วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เปิดภาพและรายละเอียดเบื้องต้น All-New Ford Puma ก่อนเปิดตัวที่แฟรงเฟิร์ตกันยายนนี้

  Ford ประเทศอังกฤษได้ทำการปล่อยภาพและข้อมูลเบื้องต้นของครอสโอเวอร์ขนาดกะทัดรัดโฉมใหม่ All-New Ford Puma ก่อนจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Frankfurt Auto Show 2019 ในเดือนกันยายนนี้

  Ford ยังไม่มีการปล่อยรายละเอียดสัดส่วนขนาดตัวรถออกมา เมื่อดูคร่าวๆแล้วขนาดตัวถังใหญ่กว่ารถแฮตซ์แบ็คยอดนิยมอย่าง Fiesta เพียงเล็กน้อย แต่มีดีไซน์ที่ค่อนข้างโค้งมนและโฉบเฉี่ยวกว่าอีกทั้งยังออกแบบให้มีตำแหน่งที่นั่งในการขับขี่ที่สูงกว่าและตั้งตรงกว่าด้วย

  โดยจากภาพที่มีการเปิดเผยออกมาแสดงให้เห็นว่ารถตกแต่งภายใต้เกรด ST-Line X ซึ่งจะมากับไฟหน้าและไฟท้ายแบบ LED ด้านหน้ามีกระจังหน้าซึ่งมีช่องระบายอากาศลายรังผึ้งขนาดใหญ่


  ภายในห้องโดยสารจะใช้คอนโซลร่วมกับ Fiesta มีการติดตั้งสิ่งอำนวบความสะดวกให้ครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นชุดมาตรวัดดิจิตอลแบบขนาด 12.3 นิ้วที่ติดตั้งมาให้เป็นพร้อมมาตรฐาน โดยมาตรวัดชุดนี้สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการของผู้ขับขี่ได้ สำหรับระบบอินโฟเทนเมนต์จอกลางนั้นจะเป็นระบบ SYNC 3 ที่รองรับ Android Auto และ Apple CarPlay นอกจากนี้ยังมีระบบเครื่องเสียง Bang & Olufsen พร้อมลำโพง 10 ตำแหน่งที่ถูกออกแบบมาพิเศษสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ 

  ฟังก์ชั่นอื่นๆของ Puma โฉมใหม่ยังมีฝาท้ายอัตโนมัติที่สามารถเตะเปิดได้, ที่วางสัมภาระด้านหลังแบบปรับได้และมีช่องเก็บของด้านท้ายอีกหนึ่งบริเวณซ่อนอยู่ใต้ถาดรองสัมภาระด้านหลังซึ่งอยู่ในบริเวณที่มักจะติดตั้งล้ออะไหล่

  ทางด้านขุมพลังจะติดตั้งเครื่องยนต์แบบ Mild Hybrid ที่จะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตร Ecoboost Hybrid แบบ 3 สูบเทอร์โบชาร์จ มากับพละกำลังสูงสุด 125 แรงม้าในรุ่นเริ่มต้น และรุ่นบนๆจะได้ 152 แรงม้า พร้อมกันนี้ยังติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน 48V และมีมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก 11.5 kW ช่วยในการเพิ่มแรงบิดได้ 20 นิวตันเมตรในชั่วขณะหนึ่ง ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ส่วนเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 7 สปีดและเครื่องยนต์ดีเซลจะตามมาในภายหลัง


  ระบบความปลอดภัยนั้นถูกติดตั้งมาแบบจัดเต็ม ประกอบไปด้วย ระบบป้องกันการชนพร้อมสัญญาณตรวจจับคนเดินถนน Pre-Collision Assist with Pedestrian Detection, ระบบเบรกอัตโนมัติ Emergency Brake Assist, ระบบเตือนแรงดันลมยาง Tire Pressure Monitoring System, ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว Electronic Stability Control, ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ Semi-Autonomous Parking Assist, ระบบหลบหลีกการชนด้านหน้า Evasive Steering Assist และ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control

  และแน่นอนว่า Ford ตัวนี้ยังไม่มีแผนเอามาขายในไทยครับ

ภาพจาก Motor1

   
   ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
  

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เจาะสเปค Toyota Sienta Minor Change เวอร์ชั่นไทย ก่อนเปิดตัวเร็วๆนี้

   Toyota Sienta รถ Mini MPV 7 ที่นั่ง ประตูสไลด์จากค่าย Toyota ได้ทำการเปิดตัวครั้งแรกในไทยช่วงเดือนสิงหาคมปี 2016 ที่ผ่านมา ซึ่งจะมีอายุตลาด 3 ปีภายในปีนี้แล้ว ก็น่าจะได้เวลาสำหรับการปรับปรุงโฉมเพิ่มความสดใหม่ และเพิ่มความสามารถในการแข่งกับคู่แข่งมากหนาหลายตาที่ต่างเปิดตัวรุ่นใหม่ๆกันในช่วงปีที่ผ่านมา

   ล่าสุดทาง Car News Update ได้รับข่าวคราวเกี่ยวกับข้อมูลของ Toyota Sienta Minor Change เวอร์ชั่นไทย ซึ่งจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมบ้าง จะชี้แจงให้ทราบกันในย่อหน้าถัดไปครับ

รายละเอียดการเปลี่ยนแปลงใน Toyota Sienta รุ่น 1.5 G
  • กระจังหน้าดีไซน์ใหม่
  • กันชนหน้าดีไซน์ใหม่
  • เบาะผ้าสีดำ ดีไซน์ใหม่
  • วัสดุหุ้มแผงประตูแบบผ้าดีไซน์ใหม่
  • เพิ่มที่พักแขน 3 ตำแหน่ง (ด้านผู้ขับขี่ 1 ด้านหลัง 2)
  • เครื่องเสียงจากเดิม "เครื่องเล่น CD 1 แผ่น" เปลี่ยนเป็น "หน้าจอสัมผัสขนาด 6.8 นิ้วพร้อมระบบ T-Link"
  • เพิ่มกล้องมองภาพด้านหลัง

รายละเอียดการเปลี่ยนแปลงใน Toyota Sienta รุ่น 1.5 V
  • กระจังหน้าดีไซน์ใหม่
  • กันชนหน้าดีไซน์ใหม่
  • เบาะหนังและวัสดุกึ่งสังเคราะห์สีดำ ดีไซน์ใหม่
  • วัสดุหุ้มแผงประตูแบบผ้าดีไซน์ใหม่
  • เพิ่มที่พักแขน 3 ตำแหน่ง (ด้านผู้ขับขี่ 1 ด้านหลัง 2)
  • เครื่องเสียงจากเดิม "หน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว" เปลี่ยนเป็น "หน้าจอสัมผัสขนาด 6.8 นิ้วพร้อมระบบ T-Link"
  • เพิ่มกล้องมองภาพรอบทิศทาง
  • เพิ่มกล้องบันทึกภาพด้านหน้า-หลัง
  • เพิ่มสัญญาณกะระยะถอยหลัง 2 ตำแหน่ง (จากเดิมที่มีแค่รุ่น 1.5 G)
--ระบบเชื่อมต่อ T-Link--

- เชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือกับเครื่องเสียงบนรถยนต์ พร้อมภาพแสดงผล
- ระบบทั้งระบบ iOS และ Android
- สามารถใช้งาน Application นำทาง เช่น Google Maps , Waze และฟังเพลงชั้นนำจากโทรศัพท์มือถือได้ ผ่านแอพ เช่น Joox , Spotify หรือ Youtube Music

ภายในห้องโดยสารของรุ่นปัจจุบัน
  ทางด้านขุมพลังน่าจะเหมือนเดิม โดยจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2NR-FE ความจุ 1.5 ลิตร มากับพละกำลัง 108 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 140 นิวตัน-เมตรที่ 4,200 รอบ/นาที รองรับเชื้อเพลิงสูงสุดถึง E20 ทุกรุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT 7 สปีด

  เช่นเดียวกับระบบความปลอดภัยซึ่งจะเป็นไปตามนี้
- ถุงลมนิรภัย 3 จุด (คู่หน้า+เข่าคนขับ)
- ระบบกันขโมย
- ระบบป้องกันล้อล็อค ABS
- ระบบกระจายแรงเบรก EBD
- ระบบเสริมแรงเบรก BA
- ระบบควบคุมการทรงตัว VSC
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC
- ไฟเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ ESS
- ระบบป้องกันการออกตัวผิดวิธี Drive-Start Control
- สัญญาณกะระยะถอยหลัง 2 ตำแหน่ง
- กล้องมองภาพด้านหลัง (รุ่น 1.5 G)
- กล้องมองภาพรอบทิศทาง (รุ่น 1.5 V เท่านั้น)

 Toyota Sienta Minor Change จะมีสีตัวถังให้เลือก 4 สี ได้แก่ 
- สีส้ม Orange Metallic  (ยกเลิก)
- สีเขียว Citrus Mica Metallic สีใหม่
- สีขาว Super White II 
- สีเทา Silver Metallic 
- สีดำ Attitude Black Mica

  คาดว่า Toyota Sienta Minor Change จะมีการเปิดตัวในไทยอีกประมาณ 1-2 เดือนข้างหน้า หากมีความคืบหน้าเพิ่มเติมจะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้ง 

เรียบเรียงข้อมูลโดย Car News Update
------------------------------------------------------------------------------
อัปเดตล่าสุดคือ Toyota Sienta Minor Change เวอร์ชั่นไทยจะมีดีไซน์ด้านหน้าที่แตกต่างจากเวอร์ชั่นญี่ปุ่น ซึ่งจะเหมือนกับเวอร์ชั่นอินโดนีเซียที่กำลังจะเปิดตัว และเห็นว่าเริ่มมาลงโชว์รูมที่ไทยแล้วด้วย
ภาพจาก automotive.uzone.id

   ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
  

วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2562

Audi Q7 Minor Change ปรับโฉมเอสยูวีพี่ใหญ่ค่ายสี่ห่วงตามรอย Audi ยุคใหม่

  ค่าย Audi ได้ฤกษ์ในการเผยโฉม Audi Q7 รถเอสยูวีรุ่นท็อปของค่ายที่มีการปรับโฉมใหม่ให้มีความทันสมัยมากขึ้นกว่าเดิมตามแนวทางการออกแบบของ Audi ยุคใหม่ โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในตลาดยุโรปช่วงกลางเดือนกันยายนปีนี้

  ด้านหน้ามีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของโคมไฟหน้าทรงใหม่ที่มีออปชั่นไฟหน้าแบบไฟ HD Matrix LED พร้อมไฟเลเซอร์ให้เลือก เช่นเดียวกับกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ทรง 8 เหลี่ยมที่มาพร้อมแถบโครเมียมแนวตั้ง 6 แถบเรียงกัน ออกแบบกันชนหน้าให้รับกับไฟหน้าและกระจังหน้าใหม่ ส่วนด้านท้ายมาพร้อมกับโคมไฟท้ายทรงใหม่ที่เรียวขึ้นพร้อมแถบโครเมียมลากยาวซ้ายจรดขวา รอบคันมีทางเลือกเสริมด้วยชุดกันกระแทกสีดำ Rocker Trim เพิ่มความบึกบึนด้วย 

  ภายในถือเป็นอีกไฮไลต์เพราะว่ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยการเปลี่ยนคอนโซลหน้ายกเซตที่ยกมาจาก Q8 ซึ่งมากับการแสดงผลต่างๆแบบดิจิตอล โดยติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้วซึ่งเป็นในส่วนของระบบ Infotainment หรือระบบนำทาง ถัดลงมาจะเป็นหน้าจอขนาด 8.7 นิ้วซึ่งเป็นที่ควบคุมอุณหภูมิภายในห้องโดยสารและการตั้งค่าต่างๆภายในรถ และแน่นอนที่ขาดไม่ได้ก็คือชุดหน้าปัดแบบดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว ที่ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐาน แต่สามารถเลือกจอแสดงผล Head-Up Display เป็นออปชั่นเสริมเพิ่มเติมได้


  ขุมพลังเบื้องต้นจะมีทางเลือก 2 แบบ ได้แก่ 55 TFSI ที่มากับเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 พละกำลัง 340 แรงม้า และรุ่น 50 TDI ที่มากับเครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร V6 พละกำลัง 286 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Tiptronic 8 สปีด และ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro เป็นมาตรฐาน ในเครื่องเบนซินจะติดตั้งระบบ Mild-Hybrid 48V มาให้ด้วย และในอนาคตอาจจะมีเวอร์ชั่น Plug-In Hybrid ตามมาอีก


  Audi Q7 Minor Change ยังมีการติดตั้งระบบบังคับเลี้ยวที่บังคับล้อหลังให้เลี้ยวได้ 5 องศาที่ความเร็วต่ำในทิศตรงข้ามกับล้อหน้าและหันในทิศทางเดียวกันเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูงเพื่อการยึดเกาะถนนที่ดีขึ้น อีกทั้งยังมีระบบช่วงล่างถุงลมแบบแปรผันมาให้เลือกด้วย นอกจากนี้ยังมีออปชั่นระบบควบคุมเสถียรการทรงตัวที่จะลดอาการสั่นสะเทือนเมื่อขับขี่บนพื้นถนนขรุขระ และเมื่อเข้าโค้งรถจะมีอาการโคลงตัวน้อยลงแบบชัดเจน

  สุดท้ายต้องรอติดตามว่า Audi Q7 Minor Change จะนำเข้ามาเปิดตัวในไทยเมื่อไหร่...

ภาพจาก Motor1

   ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
  

วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2562

All-New Peugeot 2008 มาดใหม่ของครอสโอเวอร์ขนาดกะทัดรัดจากแดนน้ำหอม

   ค่าย Peugeot ได้ฤกษ์เผยโฉม All-New Peugeot 2008 เอสยูวีครอสโอเวอร์ขนาดกะทัดรัดโฉมใหม่ล่าสุดกับการออกแบบตามแนว Peugeot ยุคใหม่ที่เดินตามรอยรุ่นพี่อย่าง Peugeot 3008 มีทางเลือกเครื่องยนต์ให้เลือกทั้งดีเซล เบนซิน และ ไฟฟ้าล้วน 100%

   โดยขุมพลังเบนซินจะมีให้เลือกตั้งแต่เครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร PureTech 3 สูบ ที่มีพละกำลังให้เลือก 99, 128 และ 153 แรงม้า ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลก็จะมีเครื่องความจุ 1.5 ลิตร BlueHDI พละกำลัง 99 แรงม้า มาพร้อมทางเลือกเกียร์ธรรมดา

  แต่ไฮไลต์คงหนีไม่พ้นรุ่น e-2008 ซึ่งเป็นรุ่นที่ใช้ขุมพลังแบบไฟฟ้าล้วนๆ โดยจะมากับชุดแบตเตอรี่ 50 kWh และมอเตอร์ไฟฟ้าพละกำลังสูงสุด 136 แรงม้า รองรับระบบการชาร์จอย่างรวดเร็วด้วยไฟกำลัง 100 kW ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่จนถึง 80% ในเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้ Peugeot 2008 โฉมใหม่สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดตามมาตรฐาน Worldwide Harmonised Light Vehicle Test Procedure (WLTP) ของยุโรปที่ 311 กม. และเนื่องจากแบตเตอรี่ถูกติดตั้งอยู่ในตำแหน่งใต้พื้นตัวถังรถจึงทำให้พื้นที่ภายในรถห้องโดยสารเท่ากับรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในเลย

  Peugeot 2008 โฉมใหม่ ติดตั้งระบบความปลอดภัยให้แบบจัดเต็มเหมือนกับ 208 เลย ไม่ว่าจะเป็น ระบบ Adaptive Cruise Control พร้อมฟังก์ชั่น Stop & Go , ระบบรักษาตำแหน่งรถในเลน Lane Positioning Assist , ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ Full Park Assist , ระบบเบรกอัตโนมัติ Automatic Emergency Brake Assist , ระบบป้องกันการเปลี่ยนเลนโดยไม่ตั้งใจ Active Lane Keeping Assist , ระบบเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ Driver Attention Monitoring , ระบบเตือนการใช้ความเร็วเกินกฎหมายกำหนด Speed Limit Recognition , ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา Active Blind Sport Monitoring และ ระบบจดจำป้ายจราจร (ป้ายหยุดและป้ายห้าม) Extended Traffic Sign Recognition

  นอกจากนี้  Peugeot 2008 โฉมใหม่ ยังติดตั้งลำโพง 10 ตำแหน่งจาก และการดีไซน์คอนโซลแบบ i-Cockpit ซึ่งเป็นไปตามแนวทางของ Peugeot ยุคใหม่ ซึ่งจะมากับพวงมาลัยวงเล็ก หน้าปัดแบบดิจิตอล และจอตรงกลางขนาดใหญ่

  Peugeot 2008 โฉมใหม่ ยังถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มใหม่ล่าสุด Common Modular Platform (CMP) ส่งผลให้รถมีความยาวมากกว่ารุ่นก่อนหน้า 14 ซม. ในขณะที่มีความกว้าง 1.7 เมตร และสูง 1.54 เมตร ทุกรุ่นมีความจุสัมภาระด้านหลัง 360 ลิตรเป็นมาตรฐาน

  All-New Peugeot 2008 จะมีการเปิดตัวในตลาดโลกอีกครั้งปีหน้าและน่าจะประกาศราคาในช่วงนั้น

ที่มา Carscoops

   ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
  

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ส่อง Nissan Leaf E+ รุ่นที่ขนาดแบตใหญ่ขึ้นและแรงขึ้น ขายแล้วที่อังกฤษ

   ในปัจจุบันเมืองไทยมีการวางขาย Nissan Leaf ในเวอร์ชั่นปกติที่มากับแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนขนาด 40 kWh และมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว พละกำลัง 150 แรงม้า ทีนี้เราลองข้ามฟากมาดูประเทศอังกฤษกับการที่เพิ่งเปิดตัว Nissan Leaf E+ ที่ขนาดแบตใหญ่ขึ้นและแรงขึ้นกว่ารุ่นปกติ ในราคาเริ่มต้นที่ 35,895 ปอนด์ (ประมาณ 1.402 ล้านบาทไทย)


  อย่างที่บอกในย่อหน้าแรกเลยครับว่า Leaf E+ จะมีขนาดแบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้นเป็น 62 kWh และอัปเกรดพละกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 217 แรงม้า (PS) พร้อมแรงบิดสูงสุด 340 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียง 6.9 วินาทีเท่านั้น ในขณะที่ความเร็วสูงสุดจะอยู่ที่ 158 กม. / ชม. (98 ไมล์ต่อชั่วโมง) 


  สำหรับระยะทางวิ่งสูงสุดเมื่อชาร์จไฟจนเต็มตามมาตรฐานการทดสอบ Worldwide Harนmonised Light Vehicle Test Procedure (WLTP) ของยุโรป จะสามารถวิ่งได้  385 กม. (เทียบกับรุ่นแบตขนาด 40 kWh จะวิ่งได้ 311 กม.) และสามารถชาร์จจนเต็มได้จาก Wall Box 32A กำลังไฟ 6.6 kW ในเวลา 11.3 ชั่วโมง หรือถ้าหากใช้เครื่องชาร์จเร็วกำลังไฟ 50 kW จะสามารถชาร์จจาก 20-80 % ได้ในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง

  และแม้จะมีแบตเตอรี่ที่ขนาดใหญ่ขึ้น แต่ Nissan ยังสามารถจัดการกับพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังได้โดยมีความจุมากถึง 405 ลิตร


  Nissan Leaf E+ ยังคงมากับระบบ Infotainment ของค่ายอย่าง NissanConnect พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้วเป็นมาตรฐาน อีกทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนด้วยระบบ Android Auto และ Apple CarPlay, ติดตั้งระบบนำทางที่อัพเกรดใหม่, มีฟังก์ชั่นการอัพเดทแผนที่ออนไลน์ในตัว ลูกค้ายังสามารถส่งเส้นทางในการนำทางไปที่รถโดยใช้แอพเฉพาะได้ และสามารถใช้แอปพลิเคชันเพื่อตรวจสอบว่ารถยังคงเสียบชาร์จแบตอยู่หรือไม่ นอกจากนี้แอพฯยังสามารถวิเคราะห์เกี่ยวกับเส้นทางการเดินทางและรูปแบบการขับขี่ของเราในชีวิตประจำวันได้ด้วย

  เช่นเดียวกับระบบความปลอดภัยที่มีการติดตั้เทคโนโลยีช่วยการขับขี่กึ่งอัตโนมัติ ProPILOT ที่รถจะสามารถควบคุมคันเร่ง เบรก หรือพวงมาลัยในสภาวะการจราจรหนาแน่นหรืออยู่บนทางหลวงที่ใช้ความเร็วสูง

  คิดว่าถ้าหาก Nissan Leaf E+ มาไทยและนำเข้าจากญี่ปุ่นคงมีราคาเกิน 2 ล้านแน่ๆ เพราะตัวปัจจุบันที่ขายอยู่ก็ 1.99 ล้านบาทแล้ว

ที่มา Carscoops

   ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
  

Like Box