วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2561

All-New Volvo S60 สวยทันสมัยขึ้น ไม่มีรุ่นดีเซล เน้นขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด

   หลังจากที่ได้ทำการเปิดตัวเวอร์ชั่นแวกอน All-New Volvo V60 ไปแล้ว คราวนี้ก็เป็นคิวของรุ่นซีดาน 4 ประตูอย่าง S60 แล้ว โดยมีการเปิดตัวที่โรงงานผลิตแห่งแรกของสหรัฐฯในชาร์ลสตัน รัฐเซาท์แคโรไลนาของอเมริกา

  All-New Volvo S60 จะเป็นรุ่นแรกของ Volvo ที่จะวางขายโดยไม่มีทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซล เป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นของผู้ผลิตที่จะเน้นไปที่ขุมพลังไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่ง Volvo ได้กล่าวไว้ว่าในปี 2019 รถทุกโมเดลของพวกเขาจะมีตัวเลือกพลังงานไฟฟ้าด้วย

  เบื้องต้นลูกค้าจะมีทางเลือกเครื่องยนต์ 2 แบบ ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นปลั๊กอินไฮบริดทั้งหมด ได้แก่ รุ่น T6 Twin Engine AWD PHEV ที่มากับพละกำลังสูงสุด 340 แรงม้า และ T8 Twin Engine AWD PHEV พละกำลัง 400 แรงม้า

  สำหรับใครที่คิดว่ายังไม่เร้าใจพอ ทาง Volvo ยังมีแพ็คเกจให้เลือกอัปเกรดเพิ่ม คือ Polestar Engineered ซึ่งมีเฉพาะตัว T8 เท่านั้น โดยจะมีการอัปเกรดล้อ , เบรก , ช่วงล่าง และ พละกำลังที่เพิ่มขึ้นเป็น 415 แรงม้า

   ส่วนใครที่ยังอยากได้เบนซินปกติ ก็ยังมีรุ่น T5 ที่มากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ พละกำลังสูงสุด 250 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 349 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ซึ่งจะตามมาในภายหลัง
 
  ผู้บริหารแผนกวิจัยและพัฒนาของ Volvo นาย Henrik Green กล่าวว่า S60 โฉมใหม่จะมากับชุดแซสซีส์และโหมดการขับขี่ที่มอบประสิทธิภาพการควบคุมและสมรรถนะของรถที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งยังผสานผู้ขับขี่ให้เป็นส่วนหนึ่งกับรถด้วย นอกจากนี้ยังได้ยกเอาสุดยอดเทคโนโลยีจากตระกูล 90 และ 60 Series มาใส่ในรถคันนี้ ส่งผลให้ S60 โฉมใหม่เป็นรถสปอร์ตซีดานที่ดีที่สุดคันหนึ่งในตลาดเลยก็ว่าได้

  All-New Volvo S60 พัฒนาขึ้นบน SPA Platform เหมือนกับ Volvo รุ่นใหม่ๆหลายรุ่น ติดตั้งระบบอินโฟเทนเมนต์และระบบความปลอดภัยเหมือนกับ V60 , XC60 และ รถในตระกูล 90 Series ส่งผลให้ S60 โฉมใหม่เป็นรถที่ปลอดภัยที่สุดคันหนึ่งบนท้องถนน

  ระบบความปลอดภัยที่ติดตั้งมาให้ใน S60 โฉมใหม่ ก็จะมีระบบ City Safety with Autobrake ซึ่งจะช่วยผู้ขับขี่ในการหลีกเลี่ยงการชนที่อาจเกิดขึ้น ทาง Volvo กล่าวว่าเป็นระบบเดียวในตลาดที่ได้รับการปรับแต่งระบบเพื่อรับรู้สัญญาณคนเดินถนน , นักปั่นจักรยานและสัตว์ขนาดใหญ่ นอกจากนี้ระบบยังช่วยในการเบรคอัตโนมัติเพื่อบรรเทาการชนกันที่อาจจะเกิดขึ้นได้

  ขณะเดียวกันนั้นยังมีออปชั่นเสริมอย่างระบบ Pilot Assist system ที่จะช่วยในการควบคุมรถ เร่งความเร็ว หรือเบรกบนถนนดีๆที่มีเครื่องหมายจราจรครบ และสามารถไปได้ที่ความเร็วสูงสุดถึง 130 กม./ชม. นอกจากนั้นแล้วก็จะมีระบบป้องกันรถยนต์วิ่งออกนอกช่องทาง Run-off Road Mitigation , ระบบช่วยเตือนก่อนการปะทะรถคันหน้า และระบบเตือนคนขับเมื่อมีการจราจรตัดผ่านขณะถอยรถ Cross Traffic Alert ทำงานร่วมกับ Autobrake

  ดีไซน์ภายนอกครึ่งคันหน้านั้นก็ยกมาจาก V60 เลย ยกแนวการออกแบบมาจาก Volvo รุ่นใหม่ๆนั่นเอง โดยมากับกระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมพร้อมซี่ลวดแนวตั้ง ไฟหน้าดีไซน์ใหม่ที่มากับไฟ Daytime Running Lights ทรงค้อนเทพเจ้าสายฟ้าธอร์ กันชนหน้าได้รับการออกแบบให้ดูเฉียบคมและดูมีมิติ จุดที่แปลกตากว่าเดิมก็คือประตูท้ายที่ได้รับการออกแบบใหม่ และไฟท้ายทรงตัว C  กับดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ใน Volvo รุ่นใหม่ๆ

ภายในห้องโดยสารมีดีไซน์ที่ค่อนข้างสวยงามและดูสะอาดตา ซึ่งก็ยกมาจา V60 นั่นเอง ตรงกลางจะติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ 9 นิ้ว รองรับระบบอินโฟเทนเมนต์และระบบปรับอากาศ รวมทั้งรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay , Android Auto และระบบเครือข่ายไร้สาย 4G อีกด้วย

  สำหรับราคาค่าตัวนั้น ในตลาดสหรัฐฯ All-New Volvo S60 จะมีราคาเริ่มต้นที่ 35,800 จนถึง 55,400 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 1,187,000 ถึง 1,837,000 บาทไทย ยังไม่รวมภาษีสรรพสามิตในไทย

  ส่วนชาวไทยก็ต้องรอติดตามให้ดีว่า All-New Volvo S60 จะมาถึงไทยเมื่อไหร่!

ที่มา Carscoops1 / Carscoops2

วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2561

All-New Toyota Crown พลิกโฉมใหม่สู่ความสปอร์ตเร้าใจกว่าเดิม

  Toyota เผยข้อมูลของ All-New Toyota Crown เจเนเรชั่นที่ 15 แล้ว พร้อมขายในญี่ปุ่นสุดสัปดาห์นี้ในราคาเริ่มต้นที่ 4,606,200 เยน หรือประมาณ 1,386,000 บาทไทย (ไม่รวมภาษีสรรพสามิตในไทย) สำหรับรุ่นพื้นฐาน 2.0 ลิตรเทอร์โบ ตั้งเป้าหมายยอดขาย 4,500 คัน/เดือน

  All-New Toyota Crown จะเป็น Crown รุ่นแรกที่มาพร้อมกับระบบการเชื่อมต่อข้อมูล Data Communication Module เป็นมาตรฐานในทุกรุ่น ซึ่งช่วยยกระดับความปลอดภัยและความสะดวกสบายภายใต้พื้นฐานข้อมูลการขับขี่แบบเรียลไทม์

  Crown โฉมใหม่จะสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม TNGA เหมือนใน Toyota รุ่นใหม่หลายรุ่น โดยจะมากับระบบกันสะเทือนแบบ Multi-Link ทั้งด้านหน้าและด้านหลังและมีให้เลือกใช้ทั้งในรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังและขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งทาง Toyota ให้ข้อมูลว่า Crown โฉมใหม่จะมีแฮนด์ลิ่งที่โดดเด่นและประสิทธิภาพการขับขี่ที่ตอบสนองอย่างดีเยี่ยม" พิสูจน์ได้จากการนำรถไปวิ่งทดสอบที่สนาม Nurburgring มาแล้ว

  รูปโฉมภายนอกของรถถือว่าพลิกโฉมจากรุ่นเดิมค่อนข้างมากทีเดียว ด้วยการเพิ่มกระจกโอเปร่าต่อจากกระจกหลัง ทำให้ Crown โฉมนี้ดูแปลกตามากกว่า Crown โฉมก่อนหน้านี้เลยทีเดียว ดีไซน์รอบคันโดยรวมแล้วก็ค่อนข้างมีความโฉบเฉี่ยวสวยงามและแอบสปอร์ตมากขึ้น

   และถ้าใครอยากได้ความสปอร์ตสุดขีดก็ต้องเลือกรุ่น RS ซึ่งเกรดนี้มีให้เลือกทุกขุมพลัง โดยความแตกต่างที่เพิ่มมาใน RS คือ เหล็กกันโคลงด้านหน้าแบบพิเศษ ปรับแต่งช่วงล่างใหม่ ล้ออัลลอยลายสปอร์ตขนาด 18 นิ้ว รวมทั้งติดตั้งสปอยเลอร์ด้านท้าย และสำหรับรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเทอร์โบนั้น ยังได้รับการปรับเซตโช้คอัพด้านหลังให้ตอบสนองกับพวงมาลัยได้ดีมากขึ้นและลดการสั่นสะเทือน

   ภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบให้มีความหรูหราน่าใช้งานยิ่งกว่าเดิม ตรงกลางคอนโซลจะมากับชุดหน้าจอขนาด 8 นิ้วที่ตั้งอยู่กลางคอนโซล ถัดลงมาเป็นหน้าจอขนาด 7 นิ้วแบบสัมผัสสำหรับใช้ควบคุมระบบปรับอากาศรวมทั้งระบบเครื่องเสียงได้อีกด้วย ทุกรุ่นใน Crown โฉมใหม่จะมีโหมดการขับขี่ให้เลือก โดยเฉพาะรุ่น RS จะมี Custom Mode ช่วยให้ผู้ขับขี่เซตโหมดการขับขี่ในแบบที่ตัวเองต้องการได้

    ขุมพลังใน Crown โฉมใหม่จะมีให้เลือก 3 แบบ ได้แก่
- เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด มีให้เลือกแค่ระบบขับเคลื่อนล้อหลังเท่านั้น
- ขุมพลังไฮบริด เครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร Dynamic Force ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า รวมพละกำลัง 226 แรงม้า มาพร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหลังและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
- ขุมพลังไฮบริด เครื่องยนต์เบนซิน 3.5 ลิตร V6 พละกำลัง 294 แรงม้า ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 180 แรงม้า รวมกำลังทั้งระบบที่ 359 แรงม้า มีให้เลือกแค่ระบบขับเคลื่อนล้อหลังเท่านั้น

  ทางด้านระบบความปลอดภัย จะมีการติดตั้งชุดระบบ Toyota Safety Sense เวอร์ชั่น 2 เป็นมาตรฐาน รวมถึงระบบป้องกันการชนด้านหน้าพร้อมตรวจจับคนเดินบนถนน Pre-Collision System with Pedestrian Detection , ระบบ Dynamic Radar Cruise Control , Lane Tracing Assist ที่ช่วยให้รถขับอยู่กลางเลน , ระบบช่วยอ่านป้ายจราจร Road Sign Assist และ อีกมากมาย

  ส่วนชาวไทยที่อยากได้ All-New Toyota Crown ก็คงต้องสั่งจากเกรย์มาร์เก็ตเอาครับ

ที่มา Carscoops
  

วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2561

All-New Chevrolet Blazer อเนกประสงค์สุดหล่อจากค่ายโบว์ไทน์

  ค่ายโบว์ไทน์ Chevrolet ของแดนลุงแซมได้ฤกษ์เผยโฉมอเนกประสงค์รุ่นใหม่ All-New Chevrolet Blazer ถือเป็นการนำชื่อนี้กลับมาใช้อีกครั้งในรอบ 2015 หลังจากเคยมี SUV รุ่นหนึ่งของค่ายอย่าง Chevrolet S-10 Blazer ที่เลิกทำตลาดไปเมื่อปี 2005

  เห็นชื่อแบบนี้โปรดอย่าเข้าใจผิดว่ารถจะมาขายแทน Chevrolet Trailblazer นะครับเพราะรุ่นนี้ไม่ใช่โครงสร้างบอดี้ออนเฟรมแบบ Trailblazer แต่เป็นรถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์สายเลือดใหม่ที่ต้องการมาเติมเต็มช่องว่างระหว่าง Chevrolet Equinox (รถที่มาแทน Captiva ในต่างประเทศ) และ Chevrolet Traverse (อเนกประสงค์รุ่นใหญ่ขนาด 7 ที่นั่ง)

  การออกแบบภายนอกของรถค่อนข้างมีความดุดันและเกรี้ยวกราดด้วยดีไซน์ด้านหน้าที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Chevrolet Camaro SS โฉมล่าสุด โคมไฟหน้าแบบ HID ที่ออกแบบให้เชื่อมติดกับไฟหน้า ออกแบบเสา A เป็นสีดำ พร้อมดีไซน์ให้หลังคาลอย หรือ Floating Roof ในช่วงท้ายรถ เส้นสายบนตัวถังออกแบบให้ดูมีมิติและมัดกล้าม ทางด้านไฟท้ายก็จะเป็นไฟแบบ LED ทรงสวย และท่อไอเสียคู่แยกซ้าย-ขวา สำหรับตัวเลือกล้ออัลลอยจะมีให้ตั้งแต่ 18-21 นิ้ว

  Chevrolet Blazer จะมี 3 รูปแบบการตกแต่งภายนอก ได้แก่ Base , Premier และ RS โดยรุ่น Premier จะเน้นการตกแต่งภายนอกด้วยโครเมียม ส่วนรุ่น RS จะดุดันด้วยกระจังหน้าสีดำ

  ภายในห้องโดยสารได้รับแรงบันดาลใจการออกแบบมาจาก Camaro ทำให้มีความสวยงามและโดดเด่นอีกทั้งยังตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพสูง โดยภายในรองรับผู้โดยสารได้ 5 คน เบาะหลังสามารถเลื่อนไปข้างหน้าหรือด้านหลังในระยะ 5.5 นิ้ว เพื่อเพิ่มพื้นที่วางขาหรือเพิ่มพื้นที่จุดสัมภาระด้านท้ายได้

  จุดเด่นสำคัญของ Blazer คือการนำเสนอระบบ Chevrolet-one Cargo Management System ซึ่งเป็นระบบรางพร้อมที่กั้นเพื่อแบ่งสัดส่วนการเก็บของพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง ช่วยให้ของด้านหลังรถไม่กลิ้งไปกลิ้งมาขณะขับขี่

  นอกจากนี้ Blazer ยังมีช่องเก็บของที่คอนโซลหน้าเปิดด้วยระบบอิเล็คทรอนิกส์ , Adaptive Cruise Control , กระจกมองหลังที่สามารถแสดงภาพกล้องมองหลังได้ ทั้งหมดนี้มีให้เลือกในรุ่น Premier และ RS เช่นเดียวกับระบบฝาท้ายรถแบบเตะเปิดและไฟส่องพื้นเป็นโลโก้โบว์ไทน์ ระบบชาร์จไฟไร้สาย และ พอร์ต USB 6 พอร์ต

  ในส่วนของระบบอินโฟเทนเมนต์จะติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาดขนาด 8 นิ้ว พร้อมระบบ Chevrolet Infotainment 3 ที่รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 4G LTE และ Apple CarPlay และ Android Auto

  เบื้องต้นเครื่องยนต์จะติดตั้ง 2 แบบ ได้แก่ เครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร 4 สูบแถวเรียง มากับพละกำลัง 193 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 255 นิวตัน-เมตร และ เครื่องเบนซิน 3.6 ลิตร V6 พละกำลังสูงสุด 305 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 365 นิวตัน-เมตร มากับเทคโนโลยี Start/Stop พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด โดยทางค่าบโบว์ไทน์อ้างว่าในรุ่น V6 สามารถรองรับการลากจูงได้ถึง 2,040 กิโลกรัมเลยทีเดียว

  นอกจากนี้ Blazer ยังมีการติดตั้งระบบ Traction Select เอาไว้เลือกปรับโหมดการขับขี่ได้ตามต้องการในแบบเรียลไทม์ สำหรับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ยังมีระบบตัดการส่งกำลังไปยังเพลาหลังนั่นหมายความว่าลูกค้าสามารถเลือกขับขี่ในโหมดขับเคลื่อนล้อหน้าได้เมื่อไม่จำเป็นต้องใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ  ในรุ่นท็อปสุด RS และ Premier จะมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Twin-Clutch AWD ซึ่งสามารถเรียกสมรรถนะรถได้ดีแม้บนถนนเปียกหรือพื้นหิมะจนไปถึงพื้นที่แห้งแล้ง

  All-New Chevrolet Blazer จะเริ่มขายในตลาดสหรัฐฯช่วงต้นปี 2019 โดยราคาค่าตัวจะมีการประกาศช่วงปลายปีนี้ ส่วนเมืองไทยดูๆแล้วน่าจะหมดสิทธิ์ครับ

ที่มา Carscoops
 

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2561

All-New Audi A1 Sportback มาดใหม่ของแฮตซ์แบ็คคันเล็กจากค่ายสี่ห่วง

  ค่ายสี่ห่วง Audi ได้ทำการเผยโฉม All-New Audi A1 Sportback รถแฮตซ์แบ็ค 5 ประตูน้องเล็กเจเนเรชั่นใหม่ที่มาพร้อมกับรูปลักษณ์ภายนอกและภายในที่ล้ำสมัยมากขึ้น อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆมากมาย

  เห็นได้อย่างชัดเจนว่า All-New Audi A1 Sportback ได้รับการออกแบบภายนอกให้มีความเกรี้ยวกราดมากขึ้น กระจังหน้ายังคงมากับรูปทรง 6 เหลี่ยมที่คุ้นเคย เหนือกระจังหน้ายังมีช่องระบายอากาศ 3 แุถวเพิ่มความดุดัน เส้นสายตัวรถดูเรียบง่ายสบายตาตามสไตล์ Audi ส่วนด้านท้ายจะมากับโคมไฟท้าย LED ทรงสวย พร้อมกันชนท้ายที่มีรายละเอียดน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น สำหรับล้ออัลลอยจะมีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 15-18 นิ้ว

  ลูกค้ายังสามารถสั่งออปชั่นไฟหน้าแบบ LED พร้อมแพ็คเกจการตกแต่งภายนอก S-Line แบบในรูป ซึ่งจะมากับกันชนหน้าที่มีดีไซน์ดุดันมากขึ้น ติดตั้งสปอยเลอร์ท้ายขนาดใหญ่ และสเกิร์ตด้านข้าง สีตัวถังมีให้เลือกทั้งหมด 11 สี ลูกค้ายังสามารถเลือกรูปแบบสีทูโทนซึ่งจะแตกต่างกันในบริเวณหลังคา , กระจกมองข้างและสปอยเลอร์ท้าย

  ขนาดตัวรถนั้น All-New Audi A1 Sportback จะมีความยาว 4.03 เมตร กว้าง 1.74 เมตรและสูง 1.41 เมตร

  ภายในห้องโดยสารเป็นอีกหนึ่งจุดที่ออกแบบให้มีความล้ำสมัยและน่าใช้งานมากขึ้น ตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพสูง มีการติดตั้งชุดหน้าปัดดิจิตอลขนาด 10.25 นิ้วมาให้ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น และชุดปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศที่ดูน้อยปุ่มทำให้ดูจะใช้งานง่าย โดยลูกค้ายังสามารถเลือก 3 โทนสีการตกแต่งภายในห้องโดยสารในบริเวณคอนโซลหน้าและแผงประตู

   All-New Audi A1 Sportback จะมีพื้นที่ภายในห้องโดยสารมากขึ้นและยังจุของได้มากขึ้นด้วย โดยด้านท้ายรถสามารถจุสัมภาระได้ที่ 335 ลิตร เมื่อพับเบาะหลังลงจะเพิ่มเป็น 1,090 ลิตร

  ออปชั่นที่สามารถสั่งซื้อเพิ่มได้ก็จะมี้เบาะนั่งด้านหน้าพร้อมฟังก์ชั่นอุ่น , ไฟเรืองแสงภายในห้องโดยสารสามารถเลือกได้  ลูกค้ายังสามารถสั่งซื้อชุดระบบนำทาง MMI พร้อมด้วยหน้าจอสัมผัสขนาด 8.8 นิ้ว หรือมระบบนำทาง MMI พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ 10.1 นิ้ว มีระบบเชื่อมต่อที่สามารถรองรับ Android Auto และ Apple CarPlay รวมทั้งพอร์ต USB สองพอร์ตได้อีกด้วย

  ลูกค้ายังสามารถเลือกเครื่องเสียงได้ 2 แบบ คือ เครื่องเสียง Audi system พร้อมลำโพง 8 ตัว หรือ ระบบเครื่องเสียง Bang & Olufsen พร้อมลำโพง 11 ตัว

  ทางด้านขุมพลังนั้นจะมีทางเลือกเครื่องยนต์เบนซินตั้งแต่ 1.0 ลิตร 3 สูบ รวมทั้ง 1.5 ลิตร จนไปถึง 2.0 ลิตร 4 สูบ โดยทางค่ายยังไม่บอกรายละเอียดเต็มๆ แต่บอกแค่ว่าจะมีพละกำลังตั้งแต่ 95-200 แรงม้า ระบบส่งกำลังจะมีทางเลือกเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ 7 สปีดแบบ Dual Clutch อย่างไรก็ตามในรุ่น 40 TFSI จะมีทางเลือกแค่เกียร์อัตโนมัติ S Tronic 6 สปีดเท่านั้น

  ระบบช่วงล่างจะมีทั้งหมด 3 แบบ รวมทั้งระบบช่วงล่างแบบสปอร์ต และ ระบบช่วงล่างสปอร์ตพร้อมโช้คอัพปรับระดับได้ นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถติดตั้ง Performance package ที่จะมากับเบรกด้านหน้าขนาด 312 มม. และ ด้านหลัง 272 มม.

  สำหรับระบบความปลอดภัยเด่นๆของรถก็จะมี ระบบช่วยเตือนเมื่อออกนอกเลน ระบบจะทำงานโดยจะเตือนผู้ขับขี่เมื่อขับรถออกนอกเลนโดยไม่รู้ตัว และยังช่วยให้ผู้ขับขี่กลับเข้ามาอยู้ในเลนได้อีกด้วย

  ระบบความปลอดภัยอื่นๆก็จะมี ระบบช่วยล็อคความเร็ว , ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่าง , ระบบช่วยจอด และระบบเตือนความปลอดภัยก่อนการชน ระบบจะใช้เซ็นเซอร์เรดาร์เพื่อตรวจจับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นและเตือนคนขับรถหากใกล้ชนรถคันนี้ ถ้าหากผู้ขับขี่ไม่ตอบสนองต่อการแจ้งเตือน รถจะทำการเบรกโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันหรือลดอุบัติเหตุได้

  All-New Audi A1 Sportback จะเริ่มเปิดรับจองให้กับลูกค้ายุโรปช่วงฤดูร้อนปีนี้ และเริ่มจำหน่ายจริงช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้เช่นกัน ในราคาเริ่มต้นต่ำกว่า 20,000 ยูโร หรือประมาณ 768,000 บาทไทย ไม่รวมภาษีสรรพสามิตในไทย

ที่มา Carscoops

Like Box