วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ภาพ Spyshot ครั้งแรกของ Mercedes-AMG GT Roadster

  จู่ๆก็มีช่างภาพมือดีแอบถ่ายรถที่คาดว่าน่าจะเป็น  Mercedes-AMG GT Roadster ได้บนถนน ภายหลังการเปิดตัวเวอร์ชั่นแรง Mercedes-AMG GT R ที่เทศกาลความเร็ว Goodwood ที่ประเทศอังกฤษ เพียงไม่กี่วันเท่านั้น

  โดยตัวรถถูกนำมาทดสอบเทียบกับ Porsche 911 Cabriolet บนถนนออโต้บาห์น เมื่อดูจากภาพจะเห็นว่าการออกแบบองค์รวมไม่ต่างจากรุ่นคูเป้ เพียงแต่มีการเปลี่ยนแปลงหลังคาเป็นแบบผ้าใบพับเก็บได้ด้วยระบบไฟฟ้า ฝาท้ายด้านหลังที่มีขนาดเล็กลง รวมทั้งไฟเบรกดวงที่สามที่ถูกติดตั้งเพิ่มเติมเข้ามาด้วย

   การตกแต่งภายในห้องโดยสารก็น่าจะยกมาจากรุ่น Coupe ทั้งดุ้น แต่อาจจะมีการตกแต่งรายละเอียดบางอย่างให้แตกต่างจากเดิมเล็กน้อยรวมทั้งติดตั้งปุ่มควบคุมการเปิด-ปิดหลังคา และนอกจากนั้นอาจจะมีระบบเป่าลมร้อน Airscarf ติดตั้งบริเวณเบาะนั่งด้วย

   ขุมพลังของรถคงไม่ต่างจากรุ่น Coupe โดยจะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 พละกำลัง 456 แรงม้า และในรุ่น GT S Roadster ก็จะอัพเกรดขุมพลังเป็น 503 แรงม้า ส่วนอัตราเร่งของรถคาดว่าน่าจะไม่ต่างจากเวอร์ชั่นคูเป้มากนัก

    Mercedes-AMG GT Roadster น่าจะมีการเปิดตัวในปี 2017 ครับ

ที่มา Motor1.com
มาร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่นี่ครับ 

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2559

All-New Porsche Panamera มาดใหม่ของสปอร์ตซาลูนหน้ากบ

   หลังจากที่ Porsche Panamera รุ่นแรกเปิดตัวเมื่อปี 2009 ซึ่งถือว่าเป็นการเจาะตลาดกลุ่มใหม่ของค่าย หลังจากที่มีทั้งรถสปอร์ตและ SUV แล้ว และล่าสุดในปีนี้ค่าย Porsche ได้ต่อยอดความสำเร็จด้วยการเปิดตัว All-New Porsche Pamamera เจเนเรชั่นที่ 2 สู่สายตาชาวโลก

   ดีไซน์ของ Panamera เจเนเรชั่นใหม่ถูกบอกใบ้ไว้แล้วผ่านต้นแบบ Sport Gran Turismo Concept ที่เปิดตัวเมื่อปลายปี 2012 ที่ผ่านมา และยังบอกใบ้เกี่ยวกับเวอร์ชั่นวากอนสำหรับครอบครัวหรือ Shooting Brake ที่จะตามออกมาหลังจากนั้นอีกประมาณ 18 เดือนด้วย

   รูปร่างของรถนั้นก็เหมือนกับการนำเอา Panamera รุ่นเก่ามาขัดเกลาให้โค้งมนและปราดเปรียวมากขึ้น ซึ่งดูจากแนวหลังคารถและกรอบประตูที่ออกแบบให้ปราดเปรียว ลาดเอียงและมีโค้งมนมากขึ้น ส่งผลให้ความสูงบริเวณห้องโดยสารด้านหลังลดลง 20 มม. แต่มีความยาวฐานล้อเพิ่มขึ้น 30 มม. ด้านหน้าของรถมีระยะโอเวอร์แฮงค์ที่สั้นลง ออกแบบชุดโคมไฟหน้าใหม่แบบ LED และกันชนหน้าใหม่ที่มีรายละเอียดทันสมัยขึ้น ส่วนด้านท้ายมีการออกแบบโคมไฟท้ายใหม่ทรงคล้ายๆ 911 ทำให้เรียวขึ้นและทันสมัยกว่าเดิม

   เข้ามาดูภายในห้องโดยสารที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซึ่งได้รับแนวการออกแบบมาจาก Porsche 911 ไม่น้อย อีกทั้งยังเพิ่มเติมเทคโนโลยีทันสมัยใหม่ๆเข้ามาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นชุดหน้าจอขนาดใหญ่แสดงผลด้วยความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้วตรงกลางพร้อมระบบอินโฟเทนเมนต์ Porsche Communication Management (PCM) ที่อัพเกรดเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด

ปุ่มกดมากมายที่เคยถูกวางเรียงรายบริเวณฐานเกียร์ถูกแทนที่ด้วยระบบสัมผัสแทน ช่องแอร์ตรงกลางสามารถปรับพับเก็บได้ด้วยระบบไฟฟ้า นอกจากนี้บริเวณด้านหลังยังมีช่องแอร์แยกไว้ให้ และยังมีหน้าจอสัมผัสไว้ควบคุมการปรับเบาะหลังได้ด้วย

พื้นที่จุสัมภาระด้านหลังมีมาให้ 495 ลิตร และเมื่อพับเบาะหลังลงไปแล้วจะมีความจุถึง 1,304 ลิตร

ฟังก์ชันใหม่ๆที่ติดตั้งมา ได้แก่ เบาะนวด หลังคาซันรูฟแบบ Panoramic และระบบเครื่องเสียงไฮเอนด์ 3 มิติจาก Burmester

  All-New Porsche Panamera ยังคงมีภาพลักษณ์ 2 แบบ 2 สไตล์คือ รถสปอร์ตสมรรถนะสูง ในขณะเดียวกันยังมีความเป็นซาลูนระดับหรู ซึ่ง 2 อย่างนี้ถูกหลวมรวมใน Panamera ได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว

   ขุมพลังของรถมีขุมพลังใหม่มาหลายขุมพลังด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น
- เครื่องยนต์เบนซิน 2.9 ลิตร V6 ฺBi-Turbo ในรุ่น Panamera 4S มากับพละกำลัง 440 แรงม้า PS (เพิ่มจากเดิม 20 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 550 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.4 วินาที (4.2 วินาทีเมื่อติดตั้ง Sport Chrono Package) ความเร็วสูงสุดทำได้ 289 กม./ชม. อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยทำได้ 12.2-12.35 กม./ลิตร และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 186-184 กรัม/กม. ซึ่งส่งผลให้ Panamera 4S รุ่นใหม่ประหยัดเชื้อเพลิงกว่ารุ่นเดิมถึง 11%

-  เครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 Bi-Turbo ในรุ่นบนสุด Panamera Turbo มากับพละกำลัง 550 แรงม้า PS (เพิ่มจากเดิม 20 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 770 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.8 วินาที (3.6 วินาทีเมื่อติดตั้ง Sport Chrono Package) ความเร็วสูงสุดทำได้ 306 กม./ชม. อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยทำได้ 10.64-10.75  กม./ลิตร และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 214-212 กรัม/กม.

- เครื่องยนต์ดีเซลในรุ่นย่อยใหม่ Panamera 4S Diesel ความจุ 4.0 ลิตร V8 มากับพละกำลัง 422 แรงม้า PS  แรงบิดสูงสุด 850 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.5 วินาที (4.3 วินาทีเมื่อติดตั้ง Sport Chrono Package) ความเร็วสูงสุดทำได้ 285 กม./ชม. อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยทำได้ 14.71-14.93  กม./ลิตร และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 178-176 กรัม/กม.

ทุกรุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Dual-Clutch 8 สปีด รวมทั้งมีการปรับปรุงการทำงานของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ส่วนเครื่องยนต์อื่นๆน่าจะตามมาในภายหลัง

    Porsche Panamera โฉมใหม่ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม MSB มีการปรับปรุงแซสซีส์ใหม่ รวมทั้งระบบช่วงล่างที่ปรับได้ 3 แบบ ได้แก่ ระบบช่วงล่างแบบ Porsche Active Suspension Management (PASM) ควบคุมการสั่นด้วยอิเล็คทรอนิกส์ / ระบบช่วงล่างแบบสปอร์ต  Porsche Dynamic Chassis Control (PDCC) ทำงานร่วมกับระบบ Porsche Torque Vectoring Plus (PTV Plus) / ระบบควบคุมเสถียรภาพตัวรถแบบแอคทีฟ และนอกจากนี้ยังมากับพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้าและเป็นครั้งแรกกับเทคโนโลยีพวงมาลัยพาวเวอร์ 4 ล้อที่จะเปลี่ยนล้อหลังในทิศทางที่ตรงข้ามกับล้อหน้าแบบเดียวกับ 918 นอกจากนั้นแล้ว Porsche ยังบอกว่าได้มีการปรับปรุงระบบเบรกให้มีประสิทธิภาพขึ้นด้วย

   All-New Porsche Panamera จะเริ่มส่งมอบให้ลูกค้าชาวยุโรปได้ในวันที่ 5 พฤศจิกายนปีนี้ โดยในรุ่น Panamera 4S มีราคาเริ่มต้นที่ 113,027 ยูโร (ประมาณ 4.42 ล้านบาท) ตามด้วยรุ่น Panamera 4S Diesel ราคาเริ่มต้นที่ 116,954 ยูโร (ประมาณ 4.58 ล้านบาท) และรุ่น Panamera Turbo ราคาเริ่มต้นที่ 153,011 ยูโร (ประมาณ 5.99 ล้านบาท) ส่วนเมืองไทยน่าจะมีการเปิดตัวและวางขายช่วงปีหน้าครับ

ที่มา Carscoops

มาร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่นี่ครับ 

ชมภาพชุดใหม่และภายในห้องโดยสารของ Toyota C-HR

   หลังจากที่ได้ทำการเปิดตัว Toyota C-HR ภายในงาน Geneva Motor Show 2016 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ล่าสุดทาง Toyota ก็ได้ปล่อยภาพเพิ่มเติมของ C-HR และมีการปล่อยภาพภายในห้องโดยสารออกมาให้พวกเราได้ยลโฉมกันด้วย

   การมาของ Toyota C-HR ถือเป็นการก้าวกระโดดลงมาสู่ตลาดรถ SUV แบบซับคอมแพกต์ โดยจะมาต่อกรกับ Honda HR-V , Mazda CX-3 รวมทั้ง Nissan Juke ด้วยเช่นกัน โดยการวางจำหน่ายในยุโรปนั้นจะเริ่มขึ้นในปลายปีนี้ ส่วนอเมริกาและภูมิภาคอื่นๆจะเริ่มตั้งแต่ครึ่งปีแรกของปี 2017 เป็นต้นไป

   รูปร่างภายนอกอ้างอิงจากต้นแบบ C-HR Concept ค่อนข้างพอสมควร แต่ลดโทนความล้ำสมัยจากต้นแบบเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันมากขึ้น จะเห็นว่าภายนอกของรถโดยเฉพาะหน้าตามีกลิ่นอายจาก Rav4 เข้ามาเต็มๆ เส้นสายด้านข้างดูพลิ้วและสปอร์ตต่อเนื่องไปถึงด้านท้ายที่ล้ำสมัย ทรงไฟท้ายแอบนึกถึง Civic โฉมใหม่ โดยรวมแล้วน่าจะสวยโดนใจหลายคนไม่น้อย

    และไฮไลต์สำคัญครั้งนี้ก็คือ การเผยภาพภายในห้องโดยสารของเจ้า C-HR ออกมาให้พวกเราได้ดูกันแบบเต็มๆตา ซึ่งภายนอกที่ว่าสวยล้ำสมัยแล้ว ภายในนั้นก็ยังคงความล้ำสมัยไม่แพ้ภายนอกของรถเลย ซึ่งภายในนั้นเหมือน Toyota จะเน้นลดทอนปุ่มควบคุมต่างๆให้น้อยลง มีการติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้วซึ่งมีการอัพเกรดระบบอินโฟเทนเมนต์ให้ใช้งานได้ง่ายและเชื่อมต่อได้รวดเร็วขึ้น มีการขึ้นลายตะเข็บหนังบริเวณคอนโซลเพิ่มความหรูหรา

   Toyota C-HR จะมีการตกแต่งภายใน 3 แบบด้วยกัน ได้แก่ สีเทาเข้ม / สีดำ-ฟ้า และสีดำ-น้ำตาล นอกจากนี้ยังมีระบบเบาะอุ่น / smart entry system / ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ Simple Intelligent Park Assist / ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วปัดขอบเงาดำ และ ระบบเครื่องเสียง JBL 8 ช่อง กำลัง 576 วัตต์ พร้อมลำโพง 9 ตำแหน่ง

   Toyota C-HR มีขนาดความยาว 4,360 มม. ความกว้าง 1,795 มม. และสูง 1,555 มม. ในรุ่น Hybrid ฐานล้อยาว 2,640 มม. และมีพื้นที่วางสัมภาระด้านหลัง 370 ลิตร

   ระบบความปลอดภัยของรถนั้นในตลาดยุโรปก็จัดเต็มเข้ามามากมาย แต่อาจจะไม่ได้มีในทุกรุ่นย่อย โดยประกอบด้วยระบบเตือนก่อนการชนพร้อมสัญญาณตรวจจับคนเดินถนน Pre-Collision System (including Pedestrian Recognition) / Adaptive Cruise Control / ระบบเตือนไม่ให้ออกนอกเลนพร้อมควบคุมพวงมาลัยอัตโนมัติ Lane Departure Alert with steering control / ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Automatic High Beam และ ระบบผู้ช่วยเตือนสัญญาณจราจร Road Sign Assist ซึ่งต้องรอดูครับว่าถ้าเอามาขายในไทยจะเหลือสักกี่ระบบ

   สำหรับขุมพลังของรถนั้นในตลาดยุโรปจะมีเครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตรเทอร์โบ ที่มากับพละกำลัง 116 แรงม้า PS พร้อมแรงบิด 185 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด หรือเกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหน้าหรือระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ปล่อยก๊าซ CO2 ออกมา 128 กรัม/กม. ทำอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยได้ 17.54 กม./ลิตร

   อีกขุมพลังคือ Hybrid ที่มากับเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตรทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบเดียวกับ Prius รุ่นล่าสุด มากับพละกำลังทั้งระบบ 122 แรงม้า PS ทำอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยได้ 27.03 กม./ลิตร ปล่อยก๊าซ CO2 ออกมาแค่ 85 กรัม/กม. เท่านั้น

   และในตลาดยูเครนและคอเคซัสจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรพละกำลัง 150 แรงม้า PS ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT นอกจากนี้แล้วยังมีความเป็นไปได้สำหรับการทำเวอร์ชั่นสมรรถนะสูงออกมาด้วย

   ส่วนตลาดเมืองไทยนั้น อาจจะต้องรอถึงปี 2017-2018 กันเลยทีเดียว อันเนื่องมาจากรถรุ่นนี้ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มใหม่ TNGA แบบเดียวกับ Prius โฉมใหม่ล่าสุด ซึ่งไม่เคยผลิตในไทยมาก่อน และไม่มีชิ้นส่วนไหนใช้ร่วมกับ Toyota รุ่นไหนเลย จึงต้องใช้เวลาในการเตรียมไลน์การผลิต แต่อย่างไรก็ตาม มีข่าวลือว่า Toyota อาจจะนำ C-HR รุ่นจำหน่ายจริงมาโชว์ตัวเรียกน้ำย่อยในปลายปีนี้ก็ได้ ทั้งนี้ก็ต้องรอติดตามต่อไปครับ

 
 

มาร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่นี่ครับ 

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Renault เตรียมเปิดตัวกระบะ "Alaskan" วันที่ 30 มิ.ย. นี้

    กระบะ 1 ตันรุ่นแรกจากค่ายแดนน้ำหอม Renault ที่จะอิงรูปแบบมาจากต้นแบบ "Alaskan Concept" จะได้รับการเปิดเผยโฉมหน้าในวันที่ 30 มิถุนายนที่กำลังจะถึงนี้ในงานเปิดตัวครั้งพิเศษที่เมือง Medellin ประเทศโคลัมเบีย

   โดยเจ้ากระบะคันใหม่จากค่าย Renault คันนี้จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของ Nissan NP300 Navara นั่นเอง และน่าจะอ้างอิงการออกแบบมาจากต้นแบบ Renault Alaskan Concept ที่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว ส่วนรายละเอียดด้านการผลิตอื่นๆยังไม่มีการปล่อยออกมา

   และนอกจาก Renault ที่นำเอาพื้นฐานกระบะจาก Nissan ไปต่อยอดเป็นกระบะของตนแล้ว แบรนด์รถหรูเยอรมันอย่าง Mercedes-Benz ก็จะนำเอาพื้นฐานกระบะ Nissan ไปพัฒนาเป็นกระบะของตนเช่นกัน ซึ่งน่าจะมีชื่อว่า GLT และแน่นอนว่าจะต้องออกแบบให้ต่างจากต้นฉบับด้วย

   ส่วนขุมพลังของรถคันนี้น่าจะมากับเครื่องยนต์ดีเซล 2.3 ลิตร ทวินเทอร์โบ พละกำลัง 163 แรงม้า เหมือนที่ใช้ใน Renault Master Van รถตู้ของพวกเขา

   ทาง Renault ระบุว่ากระบะของพวกเขาจะเป็นกระบะระดับ High-End ที่เจาะกลุ่มตลาดธุรกิจ รวมทั้งการพักผ่อนในชีวิตประจำวัน นั่นยังรวมทั้งกลุ่มตลาดเชิงพาณิชย์ด้วยเช่นกัน และคาดว่าจะมีให้เลือกทั้งรุ่นพื้นฐานและรุ่นที่ตกแต่งให้หรูหรา

   ในตลาดยุโรปนั้น การผลิตของกระบะ Alaskan จะมีในโรงงานนิสสันในประเทศบาร์เซโลน่า และสเปน เช่นเดียวกับกระบะของ Nissan และ Mercedes-Benz ในอนาคต ส่วนตลาดไทยน่าจะหมดสิทธิ์ครับ

มาร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่นี่ครับ 

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559

5 แบรนด์รถในไทยที่ถูกคนไทยลืม

   ตลาดรถยนต์เมืองไทยเรียกว่าเป็นหนึ่งในตลาด "ปราบเซียน" เลยก็ว่าได้ จะเห็นว่าค่ายน้องใหม่ที่ต้องการมาเปิดตลาดในไทยช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นมีหลายแบรนด์ต้องหิ้วกระเป๋ากลับบ้านไปเกือบเสียทุกราย ซึ่งก็มีเหตุหลายอย่าง ทั้งเรื่องคุณภาพตัวรถ ศูนย์บริการ อะไหล่ การตลาดและอีกหลายอย่างด้วยกัน

   ในบทความเรื่องนี้ เราเลยขอยกตัวอย่าง 5 แบรนด์รถที่จำหน่ายในไทย และเป็นแบรนด์ที่คนไทยน่าจะลืมไปแล้วว่าเคยมีแบรนด์นี้ขายในเมืองไทยด้วย หรือเป็นแบรนด์รถยนต์ในตลาดที่คนไทยมักจะมองข้ามมันไป เพราะกระแสและความน่าสนใจของแบรนด์ใหญ่ๆในตลาดที่มากลบทับหมดทำให้แบรนด์เหล่านี้ถูกบังมิด หรือแทบจะไม่มีที่ยืนในตลาดเลยก็ว่าได้

Naza
ที่มา https://www.flickr.com/photos/ianfuller/3915145721

   แบรนด์นี้หลายคนคงนึกไม่ออกว่ามันคือยี่ห้ออะไร ใช่รถขององค์การ Nasa หรือเปล่า (อันนี้ไม่ใช่ละ) แต่แท้จริงแล้วแบรนด์นี้เป็นแบรนด์รถยนต์ของประเทศมาเลเซีย ซึ่งในปี 2008 บริษัทอย่างยนตรกิจได้นำเข้ารถเล็ก Naza Forza เข้ามาขายในไทย โดยตัวรถเป็นแฮตซ์แบ็คท้ายตัดคันเล็กๆเหมือน Eco Car บ้านเรา วางเครื่องยนต์ความจุ 1.1 ลิตร พละกำลัง 65 แรงม้า เอาใจคนชอบสับเท้าเหยียบคลัตซ์ ใช้มือสับเกียร์ด้วยการติดตั้งเกียร์ธรรมดา และวางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 349,000 บาท ยังไม่รวมของแต่งสารพัดที่อาจจะติดตั้งเพิ่มได้  เช่น Airbag คู่หน้า, ล้ออัลลอย, กระจกมองข้างไฟฟ้า, สปอร์ตไลต์, เซ็นทรัลล็อก, ไฟเบรกดวงที่ 3, เซ็นเซอร์ถอยจอด, หัวเกียร์และปลายท่อแบบสปอร์ต, กุญแจรีโมท, เบาะหลังแยก 40:60, คิ้วกันกระแทก และกระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ จะบวกเงินไปอีก 30,000 บาท เป็นราคาโปรโมชั่น (ปกติ 50,000 บาท) ตอนนั้นกระแสตอบรับก็ค่อนข้างดี มียอดจองราวๆ 200 กว่าคัน

   แต่ด้วยปัญหาต่างๆของรถ รวมถึงชื่อเสียงของยนตรกิจที่หลายๆคนน่าจะรู้ดี ทำให้แบรนด์ Naza ในไทย ไปไม่ถึงฝั่ง ทำให้แบรนด์นี้ค่อยๆตายจากตลาดไทยอย่างช้าๆ หลังทำตลาดได้ราวๆ 2 ปีเท่านั้น

Chery
   แบรนด์จีนที่หลายคนน่าจะเคยได้ยินชื่อ ถูกนำเข้ามาขายโดยไทยยานยนตร์ช่วงปลายปี 2009 เป็นหนึ่งกลุ่มธุรกิจของยนตรกิจ (อีกแล้วเหรอ) ใช้ชื่อบริษัทว่า ไทยเฌอรี่ยานยนตร์ และดูเหมือนว่าตอนนั้นบริษัทค่อนข้างจะจริงจังกับการมาเปิดตลาดไทย ด้วยการแนะนำรถ 3 รุ่น ได้แก่
  Chery QQ รถเล็ก 5 ประตูสุดน่ารัก มากับเครื่องยนต์เบนซิน 1.1 ลิตร  พร้อมเกียร์อัตโนมัติ AMT และเกียร์ธรรมดา ราคาค่าตัวอยู่ที่ 389,400-434,800 บาท
   Chery Tiggo รถอเนกประสงค์กะทัดรัดแบบ 5 ที่นั่ง มากับเครื่องเบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,000 ซีซี 131 แรงม้า ค่าตัว 825,000 บาท

   และ Chery B14 Cross รถ MPV รุ่นใหญ่สุด วางขายในราคา 915,000 บาท
  และรุ่นสุดท้ายที่เอามาขาย Chery A1 รถเล็กรุ่นล่าสุดตอนนั้น วางเครื่อง 1.3 ลิตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา ราคาเปิดตัวตัวนั้น 398,000 บาท ก่อนปรับขึ้นเป็น 425,000 บาท

   ผลตอบรับจากลูกค้าในแบรนด์นี้ แรกๆก็ค่อนข้างดีพอสมควร แต่สุดท้ายก็เข้าฟอร์มเดิมแบบยี่ห้อ Naza คือเรื่องปัญหารถ และคุณภาพของแบรนด์จีนที่หลายคนไม่ไว้ใจ สุดท้ายก็โดนลอยแพไปแบบเงียบๆ

Proton
   อีกหนึ่งแบรนด์ของมาเลเซียที่ทุกคนคุ้นเคยดี มาเปิดตลาดในไทยช่วงปี 2007  ที่ดูแลตลาดโดย พระนครโอโตเซลส์ ในเครือพระนครยนตรการ ด้วยการแนะนำรถ 3 รุ่นด้วยกัน อันได้แก่รถแฮตซ์แบ็คคันเล็ก Proton Savvy ที่มากับเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ AMT ในราคาเริ่มต้น 399,000 บาท

รถแฮตซ์แบ็ค 3 ประตูสไตล์สปอร์ต Proton Neo มากับเครื่องยนต์ เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร รหัส CamPro CPS มากับพละกำลัง 125 แรงม้า ราคาเริ่มต้นที่ 499,000 บาท-698,000 บาท

https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/b/b2/2012_Proton_Gen-2_ecoLogic_GSX_in_Trafalgar_Square,_London,_England,_U.K.jpg
รถสปอร์ตซีดาน  5 ประตู Proton Gen-2 ราคา 549,000-629,000 บาท

และที่สำคัญพวกเขามักโปรโมทว่ารถใช้เทคโนโลยีช่วงล่างและการขับขี่จากค่ายรถสปอร์ตอย่าง Lotus (ซึ่ง Proton เป็นเจ้าของในช่วงนั้น) และช่วงหลังๆก็มีการนำเสนอรถรุ่นใหม่ๆเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น Proton Exora รถแนว MPV ขนาดใหญ่ คู่แข่ง Toyota Innova เปิดตัวครั้งแรกในปี 2009 วางเครื่อง 1.6 ลิตร พละกำลัง 125 แรงม้า ในราคาเริ่มต้น 699,000-799,000 บาท และภายหลังในช่วงปี 2012 ที่มีการปรับโฉมเพิ่มทางเลือกขุมพลังเทอร์โบที่มากับเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร รหัส CamPro CFE – Charge Fuel Efficiency 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว เทอร์โบชาร์จเจอร์พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ พละกำลัง 138 แรงม้า ราคาเริ่มต้น 664,000-919,000 บาท

รถซีดาน 4 ประตู Proton Persona วางเครื่องยนต์ Campro ขนาด 1.6 ลิตร 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว พร้อมระบบท่อไอดีแปรผัน IAFM ให้กำลังสูงสุด 110 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีดและเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด วางจำหน่ายในราคา 549,000-649,000 บาท ซึ่งในรุ่นนี้ก็มีพลังงานทางเลือก CNG ด้วยเช่นกัน

   ต่อมาช่วงปลายปี 2012 ค่ายได้นำเสนอรถรุ่นใหม่ Proton Preve ซีดาน 4 ประตู ที่ชูจุดขายด้วยออปชั่นและระบบความปลอดภัยจัดเต็มในราคาที่น่าคบหา มีขุมพลังให้เลือก 2 แบบได้แก่เครื่องเบนซิน 1.6 ลิตร พละกำลัง 107 แรงม้า และ 1.6 ลิตรเทอร์โบ พละกำลัง 138 แรงม้า โดยมากับราคาที่ถูกกว่า C-Segment คู่แข่ง และราคายังใกล้เคียง B-Segment หลายรุ่นด้วย โดยมีราคาค่าตัวที่ 625,000-759,000 บาท

   รถรุ่นสุดท้ายที่ Proton ได้เปิดตัวและวางขายในไทยคือ Proton Suprima S แฮตซ์แบ็ค 5 ประตูที่มีพื้นฐานจาก Preve มีขุมพลังให้เลือกอย่างเดียวคือเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุดที่ 138 แรงม้า วางราคาไว้ที่ 779,000-829,000 บาท

รถที่เคยหมายมั่นว่าจะเอามาขายในไทย สุดท้ายก็เงียบหายไปเลย
    Proton มาจัดแสดงรถในงานใหญ่ครั้งสุดท้ายที่ Motor Expo 2014 โดยมีรถเล็กคันสีเขียวมากระบบความปลอดภัย Proton Iriz ที่เคยหมายมั่นว่าจะเอามาขายในไทยปี 2015 แต่จนบัดนี้ก็ไม่มีการเปิดตัวและไม่เคยเห็น Proton มาจัดแสดงรถในงานใหญ่ๆอีกเลย

   อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ก็ยังมียอดขายรถในค่ายของพวกเขาเรื่อยๆ แต่ก็น้อยถึงน้อยมากๆ เมื่อปี 2015 ที่ผ่านมาก็ทำยอดขาย "ทั้งปี" ได้แก่ 198 คัน (อ้างอิงจาก Headlightmag) บวกกับหลายๆดีลเลอร์ก็ทยอยปิดตัวลงเรื่อย ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า Proton จะม้วนเสื่อกับมาเลเซียหรือไม่ ก็ต้องรอกันต่อไป

Mitsuoka
   ค่ายรถดัดแปลงจากญี่ปุ่นที่มาแนะนำตัวในเมืองไทยภายในงาน Motor Expo 2009 หลังจากนั้นในปี 2010 ก็ได้มาเปิดตลาดในไทยอย่างเป็นทางการ นำทีมโดยกลุ่มยนตรกิจ ก่อตั้งบริษัท มิทสึโอกะ มอเตอร์ (ประเทศไทย)

   รถรุ่นแรกๆที่พวกเขาเปิดตัวก็คือ Mitsuoka Galue  รถซีดานหรูที่เอาโครงสร้าง Nissan Fuga รุ่นปี 2006 มาดัดแปลงหน้าขายใหม่ มีให้เลือกทั้งเวอร์ชั่นซีดานธรรมดาและลีมูซีน โดยมีราคาจำหน่ายดังนี้
- Galue 250 ราคา 3,850,000 บาท
- Galue 350 ราคา 4,690,000 บาท
- Galue Limousine 250 ราคา 5,890,000 บาท
- Galue Limousine 350 ราคา 6,980,000 บาท

   อีกคันก็คือสปอร์ตทรงประหลาด Mitsuoka Orochi วางเครื่องเบนซิน 3,311 CC. V6 แรงม้าสูงสุด 233 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด จำหน่ายในราคา 11,700,000 บาท

   และในช่วงปี 2010 Mitsuoka จับมือกับยนตรกิจ คอร์ป ตั้งบริษัท มิทสึโอกะ มอเตอร์ (ประเทศไทย) พร้อมตั้งฐานการประกอบในไทย หวังเปิดตลาดด้านการส่งออกในประเทศอาเซียน ตะวันออกกลาง และอื่นๆ ประเดิมเปิดไลน์ประกอบ 2 รุ่น Galue IV และ Himiko ในปี 2011 ถือว่าเป็นโรงงานประกอบรถยนต์ มิทสึโอกะ แห่งแรก ที่ตั้งขึ้นนอกประเทศญี่ปุ่น


    Galue IV ครั้งแรกที่ Mitsuoka เอาพื้นฐานของ Nissan Teana J32 มาใช้ ทำให้ตัวถังและภายในของรถนั้นเหมอืน Teana เลย ทำให้คนไทยหลายคนคงคุ้นตาดี (รุ่นที่แล้วใช้ Fuga มาทำ คนไทยอาจไม่คุ้นเท่าไหร่)

   Galue V ซีดานรุ่นล่าสุดที่เปิดตัวในไทยช่วงปี 2015 นำเอาพื้นฐานของ Nissan Teana L33 มาดัดแปลงหน้าท้ายแล้วขายในราคา 2,290,000-2,760,000 บาท

   อีกคันที่ Mitsuoka เอามาก็คือสปอร์ตเปิดประทุนหน้าตายาวเหยียด Himiko ที่เอาตัวถังของ Mazda MX-5 มาทำใหม่ วางราคาขายเริ่มที่ 3,750,000 บาท

   และคันที่ผมถึงกับเงิบสุดๆแล้ว คงจะหนีไม่พ้นเจ้าตัวเล็กอย่าง Viewt ที่นำเอาพื้นฐานของ Nissan March มาต่อยอดเป็นรถเล็กที่หรูขึ้น คือไม่อยากเชื่อว่าค่ายนี้สามารถเอารถเล็กราคา 4-5 แสนกว่าๆ มาดัดแปลงขายในราคาหลักล้านได้ ช่วงเปิดตัวแรกๆนั้นตั้งราคาขายไว้ที่ 1.99 ล้านบาท แต่ภายหลังมีการปรับราคาและเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ที่มีราคาถูกลง โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 799,000 บาทไปจนถึง 1,179,000 บาท

   สุดท้ายก็ไม่รู้ด้วยสาเหตุอะไร อาจจะเป็นเพราะด้วยตัวแบรนด์ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักเท่าไหร่ ยอดขายก็ไม่ได้มากเท่าที่ควร ส่วนปัญหาตัวรถนั้น ผมเองก็ไม่ทราบว่ามีไหม และท้ายที่สุดแบรนด์ Mitsuoka ก็ยุติการทำตลาดในไทยแบบเงียบๆ โดยขึ้นผ่านหน้าเว็บไซด์เมื่อไม่นานมานี้เอง ถือว่าเป็นการปิดฉากการทำตลาดแบรนด์นี้ในไทยเรียบร้อย

V.M.C.
    เห็นชื่อแบรนด์นี้ หลายคนอาจจะไม่รู้จัก โดยเฉพาะตัวผมเองก็เกิดไม่ทันรถรุ่นนี้ แต่มีคนมาบอกต่อเลยไปสืบหาข้อมูลดูเกี่ยวกับรถคันนี้เลยได้ข้อมูลมาว่า...

    ย้อนไปเมื่อเกือบ 30 กว่าปีที่แล้ว เมื่อราวปี 1975-1977 มีคนไทยกลุ่มหนึ่งพยายามออกแบบ สร้างและผลิตรถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันครับว่ายี่ห้ออะไร แต่ในความตั้งใจของคนไทยกลุ่มดังกล่าว ก็ไม่สามารถเดินไปถึงเป้าหมายที่ผันไว้และผลิตขายไม่ได้อันเนื่องมาจากประสบกับปัญหาเงินทุนและคู่แข่งจากต่างประเทศมีมาก อีกทั้งคนไทยยังเห่อของนอกด้วย ทำให้ แต่หลังจากนั้นพอมาถึงช่วงปี 1992-1994 ได้มีนักธุรกิจจากกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์มารวมตัวกันเพื่อผลิตรถกระบะ ขนาด 1 ตันภายชื่อ บริษัท สยาม วิ.เอ็ม.ซี.ยานยนต์ จำกัด ภายใต้โลโก้ V.M.C ใช้สัญลักษณ์เป็นวงกลมและมีตัว M อยู่ตรงกลาง

     ในปี 1995 รถกระบะของไทยนาม V.M.C ก็ได้เปิดตัวสู่สายตาชาวไทย ด้วยหน้าตาและกระบะท้ายของรถนี่มองแล้วรู้เลยว่าเอามาจาก Isuzu TFR แต่ในส่วนหัวเก๋งหรือตัวถังของรถกลับเอาของ Nissan Big-M มาใส่เสียดื้อๆ กลายเป็นการผสมผสานที่แหวกแนวสุด ณ ตอนนั้น

    เครื่องยนต์ของรถคันนี้มากับเครื่องยนต์ดีเซล VM425SLTRS 4 สูบ Turbocharger ขนาด 2.5 ลิตร ที่อุตส่าห์จ้างบริษัทชั้นนำในอิตาลีออกแบบและประกอบซึ่งดัดแปลงมาจากเครื่องยนต์ที่ วางในรถเก๋งซีดานยี่ห้อหรูของอิตาลีเลยทีเดียว แรงม้าสูงสุด 117 แรงม้าที่ 4,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 240 กก-ม.ที่ 2,200 รอบ/นาที ความเร็วสูงสุด 173 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อเทียบกับกระบะยุคนั้น เจ้า V.M.C. ค่อนข้างเหนือกว่าทุกยี่ห้อ อีกทั้งยังมีราคาที่ถูกกว่าคู่แข่ง

   แต่ด้วยความรีบร้อนหรืออาจจะเรียกได้ว่าการวางแผนที่ผิดพลาดเพราะเร่งเปิดตัวในสภาพที่ไม่เรียบร้อยดี ความพร้อมของศูนย์บริการก็ยังไม่มี การประชาสัมพันธ์ก็อ่อน จึงทำให้เกิดภาพลบในสายตาคนไทยตั้งแต่เริ่มต้น และสุดท้ายโลโก้นี้ก็เลือนหายไปภายในระยะเวลาแค่ปีเดียวเท่านั้นเอง

   ด้วยความที่ยุคนั้น คนไทยมองว่า V.M.C เป็นรถที่แปลกตา ทำให้ยากต่อการยอมรับในยุค 1995 แต่ในลักษณะเดียวกันนี้เอง มันกลับถูกยอมรับในภาพลักษณ์นี้หลังปี 2000 นั่นแปลว่า วี.เอ็ม.ซี ล้ำหน้ากว่าชาวบ้านเขาทุกยี่ห้อเกือบ 10 ปีกันเลยทีเดียว

---------------------------------------------------------------

   และทั้งหมดนี้ก็คือ 5 แบรนด์รถในเมืองไทยที่ถูกคนไทยลืม หรือถูกมองข้ามไป บางแบรนด์นั้นยังมีขายอยู่ในตลาดแต่กลับไม่มีใครสนใจ หรือบางแบรนด์นั้นก็ยุติการทำตลาดหรือหายไปแบบเงียบๆ อันที่จริงแล้วนั้นแบรนด์รถที่เคยทำตลาดในไทยและคนไทยลืมนั้นมันมีมากมายหลานยแบรนด์ แต่ผมยกตัวอย่างมาแค่ 5 แบรนด์ที่พอรู้และหาข้อมูลได้มาให้ท่านได้รับชมกัน ข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้อาจจะไม่สมบูรณ์แบบหรือขาดตกบกพร่องไปบ้างก็ขออภัยด้วยครับ

มาร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่นี่ครับ 

Like Box