วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

Mercedes-Benz X-Class เปิดตัวรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ "X350d 4MATIC"

   หลังจากที่ค่ายดาวสามแฉก Mercedes-Benz ได้ทำการเปิดตัวกระบะ X-Class ที่ใช้พื้นฐานของกระบะ Navara เมื่อช่วงกลางปี 2017 ที่ผ่านมา แต่จำหน่ายเฉพาะเครื่องยนต์ 4 สูบเท่านั้น คราวนี้ทางค่ายพร้อมเติมเต็มทางเลือกให้มีความครบมากขึ้น ด้วยการเปิดตัว Mercedes-Benz X-Class ในรุ่นย่อย X350d 4MATIC

  ขุมพลังจะทำการติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 3.0 ลิตร V6 ของทาง Mercedes-Benz เอง จะมากับพละกำลังสูงสุด 258 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 550 นิวตัน-เมตรที่ 1,400-3,200 รอบ/นาที สำหรับระบบส่งกำลังจะทำการติดตั้งเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC Plus ทางค่ายให้ข้อมูลว่าเกียร์ตัวนี้จะมีการทำงานที่ต่อเนื่อง ไม่มีสะดุดเวลาเปลี่ยนเกียร์หรือระหว่างขึ้นเขา พร้อมกันนี้ยังติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC มาให้เป็นมาตรฐานด้วย

    Mercedes-Benz X350d 4MATIC ยังมีโหมดการขับขี่ให้เลือกใช้ 5 โหมดด้วยกัน ได้แก่ Comfort , Eco, Sport, Manual และ Offroad พร้อมกันนี้ยังมีระบบ Start/Stop มาให้ซึ่งสามารถทำงานได้แทบทุกโหมดการขับขี่ยกเว้นโหมด Offroad

  นอกจากโหมดการขับขี่ที่กล่าวมาแล้ว ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อของรถยังสามารถปรับได้ 3 โหมดเช่นเดียวกัน ได้แก่ โหมด 4MAT ช่วยควบคุมการทรงตัวของรถได้ดีมากขึ้น , โหมด 4H สามารถขับขี่ความเร็วสูงๆบนเส้นทางออฟโรดได้ และโหมด 4L ที่รองรับการขับขี่บนเส้นทางวิบากหรือลุยทางทุรกันดาร

   Mercedes-Benz ยังบอกอีกว่ารถสามารถไต่ระดับความชันที่ทำมุม 45 องศาได้ และสามารถรองรับการลุยน้ำได้ที่ความลึก 60 เซนติเมตร

  Mercedes-Benz X350d 4MATIC จะนำเสนอด้วยการตกแต่ง 2 แบบคือ
-  Progresstive ได้ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว พวงมาลัยหุ้มหนัง ระบบเครื่องเสียงพร้อมลำโพง 8 ตัว
- Power ได้ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วและการตกแต่งภายในที่หรูหรากว่ารุ่น Progressive

  Mercedes-Benz X350d 4MATIC จะวางจำหน่ายในเยอรมนีช่วงกลางปีนี้ในราคาเริ่มต้นที่ 53,360 ยูโร หรือประมาณ 2,053,000 บาทไทย ไม่รวมภาษี และแน่นอนว่ารถรุ่นนี้ทาง Mercedes-Benz Thailand ไม่มีแผนนำมาขาย เว้นแต่จะมีเกรย์มาร์เก็ตสั่งนำเข้ามาครับ

ที่มา Carscoops

All-New Audi A6 รูปโฉมใหม่ที่มีทั้งความสวยงามหรูหราและเทคโนโลยีล้ำ

  สิ้นสุดการรอคอยสำหรับสาวกสี่ห่วงเมื่อทาง Audi ได้ทำการเผยโฉม All-New Audi A6 เจเนเรชั่นที่ 8 ออกมาให้ได้เชยชมกันแล้ว ก่อนจะมีการโชว์ตัวต่อสาธารณะครั้งแรกภายในงาน Geneva Motor Show 2018 ช่วงเดือนมีนาคมนี้

  ดีไซน์ภายนอกนั้นจะได้แรงบันดาลใจการออกแบบมาจาก Audi A7 และ A8 เจเนเรชั่นล่าสุด มากับกระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมที่มีช่องระบายอากาศใหญ่ขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับไฟหน้าที่ดูมีเหลี่ยมสันมากขึ้น โดยไฟหน้าจะมีทางเลือกให้ลูกค้าถึง 3 แบบ ซึ่งไฟรุ่นท็อปสุดจะเป็นไฟหน้าแบบ Matrix LED พร้อมไฟ Daytime Running Lights ภายในโคม

  เส้นสายด้านข้างยังคงมีกลิ่นอายจากรุ่นที่แล้วอยู่ ได้ถูกขัดเกลาให้มีความเรียบหรูและดูมีมัดกล้ามมากขึ้น ต่อเนื่องไปถึงด้านท้ายที่มากับฝาท้ายพร้อมสปอยเลอร์ในตัว และไฟท้ายพร้อมออปชั่นไฟ LED แนวตั้ง 9 หลอดภายในโคม

   All-New Audi A6 มีขนาดใหญ่กว่ารุ่นก่อนเล็กน้อย โดยมีความยาว 4,939 มิลลิเมตร กว้าง 1,886 สูง 1,457 มิลลิเมตร ภายใต้ฐานล้อยาว 2,924 มิลลิเมตร  ด้วยมิติภายนอกที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้รถมีพื้นที่วางขาด้านหลัง รวมทั้งพื้นที่หัวไหล่และศีรษะเพิ่มขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้รถยังถูกออกแบบให้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอยู่ที่ 0.24

  ภายในห้องโดยสารส่วนใหญ่จะใช้ชิ้นส่วนร่วมกับ Audi A7 เจเนเรชั่นล่าสุดซึ่งก็ได้ออกแบบให้มีความล้ำสมัยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และยังตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพสูง เข้ามาจะพบกับชุดหน้าปัดแบบดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว ตามด้วยหน้าจอระบบ Infotainment ตรงกลางขนาด 10.1 นิ้วและหน้าจอแสดงผลแบบดิจิตอลขนาด 8.6 นิ้วที่ใช้ควบคุมระบบปรับอากาศและฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวกอื่นๆได้ นอกจากนี้ยังมากับเบาะนั่งคู่หน้าดีไซน์ใหม่ที่มาพร้อมกับฟังก์ชั่นปรับอุ่น ระบายอากาศและฟังก์ชั่นนวดบริเวณเบาะคู่หน้า

  นอกเหนือจากที่กล่าวมา All-New Audi A6 ยังมีออปชั่นที่น่าสนใจให้เลือกอีกหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น หลังคาซันรูฟแบบ Panramic , ระบบเครื่องเสียงจาก  Bang & Olufsen , ระบบฟอกอากาศภายในห้องโดยสารพร้อมฟังก์ชั่นกลิ่นหอม รวมทั้งออปชั่นไฟบรรยากาศภายในห้องโดยสารที่จะทำให้คอนโซลด้านหน้าดูลอยเด่นขึ้นมา

  เบื้องต้น All-New Audi A6 จะถูกนำเสนอด้วยทางเลือกเครื่องยนต์ 2 แบบ ได้แก่ เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร TFSI V6 มากับพละกำลังสูงสุดที่ 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก  0-100 กม./ชม. ภายใน 5.1 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 250 กม./ชม.

  ตามด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร TDI V6  มากับพละกำลังสูงสุดที่ 286 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 620 นิวตัน-เมตร ทั้งหมดนี้จะส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ Tiptronic 8 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro

  ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ตัวไหน Audi ก็ได้ทำการติดตั้งระบบ Mild-Hybrid ที่มาพร้อมกับ belt-alternator starter และแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนซึ่งทาง Audi บอกว่าส่งผลให้อัตราสิ้นเปลืองลดลงราวๆ 0.7 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร

  ในด้านการขับขี่ Audi ได้บอกว่ามีการปรับปรุงให้รถมีการขับขี่ที่สปอร์ตกว่าเดิม เนื่องจากมีการปรับปรุงระบบเบรกและพวงมาลัยใหม่ให้มีการตอบสนองดีกว่าเดิม สำหรับระบบช่วงล่างก็จะมีให้เลือกทั้งแบบธรรมดาและระบบช่วงล่างแบบถุงลม ลูกค้ายังสามารถสั่งออปชั่นช่วงล่างแบบสปอร์ตได้ด้วย

  All-New Audi A6 ยังติดตั้งเทคโนโลยีระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่ล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วยจอดอัตโนมัติที่มีฟังก์ชั่นช่วยจอดในโรงรถอัตโนมัติ , ชุดระบบความปลอดภัย City assist package ที่มาพร้อมกับระบบช่วยเตือนเมื่อขับขี่ผ่านทางแยก และชุดระบบ Tour assist package ที่มาพร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Adaptive cruise control ที่สามารถควบคุมความเร็วขณะเข้าโค้งอยู่ในเลนบนถนนได้

  All-New Audi A6 จะทำการเปิดตัวในตลาดบ้านเกิดอย่างเยอรมนีในช่วงเดือนมิถุนายนปีนี้ ในรุ่น A6 50 TDI Quattro ราคาจำหน่าย 58,050 ยูโร หรือประมาณ 2,233,000 บาทไทยไม่รวมภาษี ส่วนเมืองไทยน่าจะมีการนำเข้ามาขายช่วงปลายปีครับ

ที่มา Carscoops

วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ภาพทีเซอร์แรก All-New Toyota Auris / Corolla Hatchback ก่อนเปิดตัวที่เจนีวาเดือนมีนาคมนี้

  ค่ายยักษ์ใหญ่ Toyota เตรียมเปิดตัว All-New Toyota Auris / Corolla Hatchback ภายในงาน Geneva Motor Show 2018 ช่วงต้นเดือนมีนาคมนี้ และล่าสุดก็ได้ทำการปล่อยภาพทีเซอร์แรกออกมาให้ได้เชยชมกันแล้ว

  จะเห็นว่าดีไซน์ภายนอกน่าจะมีความสวยงามและโฉบเฉี่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงกรอบประตูหน้า-หลังที่ออกแบบให้มีความโค้งมนกว่าเดิม และดูเหมือนตัวรถจะเพิ่มความโดดเด่นด้วยการใช้สีแบบทูโทน และอีกจุดที่โดดเด่นก็คือโคมไฟหน้าทรงโฉบเฉี่ยวแบบ LED และไฟท้าย LED

  ส่วนภายในห้องโดยสารอ้างอิงจากภาพแอบถ่ายที่ผ่านๆมาก็จะพบว่าได้ออกแบบให้ดูทันสมัยน่าใช้งานกว่าเดิม ลบล้างดีไซน์ที่ดูเรียบๆเชยๆอย่างรุ่นปัจจุบัน (ที่กำลังจะตกรุ่น) ซึ่งท่านผู้อ่านหลายคนก็ควรติดตามให้ดีเพราะดีไซน์ภายในแบบนี้ รวมทั้งชิ้นส่วนภายนอกจะได้ใช้ร่วมกับ Corolla Altis หรือโฉมซีดานด้วย

  ขุมพลังนั้นทาง Toyota ประกาศว่า จะมีการเปิดตัวคอมแพกต์แฮตซ์แบ็คโฉมใหม่หมดจดคันนี้ พร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรไฮบริดบล็อกใหม่ล่าสุด ซึ่งในการแถลงข่าวเกี่ยวกับเครื่องยนต์ใหม่ของ Toyota ทางผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ได้พูดถึงเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบแบบ Dynamic Force Engine พละกำลัง 169 แรงม้ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิด 205 นิวตัน-เมตที่ 4,800 รอบต่อนาที ส่วนเวอร์ชั่นไฮบริดจะมากับพละกำลัง 144 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 180 นิวตัน-เมตรที่ 4,400 รอบต่อนาที (ยังไม่รวมมอเตอร์ไฟฟ้า)

  สาวกสามห่วงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดครับ

ที่มา Motor1

เผยภาพ Toyota Aygo Minor Change เจ้าจิ๋วหน้าใหม่เตรียมเปิดตัวที่เจนีวา

  หลังจากที่รถแฮตซ์แบ็คคันจิ๋ว (ที่ไม่มีขายในไทย) อย่าง Toyota Aygo วางขายในตลาดมาเกือบๆ 4 ปีแล้ว ก็สมควรแก่เวลาในการปรับหน้าใหม่เสียที ซึ่งล่าสุดทาง Toyota ก็ได้เผยภาพการเปลี่ยนแปลงภายนอกออกมาให้เห็นกันแล้ว

  ดีไซน์ภายนอกจะมีการปรับเปลี่ยนไฟหน้าทรงใหม่ที่ดูยาวกว่าเดิมพร้อมยัดไฟ LED Daytime Running Lights ภายในโคม กระจังและกันชนหน้าใหม่ได้รับการออกแบบที่ยังคงสไตล์ X-Shape เหมือนรุ่นก่อนหน้านี้และออกแบบให้ดูมีมิติมากขึ้น ตัวรถยังคงความโดดเด่นด้วยการสาดสีตัวถังแบบทูโทนเช่นเดิม

ต่อเนื่องไปถึงด้านท้ายที่มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดโคมไฟท้ายใหม่ นอกจากนี้สีตัวถังยังมีทางเลือกสีใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน รวมไปถึงล้อที่มีให้เลือกทั้งแบบล้อกระทะพร้อมฝาครอบและล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 15 นิ้ว

  ทาง Toyota ยังไม่ปล่อยภาพภาพในห้องโดยสารออกมา แต่ทางค่ายก็บอกมาว่าได้มีการปรับปรุงดีไซน์มาตรวัดใหม่ แทบทุกรุ่นจะมาพร้อมกับเบาะนั่งดีไซน์ใหม่และวัสดุการตกแต่งภายในโทนสี Quartz Grey และ Piano Black

จะมี 3 การตกแต่งที่แตกต่างกัน โดยที่ Aygo X-Play รุ่นย่อยกลางจะมาพร้อมกับระบบปรับอากาศแบบธรรมดา , ระบบ Infotainment ชุดหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ต่อเนื่องไปถึงตัวท็อปสุด X-Clusiv ที่จะเพิ่มระบบปรับอากาศอัตโนมัติ , เบาะหนังผสมผ้า ติดตั้งระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense ภายนอกจะมีโทนสีแบบทูโทนพร้อมล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว

  นอกจากนี้ Toyota ยังนำเสนออีก 2 รุ่นพิเศษ นั่นคือ Aygo x-cite มากับโทนสีม่วง-ดำแบบทูโทน ล้ออัลลอยด์ขนาด 15 นิ้วรมดำ ภายในตกแต่งด้วยโทนสีเดียวกับภายนอกและมากับเบาะดีไซน์พิเศษเย็บตะเข็บสีม่วง

  อีกรุ่นก็คือ Aygo X-Trend จะมากับโทนสีภายนอกสีดำพร้อมสติ๊กเกอร์คาดตัวรถสีฟ้า ภายในห้องโดยสารก็จะมีโทนสีเดียวแบบภายนอกรวมทั้งเบาะรถด้วย

  สำหรับขุมพลังนั้น รถคันนี้จะวางเครื่องยนต์ความจุ 998 ซีซีซึ่งปรับปรุงให้มีอัตราส่วนกำลังอัดเครื่องยนต์สูงและมีหัวจีดจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบใหม่ รวมทั้งปรับปรุงเพลาสมดุลเครื่องยนต์ใหม่เพื่อลดการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ในรอบเดินเบา การปรับปรุงนี้ทำให้รถมีพละกำลังที่ 72 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 93 นิวตัน-เมตร

  สำหรับอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาอยู่ที่ 13.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 160 กม./ชม. (99 ไมล์ต่อชั่วโมง) สำหรับอัตราสิ้นเปลืองจะอยู่ที่ 25.4 กม.ลิตร และอัตราการปล่อยไอเสียที่ 90 กรัมต่อกิโลเมตร
 
  และแน่นอนว่ารถคันนี้ไม่มีจำหน่ายในไทยครับ...

ที่มา Carscoops

วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เผยภาพชุดแรก All-New Nissan Terra รถ SUV พื้นฐาน Navara ก่อนเปิดตัวครั้งแรกที่จีนเดือนเมษายนนี้

   ก่อนหน้านี้ก็มีภาพหลุดจากจีนมาให้ได้เชยชมกันแล้ว ล่าสุดทาง Nissan ได้เผยภาพชุดแรกของ All-New Nissan Terra พร้อมคลิปทีเซอร์มาให้ชมกันแล้ว ก่อนจะมีการเปิดตัวจริงครั้งแรกภายในงาน Beijing Auto Show 2018 ช่วงเดือนเมษายนนี้

  ก็เหมือนกับภาพที่เคยหลุดๆออกมา จะเห็นว่าดีไซน์ด้านหน้าจะมีความแตกต่างจากกระบะ Navara อย่างชัดเจน เสมือนเป็นการนำใบหน้าของกระบะ Navara มาขัดเกลาให้ดูทันสมัยขึ้น ภายนอกจะมากับโคมไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟ Daytime Running Lights ภายในโคม กระจังหน้าทรงใหม่แบบ V-Motion ขนาดใหญ่โตกว่า Navara รวมทั้งออกแบบกันชนหน้าให้ดูทันสมัยมากขึ้น 


เส้นสายของตัวรถมีดีไซน์ค่อนข้างมีความเรียบง่ายไม่หวือหวา มากับราวหลังคาแบบแนบติดกับหลังคารถ ต่อเนื่องไปถึงด้านท้ายที่มากับโคมไฟท้ายแนวนอนดีไซน์เรียบๆ สำหรับล้อในภาพจะเป็นล้อลายใหม่ขนาด 18 นิ้ว


  ภายในห้องโดยสารมีภาพปล่อยออกมาเพียงภาพเดียวเท่านั้น ใครที่คาดหวังการเปลี่ยนแปลงให้ต่างจาก Navara อาจจะต้องผิดหวังเพราะดีไซน์ภายในนั้นไม่ได้มีความต่างจากกระบะ Navara เลยแม้แต่น้อย มีเพียงแค่การตกแต่งบางจุดที่ต่างกัน อย่างเช่น บริเวณกลางแดชบอร์ดแถวๆหน้าจอสัมผัสตกแต่งด้วยลายไม้สีดำ นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งระบบปรับอากาศตอนหลังที่ช่องเก็บของที่คอนโซลกลางมาด้วยเหมือนในกระบะ Navara ส่วนรายละเอียดการตกแต่งส่วนอื่นๆหรือเรื่องการจัดวางเบาะยังไม่มีออกมาตอนนี้

   ขุมพลังของรถนั้นยังไม่มีการปล่อยข้อมูลออกมา แต่มีการคาดการณ์ว่าในตลาดจีนจะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินรหัส QR25 ความจุ 2.5 ลิตร ให้พละกำลังสูงสุด 184 แรงม้า

สำหรับตลาดอื่นๆคาดว่าจะมากับเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.3 ลิตร dCi พละกำลัง 163 แรงม้าและบล็อกเดียวกันแต่เป็นเทอร์โบคู่ที่สามารถเค้นสมรรถนะออกมาได้ 190 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดและเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด

และอีกเครื่องยนต์หนึ่งก็คือ เครื่องดีเซลรหัส YD25DDTi ความจุ 2.5 ลิตร 4 สูบแถวเรียง เทอร์โบแปรผัน VGS อินเตอร์คูลเลอร์ ที่มีพละกำลัง 2 ระดับ ได้แก่ 163 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 403 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที และ 190 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาทีแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดและเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด

  สำหรับในไทยตอนนี้ก็ได้มีรถทดสอบออกมาวิ่งแล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณว่าจะมีการเปิดตัวภายในช่วงปีนี้แน่นอน แต่การเปิดตัวจะอยู่ในช่วงไหนของปีต้องติดตามครับ

ที่มา Carscoops

วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

All-New Peugeot 508 นิยามใหม่ของซีดานหรูจากแดนน้ำหอม

  ในขณะที่ลูกค้าหลายๆคนเริ่มหันหนีจากรถแนวซีดานหันไปเล่นรถอเนกประสงค์พวก SUV หรือครอสโอเวอร์มากขึ้นอันเนื่องมาจากอรรถประโยชน์ที่มากกว่า แต่ทางค่ายสิงโตจากฝรั่งเศสอย่าง Peugeot ก็ยังคงยึดมั่นทำตลาดรถเก๋งต่อไป

  และล่าสุดทางค่ายก็ได้เปิดตัว All-New Peugeot 508 ที่ได้ปรับเปลี่ยนแนวการออกแบบจากซีดาน 4 ประตูธรรมดา และเป็นรถสปอร์ตซีดานทรงฟาสต์แบ็ค 5 ประตูแทน โดยหมายมั่นมาแข่งกับค่ายเยอรมันอย่าง Audi A5 Sportback

   All-New Peugeot 508 ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม EMP2 ของ PSA Group ซึ่งใช้ในรถหลากหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Peugeot 5008 SUV หรือ DS7 Crossback โดย Peugeot ให้ข้อมูลว่ารถมีน้ำหนักเบาลง 70 กิโลกรัม ในรุ่นสูงๆขึ้นก็จะมีพวงมาลัยพาวเวอร์แบบไฟฟ้าและช่วงล่างด้านหลังแบบมัลติลิงก์มาด้วย

  เห็นชัดเจนว่า All-New Peugeot 508 จะมีดีไซน์ที่พลิกโฉมจากรุ่นก่อนอย่างมากทีเดียว ภายนอกมากับการออกแบบตามแนวทางของ Peugeot ยุคใหม่ มากับโคมไฟหน้าทรงเฉียบคมพร้อมออกแบบกระจังหน้าให้เชื่อมติดกับไฟหน้าและยังมีลูกเล่นไฟ LED ที่ลากยาวมาถึงกันชนด้วน เส้นสายด้านข้างดูปราดเปรียวและทะมัดทะแมงกว่าเดิม ต่อเนื่องไปถึงด้านท้ายที่มากับแนวหลังคาที่ลาดเอียงตามสไตล์รถคูเป้ และไฟท้าย LED ดีไซน์ล้ำสมัย

  ภายนอกมีสัดส่วนที่ลดลงจากรุ่นเก่า โดยมีความยาวที่ 4,750 มิลลิเมตร (สั้นลง 80 มิลลิเมตร) ความสูง 1,400 มิลลิเมตร (เตี้ยลง 56 มิลลิเมตร) ระยะฐานล้อยาว 2,750 มิลลิเมตร (สั้นลง 67 มิลลิเมตร) แม้จะดูมีขนาดเล็กลงแต่เนื้อที่จุสัมภาระด้านหลังกลับเพิ่มขึ้นด้วยเพราะการออกแบบฝาท้ายแบบ Liftback (เปิดฝากระโปรงท้าย+กระจกบานท้ายทั้งยวง) ทำให้มีความจุเพิ่มจาก 473 เป็น 485 ลิตร

  ภายในห้องโดยสารมีการออกแบบที่ดูล้ำสมัยมากขึ้นตามสไตล์ค่ายสิงโต ติดตั้งมาตรวัดแบบดิจิตอลมาให้ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย สำหรับพื้นที่ด้านหลังนั้นก็ได้ถูกขยายให้เพิ่มขึ้นจากเดิม 30 มิลลิเมตร

  สำหรับระบบความปลอดภัยก็ได้ติดตั้งฟังก์ชั่นทันสมัยหลายอย่างที่ลูกค้าคาดหวังว่าควรมีในรถระดับนี้ รวมทั้งระบบมองภาพกลางคืน Night Vision System โดยใช้การทำงานจากกล้องอินฟราเรดตรวจจับคนเดินบนทางเท้าได้ในพื้นที่ที่แสงน้อย

  ในช่วงแรกนั้น All-New Peugeot 508 จะมีทางเลือกขุมพลัง 5 แบบ ได้แก่ เครื่องยนต์เบนซิน 2 เครื่องที่พละกำลัง 180-225 แรงม้า PS ตามด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 3 สูบ พละกำลัง 130-180 แรงม้า ในเครื่องยนต์ดีเซล 130 แรงม้าจะมีทางเลือกเกียร์ธรรมดา 6 สปีดมาให้ นอกนั้นจะมีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดเท่านั้น และทาง Peugeot ยังบอกว่าในช่วงก่อนสิ้นปีนี้จะมีการแนะนำเวอร์ชั่น Plug-In Hybrid ด้วย

  All-New Peugeot 508 จะนำไปเปิดตัวต่อสาธารณะชนครั้งแรกในงาน Geneva Motor Show 2018 เดือนมีนาคมนี้ จะมีการผลิตที่โรงงานของ PSA ในมูว์ลูซ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งการขายจริงจะเริ่มต้นในเดือนกันยายน

ที่มา Carscoops
 

วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

Nissan กำลังศึกษาการสร้าง Navara เวอร์ชั่นฮาร์ดคอร์มาต่อกรกับ Ford Ranger Raptor

  การมาของ Ford Ranger Raptor ถือเป็นการปูทางตลาดกระบะสมรรถนะสูง ซึ่งยังรอคอยคู่แข่งทั้งหลายที่จะทำรถแนวนี้ออกมาเชือดเฉือนยอดขายกัน สำหรับคู่แข่งรายอื่นตอนนี้ก็กำลังสำรวจถึงความคิดและความต้องการในกลุ่มตลาดกระบะสมรรถนะสูงอยู่ รวมถึง Nissan ก็กำลังมีความสนใจที่จะทำ Navara เวอร์ชั่นฮาร์ดคอร์ออกมาแข่งกับ Ford Ranger Raptor ด้วยเช่นกัน

  นาย Stephen Lester กรรมการผู้จัดการของ Nissan Australia และลูกทีมของเขาได้ไปพบกับผู้บริหารระดับสูงของ Renault-Nissan เพื่อชี้แจงถึงความสนใจในการพัฒนากระบะ Nissan Navara สมรรถนะสูงออกมาแข่งกับ Ford Ranger Raptor

  ซึ่งผู้บริหารระดับสูงอย่างนาย Ashwani Gupta ที่เป็นหัวเรือใหญ่ในการดูแลรถเพื่อการพาณิชย์ของ Renault-Nissan ทั่วโลก บอกกล่าวหลังจากได้พูดคุยกับผู้บริหาร Nissan Australia ว่า "ถ้าถามถึงการสร้างรถคู่แข่ง Ford Ranger Raptor นี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญอันดับแรกของเรา แต่อย่างไรก็ตามมันก็เป็นโอกาสที่เราจะศึกษามัน ผมคิดว่าออสเตรเลียถือเป็นตลาดที่ทำให้ความเคลื่อนไหวหรือการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มตลาดกระบะ 1 ตันด้วย"

   ซึ่งถ้าหาก Nissan จะทำตลาด Navara เวอร์ชั่นฮาร์ดคอร์จริงขึ้นมา ก็ต้องมีการปรับแต่งครั้งใหญ่นั่นรวมถึงการอัปเกรดช่วงล่างให้มีความแข็งแกร่งเพื่อรับกับพละกำลังที่แรงขึ้นด้วย ทาง Nissan สามารถทำได้อย่างง่ายดายเพราะมีเทคโนโลยีทุกอย่างที่สามารถสร้างรถแบบนี้ขึ้นมาได้ แต่สิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดนั่นคือเครื่องยนต์ อันเป็นสิ่งที่ตอนนี้ Nissan กำลังศึกษาอยู่

  นั่นทำให้ Mercedes-Benz X-Class เข้ามาเป็นหนึ่งในสมการสำคัญที่จะมาตอบโจทย์เรื่องเครื่องยนต์ได้ เพราะตอนนี้ X-Class มีเครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร V6 อยู่แต่ Nissan Navara ไม่มี และด้วยการทำตลาดในระดับพรีเมี่ยมกว่าทำให้เกรงว่าจะไปแย่งส่วนแบ่งยอดขายกัน

  เรื่องนี้นาย Gupta ตอบว่า "เมื่อเราศึกษาข้อมูลแล้วถ้าเกิดมันสมเหตุสมผลกับลูกค้าและกับธุรกิจของเรา เราก็จะทำมัน" และเนื่องจากนาย Gupta ได้รับผิดชอบในการดูแลกลุ่มกระบะในเครือพันธมิตรอย่าง Renault Alaskan และ Mitsubishi Triton ด้วย โอกาสที่จะทำรถเหล่านี้มาแข่งกับ Ranger Raptor ก็มีด้วยเช่นกัน "เรามี 3 แบรนด์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นหากลูกค้า Mitsubishi หรือ Renault ต้องการรถแนวนี้เราก็จะทำมันเช่นกัน เรายังมีเทคโนโลยีทุกอย่างรองรับ อย่าง Nissan ก็มี Nismo หรือ Renault ก็มี Renaultsports และ Mitsubishi ก็มี Ralliart" นาย Gupta กล่าว ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้วมันก็จะมีดีคือ สามารถควบคุมต้นทุนการพัฒนาให้ถูกลงได้

  ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว สาวก Nissan ก็มาติดตามต่อไปว่า Navara เวอร์ชั่นคู่แข่ง Ford Ranger Raptor จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่..

ที่มา Motoring 

 

วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ชม Toyota Yaris Minor Change เวอร์ชั่นตลาดอิเหนา

   หลังจากการเปิดตัว Toyota Yaris Minor Change ในประเทศไทยเมื่อช่วงเดือนกันยายนปี 2017 ที่ผ่านมา ล่าสุดคราวนี้ทางประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างอินโดนีเซียก็ได้มีการแนะนำ Yaris Minor Change เรียบร้อยแล้วเช่นกัน จะมีรายละเอียดอะไรที่แตกต่างจากไทยบ้างไปชมกันเลยครับ

  ความต่างอย่างแรกเลยคือ Yaris Minor Change เวอร์ชั่นอินโดนีเซียจะทำการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินความจุ 1.5 ลิตร Dual VVT-i มากับพละกำลัง 107 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 140 นิวตัน-เมตรที่ 4,200 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีดหรือเกียร์อัตโนมัติ CVT 7 สปีด

  ภายนอกของ Yaris Minor Change เวอร์ชั่นอินโดนีเซีย จะมีการตกแต่งที่แตกต่างจากไทยหลายจุด ที่ประเทศเขาจะมีรุ่น TRD Sportivo เป็นรุ่นท็อปสุดที่จะติดตั้งชุดแต่งรอบคันด้วย นอกจากนี้ก็จะมากับไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์พร้อมวงแหวนสีแดง , ไฟ LED  Daytime Running Lights , กระจกมองข้างสีดำพร้อมแถบสติ๊กเกอร์แดง , คิ้วกันสาด , สปอยเลอร์ท้ายดีไซน์พิเศษ , ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้วปัดขอบเงาดำ

ส่วนรุ่นย่อย G ออปชั่นก็ลดหลั่นลงมาจากรุ่น TRD Sportivo , จะได้ไฟหน้าโปรเจคเตอร์แต่ไม่มีวงแหวนแดง ไม่มีไฟ LED DRL , ไม่มีชุดแต่งรอบคัน , ไฟเลี้ยวติดบริเวณแก้มด้านข้างแทนที่จะติดตรงกระจกมองข้าง

และรุ่นล่างสุด E ก็จะได้ไฟหน้าแบบฮาโลเจน , ไม่มีไฟตัดหมอกและได้ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้วเหมือนที่ขายในไทย

  ภายในห้องโดยสารรุ่น TRD Sportivo จะมากับพวงมาลัยหุ้มหนังพร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง , Paddle  shift และโหมด Sport / Eco (สำหรับรุ่นเกียี์ CVT เท่านั้น), มาตรวัดแบบ Optitron พร้อมจอ MID ขนาดใหญ่ (เหมือนใน Yaris ATIV ตัวท็อปในไทย) , ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ , ระบบอินโฟเทนเมนต์จะมากับหน้าจ DVD-AVX ขนาด 7 นิ้วพร้อมรองรับ Miracast, Weblink และลำโพง 6 ตัว

  ทางด้านระบบความปลอดภัยของรถ ทุกรุ่นจะติดตั้งระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS , ระบบกระจายแรงเบรก EBD , ระบบเสริมแรงเบรก BA , ระบบควบคุมการทรงตัว VSC , ระบบป้องกันการลื่นไถล TRC , ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC , ถุงลมนิรภัย 7 ใบ

  Toyota Yaris เวอร์ชั่นอินโดนีเซียจะมีทั้งหมด 6 รุ่นย่อย ได้แก่
- E M/T ราคา 235,400,000 รูเปียห์ หรือประมาณ 543,000 บาท
- E CVT ราคา 247,000,000 รูเปียห์ หรือประมาณ 570,000 บาท
- G M/T ราคา 243,700,000 รูเปียห์ หรือประมาณ 562,000 บาท
- G CVT ราคา 254,700,000 รูเปียห์ หรือประมาณ 587,000 บาท
- TRD Sportivo M/T ราคา 264,100,000 รูเปียห์ หรือประมาณ 609,000 บาท
- TRD Sportivo CVT ราคา 275,900,000 รูเปียห์ หรือประมาณ 636,000 บาท

ที่มา Toyota Indonesia

All-New Hyundai Santa Fe โฉมใหม่ของอเนกประสงค์คันงามจากแดนกิมจิ

  ค่ายรถยักษ์ใหญ่แดนกิมจิอย่าง Hyundai ได้ทำการเปิดตัว All-New Hyundai Santa Fe ที่ประเทศบ้านเกิดอย่างเกาหลีใต้เป็นที่เรียบร้อย

  การเปลี่ยนโฉมครั้งนี้ทาง Hyundai ยังเตรียมที่จะจัดระเบียบชื่อว่า โดยรุ่น 5 ที่นั่งแต่เดิมที่เคยเรียกว่า "Santa Fe Sport" จะเปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า "Santa Fe" แทน ส่วนรุ่นฐานล้อยาว 3 แถว 7 ที่นั่งจากเดิมที่เรียกว่า "Santa Fe" ก็จะเปลี่ยนมาใช้ "Santa Fe XL" แทน ทาง Hyundai ยังคอนเฟิร์มแผนการพัฒนาเวอร์ชั่น 3 แถว 8 ที่นั่งอีกด้วย ซึ่งรุ่นนี้ก็จะมีชื่อใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน

  ดีไซน์ภายนอกถือเป็นยกระดับความสวยงามมากยิ่งขึ้นจากโฉมก่อนหน้า ดีไซน์ก็จะเป็นไปตาม Hyundai ยุคใหม่ มากับกระจังหน้าตะแกรงรังผึ้งขนาดใหญ๋โตพร้อมแถบโครเมี่ยมที่ลากยาวจรดไฟหน้าที่ออกแบบให้เป็นแบบ 2 ชั้น ต่อเนื่องไปถึงด้านท้ายที่มากับโคมไฟแบบ LED ทรงเรียว

  เมื่อดูขนาดตัวรถแล้ว Hyundai Santa Fe โฉมใหม่จะมีขนาดความยาว 4,770 มิลลิเมตร (ยาวขึ้น 70 มิลลิเมตร), กว้าง 1,890 มิลลิเมตร (กว้างขึ้น 10 มิลลิเมตร)และสูง 1,680 มิลลิเมตร มากับระยะฐานล้อยาว 2,765 มิลลิเมตร (ยาวขึ้น 65 มิลลิเมตร)

   ด้วยขนาดตัวถังที่ใหญ่ขึ้นขีดความสามารถในการบรรทุกของก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ในรุ่น 5 ที่นั่ง มีความจุสัมภาระเพิ่มขึ้นจาก 585 ลิตรเป็น 625 ลิตร ส่วนรุ่น 7 ที่นั่งจะสามารถเก็บสัมภาระได้ 130 ลิตร

  ภายในห้องโดยสารออกแบบใหม่ตามแนว Hyundai ยุคใหม่ มีความทันสมัยน่าใช้งานมากยิ่งขึ้น การจัดวางปุ่มต่างๆออกแบบให้ใช้งานง่ายกว่าเดิม มากับชุดมาตรวัดแบบดิจิตอล พร้อมจอ Head-Up Display ผู้ขับขี่ยังจะได้พบกับระบบอินโฟเทนเมนต์ที่ทันสมัย ซึ่งมาพร้อมหน้าจอทรง Tablet ตั้งตรงกลางแดชบอร์ด รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และมีระบบจดจำเสียง

  ทางด้านระบบความปลอดภัยก็จัดมาเต็มไม่มีกั๊ก ไม่ว่าจะเป็นระบบป้องกันการชนด้านหน้า Frontal Collision Avoidance , ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง Lane Departure Assistance , ระบบ Smart Cruise Control พร้อมฟังก์ชั่น Stop & Go , ระบบช่วยขับขี่เมื่อขับบนทางด่วน  Highway Driving Assistance , ระบบเตือนการชนจากทางด้านหลัง Rear Collision Warning System และอีกมากมาย

  สำหรับตลาดเกาหลีใต้ Santa Fe จะมีเครื่องยนต์ให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร T-GDI เทอร์โบชาร์จ 4 สูบ มากับพละกำลัง 235 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 353 นิวตัน-เมตร ตามด้วยเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร พละกำลัง 186 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 402 นิวตัน-เมตร และเครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่ 2.2 ลิตรมากับพละกำลัง 202 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 441 นิวตัน-เมตร สำหรับตลาดอื่นๆก็จะมีทางเลือกเครื่องยนตดีเซล 2.0 GDi , เบนซิน 2.4 MPI และ 3.3 ลิตร MPI ด้วย ทุกรุ่นจะส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเป็นมาตรฐานทุกรุ่น

  ราคาค่าตัวของ All-New Hyundai Santa Fe เริ่มต้นที่ 28.15 ล้านวอน หรือประมาณ 820,675 บาทไทย ไม่รวมภาษี และ Hyundai ยังกล่าวอีกว่าตอนนี้มียอดจองแล้วว่า 14,243 คันแล้ว

ที่มา Carscoops

Like Box