วันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2561

ชม Datsun Cross รถครอสโอเวอร์ MPV ราคาประหยัดทำตลาดในแดนอิเหนา

    ค่าย Datsun ที่เคยเป็นชื่อของ Nissan ในอดีต ปัจจุบันได้ทำหน้าที่เป็นแบรนด์ที่ขายรถราคาถูก ล่าสุดก็ได้มีการแนะนำรถใหม่อย่าง Datsun Cross รถอเนกประสงค์ MPV Crossover คันใหม่ล่าสุดในตลาดอินโดนีเซียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

  Datsun Cross จะมีรูปแบบรถที่ผสานการออกแบบระหว่างรถ MPV 7 ที่นั่งและครอสโอเวอร์ มากับระยะต่ำสุดจากพื้น 200 มิลลิเมตร ออกแบบและตกแต่งกันชนหน้าและซุ้มล้อรอบคันให้มีความสมบุกสมบันและดูลุยมากขึ้น ด้านหน้าโดดเด่นด้วยกระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมที่มากับตะแกรงแบบรังผึ้ง โคมไฟหน้าแบบ Projector และไฟตัดหมอกที่ออกแบบให้อยู่ในตำแหน่งใกล้ๆไฟหน้า

  ภายนอกติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ได้แก่ กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว , ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว และราวหลังคารถ ตัวรถโดยรวมจะมีความยาม 3,995 มิลลิเมตร กว้าง 1,670 มิลลิเมตร สูง 1,560 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาว 2,450 มิลลิเมตร

  เข้ามาภายในห้องโดยสารก็ดูธรรมดาบ้านๆ ตกแต่งในสไตล์รถราคาถูก มากับพวงมาลัย 3 ก้าน รวมทั้งตกแต่งแผงประตู คอนโซลและฐานเกียร์ด้วยวัสดุลายคาร์บอนไฟเบอร์ปลอม เบาะผ้าที่เดินด้ายตะเข็บสีเงิน สิ่งอำนวยความสะดวกอย่างเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสก็มีติดตั้งมาให้ และแน่นอนด้วยความเป็นรถ MPV 7 ที่นั่งนั้น รถคันนี้จะมีที่นั่งแถวที่ 3 ค่อนข้างเล็ก ก็พอจะโดยสารได้สบายในช่วงระยะทางไม่ไกลมาก นั่งนานๆอาจจะมีอึดอัดได้

  สำหรับขุมพลังนั้นจะทำการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร พละกำลังสูงสุด 78 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 104 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดาหรือเกียร์อัตโนมัติ X-Tronic CVT

  เห็นธรรมดาแบบนี้ แต่ระบบความปลอดภัยก็มาค่อนข้างครบ โดยติดตั้งระบบเบรก ABS , ระบบป้องกันการลื่นไถล , ระบบควบคุมการทรงตัว , ระบบเบรกแบบ limited slip differential , ถุงลมนิรภัยคู่หน้า และยังมีระบบไฟหน้าอัตโนมัติมาให้ด้วย

  Datsun Cross เริ่มวางขายในอินโดนีเซียในเดือนมีนาคมนี้ในราคาเริ่มต้นที่ 163 ล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 381,000 บาทเท่านั้น และแน่นอนเมืองไทยไม่มีขายครับ

ที่มา Carscoops

วันอังคารที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2561

พาชม 2018 Toyota Vios เวอร์ชั่นมาเลเซีย ปรับออปชั่นใหม่อีกครั้งภายใต้หน้าเดิม

 แม้ว่าเมืองไทยจะปรับโฉมใหม่ร่วมปีกว่าๆแล้ว แต่ทาง Toyota ประเทศมาเลเซียก็ยังคงขาย Toyota Vios หน้าเดิมเสริมชุดแต่งต่อไป ซึ่งทาง Toyota มาเลเซียก็ได้ทำการปรับอุปกรณ์ให้กับ Vios เมื่อเร็วๆนี้เอง 

 โดยนับจากนี้เป็นไปต้นจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ลูกค้าในมาเลเซียที่ซื้อ Vios จะประหยัดเงินไปได้ 2,512 ริงกิต (หรือประมาณ 20,326 บาทไทย) และได้ส่วนลดเป็นเงินสด 988 ริงกิต (หรือประมาณ 7,995 บาทไทย) ฟรีอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติม

  สำหรับราคาค่าตัวล่าสุดของ Toyota Vios 2018 ในมาเลเซียก็จะมีดังนี้
- 1.5 J MT ราคา 74,980 ริงกิต (หรือประมาณ 606,000 บาทไทย)
- 1.5 J AT ราคา 77,980 ริงกิต (หรือประมาณ 631,000 บาทไทย)
- 1.5 E AT ราคา 81,980 ริงกิต (หรือประมาณ 663,000 บาทไทย)
- 1.5 G AT ราคา 87,980 ริงกิต (หรือประมาณ 712,000 บาทไทย)
- 1.5 GX AT ราคา 90,980 ริงกิต (หรือประมาณ 736,000 บาทไทย)
- 1.5 TRD Sportivo AT ราคา 93,980 ริงกิต (หรือประมาณ 760,000 บาทไทย)
และ Toyota Vios ของมาเลเซียทุกรุ่นจะมาพร้อมกับการรับประกัน 5 ปีไม่จำกัดระยะทางอีกด้วย

  สิ่งใหม่ๆที่เพิ่มเข้ามาใน Toyota Vios 2018 เวอร์ชั่นมาเลเซียก็จะมีเซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้าซึ่งติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานตั้งแต่รุ่น G ขึ้นไปโดยทาง Toyota อ้างว่าเป็นครั้งแรกในรถระดับนี้ในมาเลเซีย นอกจากนี้แล้วยังมากับหน้าจอสัมผัส DVD-AVX ชุดใหม่พร้อมรองรับการแสดงผลจากกล้องมองหลังเหมือนเช่นเคย ซึ่งมีทุกรุ่นยกเว้นตัว J เท่านั้น

  ทุกรุ่นของ Vios จะติดตั้งเสาอากาศแบบครีบฉลาม (รุ่น TRD จะเป็นสีดำ) และแผ่นเหล็กสครัฟเพลท (ยกเว้นรุ่น 1.5 J) นอกจากนี้ภายในห้องโดยสารยังมีไฟส่องเท้าสีขาวมาให้ทุกรุ่นย่อย ส่วนรุ่น TRD จะเป็นสีเหลืองอำพัน

  รายการอุปกรณ์อื่นๆที่สามารถสั่งเพิ่มได้ ก็จะมีกล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา , กล้องบันทึก VDO หน้ารถ และหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้วที่มีฟังก์ชั่นครบครันมากขึ้น ทางด้านรุ่น J ที่ปกติจะมีแค่เครื่องเล่นวิทยุธรรมดาก็สามารถสั่งออปชั่นหน้าจอสัมผัสขนาด 6.2 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth , HDMI และกล้องมองหลังได้เช่นกัน หรือจะสั่งรายการออปชั่นเพิ่มเติมตามที่กล่าวไว้ข้างต้นก็ได้

  ขุมพลังนั้นจะทำการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2NR-FBE 1.5 ลิตร Dual VVT-i มากับพละกำลัง 108 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 140 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT 7 สปีด พร้อม Sequential Shift

  ระบบความปลอดภัยก็ยังคงเดิม ไม่ว่าจะเป็นระบบเบรก ABS /EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA , ระบบควบคุมการทรงตัว VSC , ระบบป้องกันการลื่นไถล TRC , ถุงลมนิรภัยคู่หน้า รวมทั้งจุดยืดเบาะเด็ก ISOFIX 

ที่มา Toyota Malaysia / Paultan

วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2561

ทีเซอร์แรก All-New Mercedes-Benz A-Class เตรียมเปิดตัววันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้

  ใกล้การเปิดตัวแล้วสำหรับ  All-New Mercedes-Benz A-Class รถแฮตซ์แบ็คคันงามของค่าย ซึ่งล่าสุดทางค่ายดาวสามแฉกของเราก็ปล่อยภาพทีเซอร์ด้านหน้ามาล่อตาล่อใจแฟนๆตราดาวกันเรียบร้อย

  ดีไซน์ด้านหน้าจะเห็นได้ชัดว่าได้กลิ่นอายมาจาก Mercedes-Benz A-Class Concept มาเต็มๆ ซึ่งก็มีความเหมือนกับรุ่นพี่ CLS-Class อีกด้วย ด้วยโคมไฟหน้าทรงสามเหลี่ยมที่ดูเรียวและกระจังหน้าออกแบบให้สอดรับกับโคมไฟหน้า ส่งผลให้ด้านหน้ามีความโฉบเฉี่ยวดุดัันมากยิ่งขึ้น

  และก่อนหน้านี้ได้มีการปล่อยภาพภายในห้องโดยสารออกมาให้ชมแล้ว  รูปลักษณ์ภายในของรถถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากรุ่นเดิมเลยก็ว่าได้ แต่แนวการออกแบบนั้นก็ยังคงได้แนวทางมาจาก Mercedes-Benz รุ่นปัจจุบันที่วางขายอยู่ ไม่ว่าจะเป็น E-Class และ S-Class โฉมล่าสุด ซึ่งจะมากับช่องแอร์ทรงกังหัน Turbine พวงมาลัยทรงใหม่ล่าสุดเหมือนใน CLS และที่ขาดไม่ได้เลยคือหน้าจอดิจิตอลแบบ 2 จอ เห็นชัดเลยว่าทางค่ายพยายามนำเทคโนโลยีและฟังก์ชั่นในรถรุ่นใหญ่กว่ามาไว้ในรถเล็กอย่าง A-Class ด้วย


  สำหรับขุมพลังของ All-New Mercedes-Benz A-Class นั้นเท่าที่ทราบคือจะมีเครื่องยนต์เบนซิน 7 บล็อก และดีเซลอีก 4 บล็อก รวมทั้งตัวแรงรหัสใหม่ A35 ที่จะมาเป็นทางเลือกตัวแรงใหม่ในราคาย่อมเยากว่าตัว A45 ซึ่งเป็นตัวแรงสุดที่จะพกพาพละกำลังกว่า 400 แรงม้า

  สาวกตราดาวต้องติดตามกันให้ดี..

ที่มา Carscoops / Carscoops2

วันศุกร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2561

2018 Isuzu D-Max X-Series รุ่นตกแต่งพิเศษที่ปรับโฉมการตกแต่งใหม่

  ค่าย Isuzu ผู้ซึ่งเป็นแชมป์กระบะในไทยประจำปี 2017 ที่ผ่านมา หลังจากที่มีการเปิดตัว Isuzu D-Max รุ่นปรับปรุงใหม่ปี 2018 เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ล่าสุดทาง Isuzu พร้อมเดินหน้ารักษาตำแหน่งแชมป์ต่อเนื่องด้วยการเผยโฉม Isuzu D-Max X-Series รุ่นใหม่ปี 2018 ที่มีการปรับโฉมหน้าให้ดูสปอร์ตและทันสมัยมากขึ้น

  ภายนอกแน่นอนว่ามีการตกแต่งภายใต้พื้นฐานหน้าตาของ Isuzu D-Max รุ่นปี 2018 นั่นเอง โดยตัวเตี้ยจะใช้พื้นฐานจากรุ่นย่อย 1.9 Z และรุ่นยกสูงขับเคลื่อน 2 ล้อ Hi-Lander จะใช้พื้นฐานจากรุ่นย่อย 1.9 Z DVD

  ด้านหน้าจะมากับกระจังหน้าสีเทาพร้อมเส้นสีแดงที่ลากจากไฟหน้าด้านซ้ายจรดด้านขวา และที่ขาดไม่ได้คือโลโก้ Isuzu สีแดงที่กระจังหน้า พร้อมกันนี้ยังออกแบบสเกิร์ตรอบคันให้มีดีไซน์ที่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นตัวเตี้ยและตัวยกสูงขับเคลื่อน 2 ล้อ Hi-Lander และยังมีสติ๊กเกอร์สีเทาคาดระหว่างตัวถังอีกด้วยเช่นกันโดยลวดลายสติ๊กเกอร์ในตัวเตี้ยและตัวยกสูงขับเคลื่อน 2 ล้อ Hi-Lander จะมีลวดลายที่แตกต่างกัน

ล้ออัลลอยในตัวเตี้ยจะเป็นล้อลายใหม่ขนาด 16 นิ้วรมดำ ในรุ่นยกสูงขับเคลื่อน 2 ล้อ Hi-Lander ตัวแค็บจะใช้ล้อลายเดิมรมดำขนาด 16 นิ้ว ส่วนรุ่น 4 ประตูจะมากับล้อลายใหม่ขนาด 18 นิ้วปัดขอบเงาสีดำ

  ภายในห้องโดยสารจะเน้นการตกแต่งด้วยโทนสีดำ-แดง ในตัวเตี้ยจะตกแต่งด้วยสีแดงบริเวณแถบฝาปิดช่องเก็บของที่คอนโซลหน้า (พร้อมโลโก้ X-Series) , โลโก้บนพวงมาลัย , แผงประตู , เบาะผ้า , ช่องเก็บของที่คอนโซลกลาง และยังมีโลโก้ X บริเวณพนักพิงเบาะนั่งคู่หน้ามาด้วยเช่นกัน ระบบเครื่องเสียงจะติดตั้งเครื่องเล่น CD 1 แผ่น พร้อมช่องต่อ Mini USB / AUX รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth และ ลำโพง 6 ตัว

  เช่นเดียวกับรุ่น Hi-Lander จะมากับพวงมาลัยพร้อมโลโก้ Isuzu สีแดง , แถบฝาปิดช่องเก็บของที่คอนโซลหน้าสีดำพร้อมโลโก้ X-Series , แผงประตูสีดำพร้อมโลโก้ X , เบาะนั่งหุ้มหนังสีดำ-แดงพร้อมเดินด้ายตะเข็บแดง มีโลโก้ X-Series บริเวณตัวเบาะ พิเศษในรุ่นเกียร์อัตโนมัติจะมีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control มาให้ด้วย ระบบเครื่องเสียงติดตั้งเครื่องเล่น DVD 1 แผ่น พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ที่มาพร้อมกับช่องต่อ USB AUX และรองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth และในรุ่น 4 ประตูจะมาพร้อมกับลำโพง 8 ตัว (รวมทวีตเตอร์และ Roof Speaker)

  ทุกรุ่นจะมากับเครื่องยนต์ดีเซลรหัส RZ4E-TC 1.9 ลิตร ความจุ 1898 ซีซี. พละกำลัง 150 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตรที่ 1,800-2,600 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดพร้อม Genius Sport Shift และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมระบบ Rev Tronic

  สำหรับตัวเตี้ยจะมีสีตัวถังให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีแดงเอทนา ไมก้า ETNA MICA RED , สีขาวไซบีเรียน SIBERIAN WHITE และ สีดำออสเตรเลียนโคล AUSTRALIAN COAL BLACK ส่วนรุ่น Hi-Lander จะมีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีขาวมุกเอเวอเรสต์ EVEREST PEARL WHITE และ ดำออสเตรเลียนโคล AUSTRALIAN COAL BLACK 

  Isuzu D-Max X-Series ปี 2018 มีทางเลือกรุ่นย่อย 5 รุ่นและยังมีการนำเสนอรุ่นย่อยใหม่นั่นคือ ตัวเตี้ย 4 ประตูด้วย 

ตัวเตี้ย
- Speed 2 ประตู เกียร์ธรรมดา ราคา 742,000 บาท (เพิ่มจากรุ่น 1.9 Z - 23,000 บาท)
- Speed 4 ประตู เกียร์ธรรมดา ราคา 836,000 บาท (เพิ่มจากรุ่น 1.9 Z - 23,000 บาท) 
- Hi-Lander 2 ประตู เกียร์ธรรมดา ราคา 835,000 บาท (เพิ่มจากรุ่น Hi-Lander 1.9 Z DVD - 64,000 บาท) 
- Hi-Lander 4 ประตู เกียร์ธรรมดา ราคา 934,000 บาท (เพิ่มจากรุ่น Hi-Lander 1.9 Z DVD - 59,000 บาท) 
- Hi-Lander 4 ประตู เกียร์อัตโนมัติ ราคา 959,000 บาท (บวกเงินจากรุ่นเกียร์ธรรมดา 25,000 บาท) 
โดย Isuzu D-Max X-Series ปี 2018 จะพร้อมขายจริงและลงโชว์รูมตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป
  

ชม Toyota Land Cruiser Prado Utility รุ่นพื้นฐานเอาใจคนงบน้อยและชอบความเรียบง่าย

  สำหรับใครที่ไม่มีเงินซื้อ Toyota Land Cruiser Prado ตัวท็อปๆ ที่ประเทศอังกฤษ Toyota ได้เสนอทางเลือกรุ่น Utility ซึ่งเป็นรุ่นพื้นฐานเพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าหลายคนที่อยากขับ Prado จากที่ไม่มีเงินพอที่ซื้อให้เข้าถึงง่ายขึ้น และเอาใจลูกค้าที่ชอบเวอร์ชั่นพื้นๆแบบดิบๆด้วย

  สำหรับ Prado รุ่นพื้นฐานนี้ออกแบบมาเพื่อเน้นการใช้งานสมบุกสมบันอย่างแท้จริง ภายนอกเน้นการตกแต่งที่ใช้วัสดุสีดำ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของกระจังหน้า กรอบไฟตัดหมอก มือจับประตูหรือกระจกมองข้าง ส่วนไฟหน้าจะเป็นแบบโคมธรรมดา ส่วนด้านท้ายมากับคิ้วขอบตำแหน่งป้ายทะเบียนสีเทา ล้อจะเป็นล้อกระทะเหล็กขนาด 17 นิ้ว

  ภายในห้องโดยสารมากับเบาะผ้า และแม้จะเป็นรุ่นพื้นฐานแต่ก็ติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานหลายอย่าง เช่น หน้าจอสัมผัสพร้อมเครื่องเล่น CD รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth , ช่องต่อ USB AUX , ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ , ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ และ ลำโพง 6 ตัว

  สำหรับเครื่องยนต์นั้นจะทำการติดตั้งเครื่องดีเซลขนาด 2.8 ลิตร มากับพละกำลัง 175 แรงม้า (HP) พร้อมแรงบิดสูงสุด 419 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดและเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด

  Toyota Land Cruiser Prado Utility มีราคาค่าตัวในรุ่น 3 ประตูที่ 32,795 ปอนด์ หรือประมาณ 1,477,000 บาท ส่วนรุ่น 5 ประตูจะมีราคา 34,095 ปอนด์ หรือประมาณ 1,535,000 บาท ราคานี้ยังไม่รวมภาษีในประเทศไทย

ที่มา Casrcoops / Toyota UK

วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2561

ภาพชุดแรก Honda Vezel / HR-V Minor Change ก่อนเปิดตัวที่ญี่ปุ่นวันที่ 15 ก.พ. นี้

   ก่อนหน้านี้หลายท่านน่าจะเห็นภาพหลุดโบรชัวร์ในส่วนด้านหน้าของ Honda Vezel / HR-V Minor Change กันแล้ว และล่าสุดตอนนี้ทาง Honda ได้เผย 3 ภาพแรกของ Honda Vezel หรือ HR-V Minor Change เวอร์ชั่นญี่ปุ่นออกมาให้ได้ยลโฉมกันก่อนที่จะมีการเปิดตัวภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้


  การเปลี่ยนแปลงด้านหน้าไม่ได้มีการเปลี่ยนให้แตกต่างจากเดิมมากนัก ด้านหน้ามีการออกแบบกระจังหน้าใหม่โดยได้รับกลิ่นอายมาจาก Honda Civic เจเนเรชั่นล่าสุด (รุ่น RS ของญี่ปุ่นจะเป็นกระจังดำ ส่วนรุ่นหน้าตาธรรมดาจะเป็นแบบโครเมี่ยม) มาพร้อมกับโคมไฟหน้าแบบ LED ที่มีรายละเอียดดีไซน์เหมือน Honda Civic / Accord / Jazz / City นอกจากนี้ก็ยังมีการออกแบบกรอบไฟตัดหมอกใหม่ 

  ส่วนภาพด้านท้ายและภายในห้องโดยสารยังไม่มีการปล่อยออกมา แต่ถ้าดูจากรถรุ่นปรับโฉมของ Honda หลายๆรุ่น อาจจะมีการออกแบบรายละเอียดโคมไฟท้ายใหม่ไม่ก็อาจจะใช้โคมเดิม ส่วนภายในห้องโดยสารคงไม่เปลี่ยนรายละเอียดมากนัก

    ขุมพลังนั้นคาดว่าน่าจะไม่เปลี่ยนแปลง ตลาดญี่ปุ่น จะมีให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร i-VTEC มากับพละกำลัง 132 แรงม้า พร้อมแรงบิด 155 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT และรุ่นไฮบริดที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร i-VTEC พละกำลัง 120 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 30 แรงม้ารวมกำลังทั้งระบบ 152 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DCT 7 สปีด

  ส่วนเมืองไทยก็น่าจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร มากับพละกำลัง 141 แรงม้าที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 172 นิวตันเมตรที่ 4,300 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ที่พัฒนาภายใต้ EarthDream Technology รองรับเชื้อเพลิง E85

  สำหรับระบบความปลอดภัยนั้นยังไม่มีข้อมูลว่าจะมีการเพิ่มเติมอะไรเข้ามาหรือไม่ (และยังต้องลุ้นว่าในไทย Honda จะกล้าใส่ Honda Sensing มาให้หรือเปล่า เพราะ Toyota C-HR เองก็ใส่ Toyota Safety Sense มาให้) และคาดว่าเมืองไทยก็น่าจะมีการเปิดตัวตามหลังญี่ปุ่นติดๆ ก็คงจะอยู่ราวๆเดือนมีนาคม สาวก Honda ต้องติดตามให้ดี

ภาพจาก Paultan

หลุดด้านหน้า Honda Vezel / HR-V Minor Change ก่อนพบกันเร็วๆนี้

  ภายหลังการเปิดตัวรถครอสโอเวอร์อย่าง MG ZS และค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota ได้แนะนำ C-HR ในไทยไปแล้ว หลายคนก็คงเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่ Honda HR-V จะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อเตรียมสู้กับคู่แข่งหน้าใหม่ทั้งหลาย

  และล่าสุดไม่นานมานี้เจ้าของ Facebook นามว่า Aquaz Chanakan ได้โพสต์ภาพในกลุ่ม "Honda HR-V Club (ประเทศไทย)"เชื่อว่าเป็นภาพหลุดด้านหน้าซึ่งน่าจะเป็นภาพส่วนหนึ่งจากโบรชัวร์ Honda Vezel / HR-V Minor Change โดยระบุว่าเป็นภาพที่เจอมาจาก Instagram ของเพื่อนที่ญี่ปุ่น

  การเปลี่ยนแปลงดีไซน์ภายนอกถือว่าเป็นไปตามคาด ด้านหน้ามีการออกแบบกระจังหน้าใหม่โดยได้รับกลิ่นอายมาจาก Honda Civic เจเนเรชั่นล่าสุด และที่ขาดไม่ได้ก็คือโคมไฟหน้าแบบ LED ที่มีรายละเอียดดีไซน์เหมือน Honda รุ่นใหม่ๆหลายรุ่น นอกจากนี้ก็ยังมีการออกแบบกรอบไฟตัดหมอกใหม่อีกด้วย และดูเหมือนว่าจะมีล้ออัลลอยลายใหม่ด้วยเช่นกัน

  ส่วนภาพด้านท้ายและภายในห้องโดยสารยังไม่มีหลุดออกมาในขณะนี้..

ภาพจาก Paultan
  ขุมพลังนั้นคาดว่าน่าจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยตลาดญี่ปุ่น จะมีให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร i-VTEC มากับพละกำลัง 132 แรงม้า พร้อมแรงบิด 155 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT และรุ่นไฮบริดที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร i-VTEC พละกำลัง 120 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 30 แรงม้ารวมกำลังทั้งระบบ 152 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DCT 7 สปีด

  ส่วนเมืองไทยก็น่าจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร มากับพละกำลัง 141 แรงม้าที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 172 นิวตันเมตรที่ 4,300 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ที่พัฒนาภายใต้ EarthDream Technology รองรับเชื้อเพลิง E85

  สำหรับระบบความปลอดภัยนั้นยังไม่มีข้อมูลว่าจะมีการเพิ่มเติมอะไรเข้ามาหรือไม่ คาดว่าการเปิดตัวในไทยน่าจะมีขึ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมนี้ สาวก Honda ต้องติดตามชมให้ดี

ขอบคุณภาพจาก Facebook คุณ Aquaz Chanakan via. Honda HR-V Club (ประเทศไทย)

วันอังคารที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2561

Nissan XMotion Concept อีกหนึ่งต้นแบบที่บ่งบอกทิศทางอนาคตรถอเนกประสงค์ของค่าย

   ภายในงาน Detroit Auto Show 2018 ที่กำลังจัดขึ้นตอนนี้ ค่าย Nissan ได้ทำการเปิดตัวต้นแบบ "Nissan XMotion Concept" ถือเป็นอีกหนึ่งรถต้นแบบดีไซน์เกรี้ยวกราดดุดันที่น่าจะเป็นตัวบ่งบอกทิศทางการออกแบบรถอเนกประสงค์ของค่ายในอนาคต

  ในขณะที่รถอเนกประสงค์หลายรุ่นของ Nissan ที่หลายคนยังมองว่าดีไซน์ดูธรรมดาเรียบๆไป แต่สำหรับต้นแบบคันนี้ถือว่ามีความโดดเด่นน่าจับตามองมากทีเดียว รูปทรงภายนอกดูมีเหลี่ยมสันแข็งแรงบึกบึน ด้านหน้ายังคงมากับโคมไฟหน้าทรงบูมเมอแรงที่หลายคนคุ้นเคย พร้อมด้วยกระจังหน้าแบบ V-Motion ขนาดใหญ่ ล้ออัลลอยในรถต้นแบบที่ดูใหญ่โตออกแบบให้รับกับซุ้มล้อได้เป็นอย่างดี ส่วนด้านท้ายก็มาไฟทรงเรียวสวยงาม

  ภายในห้องโดยสารแน่นอนว่าเป็นรถต้นแบบเลยทำให้ดูแปลกตาพอสมควร มีการผสมผสานจากวัฒนธรรมเก่าแก่ของญี่ปุ่นเช่นการตกแต่งคอนโซลกลางที่ใช้ไม้จากต้นซีดาร์ โดยคอนโซลนั้นลากยาวตั้งแต่ด้านหน้าจนไปถึงด้านหลังรถ


การจัดวางตำแหน่งที่นั่งมาในรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร โดยจัดวางแบบ 4+2 (มี 3 แถวๆละ 2 ที่นั่ง) เพื่อให้ผู้โดยสารนั่งได้อย่างสะดวกสบายในแต่ละที่นั่ง ติดตั้งหน้าจอแบบดิจิตอลภายในห้องโดยสารถึง 7 ตำแหน่งด้วยกัน โดยเฉพาะบริเวณแดชบอร์ดที่ติดตั้งหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 3 หน้าจอด้วยกันและขนาดเล็กอีก 2 จอที่ขนาบข้างซ้าย-ขวา เช่นเดียวกับบริเวณเพดานที่มีการติดตั้งจอดิจิตอลมาให้ซึ่งทาง Nissan เรียกว่า "digital room mirror" ทำหน้าที่แทนกระจกมองหลัง และอีกหนึ่งหน้าจอที่ติดบริเวณคอนโซลกลาง

  อีกหนึ่งความพิเศษของหน้าจอก็คือเราสามารถควบคุมหรือสั่งการได้โดยใช้ท่าทางการเคลื่อนไหวมือหรือใช้ดวงตา และยังมีระบบสั่งการด้วยเสียง ซึ่งทาง Nissan เคลมว่าสามารถใช้งานโดยไม่เสียสมาธิในการขับขี่

  นอกจากนี้ยังมีระบบตรวจสอบลายนิ้วมือใช้เพื่อเข้าระบบภายในรถ และยังมีปัญญาประดิษฐ์ในรูปปลาคาร์ฟญี่ปุ่นปรากฏบนหน้าจออีกด้วย เมื่อรถอยู่ในโหมดการขับขี่อัตโนมัติ ระบบปัญญาประดิษฐ์จะช่วยในการนำทางและช่วยด้านอื่นๆ

  ที่ขาดไม่ได้ก็คือการติดตั้งระบบช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติ ProPilot และติดตั้งระบบขับขี่ของทาง Nissan นั่นคือ  Intelligent All-Wheel-Drive มาด้วย

  สุดท้ายนี้ก็มารอดูกันว่า..รถต้นแบบคันนี้จะบ่งบอกทิศทางการออกแบบรถอเนกประสงค์รุ่นไหนของ Nissan เรื่องนี้ก็น่าติดตาม

ที่มา Carscoops

Like Box