วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ข้อมูลและสเปค Honda CR-V Minor Change ปรับโฉมและเพิ่มออปชั่นให้ครบครันขึ้น

    Honda ประเทศไทย ได้ฤกษ์เปิดตัว CR-V รุ่นปรับโฉม Minor Change หลังจากเลื่อนเปิดตัวมาตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมจากผลกระทบ COVID-19 คราวนี้ได้รับการปรับโฉมรวมทั้งเพิ่มออปชั่นกับความปลอดภัยให้ครบครันมากยิ่งขึ้น
 
การออกแบบภายนอกนั้นความแตกต่างจากรุ่นเดิมคือ มากับโคมไฟหน้า LED แบบรมดำ เช่นเดียวกับไฟท้ายที่ยังคงรายละเอียดเดิมแต่รมดำเช่นกัน มีการปรับปรุงรายละเอียดกันชนหน้าใหม่พร้อมคาบแถบสีเงินและสีดำ ด้านท้ายมากับกันชนท้ายที่เติมแถบสีเงินเพิ่มความหรู เสริมด้วยโครเมียมรมดำคาดฝาท้าย
การเปลี่ยนแปลงอื่นๆก็จะมี
- เพิ่มหลังคาซันรูฟไฟฟ้าแบบพาโนรามา เฉพาะรุ่น 4WD
- เพิ่มไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ LED Sequential ทุกรุ่น
- ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED ทุกรุ่น (4WD ทุกรุ่นจะเป็นแบบสปอร์ต LED)
- ระบบปรับน้ำฝนด้านหน้าอัตโนมัติ จากที่มีแค่ 4WD คราวนี้มีทุกรุ่น
- ล้อ 18 นิ้วได้ลายใหม่

  ส่วนภายในห้องโดยสารยังคงดีไซน์เดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ก็ได้เพิ่มออปชั่นหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็น
- กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ เพิ่มมาในทุกรุ่น
- อุปกรณ์ชาร์จไฟไร้สาย Wireless Charger เฉพาะรุ่น 4WD
- ระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งคนขับ Memory Seat  เฉพาะรุ่น 4WD
- เพิ่มระบบ Honda Connect เฉพาะดีเซลท็อป

ขุมพลังยังคงมีทางเลือก 2 แบบไม่เปลี่ยนแปลง
  - เครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC มากับพละกำลัง 173 แรงม้าที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 224 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมระบบ Shifting Control of Cornering Gravity & G Design Shift
- เครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-DTEC 2 STAGE TURBO มากับพละกำลัง 160 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร 2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด พร้อม Paddle Shift

ทุกขุมพลังมีระบบขับเคลื่อนให้เลือกทั้งแบบระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ (REAL TIME™ AWD)

   ส่วนความปลอดภัยในทุกรุ่นจะมีการติดตั้งดังนี้
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control System)
  • ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)
  • ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver Attention Monitor)
  • ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock)
  • ถุงลมคู่หน้าอัจฉริยะ (Dual i-SRS)
  • ถุงลมด้านข้างคู่หน้าอัจฉริยะ(i-Side Airbags)
  • ม่านถุงลมด้านข้าง (Side Curtain Airbags)
  • ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS)
  • ระบบกระจายแรงเบรก (EBD)
  • ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA)
  • ระบบช่วยควบคุมการบังคับพวงมาลัย (MA-EPS)
  • ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA)
  • สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS)
  • ระบบเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ (Agile Handling Assist)
  • ระบบล็อกประตูรถอัตโนมัติ (Auto Door Lock by Speed)
  • กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ
  • จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX & Child Anchor)
  • ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer พร้อมระบบสัญญาณกันขโมย
เฉพาะรุ่นท็อปสุดดีเซลจะได้ชุดความปลอดภัย Honda Sensing ที่ประกอบด้วย
  • ระบบเตือนการชนด้านหน้าและตรวจจับคนเดินถนนด้วยกล้องและเรดาร์พร้อมระบบช่วยเบรก Collision Mitigation Braking System (CMBS) 
  • ระบบแจ้งเตือนและช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ Lane Keeping Assist System (LKAS) 
  • ระบบแจ้งเตือนและช่วยเหลือเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ Road Departure Mitigation (RDM) with Lane Departure Warning (LDW)
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Auto High-Beam (AHB)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมระบบปรับความเร็วตามรถคันหน้าที่ความเร็วต่ำ Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow (ACC with LSF)
สีตัวถังภายนอกมีให้เลือก 5 สี ได้แก่
- สีใหม่! สีน้ำเงินคอสมิก Cosmic Blue Metallic (เฉพาะรุ่น 4WD)
- สีขาว White Orchid Pearl (เพิ่ม 12,000 บาท)
- สีดำ Crystal Black Pearl (เพิ่มเงินอีก 8,000 บาท)
- สีเทา Modern Steel Metallic
- สีเงิน Lunar Silver Metallic 

ส่วนราคาจำหน่ายของรถจะมีดังนี้ครับ
5 ที่นั่ง
- 2.4 S ราคา 1,369,000 บาท (+10,000 บาท)
- 2.4 ES 4WD ราคา 1,529,000 บาท (+30,000 บาท)
7 ที่นั่ง
- 2.4 E ราคา 1,419,000 บาท (+10,000 บาท)
- 2.4 EL 4WD ราคา 1,579,000 บาท (+30,000 บาท)
- 1.6 DT EL 4WD ราคา 1,759,000 บาท (+60,000 บาท)
* ยกเลิกทำตลาดรุ่น 1.6 DT E 

ข้อมูลสเปคและออปชั่นแต่ละรุ่นย่อยของ Honda CR-V Minor Change
* มิติตัวถังภายนอก ยาว 4,571 มิลลิเมตร กว้าง 1,855 มิลลิเมตร สูง 1,679-1,689 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,662 มิลลิเมตร ความสูงใต้ท้องรถ 198-208 มิลลิเมตร ความจุถังน้ำมัน 57 ลิตร น้ำหนักรถ 1,545-1,754 กิโลกรัม
* ระบบพวงมาลัยแบบดูอัลพิเนียน พร้อมพาวเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (DP-EPS) รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.5 เมตร
* ระบบเบรกหน้าดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อน / ระบบเบรกหลังแบบดิสก์เบรก
* ระบบกันสะเทือนหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัทอิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง / ระบบกันสะเทือนหลังมัลติลิงก์อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง

2.4 S ราคา 1,369,000 บาท
อุปกรณ์มาตรฐานภายนอก
  • ไฟหน้าแบบ LED
  • ไฟท้ายแบบ LED
  • ไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ LED Sequential
  • ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED
  • ระบบไฟหน้าปรับระดับสูง/ต่ำอัตโนมัติ (Auto Leveling Headlight)
  • ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
  • ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED
  • กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวในตัว
  • กระจกมองข้างพับเก็บอัตโนมัติ (ควบคุมด้วยรีโมท)
  • ระบบปัดน้ำฝนด้านหน้าแบบอัตโนมัติ
  • ระบบปัดน้ำฝนด้านหลัง
  • ฝากระโปรงท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมระบบแฮนด์ฟรี
  • สปอยเลอร์หลัง
  • ล้ออัลลอย (5 วง) ขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง 235/65 R17
  • เสาอากาศครีบฉลาม
อุปกรณ์มาตรฐานภายใน
  • สีภายในสีดำ
  • ชุดตกแต่งภายในสีเงินและสีดำ Piano Black
  • พวงมาลัยและเบาะนั่งหุ้มหนังแท้และวัสดุหนังสังเคราะห์
  • ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์แบบอัจฉริยะ (One Push Ignition System)
  • ระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะ (Honda Smart Key System)
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้าย/ขวา
  • พวงมาลัยปรับระดับ 4 ทิศทาง
  • กระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติ
  • ช่องปรับอากาศตอนหลัง
  • ช่องจ่ายไฟสำรอง
  • ไฟอ่านแผนที่ด้านหน้าแบบ LED
  • ไฟอ่านหนังสือด้านหลังแบบ LED
  • ไฟส่องสว่างห้องสัมภาระท้าย
  • เบาะนั่งด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมปุ่มปรับดันหลัง 4 ทิศทาง
  • เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง
  • พนักเท้าแขนด้านหลังพร้อมที่วางแก้วน้ำ
  • ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้วแบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay
  • พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นพร้อมปุ่มควบคุม
  • ระบบเครื่องเสียง และปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์
  • รองรับการเชื่อมต่อ Smartphone
  • รองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri
  • ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย (Bluetooth)
  • ช่องเชื่อมต่อ USB 4 ตำแหน่ง
  • ระบบควบคุมเสียงรบกวนเข้าห้องโดยสาร (ANC)
  • ลำโพง 8 ตัว (รวมทวีตเตอร์)
  • ปุ่ม ECON
  • ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake)
  • ระบบ Auto Brake Hold
  • มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT
ระบบความปลอดภัย
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control System)
  • ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)
  • ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver Attention Monitor)
  • ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock)
  • ถุงลมคู่หน้าอัจฉริยะ (Dual i-SRS)
  • ถุงลมด้านข้างคู่หน้าอัจฉริยะ(i-Side Airbags)
  • ม่านถุงลมด้านข้าง (Side Curtain Airbags)
  • ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS)
  • ระบบกระจายแรงเบรก (EBD)
  • ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA)
  • ระบบช่วยควบคุมการบังคับพวงมาลัย (MA-EPS)
  • ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA)
  • สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS)
  • ระบบเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ (Agile Handling Assist)
  • ระบบล็อกประตูรถอัตโนมัติ (Auto Door Lock by Speed)
  • กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ
  • จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX & Child Anchor)
  • ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer พร้อมระบบสัญญาณกันขโมย
2.4 E ราคา 1,419,000 บาท (เพิ่มเงิน 50,000 บาทจากรุ่น 2.4 S)
อุปกรณ์มาตรฐานภายนอก (เพิ่มจากรุ่น 2.4 S)
  • ไม่มีอะไรต่างจาก 2.4 S
อุปกรณ์มาตรฐานภายใน (เพิ่มจากรุ่น 2.4 S)
  • เบาะนั่งแถวที่ 3
  • ระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารแถวที่ 3
ระบบความปลอดภัย (เพิ่มจากรุ่น 2.4 S)
  • ไม่มีอะไรต่างจาก 2.4 S
2.4 ES 4WD ราคา 1,529,000 บาท (เพิ่มเงิน 160,000 บาทจากรุ่น 2.4 S)
* เพิ่มขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ (REAL TIME™ AWD)
อุปกรณ์มาตรฐานภายนอก (เพิ่มจากรุ่น 2.4 S)
  • หลังคาซันรูฟไฟฟ้าแบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof)
  • ระบบไฟหน้าปรับระดับสูง/ต่ำอัตโนมัติ (Auto Leveling Headlight)
  • ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบสปอร์ต 5 LED
  • ล้ออัลลอย (5 วง) ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 235/60 R18
อุปกรณ์มาตรฐานภายใน (เพิ่มจากรุ่น 2.4 S)
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้าย/ขวา i-Dual Zone
  • อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger)
  • ระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งของผู้ขับขี่ (Driver Memory Seat)
  • ระบบนำทางเนวิเกเตอร์
ระบบความปลอดภัย (เพิ่มจากรุ่น 2.4 S)
  • ไม่มีอะไรต่างจาก 2.4 S
2.4 EL 4WD ราคา 1,579,000 บาท (เพิ่มเงิน 50,000 บาทจากรุ่น 2.4 ES 4WD)
อุปกรณ์มาตรฐานภายนอก (เพิ่มจากรุ่น 2.4 ES 4WD)
  • ไม่มีอะไรต่างจาก 2.4 S
อุปกรณ์มาตรฐานภายใน (เพิ่มจากรุ่น 2.4 ES 4WD)
  • เบาะนั่งแถวที่ 3
  • ระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารแถวที่ 3
ระบบความปลอดภัย (เพิ่มจากรุ่น 2.4 ES 4WD)
  • ไม่มีอะไรต่างจาก 2.4 S
DT EL 4WD ราคา 1,759,000 บาท (เพิ่มเงิน 180,000 บาทจากรุ่น 2.4 EL 4WD)
อุปกรณ์มาตรฐานภายนอก (เพิ่มจากรุ่น 2.4 EL 4WD)
  • ไม่มีอะไรต่างจาก 2.4 S
อุปกรณ์มาตรฐานภายใน (เพิ่มจากรุ่น 2.4 EL 4WD)
  • ไม่มีระบบควบคุมเสียงรบกวนเข้าห้องโดยสาร (ANC)
  • ระบบเชื่อมต่อ Honda CONNECT
  • ระบบเกียร์ไฟฟ้าแบบสวิตช์
  • ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift)
  • ระบบ IDLE STOP พร้อมสวิตช์ เปิด-ปิด
ระบบความปลอดภัย (เพิ่มจากรุ่น 2.4 EL 4WD)
  • ระบบเตือนการชนด้านหน้าและตรวจจับคนเดินถนนด้วยกล้องและเรดาร์พร้อมระบบช่วยเบรก Collision Mitigation Braking System (CMBS) 
  • ระบบแจ้งเตือนและช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ Lane Keeping Assist System (LKAS) 
  • ระบบแจ้งเตือนและช่วยเหลือเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ Road Departure Mitigation (RDM) with Lane Departure Warning (LDW)
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Auto High-Beam (AHB)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมระบบปรับความเร็วตามรถคันหน้าที่ความเร็วต่ำ Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow (ACC with LSF)

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ส่องข้อมูลและสเปค All-New Toyota Corolla Cross รถ SUV รุ่นใหม่จากเจ้าตลาด พร้อมท้ารบคู่แข่งแล้วตอนนี้

     สิ้นสุดการรอคอย หยุดทุกการคาดเดา เมื่อทาง Toyota Motor Thailand ได้ทำการเปิดตัวรถ SUV รุ่นใหม่ "All-New Toyota Corolla Cross" เป็นครั้งแรกในโลก นับว่าคันนี้ถือว่าเป็นการเติมเต็มจุดบอดในส่วนที่ C-HR นั้นไม่สามารถให้ได้นั่นเอง 

  แม้ว่า Toyota จะบอกว่าคันนี้เป็น C-Segment SUV แต่ตำแหน่งทางการตลาดนั้นก็ยังคงเป็นคู่แข่งกับ Honda HR-V, Mazda CX-30, Nissan Kicks, Subaru XV แต่ทาง Toyota ก็ได้ชูจุดเด่นถึงขนาดตัวรถที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่ม ด้วยขนาดมิติตัวถังที่ยาว 4,460 มิลลิเมตร กว้าง 1,825 มิลลิเมตร สูง 1,620 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,640 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้น 161 มิลลิเมตร (เทียบกับ C-HR ตัวรถจะยาวกว่า 100 มิลลิเมตร กว้างกว่า 30 มิลลิเมตร สูงกว่า 55 มิลลิเมตร มีความยาวฐานล้อเท่ากัน และมีระยะต่ำสุดจากพื้นสูงกว่า 7 มิลลิเมตร)

   ดีไซน์ภายนอกเสมือนการนำ Toyota C-HR เข้าไปผสมกับ Toyota RAV4 และนำเอา DNA จาก Toyota หลายรุ่นมาใส่จนกลายมาเป็นรถ SUV คันนี้ ล้อมีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 17-18 นิ้วแล้วแต่รุ่นย่อย ความน่าสนใจคือ รุ่น Hybrid ตัวรองและท็อปจะได้ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบป้องกันการหนีบ และเซนเซอร์เปิด-ปิดฝาท้ายไฟฟ้าแบบ Kick Activated พิเศษในตัวท็อปจะมีหลังคามูนรูฟและราวหลังคามาให้ด้วย

  เข้ามาภายในห้องโดยสาร จะพบกับคอนโซลจาก Toyota Corolla Altis เกือบทั้งดุ้น ต่างแค่ฐานคอนโซลกลาง หน้าจอที่ใหญ่ขึ้น รวมทั้งการตกแต่งภายในใหม่ เข้ามาจะพบกับหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ 9 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ T-Connect ที่ประกอบไปด้วย
  • Find My Car เช็คตำแหน่งรถผ่านแอพ
  • TheftTrack ติดตามรถหายเมื่อถูกโจรกรรมพร้อมประสานงาน ความช่วยเหลือตลอด 24 ชม.
  • Geo-Fencing ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถเคลื่อนผ่านเขตพื้นที่ที่เจ้าของรถกำหนดไว้
  • SOS ประสานงานช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม. (อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมบางกรณี)
  • Maintenance Reminder แจ้งเตือนเข้าศูนย์บริการพร้อมประสานงานนัดหมาย
  • Vehicle Information แสดงสถานะรถยนต์ ข้อมูลการขับขี่ สรุปทริปการเดินทาง พร้อมแชร์ลงโซเชียลได้ อีกทั้งมีบริการแจ้งเตือนการต่อทะเบียนรถประจำปีด้วย
  • Insurance (PHYD) ประกันภัยรถ "ขับดี ลดให้" สิทธิพิเศษด้วยเบี้ยประกัน จ่ายตามพฤติกรรมการขับขี่และช่วยแจ้งเตือนต่อประกันภัยล่วงหน้าอัตโนมัติ (สำหรับการทำประกันภัยบริษัทฯ ตามที่กำหนดเท่านั้น)
  • Concierge Service บริการผู้ช่วยส่วนตัว
   ภายในสำหรับรุ่น Hybrid ตัวรองและตัวท็อปจะมีสีแดง Terra Rossa ให้เลือกด้วย (ขึ้นกับสีภายนอก) ส่วนนอกนั้นจะบังคับภายในดำทุกรุ่น  รายละเอียดอื่นๆที่น่าสนใจก็จะมีเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง, เบาะหลังปรับพับได้ 60:40 ,  พนักพิงด้านหลังปรับเอนได้ 6 องศา, พนักวางแขนด้านหลังพร้อมที่วางแก้วน้ำ, ระบบปรับอากาศและช่องต่อ USB สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง อีกทั้งยังมีความจุสัมภาระด้านหลังถึง 487 ลิตร มากกว่า C-HR 162 ลิตร อย่างไรก็ตามถ้าเทียบกับ C-HR ก็มีออปชั่นบางอย่างที่หายไป เช่น ระบบกรองอากาศ Nanoe, เบรกมือไฟฟ้าและ Auto Brake Hold เป็นต้น 
หรือถ้าเทียบกับ Corolla Altis เจ้า Corolla Cross ยังไม่มีหน้าจอ Head-Up Display, แท่นชาร์จไฟไร้สาย, ไม่มีเบาะผู้โดยสารหน้าปรับไฟฟ้า แถมยังได้ Dynamic Radar Cruise Control ที่ไม่ใช่ All-Speed อีกด้วย

  - เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร 2ZR-FE ความจุ 1.8 ลิตร พละกำลัง 140 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 177 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i 7 สปีดพร้อม Sequential Shift อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 15.4 กม./ลิตร 

- เครื่องยนต์เบนซิน 2ZR-FXE Atkinson cycle 1.8 ลิตร พละกำลังสูงสุด 98 แรงม้าที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600 รอบ/นาที ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าชนิดมอเตอร์ซิงโครนัสแม่เหล็กถาวร 72 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 163 นิวตัน-เมตร แบตเตอรี่แบบนิกเกิลเมทัลไฮไดรต์ รวมกำลังทั้งระบบ 122 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ E-CVT ที่ทาง Toyota เคลมว่าสามารถทำอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยได้ 23.3 กม./ลิตร
 
  อีกหนึ่งความน่าแปลกใจก็คือ แม้ว่ารถคันนี้จะพัฒนาบนพื้นฐาน TNGA-C เหมือนกับ Corolla Altis และ C-HR แต่กลับมาใช้ช่วงล่างด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม ผิดจากรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ๆ ของ Toyota ที่เป็นอิสระแบบปีกนกคู่หรือ Double Wishbone 

  ระบบความปลอดภัยของรถจะมีดังนี้
  • ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Brake System)
  • ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake-force Distribution)
  • ระบบเสริมแรงเบรก BA (Brake Assist)
  • ระบบควบคุมการทรงตัว VSC (Vehicle Stability Control)
  • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC (Traction Control System)
  • ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAC (Hill-Start Assist Control)
  • ระบบป้องกันการออกตัวฉุกเฉิน (Drive Start Control)
  • สัญญาณไฟฉุกเฉินขณะเบรกกะทันหัน (Emergency Brake Signal)
  • ไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED (เฉพาะ Hybrid Premium และ Hybrid Premium Safety)
  • ไฟตัดหมอกหลังแบบ LED
  • เข็มขัดนิรภัยด้านหน้าแบบดึงรั้งกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ ELR 3 จุด 2 ที่นั่ง
  • เข็มขัดนิรภัยด้านหลัง ELR 3 จุด 3 ที่นั่ง
  • ถุงลมเสริมความปลอดภัย ระบบ SRS คู่หน้า
  • ถุงลมเสริมความปลอดภัย ระบบ SRS ด้านข้าง
  • ถุงลมเสริมความปลอดภัย ระบบ SRS ม่านด้านข้าง
  • ถุงลมเสริมความปลอดภัย ระบบ SRS หัวเข่าฝั่งคนขับ
  • จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISO-FIX and Top Tether)
  • กล้องมองภาพขณะถอยหลัง
  • กล้องมองรอบคัน (Panoramic View Monitor) พร้อมมุมมองแบบ 3D View เฉพาะ Hybrid Premium Safety
  • ชุดซ่อมยางฉุกเฉิน
  • ระบบแจ้งเตือนลมยาง (Tire Pressure Monitoring System) เฉพาะ Hybrid Premium และ Hybrid Premium Safety
  • ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor) เฉพาะ Hybrid Premium และ Hybrid Premium Safety
  • ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert) เฉพาะ Hybrid Premium และ Hybrid Premium Safety
  • ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System)  เฉพาะ Hybrid Premium Safety
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) มีทุกรุ่น ยกเว้น Hybrid Premium Safety จะเป็น Dynamic Radar Cruise Control
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Automatic High Beams)  เฉพาะ Hybrid Premium Safety
  • ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ (Lane Departure Alert)  เฉพาะ Hybrid Premium Safety
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน (Lane Tracing Assist)  เฉพาะ Hybrid Premium Safety
  • ระบบเตือนการโจรกรรม
  • สัญญาณเตือนการโจรกรรม TDS
  • ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer
  สีตัวถังมีทั้งหมด 7 สี ดังนี้
- สีขาวมุก Platinum White Pearl
- สีดำ Attitude Black Mica 
- สีเทาฟ้า Celestite Grey Metallic
- สีบรอนซ์เงิน Metal Stream Metallic
- สีเทาอมน้ำตาล Graphite Metallic
- สีแดง Red Mica Metallic
- สีน้ำเงิน Nebula Blue

สีภายในห้องโดยสาร
- สีดำ ทุกรุ่น ยกเว้นรุ่น HYBRID PREMIUM / HYBRID PREMIUM SAFETY สีขาวมุก, ดำ และ เทาฟ้า
- สีแดง Terra Rossa เฉพาะ HYBRID PREMIUM / HYBRID PREMIUM SAFETY สีขาวมุก, ดำ และ เทาฟ้า

ราคาจำหน่ายมีทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่
- 1.8 SPORT 989,000 บาท * ราคาพิเศษ 959,000 บาท (ณ วันเปิดตัว – 30 กันยายน มีจำนวนจำกัด)
- HYBRID SMART 1,019,000 บาท
- HYBRID PREMIUM 1,089,000 บาท
- HYBRID PREMIUM SAFETY 1,199,000 บาท

   Toyota Corolla Cross จะไปจัดแสดงให้เราได้สัมผัสและทดลองขับได้ภายในงาน ฺBangkok Motor Show 2020 ตั้งแต่วันที่ 15-26 กรกฎาคมนี้ ก่อนลงโชว์รูมพร้อมกันทั่วประเทศ 24 กรกฎาคมครับ

ข้อมูลและสเปค Toyota Corolla Cross
  •  มิติภายนอกยาว 4,460 มิลลิเมตร กว้าง 1,825 มิลลิเมตร สูง 1,620 มิลลิเมตร 
  • ฐานล้อยาว 2,640 มิลลิเมตร 
  • ระดับต่ำสุดจากพื้น (วัดจากจุดต่ำสุดของรถ) 161 มิลลิเมตร 
  • ระบบช่วงล่างหน้าแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง
  • ระบบช่วงล่างหลังทอร์ชั่นบีม พร้อมเหล็กกันโคลง
  • ระบบเบรกหน้าดิสก์เบรกแบบมีครีบระบายความร้อน / ระบบเบรกหลังดิสก์เบรก
  • พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering)
  • รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.2 เมตร
  • ความจุถังน้ำมัน 36 ลิตร (Hybrid) และ 47 ลิตร (เบนซิน)
1.8 Sport ราคา 989,000 บาท
(ราคาพิเศษช่วงเปิดตัว 959,000 บาท)
อุปกรณ์มาตรฐานภายนอก
  • กระจังหน้าสีดำ
  • ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ Halogen
  • ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน (Daytime Running Lights)
  • ไฟเลี้ยวด้านหน้า
  • ระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติพร้อมระบบ Follow-Me-Home
  • ไฟท้ายLED 
  • กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวปรับไฟฟ้าและพับเก็บอัตโนมัติ
  • ไฟเบรกดวงที่สามแบบ LED
  • เสาอากาศแบบครีมฉลาม
  • มือจับประตูด้านนอกสีเดียวกับตัวรถ
  • คิ้วขอบกระจกประตูสีดำ
  • แผ่นกันความร้อนใต้ฝากระโปรง
  • ล้ออัลลอย 17 นิ้ว และฝาครอบล้อ พร้อมยางขนาด 215/60 R17
อุปกรณ์มาตรฐานภายใน และสิ่งอำนวยความสะดวก
  • สีภายในสีดำ
  • เบาะหนังและวัสดุสังเคราะห์
  • พวงมาลัยและวัสดุตกแต่งฐานเกียร์ หุ้มหนัง
  • มือเปิดประตูด้านในโครเมียม
  • เบาะนั่งด้านหลังแยกพับได้แบบ 60:40
  • พนักพิงเบาะด้านหลังปรับเอนได้ 1 จังหวะ
  • พนักวางแขนด้านหน้าปรับเลื่อนหน้า-หลัง
  • พนักวางแขนด้านหลัง พร้อมที่วางแก้วน้ำ
  • กระเป๋าหลังเบาะนั่งด้านหน้าเบาะผู้โดยสาร
  • กระจกหน้าต่างไฟฟ้า พร้อมระบบป้องกันการหนีบ 4 ตำแหน่ง
  • กระจกแต่งหน้า บริเวณแผงบังคับแดดคู่หน้าพร้อมไฟส่องสว่าง
  • ไฟอ่านแผนที่ด้านหน้า
  • ไฟในห้องโดยสาร
  • แผงกั้นสัมภาระด้านท้าย
  • ระบบสตาร์ทอัจฉริยะ (Push Start)
  • ระบบเปิดประตูอัจฉริยะ (Smart Entry)
  • ราวมือจับ 4 ตำแหน่ง (Assist Grip) พร้อมราวแขวนเสื้อด้านหลัง
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ
  • ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
  • ช่องต่อ USB สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง 2 ตำแหน่ง
  • ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและจอแสดงข้อมูลการขับขี่ที่พวงมาลัย
  • ที่ปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลาและปรับตั้งเวลาได้
  • จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ MID (Multi Information Display) 4.2 นิ้ว
  • จอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับ Bluetooth และ USB
  • ระบบ Apple CarPlay
  • ระบบโทรออกด้วยเสียง
  • ระบบ T-Connect
  • ลำโพง 6 ตำแหน่ง
ระบบความปลอดภัย
  • ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Brake System)
  • ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake-force Distribution)
  • ระบบเสริมแรงเบรก BA (Brake Assist)
  • ระบบควบคุมการทรงตัว VSC (Vehicle Stability Control)
  • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC (Traction Control System)
  • ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAC (Hill-Start Assist Control)
  • ระบบป้องกันการออกตัวฉุกเฉิน (Drive Start Control)
  • สัญญาณไฟฉุกเฉินขณะเบรกกะทันหัน (Emergency Brake Signal)
  • ไฟตัดหมอกหลังแบบ LED
  • เข็มขัดนิรภัยด้านหน้าแบบดึงรั้งกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ ELR 3 จุด 2 ที่นั่ง
  • เข็มขัดนิรภัยด้านหลัง ELR 3 จุด 3 ที่นั่ง
  • ถุงลมเสริมความปลอดภัย ระบบ SRS คู่หน้า
  • ถุงลมเสริมความปลอดภัย ระบบ SRS ด้านข้าง
  • ถุงลมเสริมความปลอดภัย ระบบ SRS ม่านด้านข้าง
  • ถุงลมเสริมความปลอดภัย ระบบ SRS หัวเข่าฝั่งคนขับ
  • จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISO-FIX and Top Tether)
  • กล้องมองภาพขณะถอยหลัง
  • ชุดซ่อมยางฉุกเฉิน
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control)
  • ระบบเตือนการโจรกรรม
  • สัญญาณเตือนการโจรกรรม TDS
  • ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer
Hybrid Smart 1,019,000 บาท (เพิ่มเงิน 30,000-60,000 บาทจาก 1.8 Sport)
อุปกรณ์มาตรฐานภายนอก (เพิ่มเติมจากรุ่น 1.8 Sport)
  • ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ LED แบบ Hybrid
  • ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน (Daytime Running Lights) LED แบบ Light Guiding
  • ไฟเลี้ยวด้านหน้า LED
  • ไฟท้าย LED แบบ Light Guiding
  • กระจกบังลมหน้าแบบกันเสียงรบกวน (Acoustic Glass)
  • ล้ออัลลอย 17 นิ้ว พร้อมยางขนาด 215/60 R17
อุปกรณ์มาตรฐานภายใน และสิ่งอำนวยความสะดวก (เพิ่มเติมจากรุ่น 1.8 Sport)
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติปรับอิสระแยกซ้าย-ขวา
  • ระบบ EV Mode
  • ระบบ Sport และ ECO Mode
ระบบความปลอดภัย (เพิ่มเติมจากรุ่น 1.8 Sport)
  • เหมือนกับ 1.8 SPORT ทุกประการ
Hybrid Premium 1,089,000 บาท (เพิ่มเงิน 70,000 บาทจาก 1.8 Sport)
อุปกรณ์มาตรฐานภายนอก (เพิ่มเติมจากรุ่น Hybrid Smart)
  • กระจังหน้าสีดำเงา
  • กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวปรับไฟฟ้าและพับเก็บอัตโนมัติ พร้อมระบบ Reverse Link
  • คิ้วขอบกระจกประตูโครเมียม
  • ล้ออัลลอย 18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 225/50 R18
อุปกรณ์มาตรฐานภายใน และสิ่งอำนวยความสะดวก (เพิ่มเติมจากรุ่น Hybrid Smart)
  • ภายในสีแดง Terra Rossa / สีดำ (ขึ้นอยู่กับสีภายนอก)
  • วัสดุตกแต่งคอนโซลกลางแบบ Piano Black
  • เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง
  • ไฟส่องสว่างบริเวณประตูคู่หน้าและที่วางแก้วน้ำ
  • ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบป้องกันการหนีบ
  • เซนเซอร์เปิด-ปิดฝาท้ายไฟฟ้าแบบ Kick Activated
  • ที่ปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลาและปรับตั้งเวลาได้อัตโนมัติ
  • จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ MID (Multi Information Display) 7 นิ้ว
ระบบความปลอดภัย (เพิ่มเติมจากรุ่น Hybrid Smart)
  • ไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED
  • ระบบแจ้งเตือนลมยาง (Tire Pressure Monitoring System)
  • ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor)
  • ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ (Rear Cross Traffic Alert)
Hybrid Premium Safety 1,199,000 บาท  (เพิ่มเงิน 110,000 บาทจาก 1.8 Sport)
อุปกรณ์มาตรฐานภายนอก (เพิ่มเติมจากรุ่น Hybrid Premium)
  • หลังคามูนรูฟแบบไฟฟ้า
  • ราวหลังคา
อุปกรณ์มาตรฐานภายใน และสิ่งอำนวยความสะดวก (เพิ่มเติมจากรุ่น Hybrid Premium)
  • กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ (Electro Chromic)
ระบบความปลอดภัย (เพิ่มเติมจากรุ่น Hybrid Premium)
  • กล้องมองรอบคัน (Panoramic View Monitor) พร้อมมุมมองแบบ 3D View
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Dynamic Radar Cruise Control
  • ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System)
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Automatic High Beams)
  • ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ (Lane Departure Alert)
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน (Lane Tracing Assist)

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ชม INEOS Grenadier รถสายลุยสุดแกร่งจากผู้ผลิตมากความทะเยอทะยาน พร้อมทำตลาดในปี 2021

    ค่ายรถอเนกประสงค์พันธุ์แกร่งไฟแรงนาม INEOS เผยภาพดีไซน์ภายนอกของ "INEOS Grenadier" รถยนต์ 4x4 แบบเน้นการใช้งานเป็นหลักที่ใกล้จะพร้อมเปิดตัวให้สาธารณชนได้ชมกันในอนาคตอันใกล้ ถือเป็นอีกก้าวที่สำคัญ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายสู่การเริ่มต้นผลิตจริง

   รถคันนี้ถูกพัฒนาโดย INEOS Automotive ซึ่งก่อนอื่นต้องเท้าความก่อนว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทย่อยของ INEOS Group (www.ineos.com) ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี สารเคมีชนิดพิเศษ และผลิตภัณฑ์จากน้ำมัน มีพนักงาน 23,000 คน จาก 34 ธุรกิจ พร้อมเครือข่ายการผลิตที่ประกอบด้วยโรงงาน 183 แห่ง ใน 26 ประเทศ ตั้งแต่สีไปจนถึงพลาสติก สิ่งทอไปจนถึงเทคโนโลยี ยาไปจนถึงโทรศัพท์มือถือ ทุกอย่างที่ INEOS ผลิต ล้วนมีส่วนช่วยพัฒนาวิถีชีวิตสมัยใหม่เกือบจะทุกด้าน ในปี 2019 INEOS มียอดขายประมาณ 61,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

   ในปี 2017 Sir Jim Ratcliffe ประธานของ INEOS ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์และนักผจญภัย ได้เล็งเห็นโอกาสในการทำตลาดรถ 4x4 แบบเปลือยดิบ stripped back ที่เน้นการใช้งานหนักเป็นพิเศษ โดยผ่านการวางแผนทางวิศวกรรมเพื่อให้เป็นไปตามกฎข้อบังคับของยุคสมัยใหม่ และมีความเชื่อถือได้สูง จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ INEOS Automotive Limited โดยได้รวมตัวทีมผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ระดับอาวุโส เพื่อร่วมกันสร้างวิสัยทัศน์ให้เป็นจริง

   จากการผสมผสานความสมบุกสมบันตามแบบฉบับอังกฤษ เข้ากับกระบวนการวิศวกรรมอันเคร่งครัดตามแบบฉบับเยอรมัน ทำให้บริษัทเคลมว่า Grenadier เป็นรถ 4x4 ที่โดดเด่นในทุกๆ ด้านอย่างแท้จริง สามารถรองรับการใช้งานในทุกสภาวะแวดล้อมทั่วโลกมีความสามารถในการใช้งานบนทางวิบากระดับแนวหน้ของกลุ่ม พร้อมความทนทานและความเชื่อถือได้ 

   ทางด้านงานวิศวกรรม ณ ตอนนี้ยังอยู่ในระยะของการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การสนับสนุนจาก Magna Steyr พาร์ทเนอร์ด้านวิศวกรรมของบริษัท โดยอยู่ระหว่างการทดสอบรถต้นแบบกันอยู่และมีเป้าหมายที่จะทำระยะทางการวิ่งสะสมทั้งบนถนนและบนทางวิบากให้ถึง 1.8 ล้านกิโลเมตร ก่อนเริ่มผลิตจริงในช่วงปลายปี 2021

แนวคิดการพัฒนาของ INEOS Grenadier

   Toby Ecuyer หัวหน้าฝ่ายออกแบบกล่าวว่า “ข้อสรุปของเรา เป็นอะไรที่เรียบง่าย เราต้องการออกแบบรถยนต์ 4x4 สมัยใหม่ ที่เน้นการใช้งานจริง และสมรรถนะสูง โดยยึดประโยชน์ใช้สอยเป็นหัวใจสำคัญ โดยเป็นดีไซน์ที่ ‘เข้าใจง่าย’ เพียงเห็นก็รู้ได้ทันทีว่า Grenadier มีไว้เพื่อใช้ทำอะไร รถคันนี้จะมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องใช้ และไม่มีสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับคุณ ไม่มีชิ้นส่วนใดที่ใส่ไว้เพียงเพื่อความสวยงาม เทคนิคการวางแผนทางวิศวกรรมและการผลิตสมัยใหม่ ช่วยให้มั่นใจได้ว่า Grenadier จะมีสมรรถนะระดับสูง โดยที่เรายังคงยึดมั่นตามแก่นแท้ของการสร้างรถยนต์ที่เน้นประโยชน์ใช้สอย ซึ่งจะต้องมีอายุการใช้งานยาวนานที่สุด” 

    Dirk Heilmann, CEO ของ INEOS Automotive กล่าวว่า “เรายินดีที่ได้มีโอกาสเปิดเผยดีไซน์ของ Grenadier ตั้งแต่ช่วงแรกของกระบวนการทำงาน ผู้ผลิตส่วนใหญ่มักจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แต่เราเป็นหน้าใหม่ในธุรกิจ ที่อยู่ระหว่างการสร้างแบรนด์ เราจึงต้องการให้ผู้คนได้มีโอกาสติดตามความก้าวหน้าไปพร้อม ๆ กับเรา ในการเดินทางสุดเร้าใจครั้งนี้ 

   "การเปิดเผยดีไซน์ตั้งแต่ตอนนี้ จะช่วยให้เราสามารถเน้นไปที่ขั้นตอนสำคัญในลำดับถัดไป ซึ่งได้แก่ การพัฒนา การทดสอบสมรรถนะ และความทนทานของตัวรถ เรายังมีโครงการที่ท้าทายสูงรอเราอยู่ ซึ่งได้แก่การนำรถต้นแบบไปทดลองวิ่งในทุกสภาวะ โดยมีเป้าหมายคือการสะสมระยะทางการวิ่งทดสอบให้ได้ 1.8 ล้านกิโลเมตร ในช่วงปีถัดจากนี้ไป ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะเปิดเผยข้อมูลทุกอย่าง การได้ทดสอบ ‘แบบเปิดเผย’ โดยไม่ต้องหาวัสดุมาปิดซ่อน ไม่ต้องใช้บล็อกโฟม หรือแผงครอบปลอม ถือเป็นข้อดีที่เพิ่มเข้ามา” 

    Sir Jim Ratcliffe ประธานของ INEOS กล่าวว่า “โปรเจค Grenadier ถือกำเนิดขึ้นจากการค้นพบโอกาสในตลาด ที่ผู้ผลิตหลายรายไม่ได้ให้ความสนใจ ซึ่งได้แก่ รถยนต์ทางวิบากที่เน้นประโยชน์ใช้สอย จึงช่วยให้เราได้รับพิมพ์เขียวสำหรับการวางแผนทางวิศวกรรมของ รถยนต์ 4x4 สมรรถนะสูง ความทนทานสูง และเชื่อถือได้ ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่สมบุกสมบันที่สุดในโลก แต่ภาพลักษณ์ก็จะต้องเข้ากับรูปแบบการใช้งานด้วยเช่นกัน ดังที่ทุกท่านได้เห็นในวันนี้ Toby และทีมงานของเขา ทำผลงานด้านดีไซน์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม โดยมีครบทั้งความโดดเด่นเฉพาะตัว และตรงตามวัตถุประสงค์การใช้” 

คุณลักษณะด้านดีไซน์ที่สำคัญ 
  • รูปทรงตามประโยชน์ใช้สอย โดยให้ความสำคัญกับสมรรถนะเป็นอันดับต้น ๆ รถยนต์ 4x4 ที่เน้นประโยชน์ใช้สอย ควรมีภาพลักษณ์ที่สมกับความเป็นรถยนต์ 4x4 เสมอ Grenadier จึงถูกออกแบบให้เป็นรถยนต์ที่ ‘เข้าใจง่าย’ ภายใต้ ‘วัตถุประสงค์การใช้งาน’ ที่ชัดเจน ไม่คลุมเครือ
  • เป็นรถยนต์ที่ใช้งานได้สะดวกสบาย ตอบสนองความคาดหวังของผู้บริโภคในศตวรรษที่ 21 ได้ ทั้งในระดับความยอดเยี่ยมของอุปกรณ์ และระบบความปลอดภัย
  • มีสัดส่วนที่ลงตัว เพราะปราศจากข้อจำกัดของแพลตฟอร์มแบบเก่า โดยออกแบบทุกอย่างใหม่หมด เพื่อให้รถคันนี้โดดเด่นในทุก ๆ ด้าน 
  • ความสามารถในการปรับแต่งให้ตรงตามความต้องการ เพื่อให้สมฐานะรถยนต์ 4x4 ที่เน้นประโยชน์ใช้สอย และยังพร้อมสำหรับการเป็นรถยนต์ที่จะกลายมา ‘เป็นสมาชิกในครอบครัว’ ของลูกค้าได้อีกด้วย 
  • รถยนต์รุ่นนี้ถูกออกแบบให้เป็นเสมือน "ผืนผ้าใบที่ว่างเปล่า" พร้อมรองรับอุปกรณ์เสริมที่หลากหลาย ลูกค้าจึงสามารถปรับเปลี่ยน Grenadier ได้ตามความต้องการใช้งาน (ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง) ของลูกค้าแต่ละคน 
  • "โอเพนซอร์ส’ คือหลักการของค่ายอันเป็นหลักในการดีไซน์ทั้งภายในและภายนอก ทางค่ายจะเตรียมอุปกรณ์เสริมที่รองรับการใช้งานได้หลากหลายเอาไว้จำนวนหนึ่ง ทางบริษัทต้องการให้เจ้าของ Grenadier สามารถติดตั้งชุดอุปกรณ์ที่มีอยู่เดิมของแต่ละคนลงในรถยนต์รุ่นใหม่คันนี้ได้ด้วย และยังสนับสนุนให้ผู้ผลิตที่เป็นเธิร์ดปาร์ตี้สามารถพัฒนากลุ่มอุปกรณ์เสริมทสามารถนำมาใช้งานร่วมกันกับรถคันนี้ได้ด้วยเช่นกัน
  • สายเข็มขัดนั้นสามารถนำมาใช้งานได้ – โดยใช้เป็นแนวกันกระแทกบริเวณประตู หรือใช้เป็น ‘เข็มขัดสารพัดประโยชน์’ เสริม ที่ยึดบริเวณประตูและท้ายรถ เพื่อรับน้ำหนักสิ่งของที่บรรทุก หรือติดตั้งอุปกรณ์เสริม อาทิ ถังแกลลอนน้ำมัน (jerry can) 
  • ช่วงท้ายของ Grenadier นั้น สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้ภาพลักษณ์ที่โดดเด่น สะดุดตา โดยสามารถเปิดประตูท้ายขนาดเล็กเพื่ออำนวยความสะดวกในการขนย้ายสิ่งของ ขนาดเล็กขึ้นลงจากรถได้ ลูกค้าสามารถติดตั้งบันไดไว้ที่ท้ายรถ เพื่ออำนวยความสะดวกใน การปีนขึ้นไปบนหลังคา โดยออกแบบมาให้บันไดอยู่ในแนวเดียวกับรอยต่อขณะปิดประตูท้าย Grenadier สามารถขนพาเลทขนาดมาตรฐานยูโรได้ด้วย 
  • มีการเดินสายไฟภายนอกไว้ให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยมีจุดเชื่อมต่ออยู่บนหลังคาทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ลูกค้าจึงสามารถเชื่อมต่อไฟเสริม ไฟส่องสว่างขณะปฏิบัติงาน หรือไฟสัญญาณ เพิ่มเติมได้สะดวก 
  • โคมไฟทรงกลมที่ด้านหน้าและด้านหลัง สื่อให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของท่อตรงที่เดินยาวจากหน้ารถ ถึงท้ายรถ ไฟส่องสว่างเสริมตรงกลาง (ติดตั้งให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน) ก็ถูกผสานไว้เป็นส่วนหนึ่งของดีไซน์ ไฟหน้าจะใช้ยูนิตเดียวกันทั้งด้านซ้ายและขวา ช่วยอำนวยความสะดวกในการซ่อมบำรุง และการเตรียมชิ้นส่วนอะไหล่โดยที่ไฟท้ายเองก็เป็นยูนิตเดียวกันเช่นกัน 
  • บังโคลนหน้าที่แข็งแรงจนขึ้นไปนั่งได้สบายๆ 
  • บาร์และสตริปบนหลังคารถ ช่วยให้สามารถบรรทุกสิ่งของและยึดให้แน่นหนาได้โดยตรง แม้จะไม่มีแร็คหลังคา (แต่แน่นอนว่าลูกค้าก็สามารถติดตั้งแร็คหลังคาเพิ่มได้ โดยไม่ยุ่งยากเช่นกัน)  และยังมีกล่องเก็บของบริเวณด้านข้าง ที่สามารถเปิดปิดได้จากนอกตัวรถ สำหรับเก็บอุปกรณ์ และเครื่องมือที่สกปรกและมีกลิ่นเหม็นได้
 
  และทั้งหมดนี้คือข้อมูลของ INEOS Grenadier ที่ถือว่ามีความทะเยอทะยานในการสร้างรถออกมาทำตลาดไม่น้อย ท่านผู้อ่านสามารถเข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Grenadier ได้ที่ www.ineosgrenadier.com ครับ

Like Box