วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2562

ส่อง All-New Toyota Corolla Altis โฉมไต้หวัน ก่อนชาวไทยเจอกันครึ่งหลังของปีนี้

   ก่อนที่ชาวไทยจะได้สัมผัส All-New Toyota Corolla Altis ซึ่งตามข่าวที่ทราบมาเห็นว่าจะเปิดตัวในไทยภายในครึ่งหลังของปีนี้ (ประมาณเดือนสิงหาคม) เรามาดูสเปคของประเทศไต้หวันกันก่อนดีกว่าครับ ซึ่งรูปโฉมภายนอกจะใกล้เคียงกับเวอร์ชั่นบ้านเราที่สุดแล้ว แต่สเปคอาจจะแตกต่างกันบ้าง ยังไงก็ไปชมรายละเอียดกันก่อนดีกว่า

  All-New Toyota Corolla Altis โฉมไต้หวันจะมีรูปทรงตามแบบของเวอร์ชั่นที่จำหน่ายในยุโรปคือจะมาแนวเรียบหรูดูดี และแน่นอนรถคันนี้ถูกสร้างบนแพลตฟอร์ม TNGA เช่นเดียวกับ Toyota Corolla Hatchback ขนาดสัดส่วนตัวถังจะมีความยาว 4,640 มิลลิเมตร กว้าง 1,780 มิลลิเมตร  สูง 1,435 มิลลิเมตร  และมีฐานล้อยาว 2,700 มิลลิเมตร 

  ภายในห้องโดยสารแน่นอนว่าจะใช้คอนโซลชุดเดียวกับ Toyota Corolla Hatchback มีดีไซน์เรียบหรูทันสมัยขึ้น มีปุ่มภายในที่ดูน้อยลง ตรงกลางติดตั้งชุดหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่พร้อมระบบอินโฟเทนเมนต์ Toyota Drive+ Connect มีมาตรวัดตรงกลางพร้อมจอดิจิตอลขนาดใหญ่ สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆที่น่าสนใจก็จะมี ระบบแสดงผล Head Up Display และ ระบบปรับอากาศตอนหลัง สำหรับความจุสัมภาระด้านหลังนั้นจะมีมาให้อยู่ที่ 470 ลิตร

  ขุมพลังของ  All-New Toyota Corolla Altis จะมีทางเลือกทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่
เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร 2ZR-FE ความจุ 1.8 ลิตร พละกำลัง 140 แรงม้าที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 173 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i
- เครื่องยนต์เบนซิน 2ZR-FXE Atkinson cycle 1.8 ลิตร พละกำลังสูงสุด 96.5 แรงม้าที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600 รอบ/นาที ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 72 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 163 นิวตัน-เมตร แบตเตอรี่แบบนิกเกิลเมทัลไฮไดรต์ รวมกำลังทั้งระบบ 122 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ E-CVT 

  ทางด้านระบบความปลอดภัยของ All-New Toyota Corolla Altis โฉมไต้หวัน ค่อนข้างมาเต็มสุดๆ ที่น่าสนใจคือชุดระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense ถูกติดตั้งให้กับ Corolla Altis ทุกรุ่นย่อยที่จำหน่ายในไต้หวัน ซึ่งจะประกอบด้วย
- ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Dynamic Radar Cruise Control)
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High Beams) 
- ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ (Lane Departure Alert with Steering - Assist) 
นอกจากนี้ยังมี
- ระบบช่วยควบคุมเบรกขณะเข้าโค้ง ACA (Active Cornering Assist)
- ระบบควบคุมการทรงตัว VSC (Vehicle Stability Control)
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC (Traction Control)
- ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAC (Hill-start Assist Control)
- ระบบป้องกันการออกตัวแบบผิดวิธี (Drive Start Control)
- ระบบป้องกันล้อล็อค ABS (Anti-lock Brake System)
- ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake-force Distribution)
- ระบบเสริมแรงเบรก BA (Brake Assist)
- ระบบช่วยตัดการทำงานของเบรก BOS (Brake Override System)
- ระบบช่วยควบคุมเบรกด้วยอิเล็กทรอนิคส์ Electronically Controlled Brake (ECB) (เฉพาะไฮบริด)
- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM (เฉพาะไฮบริดรุ่นท็อปสุด)
- ระบบแจ้งเตือนลมยาง (TPMS)
- ถุงลมนิรภัย 7 ใบ
   All-New Toyota Corolla Altis เริ่มจำหน่ายในไต้หวันแล้วในราคาเริ่มต้นที่ 698,000-778,000 ดอลลาร์ไต้หวัน หรือประมาณ 718,000 - 800,000 บาท ส่วนรุ่น Hybrid จะมีราคาเริ่มต้นที่ 818,000 - 898,000 ดอลลาร์ไต้หวัน หรือประมาณ 841,000 - 924,000 บาท

  สำหรับเมืองไทยนั้น จะมีสเปคเครื่องยนต์และระบบความปลอดภัยเป็นอย่างไร จะแตกต่างจากเวอร์ชั่นไต้หวันมากน้อยแค่ไหน เรื่องนี้ต้องรอชมในครึ่งปีหลังของปีนี้ครับ

ที่มา Toyota Taiwan

ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
  

วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2562

Mercedes-AMG A35 4MATIC Sedan ซีดานน้องเล็กสุดหรูตัวแรงจากค่ายตราดาว

  ค่ายดาวสามแฉกได้ทำการเปิดตัว Mercedes-AMG A35 4MATIC Sedan ซีดานตัวแรงน้องเล็กสุดของค่ายเอาใจกลุ่มลูกค้าอายุน้อย ตามรอยโฉม Hatchback ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2017 ทีผ่านมา

  ก็เช่นเดียวกับตัวถัง Hatchback รถคันนี้จะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จบล็อกใหม่ มากับพละกำลัง 306 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ AMG Speedshift 7G แบบดูอัลคลัตซ์ 7 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC สำหรับรถสมรรถนะสูง ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.7 วินาที ก่อนที่ความเร็วสูงสุดจะจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. เท่าตัว Hatchback เลย

  ดีไซน์ภายนอกถูกออกแบบให้มีความดุดันมากยิ่งขึ้นด้วนลิ้นกันชนด้านหน้าสี Silver Chrome  , ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว , สเกิร์ตรอบคันในแบบฉบับของ AMG Line , สปอยเลอร์ด้านท้ายดีไซน์เรียบหรู , ครีบรีดอากาศ (Diffuser) ที่กันชนท้ายดีไซน์ดุดันพร้อมท่อไอเสียคู่

  ลูกค้ายังสามารถเลือกตกแต่งภายนอกเพิ่มเติมด้วยแพ็คเกจ AMG Aerodynamics Package ซึ่งจะเป็นชุดแต่งเสริมอากาศพลศาสตร์ของรถให้ดีขึ้นอีกนิด และ AMG Night Package ที่จะมีการตกแต่งภายนอกด้วยชุดแต่งโทนดำ รวมทั้งล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว

  ภายในห้องโดยสารติดตั้งพวงมาลัย AMG 3 ก้านแบบฐานตัดหุ้มด้วยหนังที่มีผิวพรุน พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift หลังพวงมาลัย นอกจากนี้ยังมีปุ่มเลือกโหมดการขับขี่แบบสัมผัสมาให้ และแน่นอนว่ารุ่นนี้จะติดตั้งระบบอินโฟเทนเมนต์ "MBUX" อันเป็นการผสานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ไว้เข้ากับรถ  โดยเราสามารถเริ่มสั่งการทำงานด้วยการพูดคีย์เวิร์ดคำว่า "Hey Mercedes" และตามด้วยคำสั่ง

  ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ 5 แบบ ได้แก่ Slippery, Comfort, Sport, Sport+  และ Individual โดยแต่ละโหมดจะมีรูปแบบตอบสนองของเครื่องยนต์และเกียร์ที่แตกต่างกัน ทางด้านระบบเบรกนั้น ใน AMG A35 Sedan มีการติดตั้งคาลิปเปอร์เบรกแบบ Monoblock 4 ลูกสูบ ขนาดจานเบรก 350 มิลลิเมตรที่ล้อคู่หน้า และ 330 มิลลิเมตรที่ล้อด้านหลัง

  Mercedes-AMG A35 4MATIC Sedan ยังสามารถเลือกออปชั่นระบบ AMG Ride Control system ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถสลับใช้ระบบการตั้งค่าช่วงล่าง 3 แบบซึ่งจะทำงานโดยอัตโนมัติและปรับแรงหน่วงในแต่ละล้อตามสภาพการขับขี่และถนน

  Mercedes-AMG A35 4MATIC Sedan ยังไม่มีการประกาศราคาค่าตัวออกมาครับ

ที่มา Carscoops
ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
  

ภาพล่าสุดรถทดสอบ All-New Honda Fit/Jazz มาให้เห็นทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสาร

  เมื่อปีที่แล้ว สื่อนอกสามารถจับภาพรถทดสอบของ All-New Honda Fit/Jazz ขณะวิ่งทดสอบทางตอนใต้ของยุโรป ไปดูรายละเอียดได้ที่ ชมภาพถ่าย Spyshot ครั้งแรกของ All-New Honda Fit / Jazz เปิดตัวในช่วงปี 2019-2020 และล่าสุดเจ้า All-New Honda Fit/Jazz ก็ถูกจับภาพได้อีกครั้ง คราวนี้มีการเปิดเผยรายละเอียดให้เห็นค่อนข้างชัดเจนมากขึ้น

  เห็นได้ชัดเจนว่าทรวดทรงไฟหน้ารถได้รับการเปลี่ยนแปลงให้มีขนาดที่ใหญ่และมีความมนมากขึ้นพร้อมรายละเอียดภายในโคมที่ดูมีมิติกว่าเดิม เช่นเดียวกับกระจังหน้าที่มีรูรับอากาศใหญ่กว่าเดิม ในส่วนกันชนหน้าก็ได้รับการออกแบบช่องระบายอากาศให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเช่นเดียวและลากยาวจนเกือบสุดกันชนหน้ารถ

  ทางด้านเสา A ถูกออกแบบให้มีความเรียวเล็กกว่าเดิม ส่งผลให้บานหน้าต่างด้านหน้ามีขนาดใหญ่กว่าเดิม นอกจากนี้จะเห็นถึงสัดส่วนรถตั้งแต่เสา A ที่มีความโค้งมนกว่าเดิม ต่อเนื่องไปถึงด้านท้ายซึ่งมากับไฟท้าย LED ทรงใหม่แบบแนวนอน

  อีกความน่าสนใจของภาพรถทดสอบชุดนี้ ในรถทดสอบมีการสวมชุดแต่งภายนอกในสไตล์ออฟโรดซึ่งเราจะเห็นแร็คหลังคา รวมทั้งชุดแต่งกันกระแทกบริเวณด้านข้างตัวรถและซุ้มล้อ อาจจะเป็นเวอร์ชั่นที่เอาใจคนชอบรถแนวลุยๆก็เป็นได้

  และคราวนี้ยังมีภาพถ่ายภายในห้องโดยสารมาให้เห็นกันอีกด้วย ซึ่งเปิดเผยให้เห็นพวงมาลัยดีไซน์ใหม่ที่ดูสวยทันสมัยขึ้น แผงหน้าปัดที่ติดตั้งลึกเข้าไปในคอนโซล และได้เห็นในส่วนชุดหน้าจอสัมผัสทรงแท็บเลตแบบลอยโดดเด่นกลางคอนโซล นอกจากนี้ยังเห็นปุ่มควบคุมทรงกลม 3 ปุ่มที่คาดว่าน่าจะเป็นปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศ

  ทางด้านขุมพลังนั้นยังคงไม่มีข้อมูลปล่อยออกมา แต่คาดว่า Fit/Jazz โฉมใหม่จะมีทางเลือกทั้งเครื่องยนต์สันดาปภายในธรรมดา ขุมพลังแบบไฮบริด และ ไฟฟ้าล้วน 100% 

  โดยเป็นไปได้ว่า Fit/Jazz โฉมใหม่อาจจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตร 3 สูบเทอร์โบ ที่แชร์มาจาก Civic เวอร์ชั่นจีน และน่าจับตาว่าเครื่องยนต์นี้อาจจะมาอยู่ใน Honda Jazz เวอร์ชั่นไทยซึ่งมีข่าวว่าจะเข้าโครงการอีโคคาร์เฟส 2 อีกด้วย

  ส่วนเครื่องยนต์แบบไฮบริด มีข่าวลือว่าอาจจะแชร์ขุมพลังมาจาก Honda Insight โฉมล่าสุดที่มากับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว แบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออน ทั้งหมดผสานการทำงานกับเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร Atkinson Cycle รวมกำลังทั้งระบบที่ 151 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 267 นิวตัน-เมตร

  ปิดท้ายด้วยขุมพลังไฟฟ้าล้วน EV ที่อาจจะมีการขยายระยะทางวิ่งเพิ่มขึ้นเป็น 300 กิโลเมตร ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง

  คาดว่า  All-New Honda Fit/Jazz  อาจจะมีการเปิดตัวในตลาดโลกช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้จนถึงช่วงปลายปีนี้ ส่วนเมืองไทยน่าจะได้เจอกันราวๆต้นปีหน้า ตามหลัง All-New Honda City

ที่มา Carscoops


ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
  

วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2562

Hyundai H-1 Limited III รุ่นพิเศษจำนวนจำกัด 300 คัน จำหน่ายในราคา 1,679,000 บาท

  Hyundai ขอกระตุ้นตลาดรถตู้อเนกประสงค์ด้วยการแนะนำรถใหม่ "Hyundai H-1 Limited III" ผลิตจำนวนจำกัดแค่ 300 คันเท่านั้น โดยมีสีตัวถังให้เลือกสีเดียวคือ สีขาว Creamy White ตั้งราคาจำหน่ายไว้ที่ 1,679,000 บาท

  Hyundai H-1 Limited III ยังคงขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร พละกำลังสูงสุด 175 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 441 นิวตัน-เมตรที่ 2,000-2,250 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีดแบบ Sequential Shift

  มิติตัวรถจะมีความยาว 5,125 มิลลิเมตร กว้าง 1,920 มิลลิเมตร สูง 1,925 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 3,200 มิลลิเมตร ระดับตํ่าสุดจากพื้น 190 มิลลิเมตร มีปริมาตรถังนํ้ามัน 75 ลิตร และรัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.6 เมตร

  ระบบบังคับเลี้ยวของรถจะเป็นแบบRack & Pinion with Hydraulic Assist ส่วนระบบช่วงล่างด้านหน้าจะเป็น MacPherson Struts และด้านหลัง 5-Link Rigid Axle, Coil Springs ส่วนระบบเบรกด้านหน้าจะเป็น Ventilated Discs และด้านหลังแบบ Discs

อุปกรณ์มาตรฐานภายนอก
  • ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง
  • กระจกมองข้างปรับและพับด้วยระบบไฟฟ้า
  • ไฟหน้าแบบ Projector Lens
  • ไฟหน้าเปิด-ปิดอัตโนมัติ
  • ไฟท้ายแบบ LED
  • กระจังหน้าโครเมียม
  • คิ้วป้ายทะเบียนหลังโครเมียม
  • สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED
  • ที่ปัดน้ำฝนกระจกหลัง
  • ประตูห้องโดยสารบานสไลด์สองฝั่ง
  • หลังคากระจก Moonroof ระบบไฟฟ้า 2 บาน พร้อมที่บังแดด (Power Dual Moonroof with Sunshade)
อุปกรณ์มาตรฐานภายใน
  • พวงมาลัยหุ้มหนัง
  • คันเกียร์หุ้มหนัง
  • พวงมาลัยปรับระดับ สูง-ต่ำ เข้า-ออก
  • ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงที่พวงมาลัย
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control)
  • กุญแจรีโมทแบบพับเก็บ
  • ไฟที่ช่องเสียบกุญแจ
  • กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ
  • แผงบังแดดพร้อมกระจกเงาและไฟส่องสว่าง
  • กล่องเก็บแว่นตาที่คอนโซลเหนือศีรษะ
  • ไฟภายในห้องโดยสารแบบ LED พร้อม Mood Lighting เปลี่ยนได้ 6 สี
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ
  • ปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศแยกสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
  • หน้าปัดแบบ Supervision Meters
  • คอมพิวเตอร์แสดงข้อมูลการเดินทาง
  • กระจกคนขับขึ้น-ลงอัตโนมัติ
  • กระจกแบบ Flush Glass ที่ประตูสไลด์
  • ช่องเสียบไฟฟ้า 12V 2 ตำแหน่ง
  • ที่ปัดน้ำฝนหน้าแบบหน่วงเวลา
  • เบาะหนังสีเทา
  • เบาะแถวที่ 2 ปรับหมุน 180 องศา
  • ตกแต่งด้วยลายไม้ใหม่
  • พรมปูพื้นทั้งคันพร้อมสัญลักษณ์ Limited III
  • วิทยุ CD/DVD Pioneer รุ่น AVH-Z9150BT รองรับไฟล์มัลติมีเดีย พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว
  • ระบบ Dual Zone แยกแหล่งสื่อบันเทิง สำหรับที่นั่งตอนหน้าและตอนหลัง
  • ช่องต่อสำหรับ USB x 2, HDMI x 1 และ SD Card x 1
  • รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto
  • รองรับฟังก์ชัน Wireless Mirror Link
  • ฟังก์ชัน AppRadio Mode+ ของ Pioneer
  • จอ LCD แบบสัมผัส ขนาด 10.1 นิ้ว สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง 2 ตำแหน่ง
  • จอ LCD สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง รองรับ USB, MicroSD Card, หูฟังขนาด 3.5 mm และรองรับการเชื่อมต่อกับหูฟังไร้สายผ่านระบบบลูทูธ
  • ลำโพง 6 ตำแหน่ง

ระบบความปลอดภัย
  • ระบบป้องกันล้อล็อค ABS
  • ถุงลมนิรภัยคู่หน้าแบบ SRS
  • เข็มขัดนิรภัยแบบ ELR 3 จุด สำหรับที่นั่งตอนหน้าริมประตู
  • เข็มขัดนิรภัยแบบ 2 จุด สำหรับที่นั่งตอนหน้าตำแหน่งกลางและที่นั่งตอนหลัง
  • ระบบป้องกันการหนีบสำหรับกระจกไฟฟ้า (ฝั่งคนขับ)
  • ระบบสัญญาณกันขโมย
  • กล้องมองหลัง แสดงภาพที่หน้าจอเครื่องเสียง
  • สัญญาณเตือนกะระยะถอยหลัง
  ใครสนใจก็สามารถไปชมคันจริงได้ในงาน Bangkok International Motor Show 2019 ตั้งแต่วันที่ 27 มี.ค. - 7 เม.ย. ที่อาคาร Challenger 1-3 อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานีครับ


ชมภาพคันจริงได้ตามด้านล่างนี้เลย...




ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
  

วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2562

Suzuki Jimny อเนกประสงค์สายลุยคันจิ๋ว เปิดราคาในไทย (นำเข้าทั้งคัน) เริ่มต้นที่ 1,550,000 บาท

  สำหรับใครที่เฝ้ารอการมาของรถอเนกประสงค์ทรงกล่องสุดน่ารักอย่าง Suzuki Jimny ล่าสุดตอนนี้ทาง Suzuki ได้ทำการเปิดตัวในไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่มาในรูปแบบ "นำเข้าทั้งคัน" โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 1,550,000 บาท

   Suzuki Jimny สเปคที่นำเข้ามาขายในไทยจะเป็น "๋Jimmy Sierra" ซึ่งจะมีการตกแต่งภายนอกด้วยโป่งล้อขนาดใหญ่เพิ่มความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยไทยจะมีจำหน่ายทั้งหมด 2 รุ่นย่อย
- รุ่นเกียร์ธรรมดา MT ราคา 1,550,000 บาท
- รุ่นเกียร์อัตโนมัติ AT ราคา 1,650,000 บาท
ซึ่งอันนี้เป็นราคาสำหรับสีตัวถังแบบโมโนโทน แต่ถ้าอยากได้สีตัวถังแบบทูโทน จะต้องจ่ายเพิ่มอีก 30,000 บาท โดยสีตัวถังของรถจะมีให้เลือกดังนี้
สีตัวถังแบบทูโทน
- สีเหลืองหลังคาดำ Solid Kinetic Yellow with Pearl Bluish Black
- สีฟ้าหลังคาดำ Metallic Brisk Blue with Pearl Bluish Black
- สีเบจหลังคาดำ  Metallic Chiffon Ivory with  หลังคาดำ Pearl Bluish Black

สีตัวถังแบบโมโนโทน

- สีเขียว Solid Jungle Green
- สีดำ Pearl Bluish Black
- สีเทา Solid Medium Gray
- สีขาว Superior White

และสำหรับลูกค้าที่จอง 30 คันแรกจะได้ JIMNY BOXSET ฟรี อันประกอบไปด้วย นาฬิกา G-Shock รุ่น GBA8001 , กล่องใส่อุปกรณ์กันกระแทก JIMNY , เสื้อแจ็คเก็ต JIMNY และยังได้ Jimny Emblem Limited Serial Number บ่งบอกหมายเลขรถเฉพาะคันอีกด้วย และเห็นว่าตอนนี้ 30 คันแรกถูกจองหมดเป็นที่เรียบร้อย โดยล็อต 10 คันแรกจะเริ่มส่งมอบได้ในเดือนกรกฎาคมนี้ 

  มาดูข้อมูลทางเทคนิคกันบ้างครับ สำหรับมิติตัวถังของ Suzuki Jimny จะมีความยาวที่ 3,480-3,645 มิลลิเมตร กว้าง 1,645 มิลลิเมตร สูง 1,720 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,250 มิลลิเมตร ความสูงใต้ท้องรถ 210 มิลลิเมตร รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 4.6 เมตร ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง 40 ลิตร ภายในห้องโดยสารมีที่นั่งทั้งหมด 4 ที่นั่ง มีความจุเมื่อปรับเบาะนั่งด้านหลังขึ้น 85 ลิตร เมื่อพับเบาะหลังลงจะเพิ่มเป็น 377 ลิตร และรองรับความจุสูงสุดที่ 830 ลิตร

    ขุมพลังของรถจะทำการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินรหัส K15B 4 สูบ 16 วาล์ว ความจุ 1.5 ลิตร พละกำลังสูงสุด 102 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 130 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และ เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเป็นมาตรฐาน

  ระบบพวงมาลัยรถเป็นแบบลูกปืนหมุนวน ระบบเบรกด้านหน้าเป็นแบบดิสก์เบรก ส่วนด้านหลังจะเป็นดรัมเบรกแบบฝักนำและฝักตาม ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบคานแข็งทรีลิงค์ พร้อมคอยล์สปริง ด้านหลังแบบคานแข็ง ทรีลิงค์ พร้อมคอยล์สปริง น้ำหนักตัวรถอยู่ที่ประมาณ 1,085-1,110 กิโลกรัม น้ำหนักบรรทุกรวม 1,435 กิโลกรัม

อุปกรณ์มาตรฐานภายนอก
- กระจังหน้าสีดำ
- ไฟหน้า LED Projector
- ไฟหน้าเปิด-ปิดอัตโนมัติ
- ที่ฉีดน้ำบริเวณไฟหน้า
- ไฟตัดหมอกคู่หน้า
- ไฟท้าย LED
- ซุ้มล้อสีดำ
- กระจกสีตัดแสง 
- กระจกมองข้างสีดำปรับด้วยไฟฟ้า
- มือจับประตูด้านนอกสีเดียวกับตัวรถ
- ที่ปัดน้ำฝนด้านหน้าแบบหน่วงเวลา 2 จังหวะพร้อมที่ฉีดน้ำ
- ที่ปัดน้ำฝนด้านหลังแบบหน่วงเวลา 1 จังหวะพร้อมที่ฉีดน้ำ
- ไล่ฝ้ากระจกหลัง
- ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว พร้อมยาง 195/80 R15
- ยางอะไหล่

อุปกรณ์มาตรฐานภายใน
- พวงมาลัย 3 ก้านหุ้มหนัง พาวเวอร์ไฟฟ้าปรับระดับสูง-ต่ำได้
- ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและระบบสั่งการโทรศัพท์บนพวงมาลัย
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
- กระจกไฟฟ้าด้านคนขับปรับขึ้นอัตโนมัติ
- กระจกไฟฟ้าด้านหลัง
- ระบบเซ็นทรัลล็อค
- ระบบกรองอากาศ
- ที่เปิดประตูท้าย
- มาตรวัดความเร็วและรอบเครื่อง
- จอแสดงผลระดับน้ำมัน / อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง / ค่าเฉลี่ยการใช้น้ำมันต่อระยะทาง / ระยะเดินทาง / ตำแหน่งเกียร์
- สัญญาณไฟเตือนบนหน้าจอ 
 * เตือนระบบเบรก ABS / ถุงลมนิรภัย / การทำงานระบบ ESP / เตือนเมื่อประตูปิดไม่สนิท / เตือนเมื่อระดับน้ำมันใกล้หมด / เตือนเมื่ออุณหภูมิน้ำหล่อเย็นสูง
- เสียงสัญญาณเตือน
 * เตือนคาดเข็มขัดนิรภัยด้านคนขับและผู้โดยสารข้างคนขับพร้อมไฟเตือน / เตือนเมื่อลืมปิดไฟหน้า / เตือนเมื่อลืมกุญแจ
- ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสาร
- แผงบังแดดพร้อมกระจกแต่งหน้าและช่องเก็บบัตรด้านคนขับและผู้โดยสาร
- กระจกมองหลังแบบปรับแสงกลางวันและกลางคืนได้
- มือจับประตูด้านในโครเมียม
- มือจับผู้โดยสาร 3 ตำแหน่ง
- เบาะผ้าสีดำ
- เบาะนั่งด้านคนขับปรับระดับสูง-ต่ำได้ ปรับเลื่อนหน้า-หลังได้พร้อมฟังก์ชั่นเอนเบาะ และมีช่องเก็บของหลังที่นั่งคู่หน้า พนักพิงศีรษะแบบแยกส่วน 2 ตำแหน่ง
- เบาะนั่งด้านหลังปรับพับได้แบบ 50:50 พร้อมพนักพิงศีรษะแบบแยกส่วน 2 ตำแหน่ง
- ช่องวางเครื่องดื่มบริเวณคอนโซลกลาง
- ช่องจ่ายไฟสำรอง 12V บริเวณคอนโซลหน้าด้านล่างและห้องเก็บสัมภาระ
- ช่องเก็บของข้างประตูหน้า
- ระบบเครื่องเสียง Suzuki Smart Connect พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว เครื่องเล่นวิทยุ MP3 WMA พร้อมช่องเสียง SD Card
- ระบบนำทาง
- ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ Bluetooth
- ระบบเชื่อมต่อ Smartphone รองรับ Apple CarPlay และ MirrorLink
- ลำโพงคู่หน้า 2 ตำแหน่ง
- ช่องเชื่อมต่อ USB บริเวณคอนโซลหน้าด้านล่าง

ระบบความปลอดภัย
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า SRS
- ระบบป้องกันล้อล็อค ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรกอิเล็คทรอนิคส์ EBD
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS
- ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน Hill Hold Control
- ระบบช่วยชะลอความเร็วขณะลงทางลาดชัน Hill Descent Control
- ระบบช่วยเบรก Brake Assist
- คานกันกระแทกด้านข้าง
- เข็มขัดนิรภัยด้านหน้า ELR 3 จุด พร้อมระบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ
- เข็มขัดนิรภัยด้านหลัง ELR 3 จุด 2 ตำแหน่ง 
- จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก ISOFIX 2 ตำแหน่ง
- ระบบกุญแจนิรภัย Immoblizer
- ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED

  สำหรับใครที่อยากไปชมคันจริงก็ไปดูกันได้ในงาน Bangkok International Motor Show 2019 ตั้งแต่วันที่ 27 มี.ค. - 7 เม.ย. ที่อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี

ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
  

Like Box