยังไงก็ต้องรอดูครับ
   เรามาว่ากันเรื่องตลาดรถซับคอมแพกต์หรือ B-Segment บ้างดีกว่าครับ ความร้อนแรงมันเริ่มขึ้นเมื่อวันที 23 ม.ค. อันเป็นวันที่ Honda City ที่เปิดตัวครั้งแรกในเมืองไทย หลังจากที่ได้กระแสกันตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย. 2013 ที่ผ่านมาแล้ว หลังจากการเปิดตัวที่อินเดียก่อนใครในโลก ซึ่งตอนแรกที่ผู้เขียนเห็นหน้าตาครั้งแรกต้องขอบอกว่าไม่ค่อยปลื้มกับรูปลักษณ์ที่ดูคล้ายของเดิมและเส้นสายดูไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ซึ่งตอนนั้นผู้เขียนยังคงเชียร์ Vios เต็มที่ แต่ 2 เดือนให้หลัง หลังจากที่ได้เห็นการเปิดตัวที่ประเทศไทยแล้ว ทำให้เปลี่ยนความคิดจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย จากที่เชียร์ Vios กลายเป็นเชียร์ City เต็มๆ เพราะงานนี้ไม่ผิดจากที่คาดไว้เลยว่ามันต้องจัดเต็มแน่ๆ เพราะก่อนหน้านี้มีรูปตารางออปชั่นหลุดออกมาแบบเต็มๆ ซึ่งหลังจากอ่านดูออปชั่นแล้ว รอคอยมาถึงวันเปิดตัวจริง ได้ศึกษาออปชั่นจริงจังขอบอกเลยว่า งานนี้ City เล่นจะกินหัว B-Segment ทั้งตลาดจริงๆ เพราะเล่นใส่ออปชั่นแบบไม่แคร์ใคร แถมตั้งราคาไว้สวย ที่ทำได้ก็เพราะอานิสงค์จากการทำเครื่องให้รับ E85 ซึ่งจะทำให้ตัวรถถูกลงด้วย นั่นทำให้ Honda เพิ่มของเล่นได้สบาย และที่น่าตกใจคือ "การนำม่านถุงลมมาใส่ในรถ B-Segment" แต่ไม่แปลกเท่าไหร่เพราะค่ายที่เอาม่านถุงลมนิรภัยมาใส่ใน B-Segment ใครบ้านเราก่อนคือ Ford Fiesta นั่นเอง แต่ยังไงก็ตามในรุ่น 1.0 ลิตร อีโค่บูสต์ที่มาใหม่ก็ไม่ได้ติดมาแล้ว แถมยังขายแพงกว่า พูดง่ายๆว่าตอนนี้ตลาด B-Segment ตอนนี้ City กินหมดแล้วครับ แน่นอนว่าค่ายที่เงิบที่สุดก็คือ Toyota ซึ่งต้องหาทางมาปั่นหัวแน่นอน และล่าสุดก็เพิ่งปล่อยตัว TRD Sportivo ที่ยัดของเพิ่มอีก แต่ดันนำรุ่น J ที่ไม่มี ABS EBA และ BA มา มาแบบง่อยๆแบบนี้ จะสู้ซิตี้ไหวเหรอ แต่ยังไงก็ตามเราก็เชื่อว่าก่อนไมเนอร์เชนจ์ ต้องมีการเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นซักอย่างกับ Vios แน่ๆ มาลุ้นกันครับ
    แน่นอนว่าการที่เกิดปรากฏการณ์ Honda City รบชนะ Toyota Vios ไม่ต่างจากการเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ทำให้เราหวนไปนึกถึงเมื่อปีที่แล้ว ปี 2013 ที่ผ่านมานั่นเอง แน่นอนว่า Honda ใช้วิชามารอัดสารพัดออปชั่น สารพัดของเล่นทันสมัยทั้งหลายลงไปในซีดานขนาดกลางของตนอย่าง Honda Accord และมากับรูปลักษณ์ที่หรูหราสวยงามลงตัว ทำให้ Honda กลายเป็นแชมป์รถยนต์นั่งจนได้ ถึงปีนี้ Honda ไม่ใช่แชมป์รถนั่ง แต่ยอดขายของ Accord ยังคงนำ Camry อยู่ดี 
     ก่อนอื่นๆเราขอเท้าความเมื่อปี 2012 ตอนที่ Toyota เปิดตัว Camry โฉมใหม่ครั้งแรก ซึ่งเรียกกระแสและคนกำลังจะซื้อรถแนวนี้ได้เป็นอย่างดี ด้วยหน้าตาและความสดใหม่ ทำให้ได้ใจใครหลายคนเลย แต่แล้ว 1 ปีให้หลัง Honda ได้ทำการเปิดตัว Accord และใช้มุขตลาดใหม่ โดยการอัดสารพัดออปชั่นและรองรับอะไรใหม่ๆได้หลายอย่าง และดูเหมือนแผนนี้จะสำเร็จกับทุกคันด้วย แน่นอนว่าหลังจากการเปิดตัว Accord ใหม่ตอนนั้น เราก็เริ่มเห็น Accord บ่อยขึ้นกว่าเดิม งานนี้ Toyota ต้องหงายเงิบเพราะความที่หวงกำไรสุดขึด ลดต้นทุนรถจนเกินควรไปหน่อย แม้แต่ม่านถุงลม ค่ายอื่นๆเขามีหมดแล้วตัวเองยังไม่มีให้ซักที ระบบความปลอดภัยก็ให้มาแบบไม่ค่อยครบ เช่นระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Toyota ให้แต่รุ่นบนๆ แต่ Accord มีให้ทุกรุ่น ล่าสุด Toyota ก็ได้ออกมาปรับออปชั่นและปรับปรุงรุ่น Extremo กระตุ้นตลาด แต่ก็ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้ และยังต้องเจอ Nissan Teana ที่ของเล่นพอๆกัน บอกเลยว่า Toyota รีบเข็มรุ่นไมเนอร์เชนจ์และใส่ออปชั่นให้ครบซะ อย่างกเกินไป
   แม้ว่าตลาดรถ B-Segment กับ D-Segment จะไม่เป็นใจกับ Toyota แน่นอนว่า Toyota ต้องได้เรียนรู้อะไรจากบทเรียนนี้แน่นอน แต่ตลาดอีโคคาร์หากลับเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อวงการอีโคคาร์ต้องสะเทือน เมื่อการต้อนรับน้องใหม่อีโคคาร์อย่าง Toyota Yaris ที่ทุกคนรอคอย แน่นอนว่าช่วงเม.ย. 2013 ปีที่แล้ว หลายคนคงได้เห็นหน้าตา Toyota Yaris ผ่านทางโลกโซเชียล ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงเวลาเปิดตัวครั้งแรกในงานปักกิ่ง มอเตอร์โชว์ 2013 ที่ผ่านมา ข่วงนั้น Suzuki กำลังเมามันกับการเก็บกวาดยอดขายของตลาดนี้ พอ Yaris ที่หลายคนรอคอยเปิดตัวนานแล้ว เปิดตัวในวันที่ 22 ต.ค. ก็สร้างความฮือฮาและความน่าสนใจแก่ประชาชนอย่างดี แน่นอนว่ามันต้องมีคนติและคนมองไปทางลบแน่นอน หลายคนบ่นกับหน้าตาของรถที่มาแนวคล้ายๆหนวด ทำให้หลายคนเรียกหน้าของมันว่า "หน้าปลาดุก" หรืออะไรต่างๆนานา ก็นับว่าเป็นฉายาที่ตลกดี ใครไม่ชอบไม่เป็นไร แต่ผู้เขียนชอบ แม้ว่ารถคันนี้มันใช้พื้นฐานจาก Vios แต่ดูไปดูมามันดีกว่า Vios ด้วยซ้ำ ของเล่นในรถ อุปกรณ์ความปลอดภัยนับว่าครบ ราคาก็ถือว่าใช้ได้ (หลายคนบ่นว่าแพง แต่อย่าลืมว่ามันลดทอนมาจาก Yaris ตัวเก่าเยอะ) ความน่าปลื่มอีกก็คือการใช้เครื่องใหม่ล่าสุด 1.2 ลิตร Dual VVT-i ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT รู้สึกดีที่ได้เห็นอะไรใหม่ๆบ้าง และแน่นอนหลังการเปิดตัว Yaris ก็ได้กระแสการตอบรับที่ท่วมท้น ด้วยยอดจองสะสมประมาณเดือนกว่าๆทำได้ประมาณ 8,000 คันและอาจจะถึงหมื่นในตอนนั้น แน่นอนว่ามันขายดีมาก จนตอนนี้ติดโผกลายเป็นอันดับหนึ่งอีโคคาร์เรียบร้อย ยอดขายต่อเดือนนับว่าเกินคาด แต่ละเดือนขายได้เฉลี่ย 4,000-5,000 กว่าคันเลยทีเดียว บอกเลยว่าส่วนหนึ่งเพราะมันมาแย่งจาก Vios ด้วย ไม่แปลกช่วงนี้เจอ Yaris เต็มถนนเลย ด้วยความที่หน้าตาที่ดูดี (หลายคนก็ให้ความเห็ยว่ามันอาจหล่อสุดในบรรดาอีโคคาร์ก็ว่าได้) พื้นที่ใช้สอยกว้างขวางอันเป็นจุดขายสำคัญ ไม่แปลกเลยเพราะช่วงนี้เจอ Yaris ใหม่ป้ายแดง ป้ายดำเพียบเลย
   หลังจากที่ร่ายยาวมามากพอแล้ว ต้องขอบอกว่าตลาดรถเก๋งปีนี้เป็นตลาดที่น่าติดตามครับ โดยเฉพาะคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง Toyota และ Honda ซึ่งเป็นคู่แข่งที่น่าจับตามองที่สุด โดยเฉพาะตลาดรถกลุ่ม B-Segment และ D-Segment ถือว่าเป็นตลาดที่น่าติดตาม เพราะ ตลาดนี้ Honda กำลังนำอยู่ ไม่แน่สักพักเราอาจได้เห็นความเคลื่อนไหวจากตลาด 2 กลุ่มนี้แน่ๆ และตลาดที่น่าสนใจอีก 1 ตลาดก็คือรถ C-Segment ที่ตอนนี้ Mazda 3 กลายเป็นซุปตาร์ของตลาดนี้แล้ว ตอนนี้ยอดจองพุ่งกระฉูดและยังขายดิบขายดีกว่า Mazda 3 ทุกโฉมเลยก็ว่าได้ แต่ยอดขายแม้อาจจะไม่เท่า 2 ยักษ์อย่าง Toyota และ Honda ที่กัดกันตลอดปี ยังไงก็ตามก็ยังน่าติดตาม ไม่แน่ว่า Mazda อาจจะแซงยอดขายของ Honda ไม่ก็ Toyota ซักวันหนึ่ง ใครจะรู้ ฉะนั้นยังไงเราก็ต้องติดตามกันต่อไปครับว่าตลาดเก๋ง ใครจะแน่กว่ากัน ใครจะอยู่ ใครจะไป
แนะนำ ติชม แสดงความคิดเห็น และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแฟนเพจ Cars New Update ที่นี่!!
 


วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557

Toyota Fortuner TRD Sportivo 2014 หล่อ หรู เท่แบบไม่เหมือนใคร

  ปี 2014 กลายเป็นปีที่ Isuzu MU-X ขึ้นนำเป็นอันดับ 1 ของตลาด PPV มาได้ ด้วยความสดใหม่และความไว้วางใจในตัวแบรนด์ รวมทั้งหลายคนที่รอคอยการมาของมัน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นตัวผลักดันยอดขาย หลังจากเสียแชมป์ให้ Toyota Fortuner มาช้านาน ดังนั้นค่าย Toyota คงจะนิ่งดูดายไม่ได้ ส่ง Toyota Fortuner TRD Sportivo รุ่นใหม่ล่าสุดปี 2014 ลงตลาด
   ซึงตัวรถก็ได้รับการเปิดตัวที่ Bangkok Motor Show 2014 ไปแล้วเรียบร้อย และล่าสุดไม่กี่วัน ก็ได้ปล่อยโฆษณาของ Toyota Fortuner TRD Sportivo โดยมีดาราชายอย่าง ชาคริต แย้มนามเป็นพรีเซนเตอร์ด้วยครับ

    การเปลี่ยนแปลงหลักๆจากรุ่นเดิม หลังจากที่เขียนคิ้วทาปากใหม่ให้กับโฉม TRD ด้วยกระจังหน้าใหม่สีเดียวกับตัวรถพร้อมสัญลักษณ์ TRD บนกระจังหน้า มาพร้อมสเกิร์ตทรงโฉบเฉี่ยวรอบคัน เสริมความหล่อให้รถคันนี้ไม่น้อยเลย มีไฟส่องสว่างกลางวัน LED Daytime Running Light สติกเกอร์ลายคาร์บอนเคฟลาร์ พร้อมบันไดข้าง TRD Sportivo ล้ออัลลอยลายใหม่ดุดันกว่าเดิมขนาด 18 นิ้ว สปอยเลอร์หลังดีไซน์สปอร์ตพร้อมโลโก้ TRD Sportivo บนฝาท้ายครับ
   ภายในของรถตกแต่งด้วยความหรูหราน่าใช้และน่าสัมผัสกว่าเดิม คมเข้มด้วยภายในสีดำทั้งคัน มาพร้อมพวงมาลัยหุ้มหนังสลับลายคาร์บอนเคฟลาร์เดินตะเข็บแดง เบาะหนังและหนังสังเคราะห์สีดำลายคาร์บอน เคฟลาร์ พร้อมสัญลักษณ์ TRD แผงประตูลายคาร์บอนเคฟลาร์ หัวเกียร์หุ้มหนังเย็บตะเข็บด้ายแดง และระบบอินโฟเทนเมนต์ที่ติดตั้งมากับตัวรถก็คือ หน้าจอสัมผัสเครื่องเล่น DVD ขนาด 7 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Smart G-Book รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ USB AUX  HDMI และ Bluetooth พร้อมรีโมทคอนโทรล จอ LCD หลังรถขนาด 10.1 นิ้ว
   สำหรับเครื่องยนต์นั้นไม่ต้องพูดถึงมาก ยังคงไว้ซึ่มขุมพลังเดิม เครื่องยนต์ดีเซล 1KD-FTV ขนาด 3.0 ลิตร มากับพละกำลัง 171 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 360 นิวตัน-เมตรที่ 1,400-3,200 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ระบบขับเคลื่อนเป็นแบบ 4 ล้อแบบ Full-Time
   ระบบความปลอดภัยของรถก็นับว่าจัดมาครบ มาพร้อมระบบเบรก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBA ระบบเสริมแรงเบรก BA ระบบควบคุมการทรงตัว VSC ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC กล้องมองหลัง โครงสร้างนิรภัย GOA ถุงลมเสริมความปลอดภัยคู่หน้า SRS คานเหล็กนิรภัยกันกระแทกด้านข้าง ไฟส่องสว่างกลางวันแบบ LED
   สำหรับค่าตัวของ Toyota Fortuner TRD Sportivo รุ่นใหม่ล่าสุดปี 2014 มากับค่าตัวที่หลายคนต้องบอกว่าแพงเว่อร์ กับป้ายราคา 1,561,000 บาท รถปลายอายุตลาดแพงขนาดนี้เลยหรือ? ไม่แปลกครับ เพราะเล่นจัดเต็มตั้งแต่หน้าจรดท้าย รวมถึงภายในด้วย ใครที่ใจรักจริงๆ คงยอมทุ่มเงินกับเจ้าคันนี้แน่นอน
   สำหรับใครที่รอคอย Toyota Fortuner โฉมใหม่ คาดว่าเราน่าจะได้เห็นในช่วงปี 2015-2016 ครับ ใครที่รอคอยโฉมใหม่ของ PPV รายนี้ คงต้องนอนรอกันหน่อย
แนะนำ ติชม แสดงความคิดเห็น และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแฟนเพจ Cars New Update ที่นี่!!
 


เต็มตา! ครั้งแรกกับภาพแอบถ่าย All-New Ford Everest ใกล้เคียงรุ่นโปรดักชั่น พ่วง Ford Ranger Minor Change ด้วย

  ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าช่วงปี 2014-2015 เป็นต้นไปจะเป็นปีที่ตลาดกระบะคึกคักและฟีเวอร์สุดๆ เพราะจะมีทัพกระบะใหม่จ่อเปิดตัวเพียบ โดยเฉพาะปี 2015 ที่จะมีรถกระบะดัดแปลงใหม่ออกมาหลายรุ่น ซึ่งรวมไปถึง All-New Ford Everest ใหม่ใครหลายคนรอคอย ซึ่งมันใช้พื้นฐานของ Ford Ranger T6 สุดหล่อขวัญใจชาวกระบะนั่นเอง
   ล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ก็มีตากล้องที่ออสเตรเลียจับภาพถ่ายของรถที่มองดูสัดส่วนแล้วรู้เลยว่ามันคือ Ford Everest โฉมใหม่กำลังทดสอบอยู่แน่นอน โดยตัวรถพรางด้วยสติ๊กเกอร์เต็มคันรถ
   ดูจากรูปลักษณ์แล้วก็รู้เลยว่ามันไม่ใช่การทดสอบแบบ Test Mule (เอาตัวถังรถรุ่นอื่นมาครอบ) แต่เป็นการนำตัวรถจริงที่ใกล้เข้าสู่สายผลิตในอนาคตข้างหน้า (Pre-Production) มาทดสอบแล้ว ซึ่งทำให้เราสามารถมองสัดส่วนรถได้ชัดเจน
   มีลายพรางก็ช่วยปกปิดอะไรไม่ได้ ดูจากสายตาข้ามลายพรางก็รู้เลยว่า Ford Everest โฉมใหม่จะมีรูปแบบที่แทบจะเรียกว่าถอดแบบจากคันต้นแบบแทบจะทั้งคันกันเลยทีเดียว ไม่ต่างจาก Ford Everest Concept ตัวที่นำมาโชว์ที่งาน Bangkok Motor Show 2014 ที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะมีการปรับรายละเอียดนิดหน่อยบ้าง แต่ยังไงก็ตามไม่น่าทิ้งรูปลักษณ์แบบคันต้นแบบแน่ๆ 
   โดยรูปลักษณ์ก็จะมาแนวหล่อ บึกบัน สมบุกสมบันรอบคันเหมือนตัวกระบะ มากับเส้นสายที่ทันสมัย ดึงดูดทุกสายตาให้เหลียวมองรถคันนี้ และแน่นอนล้อแม็กนั้นต้องมีการออกแบบใหม่ให้แตกต่างจาก ขอบอกได้เลยว่าหากโฉมจริงเปิดผ้าคลุมเมื่อไหร่ มันต้องสวยโดนใจแน่นอน
   ด้านเครื่องยนต์ก็น่าจะยกเครื่องจากตัวกระบะทั้งหมด ซึ่งก็มีเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร 150 แรงม้า ตามด้วยเครื่อง 3.2 ลิตร 200 แรงม้า และไม่แน่อาจจะมีเครื่องเบนซิน 2.5 ลิตร 166 แรงม้าประกบติดมาด้วย ยังไงก็รอดูกันครับ ซึ่งการเปิดตัวในตลาดโลก อาจมีการเผยโฉมในช่วงใดช่วงหนึ่งของปีนี้ก็เป็นได้ ส่วนในประเทศไทยคาดว่าจะมีในช่วงปี 2015 ครับ
    นอกจากนี้ ทางตากล้องออสซี่ก็ยังจับภาพ Ford Ranger Minor Change T6 ที่ตามมาติดๆเลย ซึ่งพรางหน้ามิดชิด ซึ่งหลายคนก็เดาว่าหน้าตาอาจจะเปลี่ยนไปในแนวคล้าย Ford Everest ตัวใหม่ก็ได้ แต่อาจจะปรับเส้นสายหน้าตาของรถให้ดูแข็งแรง และดูอเมริกันกว่านี้ ซึ่งใครเดาหน้าตาไม่ได้ ก็ลองดูรูปตัดต่อจากทางเว็บไซด์ต่างประเทศดูครับ น่าจะใกล้เคียงที่สุดละครับ
    ซึ่งการเปิดตัวในตลาดโลกไม่แน่ปีนี้อาจจะได้เห็น ส่วนในเมืองไทยเจอกันปี 2015 เลยครับ
Credit www.goauto.com.au indianautosblog.com http://www.autosblog.com.ar/และ http://mzcrazycarsallnewfordeveres.blogspot.com/
แนะนำ ติชม แสดงความคิดเห็น และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแฟนเพจ Cars New Update ที่นี่!!
 


วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2557

เจาะลึก 10 ค่ายผู้เข้าร่วมอีโคคาร์เฟส 2 หวยจะออกที่รุ่นไหนกันบ้าง?

  เป็นอีกโปรเจกต์ของทางค่ายรถยนต์และ BOI ซึ่งเป็นที่น่าจับตามองและน่าติดตาม สำหรับโครงการ Eco Car Phase 2 ซึ่งก็อย่างที่ใครๆหลายคนก็รู้กันดีแล้วว่า ณ ตอนนี้มีค่ายรถ 10 ค่าย ที่จ่อเข้าร่วมและยื่นเรื่องเรียบร้อยเมื่อก่อนสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ก็จะมี Toyota,Honda,Nissan,Mitsubishi,Suzuki,Chevrolet,Mazda,Ford,Volkswagen และ SAIC ซึ่งใครอยากจะทราบรายละเอียดและที่มาที่ไปของโครงการนี้สามารถไปอ่านได้ตามนี้เลยครับ เจาะลึกเกี่ยวกับอีโคคาร์ เฟส 2 คืออะไร? มีที่มาที่ไปอย่างไร? ไปดูกัน คลิก!!!
   ซึ่งเราก็น่าจะรู้กันดีอยู่แล้วว่าใน 10 ค่ายนี้ต้องมีบางค่ายที่จะต้องอยู่พัฒนาสานต่อโปรเจกต์นี้ และต้องมีบางค่ายที่ทาง BOI ไม่อนุมัติให้ไปต่อ แต่ยังไงก็ตามเราจะมาเกาเรื่องนี้ให้หลายคนหายสงสัยกันครับ ซึ่งสิ่งที่หลายคนอยากรู้ก็คือว่า รถรุ่นไหนจากค่ายใด จะได้เป็นหนึ่งในรถที่เข้าร่วมโครงการอีโคคาร์เฟส 2 ซึ่งเราก็ยังไม่รู้หรอกว่าจะมีรุ่นไหนบ้าง แต่ทางผู้เขียนจึงได้คัดสรรและมองดูรถที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะกลายเป็นอีโคคาร์เฟส 2 ที่น่าจะได้เห็นการเปิดตัวในช่วง 1-3 ปีต่อจากนี้เป็นต้นไป มาลองดูกันเล่นๆครับ
Toyota
   ค่ายพี่ใหญ่ Toyota หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับ Yaris ไปแล้วเรียบร้อย แน่นอนว่ายังไง Toyota ต้องสานต่อความสำเร็จด้วยการเข้าร่วมโครงการอีโคคาร์เฟส 2 อยู่แล้ว และรุ่นที่เราคาดการณ์ว่ามันน่าจะมาเป็น Eco Car Phase 2 ก็น่าจะเป็น Toyota Etios เอ๊ย!!!! ชื่อนี้มันคือรถเล็กกากๆทีขายอินตะระเดัยไม่ใช่หรือ? อย่าเพิ่งโวยวายดราม่าไปมากกว่านี้ครับ เนื่องด้วย Etios รุ่นปัจจุบันก็ใกล้เข้าวาระแห่งการเปลี่ยนโฉมแล้ว ซึ่งไม่แน่ว่าโฉมใหม่นั้น ทาง Toyota จะออกแบบและพัฒนารถให้ดีขึ้นและมาตรฐานที่สูงขึ้นเพื่อเจาะตลาดให้กว้างขวางกว่าเดิม (ไม่ใช่อย่างในรูป คันนี้ตัวเก่าครับ) ซึ่งขุมพลังไม่แน่ว่าอาจจะเอาขุมพลังชุดใหม่ที่ทาง Toyota เพิ่งเปิดตัวเมื่อไม่นานมานี้ อาจจะนำขุมพลังพวกนี้มาใส่ด้วย โดยกำหนดการเปลี่ยนโฉมของ Etios น่าจะมีขึ้นในอินเดียช่วงปี 2015-2016 หาก Toyota ได้รับไฟเขียวจาก BOI เมื่อไหร่อีก 2-3 ปีข้างหน้าเตรียมเก็บตังค์รอไว้เลย
Honda
   ค่าย Honda ถูกล้มกระดานทั้ง 2 โต๊ะ หลังจาก Honda Brio และ Brio Amaze ไปไม่ถึงฝั่งฝัน ด้วยยอดขายต่อเดือนไม่ถึงพันทั้งสองรุ่นเลย คงจะเป็นเพราะหน้าตาที่ออกแบบดูขี้เหร่สุดๆ และท้ายที่สุดแสนจะเกินบรรยาย กลายเป็นรถอีโคคาร์คันบ๊วยของตลาด ทั้งๆที่อยู่ในค่ายรถเก๋งเจ๋งๆอย่าง Honda ทั้งนี้ต้องแสดงความสงสารกับ Brio ที่ออกมาช่วงญี่ปุ่นเจอสึนามิพอดี และเจอน้ำท่วมปลายปีอีก กว่าจะกลับมาเต็มกำลัง ก็โดนค่ายอื่นๆสอยไปหมดแล้ว คิดดูว่ามันแย่ขนาดไหนครับ ยอดขายของ 2 อีโคคาร์จาก Honda รวมแล้วยังไม่ถึงครึ่งของ Toyota Yaris หรือ Suzuki Swift 1 คันด้วยซ้ำ ซึ่งตอนนี้เราก็ไม่รู้ Honda จะเอาไงกะมัน แต่อย่างไรก็ตาม Honda ก็ยังฮึดสู้เข้าร่วมโครงการ ซึ่งดูจากรถที่จำหน่ายทั่วโลกยังไม่มีรุ่นไหนเข้าข่ายจะเป็น Eco Car Phase 2 เลย (ไม่นับรถ Kei-Car ในญี่ปุ่นครับ ของพวกนั้นเจแปนออนลี่อยู่แล้ว) ฉะนั้นสิ่งที่ Honda ต้องทำหากได้รับอนุมัติคือ "พัฒนารถใหม่" เลย ซึ่งผู้เขียนคิดว่างานนี้ Honda น่าจะเก็บนำเอาความผิดพลาดจาก Brio 2 ตัวถัง นำมาปรับปรุงและพัฒนาอีโคคาร์รุ่นใหม่ให้มีประสิทธิภาพและสามารถต่อรองกับคู่แข่งได้สมน้ำสมเนื้อกว่าเดิม ซึ่งอีก 2-3 ปีน่าจะได้ชมกันครับ
Nissan
   ค่าย Nissan ถือว่าได้ประสบความสำเร็จกับอีโคคาร์ 2 คันอย่าง March และ Almera แม้ช่วงหลังจะเริ่มแผ่วๆลงเพราะมีคู่แข่งมากอบโกยยอดขายออกไป แต่หลายๆคนก็ยังนึกถึงมันเมื่อเอ่ยถึงอีโคคาร์ และหลังจากเฟสแรกผ่านไปได้สวน แน่นอนว่า Nissan ต้องเอาต่อกับเฟส 2 แน่นอน ซึ่งเราก็กำลังคิดอยู่ว่า Nissan มันจะเอารุ่นอะไรมาต่อยอดเป็นอีโคคาร์ 2 ซึ่งหวยก็มาลงกับ Datsun Go ซึ่งดูเหมือนจะเป็นรถเล็กรุ่นล่าสุดของ Nissan เพียงไม่กี่รุ่น ซึ่งไม่แน่ว่า Nissan อาจจะเอาตัวถังของ Go มาปรับหน้าใหม่และปรับปรุงตัวรถให้เข้ากับโครงการ Eco Car Phase 2 ก็ได้ เพราะจะได้ไม่สิ้นเปลืองต้นทุนในการพัฒนารถใหม่อีก แต่อีกทางเลือกหนึ่งคือ Nissan อาจจะพัฒนารถใหม่ออกมาเลย ซึ่งในช่วง 2-3 ปีต่อจากนี้ เราน่าจะได้คำตอบจาก Nissan ครับ 
Mitsubishi
   ตอนแรกก็ลังเลกับโครงการนี้ แต่ก็อย่างที่บอกว่าค่ายที่เรานำเสนอ ณ บทความนี้ ก็ต่างยื่นเรื่องเข้าไปเรียบร้อย สำหรับค่าย Mitsubishi ที่ถือว่าได้ฟีดแบ็คที่ค่อนข้างดีพอสมควรกับ 2 อีโคคาร์อย่าง Mirage และ Attrage ซึ่งก็ขายได้เรื่อยๆ ยอดขายก็ยังคงที่ไม่ขึ้นมากไม่ลงมาก หากพูดถึงรถที่ Mitsubishi จะเอามาทำอีโคคาร์ 2 ขอบอกว่า "ต้องพัฒนาใหม่" เลยครับ เพราะ ผู้เขียนก็เห็นรถเล็กของ Mitsubishi ไม่กี่รุ่น (ไม่นับ Kei-Car ของญี่ปุ่น อย่างที่บอกข้างบนแล้วนะครับ) ซึ่งการพัฒนาก็ต้องใช้เวลาซัก 2-3 ปี ซึ่งหากทาง BOI ไฟเขียวให้ Mitsubishi ผลิตรถอีโคคาร์เฟส 2 ก็ละ คาดว่าช่วงปี 2016-2017 น่าจะเปิดตัวสู่สายตาชาวไทยครับ
Suzuki
   ประสบความสำเร็จกับ Suzuki Swift เป็นที่เรียบร้อย หลังจากที่ตีตั๋วเด็กเป็นอีโคคาร์ ซึ่งการเปิดตัวแรกๆนั้นก็สร้างปรากฏการณ์รอส่งมอบกันข้ามปีเลยทีเดียว ของดีก็อย่างนี้หละครับ ซึ่งก็เป็นสุดยอดอีโคคาร์ที่ใครๆหลายคนมองหามากที่สุด หากใครกำลังจะซื้ออีโคคาร์ ชื่อ Swift ต้องมาอยู่ในหัวแน่นอน ล่าสุดหลังจาก Swift ประสบความสำเร็จ ก็ได้ส่งรุ่นน้องอย่าง Celerio มาสานต่อความสำเร็จอีกคันหนึ่ง และในปี 2015 Suzuki ก็จะส่งอีโคคาร์ซีดานอย่าง Ciaz ออกมาอีก แน่นอนว่ารถพวกนี้จะต้องสร้างกำไรให้ค่ายมหาศาลแน่ครับ  สำหรับโครงการอีโคคาร์เฟส 2 คาดว่า Suzuki ก็คงจะพัฒนารถใหม่เหมือนค่ายอื่นๆหลายค่ายที่จะต้องทำแบบนี้ด้วย หากลองมองรถเล็กที่ทำตลาดในตลาดอินเดีย มองดู Suzuki หลายคันในประเทศนั้น ไม่ค่อยมีคันไหนเข้าตา เช่น Suzuki Alto 800 สุดยอดความกากเลย เชื่อว่าเมืองไทยไม่เอามาแน่ เชื่อเลย พัฒนาใหม่อย่างเดียว
Chevrolet
    ครั้งแรกของค่ายโบว์ไทน์ที่ร่วมหอลงโรงกับโครงการนี้ด้วย แน่นอนว่าตลาดรถเล็กแนวนี้เดือดแน่ถ้ามีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาด้วย ซึ่ง Chevrolet จะเอารถไหนเข้ามาทำตลาดภายใต้โครงการนี้ มีหลายคนมองไปที่ Chevrolet Spark รถเล็กที่ทำตลาดแถบยุโรป ซึ่งตอนนี้โฉมปัจจุปัน (ในรูป) ก็กำลังจะหมดอายุขัยแล้ว แล้วกำลังจะแทนที่ด้วยโฉมใหม่ที่ทำการทดสอบอยู่ ซึ่งการเปิดตัวในตลาดโลกคาดว่าจะเป็นช่วงปี 2015 ประจวบเหมาะเจาะ หาก Chevrolet ได้ไฟเขียวอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ คาดว่าช่วงปี 2015-2016 น่าจะได้เห็นครับ
Mazda
   ค่ายนี้น่าสนใจเหมือนกัน ตอนนี้เราอยากจับตาความเคลื่อนไหวค่ายนี้มาก หลังๆมาทำรถได้สวยถูกใจเราจริงๆ โดยเฉพาะ Mazda 3 ตัวล่าสุดที่มัดใจคนไทยทั่วประเทศแล้ว ซึ่งมันแน่หากค่ายนี้มาลงเล่นอีโคคาร์ 2 ด้วย ซึ่งตอนแรกเราก็ได้ยินข่าวลือว่า Mazda 2 โฉมใหม่จะถูกลดตัวมาเป็นอีโคคาร์เฟส 2 ซึ่งก็ไม่ได้ความจริงครับ Mazda 2 โฉมใหม่ยังคงแข่งกับ Honda Jazz และ Ford Fiesta เช่นเคย ซึ่งแน่นอนว่าหาก Mazda ได้รับไฟเขียว ก็ต้องไปซุ่มพัฒนารถใหม่แน่นอน ซึ่งหน้าตาและชื่อทำตลาดจะใช้ว่าอะไรก็ต้องรอดูระยะยาม ส่วนเทคโนโลยี SkyActiv ต้องมีมาให้แน่นอน ดังนั้นต้องเฝ้ารอต่อไปครับ
Ford
   ค่ายนี้เป็นอีกค่ายที่ร่วมสังเวียนอีโคคาร์เฟส 2 บอกเลยว่ามันแน่นอน ซึ่งถ้าเรามาลองมองดูรถเล็กในค่าย ไม่ต้องมองให้ยากเลยครับ หลายคนที่คิดว่า Ford จะเอารุ่นไหนมาทำอีโคคาร์เฟส 2 คิดถึงมันแน่ มันก็คือ Ford Ka นั่นเอง รถต้นแบบเพิ่งเผยโฉมสู่ชาวโลกไม่นานมานี้ ก็พอให้เราเดาได้ว่าอีโคคาร์เฟส 2 ต้องเป็นคันนี้แน่ๆ นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชั่นซีดานอีกคันที่ชื่อว่า Ford Figo ซึ่งทั้งหมดนี้น่าจะมาให้เราได้เห็นช่วงปี 2015-2016 หาก Ford ได้ไฟเขียวโครงการนะครับ
Volkswagen
   ขอบอกเลยว่าได้ยินชื่อค่ายนี้ ผู้เขียนยังเงิบเลยครับ ค่ายใหญ่อย่าง VW จะลงมาเล่นตลาดนี้ด้วย ซึ่งช่วงนี่เราก็ได้ยินข่าวลือบ้างว่าค่าย VW จะมาตั้งโรงงานประกอบรถในเมืองไทย ซึ่งว่ากันว่าจะเป็นโรงงานแรกในเอเชียอาคเนย์เลยก็ว่าได้ ซึ่งโรงงานนี้จะทำการประกอบรถเล็กรุ่นใหม่ และรุ่นอื่นๆ ซึ่งหาก VW มาตั้งโรงงานและมาจำหน่ายรถด้วยตัวเองก็น่าจะดีครับ เพราะหลายคนคงทนไม่ไหวกับตัวแทนจำหน่ายปัจจุบันกับยนตรกิจ (หรือ ยนตะกละ ยนตะกวด แล้วแต่ใครจะเรียกครับ) ซึ่งน่าจะมีจุดยืนในการตลาดที่ดีกว่านี้ ซึ่งพูดถึงรถเล็ก เรามองไปที่ VW Up! รถเล็กขายดีในยุโรปทันที ซึ่งมันก็ดูมีราศีกว่าใครพอสมควร หากว่ามันกลายเป็นรถเล็กภายใต้โครงการอีโคคาร์เฟส 2 จริงและมากับราคาพอๆกับรถญี่ปุ่น บอกได้เลยว่ามันครับ และแน่นอนบางคนก็ยังเหลียวไปที่ VW Jetta ด้วย และอาจมีความเป็นไปได้อีกอย่างคือ VW อาจจะพัฒนารถใหม่เลย ซึ่งตอนนี้ทางค่ายก็กำลังพัฒนารถ Low-Cost เจาะตลาดเกิดใหม่ ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่า หาก VW ได้ไฟเขียวโครงการนี้ บางทีรถเล็กดังกล่าวอาจมาขายในไทยก็ได้ ซึ่งเราก็ต้องเฝ้าดูในระยะยาวครับ
SAIC
   ดูเหมือนผู้เล่นรายใหม่อย่าง SAIC ที่มาลงทุนในไทยร่วมกับ CP ประเทศไทย จะคิดการณ์ใหญ่เสียแล้ว ดูเหมือนว่ารายนี้จะมีความสนใจโครงการนี้ด้วย ซึ่งก็ต้องศึกษากันในระยะยาว แต่แน่นอนที่สุด ค่ายนี้จะต้องพัฒนารถเล็กรุ่นใหม่ (จะได้ไม่ทับกับ MG3 Xross ซึ่งมีแผนจะมาขายในไทยเช่นกัน เห็นรถวิ่งทดสอบอยู่) หากได้รับการอนุมัติเข้าโครงการ ซึ่งยังไงก็ต้องรอดูฟีดแบ็คของ MG6 เสียก่อนว่าจะรอดมั้ย ก่อนจะไปทำรถเล็ก
   ทั้งหมดนี้ก็คือรถเล็กที่เราคาดการณ์ว่าทางค่ายรถยนต์ใหญ่ทั้ง 10 อาจจะเอามาเปิดตัวหากได้รับไฟเขียวจากทางรัฐบาลและ BOI ในการผลิตรถเพื่อโครงการนี้ ซึ่งที่จริงผู้เขียนก็อยากให้ผลิตทุกค่ายเลย เพราะจะได้มีทางเลือกเยอะๆ ซึ่งแน่นอนมหากาพย์เรื่องนี้ยังมีตอนต่อไปให้ติดตามอีกเพียบ ชมกันต่อไปครับ!
(ปล.ขอเตือนไว้ก่อนว่า ภาพบางภาพที่ทุกท่านเห็นเป็นภาพที่ใช้ประกอบบทความเท่านั้น ซึ่งบางภาพไม่ใช่รถที่จะกลายเป็นรถอีโคคาร์เฟส 2 แต่อย่างใด แน่นอนว่าอาจมีคนเข้าใจผิดแน่ๆ เลยขอเตือนไว้ก่อนครับ)
แนะนำ ติชม แสดงความคิดเห็น และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแฟนเพจ Cars New Update ที่นี่!!
 


วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2557

Nissan โชว์นวัตกรรมสีแบบใหม่ เอาใจคนขี้เกียจล้างรถ

  อยากจะถามตรงๆเลยนะครับว่า ช่วงหลังสงกรานต์ที่ผ่านมามีใครยอมรับบ้างว่า ยังไม่ได้ล้างรถบ้างครับ ทุกวันนี้บนถนนผู้เขียนยังเห็นรถบนถนนหลายคันยังมีรอยแป้งติดอยู่หลายคันเลยครับ อยากรู้จังว่าเจ้าของขี้เกียจหรือไม่มีเวลากันแน่ (ไม่ได้ว่าท่านผู้อ่านนะครับ) 
   ล่าสุดเราเลยว่าพามาชมนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของ Nissan ที่จะทำให้เราไม่ต้องเหนื่อยกับการล้างรถบ่อยๆ นั่นก็คือ นวัตกรรมสีตัวถังแบบใหม่ของ Nissan นั่นเองครับ
   โดยเทคโนโลยีสีแบบใหม่นี้ Nissan เราขอเรียกว่า Ultra-Ever Dry ซึ่งเป็นนวัตกรรมสีรถแบบใหม่ล่าสุด ซึ่งใช้เทคโนโลยีแบบนาโน ส่งผลให้ขี้ดิน ฝุ่นละอองต่างๆ ไม่เกาะบนตัวถังรถ โดย Nissan ได้จับเอา Note มาเป็นหนูทดลองในการทดสอบและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นเทพนี้ โดยได้ทำการทดสอบอยู่ที่ศูนย์เทคนิคของทางฝั่งยุโรป
   โฆษกของทาง Nissan ได้อธิบายว่า สีไล่คราบที่ว่านี้ มีชั้นอากาศที่สร้างขึ้นมาระหว่างสีตัวถังและสภาพแวดล้อมภายนอก ส่งผลให่สามารถป้องกันสีตัวถังจากสภาพแวดล้อม ทำให้น้ำและฝุ่นละลองต่างๆ ไม่เกาะตัวเป็นรอยเปื้อนบนพื้นผิวของรถ แน่นอนว่ามันต้องถูกใจใครต่อใครที่ขี้เกียจล้างรถเป็นแน่นอน
   นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งฟังก์ชั่น “ล้างและเป่าแห้ง” ที่กล้องมองหลัง โดยจะใช้น้ำและลมล้างฝุ่นออกจากเลนส์กล้อง เพื่อให้เซ็นเซอร์สามารถทำงานได้ในทุกสภาพเท่าที่ทดสอบมา โดยสีเคลือบดังกล่าวสามารถใช้ได้ผลดีในสภาพการใช้งานปกติ เช่น เมื่อเจอน้ำฝน ละออง ฝ้าน้ำแข็ง หรือน้ำเลยทีเดียวครับ
แนะนำ ติชม แสดงความคิดเห็น และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแฟนเพจ Cars New Update ที่นี่!!
 


เปรี้ยงปร้างกว่าที่คิด BMW สั่งเพิ่มการผลิต BMW i3 หลังยอดขาดกระฉูด

 ดูเหมือนว่าตระกูลรถพลังงานไฟฟ้าและ Plug-In Hybrid ของตระกูล i ใน BMW จะไปได้สวยทั้งสองคันเลย โดยเฉพาะ BMW i8 ที่หล่อได้ใจเศรษฐีไทยหลายคน คว้ายอดจองไป 20 กว่าคัน มากกว่าค่ายเล็กที่ทำรถราคาถูกบางค่ายอีก เห็นว่าการส่งมอบรถต้องรอกันไปถึงปีหน้ากันเลยทีเดียว แหม! ของเท่ๆ แบบนี้ ชายไทยอย่างเราหลายคนก็อยากได้ขับมาอวดสาวละครับ
   มาดูข่าวของรถพลังงานไฟฟ้ารุ่นเล็กอย่าง BMW i3 เสียบ้างที่ล่าสุดประสบความสำเร็จแบบท่วมท้น มาพร้อมความต้องการของลูกค้าที่มากกว่าที่คาดไว้ ไม่แพ้ซูเปอร์คาร์ไฮบริดอย่าง i8 เลย ส่งผลให้โรงงาน Leipzig ที่ทำการผลิต BMW i3 ต้องเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นไปอีกถึง 43% กันเลยทีเดียว นั่นแปลว่าเดี๋ยวนี้ชาวยุโรปรักษ์โลกหันมาเล่นรถพลังงานไฟฟ้ากันแล้ว ไม่เหมือนบ้านเราที่ยังไม่มีการสนับสนุนเรื่องนี้เท่าไหร่ ที่เสียบปลั๊กชาร์จยังแทบไม่มีด้วยซ้ำ
   โดยโรงงาน Leipzig ต้องขยายการผลิตจาก 70 คันเป็น 100 คันต่อวัน และเมื่อต้นปีที่ผ่านมาก็ได้ทำการประกอบไปแล้วกว่า 5,000 คัน หากว่าทาง BMW ผลิตรถ i3 ด้วยอัตราคงที่แบบนี้ไปตลอดจะส่งผลให้ยอดรวมการผลิตรุ่นนี้ทั้งปีมากกว่า 20,000 คันกันเลยทีเดียว ซึ่งจะเกินจากเป้าที่ BMW ตั้งไว้ 2 เท่าตัวเลยละครับ
   นอกจากนี้ทาง BMW มีแผนที่จะรุกตลาดรถพลังงานไฟฟ้าในอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด โดยทาง BMW ได้เปิดสายการผลิตตั้งแต่เดือน พ.ย. 2013 ไปแล้ว ส่วนสปอร์ตคาร์พลังงานไฮบริดอย่าง BMW i8 นั้นจะเริ่มส่งมอบในตลาดยุโรปตั้งแต่ มิ.ย. ปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งทั้งสองรุ่นใช้โครงสร้างคาร์บอรไฟเบอร์น้ำหนักเบา ส่งผลให้ประหยัดเชื้อเพลิงด้วย
   ค่าตัวของ BMW i3 ในอเมริกาเริ่มที่ 41,359 เหรียญสหรัฐฯสำหรับรุ่นพลังไฟฟ้า และราคา 45,200 เหรียญฯที่จะได้เครื่องยนต์ขนาดเล็กเพิ่มเพื่อขยายพิสัยการวิ่ง ราคานี้ยังไม่มีหักค่าสนับสนุนจากรัฐบาลอเมริกาเลย ซึ่งหากรัฐบาลอเมริกาสนับสนุนจะส่งผลให้ค่าตัวถูกลงพอสมควร 
   ส่วนไทยนะเหรอ โอกาสนำเข้ายังไม่มีเพราะว่า รัฐบาลยังไม่มีการสนับสนุนเรื่องรถพลังงานไฟฟ้าเลย ก็มีแต่ Nissan Leaf และรถจีนอีกคัน BYD E6 ของกระทรวงพลังงานที่วิ่งทดสอบเล่นเท่านั้นแหละ แล้วอีกอย่างที่เสียบปลั๊กชาร์จในเมืองไทยก็ยังไม่แพร่หลายมาก (เรียกง่ายๆ เหมือนจะไม่มีเลย) ฉะนั้นเราก็คงต้องมองชาวยุโรปที่ใช้ของดีๆแบบนี้ต่อไป
แนะนำ ติชม แสดงความคิดเห็น และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแฟนเพจ Cars New Update ที่นี่!!
 


Toyota Vios TRD Sportivo 2014 พื้นฐานรุ่น J หล่อขึ้น ของเล่นเพิ่มขึ้น ในราคา 669,000 บาท

   ท่ามกลางการแข่งขันอันดุเดือดของตลาดรถเก๋ง โดยเฉพาะรถขนาดซับคอมแพกต์หรือ B-Segment ที่ตอนนี้ Honda กำลังยึดครองตลาดอยู่ หลังจากที่ไม่ผิดคาดเลยกับการตีหัวค่ายอื่นแซงหน้ากลายเป็นที่ 1 ตลาดกลุ่มนี้จนได้ ด้วยการใช้ออปชั่นและของเล่นในรถเป็นอาวุธสำคัญที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้ออย่างไม่ยากเลย ซึ่งแน่นอนว่าคู่ปรับตลอดกาลอย่าง Toyota Vios ต้องออกมาเคลื่อนไหวกันซักหน่อย เพื่อไม่ให้เสียยอดขายไปมากกว่านี้
   ล่าสุด ที่งานมอเตอร์โชว์ 2014 ที่ผ่านมา Toyota ได้ทำการเผยโฉม Vios TRD Sportivo โดยมีเหตุผลแบบหล่อๆสไตล์พี๋โตว่า "หลังจากประสบความสำเร็จกับยอดขายของ Vios จึงส่งรุ่น TRD Sportivo มาต่อยอดความสำเร็จ" แต่ประเด็นหลักจริงๆ คือ มันทำมาขัดขา City ไงละครับผม
   ซึ่งอันที่จริงมันก็เป็นตามธรรมเนียมของ Toyota ที่หลังจาก 1 ปีเป็นอย่างช้าของการขายรถในหลายๆรุ่นสำคัญ จะต้องมีเวอร์ชันพิเศษอย่าง TRD Sportivo ออกมา (ยกเว้น Camry จะใช้ชื่อรุ่นพิเศษว่า Extremo) และผ่านไป 1 ปีสำหรับการขาย Vios ดังนั้น ค่ายสามห่วงก็ต้องปล่อยเวอร์ชั่น TRD Sportivo และล่าสุดก็เพิ่งนำโฆษณาตัวใหม่ลงจอทีวีเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานั่นเอง
   โดยตัวรถนั้นใช้พื้นฐานของรุ่น J มาพัฒนา โอ้ว!! มายก้อด เล่นเอารุ่นล่างสุดมาพัฒนา ซึ่งเราก็รู้ดีอยู่แล้วว่ารุ่น J มันกากๆไม่มีแม้แต่ ABS EBD เลย ที่จริงผู้เขียนว่ายอมเอารุ่น E แล้วราคาแพงกว่านี้ก็ยอมนะครับ
   ความแตกต่างจากเวอร์ชั่นปกติแน่นอนต้องอยู่ที่หน้าตาของรถที่มากับการตกแต่งด้วยสเกิร์ตรอบคัน ไล่ตั้งแต่สเกิร์ตหน้าที่ยื่นลิ้นกันชนออกแบบแบบสปอร์ต สเกิร์ตข้างสไตล์โหด และสเกิร์ตท้ายทรงสวย ตกแต่งให้ดูหล่อเหลาขึ้นกว่าเดิม รวมถึงสปอยเลอร์ท้ายที่ออกแบบดูแปลกๆไปนิดหน่อย ภายนอกมีการเพิ่มไฟตัดหมอกหน้า สติ๊กเกอร์ข้างลาย TRD Sportivo บ่งบอกเอกลกัษณ์ของรุ่น TRD Sportivo ด้านท้ายรถติดโลโก้ TRD Sportivo เข้าไป ท่อไอเสียสแตนเลส รวมทั้งล้ออัลลอยลายดุดันขนาด 15 นิ้ว
   ภายในของรถนั้นแน่นอนว่ามีการเปลี่ยนแปลงพอสมควร และแน่นอนในเวอร์ชั่น TRD Sportivo ทุกรุ่นต้องมากับเครื่องเล่น DVD เพิ่มตลอด และแน่นอนว่าหลังจากใครที่รอให้ Toyota เอาจอ DVD มาอยู่ใน Vios เวอร์ชั่น TRD มีมาให้แล้วครับ โดยมากับหน้าจอสัมผัสอันคุ้นตาขนาด 7 นิ้ว เล่นได้ตั้งแต่ DVD/CD/MP3/WMA มากับช่องต่อ USB/AUX/SD Card/MIC และ HDMI เหมือน City เป๊ะ บ่งบอกได้เลยว่ามันมาขัดขา City จริงๆ เพราะขนาด Camry Extremo หรือ Vigo Champ TRD ยังไม่มีช่องเสียบ HDMI เลย เว้นเสียแต่ Fortuner TRD ตัวล่าสุดที่ติดมาให้ นอกจากนี้ก็ยังมีพวงมาลัยหุ้มหนัง แผงควบคุมกระจกไฟฟ้าเมทัลลิก หัวเกียร์หุ้มหนังสไตล์สปอร์ต เบาะหนังพร้อมสัญลักษณ์ TRD Sportivo ขึ้นตะเข็บด้ายแดง ลำโพง 4 ตัว ไฟเบรกดวงที่ 3 พรมปูพื้นแบบสปอร์ต
   เครื่องยนต์ไม่ต้องอะไรมากเพราะไม่ได้แตะอะไรอยู่แล้ว เครื่องยนต์ 1NZ-FE อันคุ้นตากับขนาดความจุ 1.5 ลิตร มากับพละกำลัง 109 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติลูกเก่า 4 สปีด ใครไม่สนเรื่องนี้ก็ดีเพราะเวลาพัง ซ่อมง่าย ราคาขายต่อดี อะไหล่ถูกเพราะแพร่หลายในตลาดเยอะ ระบบเบรกของตัวรถนั้นมากับดิสก์เบรกและดรัมเบรกในด้านหน้าและด้านหลัง ไม่ใช่ดิสก์เบรก 4 ล้อเหมือนรุ่นอื่นๆ
   ระบบความปลอดภัยต้องผิดหวังอย่างแรง เพราะนิสัยลดต้นทุนของ Toyota ที่มันทำกับ Vios 2013 ที่รุ่น J ไม่ติดให้แม้แต่ระบบเบรก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA ในขณะที่ค่ายข้างเคียงอย่าง Honda มีให้ตั้งแต่รุ่นล่าง เท่านั้นไม่พอยังมีระบบควบคุมการทรงตัว ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน สัญญาณไฟฉุกเฉินเตือนขณะเบรกกะทันหัน ให้มาครบ (แต่รุ่นใหญ่บางรุ่นไม่ใส่มาให้ แม้แต่ Civic รุ่นปรับเล็กก็ใส่ให้ไม่ครบ) พอกันที ต่อเรื่องระบบความปลอดภัยของ Vios TRD ดีกว่า แต่ยังดีที่มีถุงลเสริมความปลอดภัยคู่หน้า SRS เข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ (แต่กลับตัดระบบปรับสูง-ต่ำไปนะใน Vios 2013) เซ็นทรัลล็อก ระบบไล่ฝ้ากระจกหลัง เบาะนั่งคู่หน้าแบบ WIL (Whiplash Injury Lessening) ระบบกุญแจ Immoblizer 
   Toyota Vios TRD Sportivo ใหม่ มีสีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีขาว Super White และสีเทาดำ Grey Metallic สำหรับราคาค่าตัวของรถนั้น แน่นอนอย่างที่บอกไว้ว่าเจ้าคันนี้มันใช้พื้นฐานรุ่น J A/T ราคา 589,000 บาท มาตกแต่งเพิ่มเติมเป็นเวอร์ชั่น TRD Sportivo พร้อมป้ายราคา "669,000 บาท" เพิ่มจากรุ่นที่ใช้พัฒนา 80,000 บาท ถือว่าขึ้นมาเยอะเหมือนกันนะ
   ก็ต้องรอชมว่าแผนการขัดแข้งของ Toyota Vios TRD Sportivo กับ Honda City 2014 จะประสบความสำเร็จหรือไม่ และจะเพิ่มยอดขายของ Toyota Vios ได้มากแต่ไหน อันนี้ก็ต้องติดตามกันต่อไป เจมส์จิสั่งได้ แต่สั่งลูกค้าทั้งหมดมาเลือก Vios ไม่ได้นะครับ 
แนะนำ ติชม แสดงความคิดเห็น และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแฟนเพจ Cars New Update ที่นี่!!
 


Like Box