วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2563

รวมรถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวภายในปี 2020

   สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับและขอสวัสดีปีใหม่ 2020 ทุกท่านด้วยนะครับ พบกันอีกครั้งช่วงเดือนมกราคมกับบทความ "รวมรถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวภายในปี 2020" บทความที่จะรวบรวมรถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวภายในปี 2020 (2563) นี้ ซึ่งพยายามรวบรวมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ซึ่งถ้าจุดไหนขาดตกบกพร่องไปก็คงต้องขออภัยล่วงหน้าด้วยครับ

  ภาพรวมในปีที่ผ่านมายังเป็นอีกปีที่ตลาดหลายกลุ่มค่อนข้างคึกคัก ตลาดกลุ่มรถซับคอมแพกต์ B-Segment ค่อนข้างระอุมากในช่วงปลายปีกับการเปิดตัว Eco Car Phase 2 เครื่องยนต์ 1.0 ลิตรเทอร์โบ ทั้ง Nissan Almera และ Honda City รวมทั้งคู่แข่งอีกหลายรุ่น (ที่ไม่ได้วางเครื่องเทอร์โบ) เปิดตัวตามๆกันมา ตลาด C-Segment ก็มีความตื่นเต้นกับการเปิดตัว All-New Toyota Corolla Altis และ All-New Mazda 3 

   ปีที่ผ่านมายังเป็นปีที่มีการเปิดตัวรถไฟฟ้าหลากรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Jaguar I-Pace, Audi e-tron ที่พูดถึงนั้นเป็นระดับหรู 5-6 ล้านทั้งนั้น แต่ที่เป็นไฮไลต์สุดคงหนีไม่พ้น MG ZS EV กับราคา 1,190,000 บาทที่ถูกเกินจากที่คาดการณ์กันไว้ว่า 1.5 ล้านบาท

  กลุ่มกระบะในปีที่ผ่านมา เราได้ทำความรู้จักกับน้องใหม่ MG Extender ที่ต้องมาสู้กับคู่แข่งเบอร์ใหญ่ ตลาดรถอเนกประสงค์ก็มีความคึกคักจากการเปิดตัว Chevrolet Captiva และ MG HS และมีรถรุ่นปรับโฉม ปรับอุปกรณ์ โมเดลใหม่อีกหลายรุ่นหลายยี่ห้อจากหลากค่ายทั้งแบรนด์ตลาดแมสและตลาดรถหรูเปิดตัวมากมาย ซึ่งอาจจะกล่าวถึงไม่หมด

  ในปีนี้น่าจะเป็นอีกปีที่มีรถใหม่เปิดตัวมากมายหลายรุ่น ทั้งรุ่นปรับอุปกรณ์ ปรับโฉม Minor Change และ โมเดลใหม่หมดจด มีทั้งเปิดตัวในตลาดไทยและต่างประเทศ ทาง Car News Update จะพยายามหาให้ได้มากที่สุดเท่าที่ความรู้ในหัวจะมี บางรุ่นนั้นก็อาจจะไม่ได้นำเสนอในบทความนี้ (เช่น รถ K-Car หรือรถนำเข้าจากเกรย์มาร์เก็ต) รวมทั้งบางค่ายที่คุณเห็นว่าไม่มี นั่นแปลว่าไม่ทราบข่าวชัดเจนหรืออาจจะยังไม่มีความเคลื่อนไหวในปีนี้ครับ

   และต้องขอย้ำก่อนว่าช่วงเวลาเปิดตัวของรถหลายรุ่นในบทความนี้นั้นมีหลายอันที่เป็นเพียง "การคาดการณ์" เท่านั้น ไม่ได้มีกำหนดการที่ตายตัวหรือเป๊ะๆ 100% บางรุ่นก็มีกำหนดการที่แน่นอนแล้วเราถึงยืนยันได้ แต่ก็มีหลายรุ่นที่ยังไม่ทราบกำหนดการซึ่งแน่นอนว่าผมหรือคนอื่นๆก็ไม่สามารถจะบอกกำหนดการต่างๆได้ตรง 100% มันอาจมีดีเลย์บ้างหรือเร็วกว่าบ้างก็อย่าว่ากันนะครับ ฉะนั้นถ้าเข้าใจแล้วก็เลื่อนอ่านกันได้เลยครับ

Aston Martin
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทยปีนี้ : Aston Martin DBX

     คาดว่าในปีนี้รถที่ทาง Aston Martin จะนำมาเปิดตัวก็คือ Crossover SUV รุ่นแรกของค่ายอย่าง Aston Martin DBX ที่มาพร้อมกับความหรูหราและสมรรถนะสูงสมกับแบรนด์ Aston Martin ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน Twin-Turbo 4.0 ลิตร V8 จาก AMG ที่มากับพละกำลังสูงสุด 542 แรงม้าและแรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร เหมือนที่ใช้ใน Vantage และ DB11 V8 สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 4.5 วินาทีและทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 291 กม./ชม. ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ Torque Converter 9 สปีด ทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อพร้อมเฟืองท้ายแบบแอคทีฟ ทั้ง Active Central Differential และ Rear Limited-Slip Differential ซึ่งจะช่วยควบคุมแรงบิดกระจายไปยังเพลาแต่ละเพลา 
   
   สำหรับตลาดอังกฤษ Aston Martin DBX จะมีราคาเริ่มต้นที่ 158,000 ปอนด์ (ประมาณ 6,175,000 บาทไทย) ส่วนเมืองไทยนั้นคาดว่าน่าจะมีการนำเข้ามาเปิดตัวในช่วงต้นปี-กลางปีนี้ครับ

รถใหม่ในตลาดโลก (และน่าจะมาไทยด้วย) : Vantage Volante
ภาพจาก Motorauthority
    หลังจากการเปิดตัวสปอร์ตรุ่นเล็กสุดอย่าง Aston Martin Vantage ไปแล้วเมื่อปลายปี 2560 ที่ผ่านมา คราวนี้เป็นคิวของเวอร์ชั่นเปิดหลังคา "Vantage Volante" ซึ่งแน่นอนว่าจะมากับหลังคาผ้าใบ ส่วนงานดีไซน์ในภาพรวมก็แทบจะเหมือนตัว Coupe ทั้งหมด เครื่องยนต์ก็น่าจะติดตั้งบล็อกเดียวกับ Coupe นั่นคือ เครื่องเบนซิน 4.0 ลิตร V8 ทวินเทอร์โบจาก AMG มากับพละกำลัง 510 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 685 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีด การเปิดตัวนั้นจะเปิดตัวในช่วงฤดูใบไม้ผลิ (Spring) ตามที่ระบุข้างรถทดสอบ หรือว่าช่วงเดือนมีนาคมปีนี้นั่นเอง ส่วนตลาดไทยก็น่าจะมีการเปิดตัวตามมาหลังจากนั้น

Audi
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทยปีนี้ : A4 Avant Minor Change / A5 Minor Change / Q7 Minor Change / e-tron Sportback
     ประเดิมด้วยคันแรกที่คาดว่าจะนำมาเปิดตัวก็คือ A4 Minor Change ซึ่งรุ่นที่นำเข้ามาคงจะเป็นตัวถังแวกอนหรือ Avant ที่ถือว่าเป็นตัวทำยอดขายเลย ส่วนซีดาน 4 ประตูน่าจะไม่มาแล้วเพราะขายไม่ดีเท่า ด้านหน้าถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะทีเดียว มากับกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ที่กว้างขึ้นและเพรียวขึ้นกว่าเดิม ออกแบบกันชนหน้าใหม่ให้รับกับไฟหน้า เช่นเดียวกับไฟหน้าทรงใหม่ที่ทุกรุ่นจะได้ไฟหน้าแบบ LED เป็นมาตรฐาน บริเวณด้านข้างมีสิ่งที่น่าสนใจคือทาง Audi ได้ลงทุนลบคมและออกแบบเส้นบนประตูใหม่ทำให้ภาพรวมภายนอกรถดูสะอาดตามากขึ้น ในส่วนของล้ออัลลอยก็มีตัวเลือกลายใหม่ๆ ต่อเนื่องไปถึงด้านท้ายที่มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดไฟท้ายและกันชนท้ายใหม่ 

    คาดว่าในไทยน่าจะทำตลาดด้วยรุ่น 45 TFSI quattro S-Line Black Edition เหมือนเดิม โดยจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน Mild Hybrid (MHEV) 4 สูบแบบ Direct Injection 16 วาล์ว ความจุ 2.0 ลิตร 1,984 CC. พละกำลังสูงสุด 245 แรงม้าที่ 5,000-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตรที่ 1,600-4,300 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ S Tronic 7 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro การเปิดตัวอาจจะมีขึ้นในช่วงต้น-กลางปีนี้
    คันต่อไปที่น่าจะมาคงหนีไม่พ้น A5 Minor Change ซึ่งปัจจุบันในไทยมีจำหน่ายในตัวถัง Coupe 2 ประตูและ Sportback 5 ประตู การปรับโฉมจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับ Audi A4 สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ กระจังหน้าดีไซน์ใหม่แบบ Singleframe ที่มีขนาดเพรียวบางลงแต่กว้างขึ้น เช่นเดียวกับกันชนหน้าที่ได้รับการออกแบบใหม่ ซึ่งจะมีรูปแบบดีไซน์และการตกแต่งที่แตกต่างกันในทั้งรุ่นปกติ, S-Line และ S5 รวมทั้งไฟหน้าที่ได้รับการปรับรายละเอียดใหม่ตามรอย Audi ยุคใหม่ ด้านท้ายมีการปรับรายละเอียดไฟท้ายรวมทั้งปรับรายละเอียดครีบรีดอากาศกันชนท้าย และมากับท่อไอเสียใหม่ทรงเหลี่ยมแบนที่ทำให้รถดูกว้างขึ้น


เครื่องยนต์ที่ทำตลาดก็น่าจะมี 2 ทางเลือกเหมือนเคย คือ 
- 40 TFSI เครื่องยนต์เบนซิน Mild Hybrid (MHEV) 4 สูบแบบ Direct Injection 16 วาล์ว ความจุ 2.0 ลิตร 1,984 CC. พละกำลังสูงสุด 190 แรงม้าที่ 4,200-6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตรที่ 1,450-4,200 รอบ/นาที 
- 45 TFSI เครื่องยนต์เบนซิน Mild Hybrid (MHEV) 4 สูบแบบ Direct Injection 16 วาล์ว ความจุ 2.0 ลิตร 1,984 CC. พละกำลังสูงสุด 245 แรงม้าที่ 5,000-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตรที่ 1,600-4,300 รอบ/นาที 
ทั้งหมดส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ S Tronic 7 สปีด และต้องรอชมครับว่าเมืองไทยจะนำมาเปิดตัวเมื่อไหร่


    คันต่อมาที่คงไม่พลาดที่จะเปิดตัว คือ Q7 Minor Change อเนกประสงค์ที่ค่อนข้างยอดนิยมพอสมควร กับการปรับโฉมภายนอกใหม่ให้ดูสวยทันสมัยขึ้นตามแนวทางของ Audi ยุคใหม่ แต่ที่น่าสนใจคือการเปลี่ยนแปลงภายในครั้งใหญ่ด้วยการเปลี่ยนคอนโซลหน้ายกเซตที่ยกมาจาก Q8 ซึ่งมากับการแสดงผลต่างๆแบบดิจิตอล โดยติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้วซึ่งเป็นในส่วนของระบบ Infotainment หรือระบบนำทาง ถัดลงมาจะเป็นหน้าจอขนาด 8.7 นิ้วซึ่งเป็นที่ควบคุมอุณหภูมิภายในห้องโดยสารและการตั้งค่าต่างๆภายในรถ และแน่นอนที่ขาดไม่ได้ก็คือชุดหน้าปัดแบบดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว ที่ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐาน

     ขุมพลังคาดว่าจะมี 3 ทางเลือกเหมือนเดิม ได้แก่ 40 TFSI และ 45 TFSI เหมือนที่นำเสนอในรุ่นก่อนหน้า และ 55 TFSI ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน Mild Hybrid (MHEV) V6 สูบแบบ Direct Injection เทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุด 340 แรงม้าที่ 5,200-6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,370-4,500 รอบ/นาที การเปิดตัวในไทยคงได้เห็นช่วงปีนี้แต่จะตอนไหนต้องรอชม

   อีกคันที่ขอคาดการณ์ว่าจะนำมาเปิดตัวในไทยก็คือ e-tron Sportback ที่มาในเวอร์ชั่นครอสโอเวอร์คูเป้ ดีไซน์ของรถนั้นในส่วนด้านหน้ายังคงมากับดีไซน์ในแบบที่คุ้นเคยใน e-tron รุ่นปกติ ยังคงมีกระจังหน้าสี light platinum gray พร้อมทั้งไฟหน้าแบบ matrix LED ส่วนครึ่งคันหลังจะมาในแนวสปอร์ตคูเป้ด้วยช่วงท้ายที่ดูลาด และไฟท้าย LED ดีไซน์เรียวที่ออกแบบเป็นแนวยาวเชื่อมสองฝั่งเข้าด้วยกัน   ด้วยความที่เป็นรุ่น Sportback พื้นที่ใช้สอยก็จะลดน้อยถอยหลัง เห็นชัดจากพื้นที่ศีรษะบริเวณเบาะนั่งด้านหลังลดลง 20 มม.  สำหรับความจุสัมภาระสูงสุดนั้นจะสามารถรองรับสัมภาระได้มากถึง 1,655 ลิตร  เมื่อพับเบาะหลังลง

   สำหรับ e-tron ตัวปัจจุบันที่ขายในไทยจะมาในรหัส 55 quattro ถ้าตัว Sportback มาก็คงใช้ขุมพลังเดียวกัน โดยจะมีแบตเตอรี่ขนาด 95 kWh ที่ขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวที่ให้พละกำลังรวม 360 แรงม้า (PS) และแรงบิดสูงสุด 561 นิวตันเมตร ส่งผลให้ครอสโอเวอร์คูเป้คันนี้สามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 6.6 วินาที ความเร็วสูงสุดที่ 200 กม./ชม วิ่งได้สูงสุด 466 กม. ตามมาตรฐาน WLTP (Worldwide harmonized Light vehicle Test Procedure) และเมื่อใช้ S Mode มอเตอร์ไฟฟ้าสามารถสร้างพละกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 408 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 664 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ลดลงเหลือเพียง 5.7 วินาทีเท่านั้น ก็ต้องรอติดตามว่าทางค่ายสนใจนำมาขายหรือเปล่า

รถใหม่ในตลาดโลก (และมีบางคันอาจจะมาไทยด้วย) : A3 / Q2 Minor Change / Q5 Minor Change / E-tron S / E-Tron GT

ภาพจาก Motor1
ภาพจาก Motor1
  สำหรับรถใหม่ในตลาดโลกนั้น ขอเริ่มที่รถไซส์เล็กอย่าง Audi A3 ที่มีคิวเปลี่ยนโฉมใหม่หมดจดในปีนี้ และมีรถทดสอบวิ่งบนถนนมานานพอสมควรแล้ว จากรูปโฉมจะเห็นได้ว่ารถจะดูเตี้ยลงแต่กว้างขึ้น อีกทั้งยังขัดเกลาเส้นบนผิวตัวถังรถให้ดูสะอาดตามากขึ้น งานดีไซน์ในภาพรวมของรถเป็นไปตามงานออกแบบของ Audi ยุคใหม่ 
  เครื่องยนต์คาดว่าน่าจะมีให้เลือกทั้งดีเซลและเบนซิน 3 สูบและ 4 สูบ และอาจติดตั้งระบบ Mild Hybrid 48V มาให้ด้วย นอกจากนี้อาจจะมีทางเลือก Plug-In Hybrid ด้วยเช่นกัน 

ภาพจาก Motor1
  หากใครที่คิดว่ารุ่นเหล่านี้ยังแรงไม่พอ ก็ต้องไปหา S3 ที่ถือว่าเป็นคู่แข่งสายตรงกับ Mercedes-AMG A 35/CLA 35 ที่คาดว่าจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จ พละกำลัง 300 แรงม้า พร้อมเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 7 สปีด

ภาพจาก Carscoops
 หรือถ้าอยากได้แรงขึ้นไปอีกก็คงต้องเป็น RS3 ที่ยกระดับงานดีไซน์ให้ดุดันขึ้นไปอีก และคาดว่าจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร 5 สูบเทอร์โบชาร์จ ที่จะอัปเกรดให้มีพละกำลังราวๆ 420-450 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร 

  การเปิดตัวนั้นคาดว่าอาจจะได้เห็นในช่วงต้นปีถึงกลางปีนี้ในรุ่นปกติ ส่วนตัวแรง S3 และ RS3 ก็จะไล่ทยอยเปิดตัวตามมาเรื่อยๆ

ภาพจาก Motorauthority
   คันต่อมาที่คนไทยต้องจับตาก็คือ Audi Q2 ที่ถึงเวลาสำหรับการปรับโฉม Minor Change กลางอายุตลาดแล้ว จากที่เห็นคร่าวๆนั้นรถจะปรับดีไซน์ด้านหน้าใหม่ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของรายละเอียดไฟหน้า กระจังหน้าและกันชนหน้าใหม่ ส่วนด้านท้ายจะปรับดีไซน์กันชนใหม่ ส่วนไฟท้ายไม่ใจว่าจะปรับหรือเปล่าเพราะจากรถทดสอบยังเป็นโคมเดิม แต่ก็แอบคาดหวังว่าเป็นการใส่ไฟท้ายเก่าสับขาหลอกและอาจเปลี่ยนโคมใหม่

ภายในยังไม่มีภาพถ่ายออกมา แต่คาดว่าอาจมีการปรับปรุงระบบต่างๆภายในรวมทั้งระบบอินโฟเทนเมนต์ใหม่ และอาจได้ความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ด้านเครื่องยนต์ยังไม่ทราบว่าจะปรับอะไรมั้ย ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกทั้งดีเซลและเบนซิน รวมทั้งเวอร์ชั่นไฟฟ้าฐานล้อยาวสำหรับตลาดจีน การเปิดตัวในตลาดโลกคาดว่าจะมีขึ้นในช่วงกลางปีนี้โดยประมาณ

  คันต่อมาที่ถึงคิวปรับโฉม Minor Change เหมือนกันก็คือ Audi Q5 ซึ่งจะมีการปรับดีไซน์ตามแนวทางของ Audi ยุคใหม่เช่นเดียวกับรุ่นอื่นๆ ที่เห็นชัดเลยคือการปรับด้านหน้าทั้งไฟหน้าทรงใหม่ กระจังหน้าใหม่และกันชนใหม่ที่รับกับไฟหน้า เช่นเดียวกับไฟท้ายที่มีการปรับรายละเอียดใหม่ ส่วนภายในห้องโดยสารนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่มีการเปลี่ยนหน้าจออินโฟเทนเมนต์ใหม่ที่ใหญ่ขึ้นเป็น 10.1 นิ้ว ซึ่งอาจจะมีการอัปเดตซอฟท์แวร์ใหม่เช่นเดียวกัน

ภาพจาก Motor1
  คาดว่าการเปิดตัว Audi Q5 Minor Change จะมีขึ้นในช่วงต้นถึงกลางปีนี้ ส่วนเมืองไทยก็ต้องรอติดตามหลังจากนั้น

ภาพจาก Motorauthority
  อีกหนึ่งคันที่มีแววจะเปิดตัวก็คือ Audi e-tron เวอร์ชั่นที่แรงขึ้นกว่าเดิม สื่อต่างประเทศเรียก e-tron S เห็นตัว "S" ก็พอจะรู้ว่าจะต้องเป็นรุ่นที่พิเศษกว่า e-tron ธรรมดาแน่นอน มีช่างภาพสามารถจับภาพรถทดสอบ e-tron หลายคันได้ที่สนาม Nürburgring มองผ่านๆก็ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอันบ่งบอกถึงรถคันนี้มีสมรรถนะที่ไม่ธรรมดา จะเห็นว่ามีการเพิ่มรูช่องรับอากาศกันชนหน้าให้มากขึ้น ติดตั้งเบรคซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า e-tron รุ่นมาตรฐานด้วย นอกจากนี้ล้อและยางรถทดสอบยังดูใหญ่กว่ารุ่นปกติ มีการเพิ่มคิ้วซุ้มล้อรอบคัน และครีบรีดอากาศ (Diffuser) ใหม่ที่กันชนท้ายอีกด้วย

   e-Tron รุ่นมาตรฐานมีมอเตอร์ไฟฟ้าตัวเดียวที่สามารถสร้างแรงม้าได้สูงสุดราวๆ 400 แรงม้า แต่อย่างไรก็ตามต้นแบบที่เคยโชว์ตัวในปี 2015 ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัวพละกำลังรวม 503 แรงม้า พร้อมแรงบิด 800 นิวตันเมตร ติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 95 กิโลวัตต์ชั่วโมงเช่นเดียวกับรถขายจริง ซึ่งเป็นไปได้ว่า Audi อาจกำลังทดสอบขุมพลังนี้อยู่ก็เป็นได้ และเป็นไปได้ว่าอาจใช้ชื่อว่า "e-tron S" ตามที่กล่าวข้างต้น การเปิดตัวคงอยู่ในช่วงใดช่วงหนึ่งของปีนี้

   และอีกหนึ่งรถไฟฟ้าที่มีข่าวว่าจะเปิดตัวช่วงปลายปีนี้ก็คือ Audi e-tron GT สปอร์ตซีดานพลังงานไฟฟ้าที่จะอ้างอิงดีไซน์จากต้นแบบ e-tron GT Concept รถที่หลายคนอาจจะคุ้นตาจากภาพยนตร์ Avengers Endgame ตัวรถถูกพัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์มเดียวกับ Porsche Taycan ซึ่งรูปลักษณ์คาดว่าจะใกล้เคียงต้นแบบมากๆ ขุมพลังคาดว่าจะมากับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวพละกำลัง 590 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3 วินาทีครึ่ง ทะยานไปถึง 200 กม./ชม. ในเวลาน้อยกว่า 12 วินาที และท็อปสปีด 240 กม.ชม. วิ่งได้ระยะทางสูงสุดราวๆ 400 กม. สามารถชาร์จเร็วถึง 80% ในเวลา 20 นาที คาดว่าจะได้เห็นช่วงเดือนพฤศจิกายน ตามข่าวที่ทราบนั้นคาดว่า Audi จะเปิดตัวรุ่น S และตัวแรงสุดอย่าง RS อาจจะตามมาในช่วงปลายปี 2021 ถึงต้นปี 2022

Bentley
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทยปีนี้ : Flying Spur
    ในปีนี้รถใหม่ของค่ายหรูแดนผู้ดีน่าจะมีการเปิดตัว Bentley Flying Spur เจเนเรชั่นใหม่จะมีความผสมผสานระหว่างรถลีมูซีนระดับหรูและสปอร์ตซีดานสมรรถนะสูง ในขณะเดียวกันยังมีการติดตั้งเทคโนโลยีมากมากเอาใจลูกค้าที่ชอบความล้ำสมัย โดยจะมากับแซสซีส์ใหม่ล่าสุดที่ทำจากวัสดุอะลูมิเนียมและวัสดุคอมโพสิต รวมทั้งระบบป้องกันการโคลงตัวของตัวรถด้วยไฟฟ้า 48V  ขุมพลังในตัวท็อปสุดจะทำการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน Twin-turbo W12 ขนาด 6.0 ลิตรที่คุ้นเคย มากับพละกำลังสูงสุด 635 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 900 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 8 สปีด สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 3.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 333 กม./ชม. คาดว่าการเปิดตัวในไทยจะมีขึ้นราวๆต้นปีช่วงงาน Motor Show 2020 ปลายเดือนมีนาคมถึงเมษายน

รถใหม่ในตลาดโลก (และน่าจะมาไทยด้วย) : Bentayga Minor Change
  สำหรับในต่างประเทศนั้น ยังมีอีกหนึ่งรุ่นที่กำลังทดสอบและรอการเปิดตัว นั่นคือ Bentley Bentayga ที่ได้เวลาสำหรับการปรับโฉม Minor Change แล้ว จากที่เห็นผ่านรถทดสอบนั้นจะพบว่ารถค่อนข้างพรางไว้หนาตาทีเดียว ซึ่งน่าจะบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงที่เยอะอยู่ ด้านหน้าที่มีการปรับเปลี่ยนกระจังหน้าใหม่รวมทั้งโคมไฟหน้าใหม่สไตล์เดียวกับ Bentley ยุคใหม่อย่าง Continental GT และ Flying Spur รวมทั้งกันชนหน้าใหม่ที่มีช่องระบายอากาศใหญ่ขึ้น ด้านท้ายรถนั้นแน่นอนว่าจะมีการปรับเปลี่ยนดีไซน์โคมไฟท้ายใหม่ แต่ในรถทดสอบนั้นจะมีการพรางสติ๊กเกอร์ไฟท้ายหลอกตาสับขาหลอก

ภาพจาก Autocar
  ภายในห้องโดยสารคาดว่าจะมีการปรับปรุงระบบอินโฟเทนเมนต์และอัปเดตเป็นเวอร์ชั่นใหม่ และปรับปรุงการแสดงผลหน้าปัดให้เป็นแบบดิจิตอลตามรอย Continental GT และ Flying Spur เครื่องยนต์น่าจะมีให้เลือกทั้งเบนซิน V8 จนไปถึง W12 และดีเซล การเปิดตัวน่าจะมีขึ้นในช่วงใดช่วงหนึ่งของปีนี้ ส่วนไทยก็ต้องติดตามหลังจากนั้นครับ

BMW / MINI
BMW
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทยปีนี้ : 1-Series? / 2-Series Gran Coupe? / 3-Series ประกอบไทยและตัว Touring /  8-Series Gran Coupe / X1 LCI / X6 / M2 CS
   ค่ายใบพัดฟ้าขาวในปีที่ผ่านมานั้น ในไทยก็ถือว่าเปิดตัวมากมายหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น 3-Series เจเนเรชั่นใหม่ , 7-Series รุ่นล่างสุดรหัส 725Ld, 8-Series Convertible, X5 รุ่นประกอบในประเทศ, เอสยูวีหรูเรือธง X7 รวมไปถึงตัวแรงอย่าง X3 M และ X5 M และอีกมากมายก่ายกอง ล่าสุดเปิดประเดิมปีใหม่โดยช่วงวันที่ 14 มกราคมก็เพิ่งมีการเปิดตัว 7-Series รุ่นปรับโฉม LCI หรือ Minor Change อย่างเป็นทางการกับลูกค้าชาวไทย หลังส่งมอบรถให้กลุ่มโรงแรมและยังนำรถไปต้อนรับผู้นำประเทศอาเซียนช่วงปลายปีที่ผ่านมาด้วย

  ในปีนี้ก็คงเป็นอีกปีที่ BMW Thailand เปิดตัวรถใหม่ๆมากมายให้เราได้จับจองกัน คันแรกที่คาดว่าน่าจะมีการเปิดตัว ก็คือน้องเล็กสุด BMW 1-Series ที่เปลี่ยนโฉมใหม่หมดจดไปเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมา ไฮไลต์ก็คือการเปลี่ยนมาใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า พร้อมทั้งพลิกรูปโฉมจากทรงธรรมดาเป็นรถที่มีทรวดทรงโค้งมนและโฉบเฉี่ยวตามแนวทางการออกแบบ BMW ยุคใหม่

ภาพจาก Autocar UK
  หากอิงตามรุ่นเก่าแล้ว รุ่นใหม่ก็น่าจะทำตลาดด้วยรหัส 118i ที่มากับเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 3 สูบ TwinPower Turbo พละกำลังสูงสุด 140 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 7 สปีด ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มาลุ้นกันครับว่า BMW Thailand จะเอามาขายเหมือนเดิมหรือเปล่า

   คันต่อมาที่น่าลุ้นเช่นกันก็คือ BMW 2-Series Gran Coupe ซีดานหรูน้องเล็กคันล่าสุดของค่าย คู่แข่งสายตรงของรุ่นนี้ก็คือ Mercedes-Benz A-Class Sedan และ CLA นั่นทำให้ตัวนี้เป็นอีกคันที่น่าเอามาต่อกรกับค่ายตราดาวมากๆ ถ้าหากมาไทยเดาว่าก็คงมาในรหัส 218i ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 3 สูบ TwinPower Turbo พละกำลังสูงสุด 140 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร ก็น่าลุ้นไม่น้อย ยังไง Mercedes-Benz A 200 Sedan ก็เตรียมผ้าห่มล่วงหน้าไว้ก็ดี

   ส่วนคันนี้ไม่ต้องลุ้น เพราะยังไงก็มา...BMW 3-Series รหัสตัวถัง G20 ที่เปิดตัวไปเมื่อปีที่ผ่านมาโดยยังคงเป็นรุ่นนำเข้า คาดว่าในปีนี้จะมีการแนะนำรุ่นประกอบในประเทศ (CKD) ซึ่งน่าจะมีราคาถูกลงหลายแสน แต่รหัสเครื่องยนต์นั้นคาดว่าจะเลิกทำตลาด 330i และแทนที่ด้วยรุ่น 330e ที่เป็นปลั๊กอินไฮบริดแทน ส่วน 320d แน่นอนว่ายังคงอยู่เช่นเดิม
 
   รหัส 330e จะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบแบบ Plug-In Hybrid พละกำลังสูงสุด 184 แรงม้า ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 109 แรงม้า เมื่อทำงานร่วมกันทั้งระบบจะให้กำลังสูงสุด 252 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 420 นิวตัน-เมตร ติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 12.0 kWh เมื่อใช้ไฟฟ้าอย่างเดียวจะสามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 60 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีExtra Boost ที่ช่วยเพิ่มกำลังสูงสุดขึ้นอีก 41 แรงม้า ส่งผลให้มีพละกำลังสูงสุดเป็น 293 แรงม้าในชั่วขณะหนึ่ง ส่งผลให้รถสามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 6 วินาที และทำท็อปสปีดได้ที่ 230 กม./ชม. คาดว่าน่าจะมีการเปิดตัวในช่วงเดือนมีนาคมนี้ราวๆงาน Motor Show 2020

  นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ที่จะเห็นเวอร์ชั่นแวกอน 3-Series Touring เข้ามาเสริมตลาดด้วยสำหรับใครที่สนใจ หลังจากที่เห็น Audi A4 Avant ขายดีเทน้ำเทท่า เชื่อว่าทาง BMW ก็คงอยากเอาแวกอนเข้ามาแย่งตลาดบ้างเช่นกัน

   คันต่อมาที่คาดว่าจะมีการเปิดตัวก็คือ BMW 8-Series Gran Coupe หลังจากที่มีการเปิดตัวทั้งรุ่น Coupe และ Cabriolet ไปแล้ว การออกแบบครึ่งคันหน้าที่ยกมาจากตัวถัง Coupe และ Convertible ทั้งดุ้น ซึ่งหลายคนก็น่าจะคุ้นเคยกันดี ส่วนครึ่งคันหลังของรถแน่นอนว่าจะมีประตูหลังเพิ่มเข้ามาอีกคู่พร้อมทั้งออกแบบเส้นบ่าตัวถังให้มีความเด่นชัด เมื่อเทียบกับตัว Coupe แล้ว ในรุ่น Gran Coupe จะยาวขึ้น 9.0 นิ้ว (228.6 มิลลิเมตร) กว้างขึ้น 1.2 นิ้ว (30.5 มิลลิเมตร) และสูงขึ้น 2.2 นิ้ว (55.9 มิลลิเมตร) เช่นเดียวกับฐานล้อที่ยาวขึ้นอีก 7.9 นิ้ว (200.7 มิลลิเมตร) ส่งผลต่อพื้นที่เบาะหลังที่มากขึ้น

  เมืองไทยน่าจะทำตลาดด้วยรหัส M850i xDrive ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4.4 ลิตร TwinPower Turbo V8 พละกำลังสูงสุด 530 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive มาเป็นมาตรฐาน สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 3.9 วินาทีเท่านั้น ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดที่ 250 กม./ชม. การเปิดตัวคาดว่าจะมีขึ้นราวๆต้นปีถึงกลางปีนี้ครับ

   คราวนี้มาพูดถึงในส่วนรถอเนกประสงค์กันบ้าง รุ่นที่มาแน่นอนคงหนีไม่พ้น BMW X1 LCI (Minor Change)  การเปลี่ยนแปลงดีไซน์ภายนอกจะเป็นไปตามแนวทางของ BMW ยุคใหม่ กันชนหน้าดีไซน์ใหม่พร้อมช่องระบายอากาศขนาดใหญ่มากขึ้นและกรอบไฟตัดหมอกดีไซน์ใหม่ เช่นเดียวกับกระจังหน้าไตคู่ดีไซน์ใหม่ที่ออกแบบให้มีขนาดใหญ่โตขึ้นกว่าเดิม ไฟหน้าก็มีการปรับรายละเอียดใหม่เช่นเดียวกัน  เช่นเดียวกับด้านท้ายที่มากับโคมไฟท้ายที่มีการออกแบบรายละเอียดไฟท้ายใหม่เป็นทรงตัว L ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ BMW ยุคใหม่ ปรับปรุงกันชนท้ายใหม่และท่อไอเสียคู่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น

   ภายในห้องโดยสารไม่มีการปรับดีไซน์ แต่เน้นตกแต่งให้หรูหรามากขึ้น โดยจะมากับหัวเกียร์ดีไซน์ใหม่ และระบบอินโฟเทนเมนต์ที่มีหน้าจอให้เลือกทั้งแบบ 8.8 และ 10.25 นิ้ว นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงเบาะนั่งใหม่ เพิ่มการเดินด้ายตะเข็บบริเวณคอนโซลหน้า และ พรมปูพื้นใหม่

  ขุมพลังสำหรับตลาดไทยนั้น มีความเป็นไปได้ในหลายรหัส โดยในปัจจุบันจะมีขุมพลังดังนี้
- รุ่นเริ่มต้น sDrive18i Iconicเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 3 สูบ TwinPower Turbo พละกำลังสูงสุด 140 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร
- sDrive18d xLine เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบ TwinPower Turbo พละกำลังสูงสุด 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตร
- sDrive20d M Sport เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบ TwinPower Turbo พละกำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร
เป็นไปได้ว่ารุ่นใหม่นั้น เบื้องต้นอาจเปิดตัวในรหัส sDrive18d และ sDrive20d ส่วนรุ่นเริ่มต้น sDrive18i อาจจะตามมาในภายหลังก็เป็นได้ ก็ต้องรอติดตามชมต่อไป คาดว่าจะเปิดตัวในไทยราวๆต้นปีถึงกลางปีนี้ครับ

   อีกหนึ่งอเนกประสงค์ที่จะเปิดตัวในไทยแน่ๆก็คือ All-New BMW X6 รถเอสยูวีครอสโอเวอร์ทรวดทรงคูเป้ผู้เป็นต้นตำรับที่ตอนนี้เดินทางมาถึงเจเนเรชั่นที่ 3 แล้ว ด้วยรูปโฉมภายนอกที่ได้รับการออกแบบให้มีรูปโฉมที่ดูดุดันขึ้น และแตกต่างจาก X5 ค่อนข้างชัดเจน โดยมากับกระจังหน้าทรงใหม่ตามสไตล์ BMW ยุคใหม่ที่มีขนาดใหญ๋โตกว่ารุ่นเดิม

  คาดว่าเวอร์ชั่นไทยจะมาภายใต้รหัส X6 xDrive30d ที่มากับเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 3.0 ลิตร 6 สูบ พละกำลังสูงสุด 265 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 620 นิวตัน-เมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 6.5 วินาทีก่อนทะยานไปที่ความเร็วสูงสุดซึ่งจำกัดไว้ที่ 230 กม./ชม. การเปิดตัวน่าจะมีขึ้นช่วงต้นปีนี้เป็นอย่างเร็วที่สุด

  และปิดท้ายด้วยอีกคันที่คาดว่า BMW Thailand จะนำเข้ามาให้สาวกผู้รักความแรงได้จับจอง นั่นคือ BMW M2 CS รุ่นพิเศษส่งท้าย M2 โฉมปัจจุบัน (BMW M2 ไม่ใช่ M2 แบบติ่งรถค่ายปีกญี่ปุ่นเรียกให้กับรถเล็กตัวเอง) เช่นเดียวกับ CS ตัวอื่นๆ (CS ย่อมาจาก Club Sport)

   โดยจะได้รับการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร 6 สูบ เทอร์โบคู่ พละกำลังสูงสุด 450 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร เทียบกับ M2 Competition แล้ว ตัว CS จะมีพละกำลังมากกว่า 40 แรงม้า ส่วนแรงบิดจะเท่ากัน  เครื่องยนต์จะจับคู่กับเกียร์ธรรมดาแบบ 6 สปีดซึ่งทำให้รุ่นนี้สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง (0-96 กม./ชม.) ไเ่ในเวลา 4.0 วินาที แต่ถ้าหากเลือกใช้เป็นเกียร์อัตโนมัติแบบ Dual Clutch 7 สปีดจะลดเวลาในการทำอัตราเร่งเหลือแค่ 3.8 วินาที   BMW M2 CS ผลิตจำนวนจำกัดที่ 2,200 คัน คาดว่าเมืองไทยอาจจะได้โควตามาสัก 1-2 คัน ยังไงก็ต้องรอติดตาม แต่ราคายังไงก็มี 6 ล้านกลางๆ ถึง 7 ล้านแน่นอนกับรถสุดพิเศษนี้

รถใหม่ในตลาดโลก (และมีบางคันอาจจะมาไทยด้วย) : M3 / 4-Series & M4 / 5-Series LCI & M5 / 6-Series Gran Coupe LCI / iX3
     สำหรับรถใหม่ในตลาดโลก/ต่างประเทศ เริ่มที่ M3 (คือ BMW M3 ไม่ใช่รถญี่ปุ่นค่ายปีกที่แฟนคลับมักเรียกย่อๆ และไม่ใช่รถไฟฟ้าจีนแต่อย่างใด) ตัวแรงสุดในตระกูล 3-Series ที่จะยกระดับการออกแบบให้ดุขึ้นแบบสุดๆ และที่สำคัญจะมาพร้อมกับกระจังหน้าไตคู่ที่ใหญ่โตเอาเรื่องชนิดที่ 7-Series และ X7 ยังอาย โดยงานดีไซน์ด้านหน้าน่าจะคล้ายคลึงกับ 4-Series Concept

ภาพจาก Carscoops
  ขุมพลังจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน Twin Power Turbo 6 สูบ ความจุ 3.0 ลิตร M เช่นเดียวกับ X3 M และ X4 M พละกำลังสูงสุด 480 แรงม้า (PS) ในรุ่นมาตรฐาน และ 510 แรงม้า ในรุ่น Competition ระบบส่งกำลังจะมีทั้งเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ มีระบบขับเคลื่อนล้อหลังและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ การเปิดตัวนั้นจะมีขึ้นไม่เกินปลายปีนี้แน่นอน ส่วนเมืองไทยนั้นก็มีโอกาสสูงที่จะนำมาจำหน่ายแต่คงเป็นหลังจากตลาดโลกเปิดตัว

BMW 4-Series Coupe ภาพจาก Motor1
BMW 4-Series Convertible ภาพจาก Motor1
  คันต่อมาก็คือ All-New BMW 4-Series รถสปอร์ตคูเป้พื้นฐาน 3-Series ซึ่งงานออกแบบน่าจะอ้างอิงจากต้นแบบ 4-Series Concept ที่เปิดตัวในปีที่ผ่านมา โดยจะมากับกระจังหน้าไตคู่ที่ใหญ่โตแทบจะกินเนื้อที่ลงมาเกือบสุดกระจังหน้า ก็ต้องรอชมว่าเมื่อลอกคราบออกมาจะว้าวหรือจะว้าย 

BMW M4 Coupe ภาพจาก Motor1
BMW M4 Convertible ภาพจาก Motor1
  ขุมพลังเครื่องยนต์ก็คงจะเหมือนกับ 3-Series มีตั้งแต่ดีเซลและเบนซิน ขนาด 4 สูบจนไปถึง 6 สูบ และอาจมีเวอร์ชั่น Plug-In Hybrid ให้เลือกด้วย คาดว่าการเปิดตัว 4-Series จะมีขึ้นในช่วงกลางปีนี้ ส่วนตัวแรงสุด M4 ที่จะใช้เครื่องยนต์แบบเดียวกับ M3 น่าจะเปิดตัวตามมาหลังจากนั้น

BMW 5-Series พร้อมชุดแต่ง M Sport ภาพจาก Motor1
BMW 5-Series Touring ภาพจาก Motor1
ภาพจาก Motor1
  คันต่อมาที่จะมีการเปิดตัวก็คือ BMW 5-Series LCI (Minor Change) ปรับโฉมใหม่กลางอายุตลาด การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือ การปรับดีไซน์ไฟหน้าใหม่ให้เรียวบางขึ้นคล้ายคลึงกับรุ่นพี่ 7-Series รวมทั้งกระจังหน้าไตคู่ใหม่ที่ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ใหญ่โตแบบ 7-Series กันชนใหม่ออกแบบให้รับกับด้านหน้า ส่วนด้านท้ายจะมีการปรับรายละเอียดไฟท้ายใหม่ ทางด้านภายในนั้นก็จะปรับรายละเอียดมาตรวัดใหม่พร้อมหน้าจอระบบอินโฟเทนเมนต์ที่ขนาดใหญ่ขึ้น

BMW M5 ภาพจาก Motor1
  ขุมพลังเครื่องยนต์นั้นก็น่าจะมีตั้งแต่เครื่องดีเซลและเบนซิน 4 สูบถึง V8 สูบ รวมทั้งมีเครื่องยนต์แบบ Plug-In Hybrid และแรงสุดกับ M5 ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4.4 ลิตร V8 M TwinPower Turbo พละกำลัง 600 แรงม้า และ 617 แรงม้าในรุ่น Competition คาดว่า 5-Series LCI จะเปิดตัวราวๆกลางปีนี้ ส่วนเมืองไทยรอติดตามได้หลังจากนั้น อาจจะปลายปีไม่ก็ปีหน้าครับ

ภาพจาก Motorauthority
  และนอกจาก 5-Series ใหม่ที่จะปรับโฉมแล้วนั้นก็ยังมีอีกคันที่จ่อตามมาติดๆก็คือ BMW 6-Series Gran Coupe LCI (Minor Change) ซึ่งจะมีการเปลี่ยนทรงไฟหน้าใหม่ กระจังหน้าใหม่ที่ใหญ่ขึ้น กันชนดีไซน์ใหม่ ส่วนด้านท้ายน่าจะเปลี่ยนรายละเอียดกันชนใหม่แต่อาจจะคงไฟท้ายเดิม เครื่องยนต์น่าจะมีทั้งดีเซลและเบนซิน 4 ถึง 6 สูบเช่นเดิม คาดว่าการเปิดตัวจะอยู่ราวๆกลางปีจนไปถึงช่วงต้นครึ่งปีหลัง คันนี้ชาวไทยก็ต้องรอจับตาเช่นกัน

  ปิดท้ายด้วย BMW iX3 รถอเนกประสงค์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกจาก BMW ที่จะเริ่มจำหน่ายในปีนี้และผลิตในโรงงาน BMW Brilliance Automotive ที่เมืองเฉิ่นหยาง ประเทศจีน เห็นทรวดทรงแล้วก็ทราบชัดเจนว่าตัวรถจะใช้พื้นฐานของ BMW X3 แต่ปรับดีไซน์ในสไตล์รถไฟฟ้าล้วน

   ขุมพลังของรถจะถูกขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีพละกำลัง 270 แรงม้า ติดตั้งแบตเตอรี่ที่มีกำลังไฟ 70 กิโลวัตต์ชั่วโมง โดย BMW กล่าวว่ารถสามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดถึง 400 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง เมื่อใช้เครื่องชาร์จไฟขนาด 150 กิโลวัตต์จะสามารถชาร์จให้เต็มได้ภายในเวลา 30 นาทีเท่านั้น น่าติดตามเช่นกันครับว่า BMW Thailand สนใจนำมาจำหน่ายหรือไม่

MINI
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทยปีนี้ : Cooper SE? / John Cooper Works GP ?
    สำหรับ MINI Thailand ในปีที่ผ่านมานั้น จะเห็นทัพ MINI รุ่นใหม่เปิดตัวหลายรุ่น ทั้งรุ่นพิเศษ รุ่นปรับโฉม และตัวแรง John Cooper Works

  สำหรับ MINI นั้นเป็นอีกค่ายที่เดารถใหม่ในไทยยากอยู่ เพราะรถรุ่นหลักๆก็เปิดตัวแทบจะหมดแล้ว ดังนั้นในปีนี้ รถที่มีความเป็นไปได้ที่อาจจะเปิดตัว ขอเก็งว่าเป็น Cooper SE  อันเป็น MINI รุ่นแรกของค่ายที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วน 100% ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 184 แรงม้า (PS) พร้อมแรงบิดสูงสุด 270 นิวตัน-เมตร กำลังจะถูกส่งไปยังล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ Single Stage โดยสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.ใน 7.3 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 150 กม./ชม. และด้วยตำแหน่งแบตเตอรี่ที่ติดตั้งอยู่ในตำแหน่งพื้นตัวถังรถจึงทำให้ไม่มีข้อจำกัดในด้านพื้นที่เก็บสัมภาระ ส่งผลให้ความจุสัมภาระท้ายเท่ากับเวอร์ชั่นที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) เลย นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งระบบเลียนเสียงเครื่องยนต์เสมือนจริงเพื่อให้ความรู้สึกเสมือนขับรถเครื่องยนต์ ICE อีกด้วย

     รถได้พลังงานมาจากแบตเตอรี่ขนาด 32.6 kWh สามารถชาร์จจนถึง 80% ของความจุทั้งหมดภายในเวลา 2 ชั่วโมงครึ่งโดยใช้สายชาร์จมาตรฐานหรือสายชาร์จ 3 เฟส (สำหรับสถานีชาร์จสาธารณะ) แต่หากต้องการชาร์จจนเต็ม 100% จะใช้เวลาชั่วโมงครึ่ง อย่างไรก็ตามหากใช้ระบบชาร์จแบบกระแสตรง DC จะสามารถชาร์จได้ 80% ในเวลาเพียง 35 นาทีเท่านั้น เมื่อชาร์จจนเต็มจะสามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดที่ 235-270 กิโลเมตร ผู้ขับขี่ยังสามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ทั้งหมด 4 รูปแบบ ได้แก่ Sport, MID, Green และ Green+ ก็ต้องลุ้นกันครับ เผื่อ MINI จะสนใจลองบุกตลาด EV บ้าง อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ MINI Cooper SE ไอ้ตัวจิ๋วพลังงานไฟฟ้าล้วนคันแรกของค่าย

   อีกคันที่น่าสนใจไม่น้อยก็คือตัวแรงพิเศษ MINI John Cooper Works (JCW) GP Special Edition เป็นตัวแรงของค่ายที่ขับขี่บนถนนได้แบบถูกกฎหมาย ซึ่งกลายเป็นรถที่เร็วที่สุดของแบรนด์ตลอดกาลและทรงพลังที่สุดในกลุ่มคู่แข่งด้วย ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร TwinPower Turbo ที่สร้างพละกำลังได้ทั้งหมด 306 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร สามารถสร้างอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 5.2 วินาทีและความเร็วสูงสุดที่ไม่มีการจำกัดเลยที่ 265 กม./ชม. กำลังจะถูกส่งไปยังล้อหน้าด้วยระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 สปีดพร้อมระบบล็อกเฟืองท้าย  MINI John Cooper Works GP จะผลิตจำนวนจำกัดที่ 3,000 คัน ทั้งหมดจะถูกผลิตที่โรงงานของ บริษัทในอ๊อกซฟอร์ด สหราชอาณาจักร เมืองไทยอาจจะมีโควตาเข้ามาสัก 1-2 คันก็เป็นได้ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ MINI John Cooper Works GP รถที่เร็ว แรง และทรงพลังสุดเท่าที่ MINI เคยสร้างมา!

รถใหม่ในตลาดโลก (และมาไทยด้วย) : Countryman LCI
     MINI Countryman รถครอสโอเวอร์รุ่นขายดีของค่ายที่เดินทางมาถึงช่วงกลางอายุตลาดแล้ว ดังนั้นก็ได้เวลาสำหรับการปรับโฉมแล้ว เดาว่ารูปโฉมก็คงจะเปลี่ยนไม่มากตามสไตล์ MINI ที่เห็นชัดเจนคือการปรับเปลี่ยนรายละเอียดไฟหน้าใหม่ และอาจจะเปลี่ยนกระจังหน้าใหม่ด้วย ส่วนด้านท้ายมีการเปลี่ยนแปลงแบบชัดเจนคือ ไฟท้ายธง Union Jack ของอังกฤษเหมือนกับ MINI รุ่นใหม่หลายรุ่

 

ภาพจาก Carscoops
  เครื่องยนต์น่าจะไม่เปลี่ยนแปลง โดยมีให้เลือกตั้งแต่ 3 จนไปถึง 4 สูบ ทั้งดีเซลและเบนซิน คาดว่าการเปิดตัวจะมีขึ้นราวๆกลางปีนี้ ส่วนชาวไทยก็รอลุ้นหลังจากนั้นครับ

Chevrolet
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทยปีนี้ : ยกเลิกการทำตลาดในไทย!
  ค่ายโบว์ไทน์เมื่อปีที่ผ่านมานั้น ยังคงแนะนำรุ่นพิเศษ อัดโปรโมชั่นให้ Colorado และ Trailblazer ประคองตลาดไปเรื่อย แต่ที่สร้างความตื่นเต้นที่สุดในปีนั้นคงเป็นการเปิดตัวรถโมเดลใหม่ในรอบหลายปี อย่าง All-New Chevrolet Captiva หนึ่งในความหวังหมู่บ้านที่ Chevrolet หวังให้มากอบกู้ยอดขายของค่ายให้เป็นกอบเป็นกำขึ้น แต่หลังการเปิดตัวนั้นก็ขายได้เรื่อยๆ ไม่เปรี้ยงปร้างแบบที่คิดจนล่าสุดต้นปีนี้ต้องออกโปรโมชั่นหั่นราคาตัวล่างจาก 999,000 เหลือ 869,000 บาท

ภาพจาก Motor1
  ในปีนี้มีอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าติดตามคือกระบะ Chevrolet Colorado ที่จะมีการ Minor Change อีกรอบ  อย่างที่รู้กันว่า Chevrolet และ Isuzu ต่างแยกย้ายความร่วมมือในการพัฒนากระบะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งไม่นานมานี้ Isuzu ก็เพิ่งเปิดตัว All-New Isuzu D-Max ไป แต่ทาง Chevrolet เลือกที่จะปรับโฉมลากขาย Colorado ตัวถังเดิมต่อดังที่เห็นในรูปต่อไปนี้

   การเปลี่ยนแปลงนั้นหลักๆที่เห็นชัดคือด้านหน้า ส่วนด้านท้ายนั้นยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะบางทีรถอาจจะยังใส่ชิ้นส่วนรุ่นเดิมเพื่อสับขาหลอกเราได้เช่นกัน  ภาพรวมจะเห็นว่ารถถูกออกแบบตามแนวทางของ Chevrolet ยุคใหม่หลายๆรุ่น ส่วนภายในห้องโดยสารยังไม่มีภาพออกมา แต่คาดว่าอาจจะมีการปรับการตกแต่งใหม่หรือปรับดีไซน์ใหม่ อาจมีฟังก์ชั่นอะไรใหม่ๆเพิ่มเติมเข้ามาเพื่อสู้กับคู่แข่ง

ภาพจาก Carscoops
   แน่นอนว่านอกจาก Colorado Minor Change แล้ว รถ PPV อย่าง Trailblazer คงจะมีการปรับโฉมตามมาด้วยเช่นกันเหมือนเช่นโฉมปัจจุบัน และดูทรงแล้วก็น่าจะใช้รูปหน้าเดียวกันด้วย

   ทางด้านขุมพลังนั้นคาดว่าจะยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งปัจจุบันตลาดไทยจะมีขุมพลังดังนี้
- เครื่องยนต์ดีเซลรหัส LKH ดีเซล แถวเรียง วางตามยาว 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC พร้อมเทอร์โบ (FGT) และอินเตอร์คูลเลอร์ ระบบจ่ายเชื้อเพลิงคอมมอนเรล ไดเรค อินเจคชั่น ความจุ 2499 CC. กำลังสูงสุด 163 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตรที่ 2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด
- เครื่องยนต์ดีเซลรหัส LK2 ดีเซล แถวเรียง วางตามยาว 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC พร้อมเทอร์โบแปรผัน (VGT) และอินเตอร์คูลเลอร์ ระบบจ่ายเชื้อเพลิงคอมมอนเรล ไดเรค อินเจคชั่น ความจุ 2499 CC. กำลังสูงสุด 180 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตรที่ 2,000 รอบ/นาที
ระบบส่งกำลังมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 6 สปีด หรือ อัตโนมัติ 6 สปีดพร้อม Manual Mode

  คาดว่าการเปิดตัว Chevrolet Colorado และ Trailblazer Minor Change จะมีขึ้นราวๆต้นปีนี้เป็นอย่างเร็วที่สุด หรืออย่างช้าก็ช่วงกลางปีนี้

  และอีกหนึ่งปริศนาที่ยังคงคาใจคือ อีกหนึ่งโมเดลใหม่จาก Chevrolet ที่จะมีการเปิดตัวปีนี้ ซึ่งว่ากันว่าอาจจะเป็นเซอร์ไพรซ์ ซึ่งสำหรับผมขอคาดเดาไว้หลายรุ่นเหมือนกัน แต่ 2 รุ่นที่น่าจะมีความเป็นได้จะมีดังนี้

  รุ่นแรก..กระบะ Full-Size อย่าง Chevrolet Silverado ซึ่งก็แอบได้ยินข่าวลือมาไม่น้อยเหมือนกันว่ามีโอกาสจะนำมาจำหน่ายในไทย ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงก็อาจจะเป็นการเปิดตลาดกลุ่มใหม่ให้กับรถกระบะไทยได้เลย และคงเขย่าวงการยิ่งกว่าการเปิดตัว Ford Ranger Raptor เสียอีก

  ตามข่าวลือที่ได้ยินมานั้น Silverado ที่จะเข้ามาขายในไทย จะติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล Duramax 3.0 ลิตร 6 สูบแถวเรียง พละกำลังสูงสุด 250 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 596 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ก็ต้องติดตามชมว่าข่าวลือจะเป็นจริงหรือไม่ แต่บอกเลยว่าถ้าเข้าไทยแล้ว ราคาไม่ถูกแน่นอน

   คันต่อมาที่มีสิทธิ์เข้ามาจำหน่ายในไทยก็คือ Chevrolet Corvette Stingray (C8) สปอร์ตหรูคันงามที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปีที่ผ่านมา และมีไฮไลต์ที่น่าสนใจคือการรุ่นแรกที่เปลี่ยนตำแหน่งการติดตั้งเครื่องยนต์มาไว้ตรงกลางลำ จากเดิมที่อยู่บริเวณด้านหน้า และโฉมนี้ยังเป็นโฉมที่จะผลิตพวงมาลัยขวาจำหน่ายในตลาดโลกด้วย ทำให้เมืองไทยก็มีโอกาสไม่น้อย หากทาง Chevrolet Thailand อยากนำเข้ามาขายเพื่อเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ในไทยให้แข็งแกร่งและน่าสนใจขึ้น

  ขุมพลังของ Corvette ใหม่ นั้นจะทำการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน LT2 V8 ขนาด 6.2 ลิตรแบบใหม่ซึ่งติดตั้งตรงกลางลำซึ่งให้กำลังสูวสุด 497 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 630 นิวตัน-เมตร อย่างไรหากเลือกสั่งแพ็คเกจ Z51 Performance Package จะเพิ่มพละกำลังเป็น 502 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 637 นิวตัน-เมตร น่าเสียดายที่ Corvette ใหม่จะไม่มีทางเลือกระบบส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดาอีกต่อไปแล้ว ระบบเกียร์อัตโนมัติแบบคลัตช์คู่ 8 สปีดนั้นจะติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐาน และมาพร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ยังไงก็ต้องรอชมครับ

  ทั้งหมดนี้เป็นกำหนดการรถใหม่ที่พิมพ์ไว้ตั้งแต่เดือนมกราคม จนกระทั่งวันที่ 18 ก.พ. ก็ได้รับข่าวสุดช็อคว่า..เจนเนอรัล มอเตอร์ส จะยุติการจำหน่ายรถยนต์เชฟโรเลตในประเทศไทย ภายในสิ้นปี 2563 พร้อมยืนยันจะยังคงมีบริการหลังการขายและดูแลลูกค้าต่อไป

  นายแอนดี้ ดันสแตน ประธานกรรมการตลาดเชิงกลยุทธ์ พันธมิตรและผู้แทนจำหน่าย จีเอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล โอเปอเรชั่นส์ กล่าวว่าการถอนเชฟโรเลตออกจากตลาดรถยนต์ประเทศไทยนั้นเป็นการตัดสินใจของจีเอ็ม หลังจากที่มีการขายศูนย์การผลิตรถยนต์และเครื่องยนต์ของจีเอ็ม ประเทศไทย ในจังหวัดระยองให้แก่ เกรท วอล มอเตอร์ส

        “จีเอ็มทราบดีถึงผลกระทบที่จะมีต่อพนักงานและคู่ค้าของเราจากการตัดสินใจครั้งนี้ เราให้คำมั่นที่จะปฏิบัติต่อพนักงาน คู่ค้า และผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเราด้วยความเคารพตลอดระยะเวลา การปรับเปลี่ยนนี้” นายแอนดี้ กล่าว

        “จีเอ็มได้ประเมินทางเลือกหลายทางในการรักษาเชฟโรเลตไว้ในตลาดประเทศไทย แต่ความเป็นจริงก็คือ หากไม่มีฐานการผลิตในประเทศไทยแล้ว เชฟโรเลตก็ไม่อาจที่จะแข่งขันในตลาดรถยนต์ประเทศไทยได้เลย” นายแอนดี้ กล่าว

        นายแอนดี้ กล่าวว่า จีเอ็มได้ทำการศึกษาและวิเคราะห์โดยละเอียดถึงแผนธุรกิจที่จะจัดสรรโครงการรถยนต์รุ่นใหม่ให้แก่ศูนย์การผลิตในจังหวัดระยอง แต่พบว่าจะมีอัตราการใช้กำลังการผลิตของศูนย์การผลิตแห่งนี้ได้อย่างไม่เต็มที่ ตลอดจนความต้องการสินค้าในตลาดประเทศไทยและตลาดส่งออกที่เราคาดการณ์ไว้นั้นจะมีจำนวนน้อย อีกทั้งยังมีปัจจัยทางเศรษฐกิจหลายประการที่ไม่เอื้อต่อแผนธุรกิจนี้

        “การตัดสินใจที่จะยุติการผลิตและการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศไทยนั้นเป็นไปตามกลยุทธ์ การดำเนินธุรกิจทั่วโลกของจีเอ็ม และขอบข่ายการจัดสรรเงินทุนภายในองค์กรของเรา”

        “การตัดสินใจในครั้งนี้ไม่ได้สะท้อนถึงศักยภาพและความสามารถของทีมงานในประเทศไทย รวมถึงผู้จัดจำหน่ายของเราแต่อย่างใด ผมต้องขอขอบคุณพวกเขาที่ทำงานและให้การสนับสนุนจีเอ็มรวมถึงอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทยมาโดยตลอด นอกจากนี้ ผมต้องขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้การสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของเรามาอย่างยาวนานในตลาดรถยนต์ที่มีการแข่งขันทางธุรกิจสูงมาก ในประเทศไทย” นายแอนดี้ กล่าวเพิ่มเติม

        จีเอ็ม และเกรท วอล มอเตอร์ส ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายศูนย์การผลิตรถยนต์และเครื่องยนต์ของจีเอ็ม ประเทศไทยในจังหวัดระยอง ทั้งสองบริษัทคาดว่าการซื้อขายและส่งมอบศูนย์การผลิตทั้งสองจะเสร็จสิ้นในปลายปี 2563

        นายแอนดี้ ดันสแตน ประธานกรรมการตลาดเชิงกลยุทธ์ พันธมิตรและผู้แทนจำหน่าย จีเอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล โอเปอเรชั่นส์ กล่าวว่าการถอนเชฟโรเลตออกจากตลาดรถยนต์ประเทศไทยนั้นเป็นการตัดสินใจของจีเอ็ม หลังจากที่มีการขายศูนย์การผลิตรถยนต์และเครื่องยนต์ของจีเอ็ม ประเทศไทย ในจังหวัดระยองให้แก่ เกรท วอล มอเตอร์ส

        “จีเอ็มทราบดีถึงผลกระทบที่จะมีต่อพนักงานและคู่ค้าของเราจากการตัดสินใจครั้งนี้ เราให้คำมั่นที่จะปฏิบัติต่อพนักงาน คู่ค้า และผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเราด้วยความเคารพตลอดระยะเวลา การปรับเปลี่ยนนี้” นายแอนดี้ กล่าว

        “จีเอ็มได้ประเมินทางเลือกหลายทางในการรักษาเชฟโรเลตไว้ในตลาดประเทศไทย แต่ความเป็นจริงก็คือ หากไม่มีฐานการผลิตในประเทศไทยแล้ว เชฟโรเลตก็ไม่อาจที่จะแข่งขันในตลาดรถยนต์ประเทศไทยได้เลย” นายแอนดี้ กล่าว

        นายแอนดี้ กล่าวว่า จีเอ็มได้ทำการศึกษาและวิเคราะห์โดยละเอียดถึงแผนธุรกิจที่จะจัดสรรโครงการรถยนต์รุ่นใหม่ให้แก่ศูนย์การผลิตในจังหวัดระยอง แต่พบว่าจะมีอัตราการใช้กำลังการผลิตของศูนย์การผลิตแห่งนี้ได้อย่างไม่เต็มที่ ตลอดจนความต้องการสินค้าในตลาดประเทศไทยและตลาดส่งออกที่เราคาดการณ์ไว้นั้นจะมีจำนวนน้อย อีกทั้งยังมีปัจจัยทางเศรษฐกิจหลายประการที่ไม่เอื้อต่อแผนธุรกิจนี้

        “การตัดสินใจที่จะยุติการผลิตและการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศไทยนั้นเป็นไปตามกลยุทธ์ การดำเนินธุรกิจทั่วโลกของจีเอ็ม และขอบข่ายการจัดสรรเงินทุนภายในองค์กรของเรา”

        “การตัดสินใจในครั้งนี้ไม่ได้สะท้อนถึงศักยภาพและความสามารถของทีมงานในประเทศไทย รวมถึงผู้จัดจำหน่ายของเราแต่อย่างใด ผมต้องขอขอบคุณพวกเขาที่ทำงานและให้การสนับสนุนจีเอ็มรวมถึงอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทยมาโดยตลอด นอกจากนี้ ผมต้องขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้การสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของเรามาอย่างยาวนานในตลาดรถยนต์ที่มีการแข่งขันทางธุรกิจสูงมาก ในประเทศไทย” นายแอนดี้ กล่าวเพิ่มเติม

        จีเอ็ม และเกรท วอล มอเตอร์ส ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายศูนย์การผลิตรถยนต์และเครื่องยนต์ของจีเอ็ม ประเทศไทยในจังหวัดระยอง ทั้งสองบริษัทคาดว่าการซื้อขายและส่งมอบศูนย์การผลิตทั้งสองจะเสร็จสิ้นในปลายปี 2563

        นายเฮกตอร์ บีจาเรียล ประธานกรรมการ จีเอ็ม เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า บริษัทให้คำมั่นสัญญาที่จะดูแลช่วยเหลือพนักงานและลูกค้า และจะปรับเปลี่ยนการดำเนินงานต่างๆ สำหรับลูกค้า พนักงาน ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์เชฟโรเลตและผู้จัดหาวัตถุดิบหรือบริการให้สำเร็จเป็นไปได้ด้วยความเรียบร้อย

        “เราจะให้ความช่วยเหลือและมอบแพ็คเกจเงินชดเชยให้กับพนักงานที่ได้รับผลกระทบทั้งหมดในจำนวนที่มากกว่ากฎหมายแรงงานไทยกำหนด”

        “ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์เชฟโรเลตจะได้รับการเสนอโปรแกรมการช่วยเหลือพิเศษในการปรับเปลี่ยนธุรกิจอย่างเหมาะสมหลังจากที่ร่วมเป็นคู่ค้ากับเรามาอย่างยาวนาน รวมถึงโอกาสในการเปลี่ยนธุรกิจของตนให้เป็นศูนย์บริการที่ได้รับการแต่งตั้งจากเชฟโรเลต”

        “เราให้คำมั่นสัญญาว่าจะดูแลและให้บริการลูกค้าของเราต่อไป ท่านเจ้าของรถยนต์เชฟโรเลตมั่นใจได้ว่าเราจะยังคงปฏิบัติตามการรับประกันคุณภาพรถยนต์ทุกคันและให้บริการหลังการขายผ่านเครือข่ายของเราในประเทศไทย เชฟโรเลตจะร่วมมือกับผู้จัดจำหน่ายของเราอย่างใกล้ชิด โดยเราจะเสนอโอกาสในการปรับเปลี่ยนธุรกิจให้แก่ผู้จัดจำหน่าย ให้เปลี่ยนเป็นศูนย์บริการที่ได้รับการแต่งตั้งจากเชฟโรเลต” นายเฮกตอร์ กล่าว

Ford
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทยปีนี้ : Ranger & Everest รุ่นพิเศษ
  ในปีที่ผ่านมานั้น Ford ได้มีการกระตุ้นตลาดด้วยการปรับอุปกรณ์ เพิ่มรุ่นย่อยใหม่ให้กับทั้ง Ford Ranger และ Everest เพื่อกระตุ้นยอดขาย หลายคนอาจมองว่าจะปรับจะขยับอะไรกันทุกปี? ในเมื่อค่ายที่มีผลิตภัณฑ์จำหน่ายแค่ 3 โมเดล (Ranger/Everest/Mustang) พอไม่ขยับก็หาว่าเงียบ ไม่รู้จักกระตุ้นตลาดสู้คู่แข่ง พอขยับบ่อยๆก็หาว่าออกรุ่นใหม่ทุกปี ต้องทำใจครับ คนที่คิดแบบนี้เอาใจยาก ไม่มีใครทำอะไรทุกคนหรอกครับ

   คาดว่าในปีนี้ก็คงเหมือนเดิม กระตุ้นตลาดด้วยการแนะนำรุ่นตกแต่งพิเศษหรืออาจปรับอุปกรณ์ไปเรื่อยทั้งใน Ranger และ Everest หรือแย่สุดคืออาจจะไม่มีความเคลื่อนไหวเลยก็ได้ อาจจะแค่อัดโปรโมชั่นกระตุ้นเพื่อประคองยอดขาย แต่อย่างใดก็ต้องจับตาดูให้ดีสำหรับค่ายวงรีฟ้า

Honda
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทยปีนี้ : CR-V Minor Change / City Hybrid / Jazz หรืออาจจะเป็นตัวแทน Jazz (City Hatchback)???
  ค่าย Honda ในปีที่ผ่านมานั้น ช่วงปลายปีได้สร้างกระแสที่ค่อนข้างร้อนแรงจากการเปิดตัว All-New Honda City ซึ่งสามารถทำยอดจองช่วงเปิดตัวได้มากกว่า 4,500 คันในเวลาเพียงไม่นาน นอกนั้นก็จะมีรุ่นปรับโฉม รุ่นปรับอุปกรณ์ของรุ่นอื่นๆ

   ในปีนี้รุ่นหนึ่งที่จะมีการเปิดตัวแน่ๆก็คือ Honda CR-V Minor Change ที่เพิ่งเปิดตัวในตลาดสหรัฐฯช่วงเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา โดยมีการปรับโฉมภายนอกให้ทันสมัยขึ้น อีกทั้งตอนนี้เริ่มมีรถทดสอบมาวิ่งในไทยแล้วตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา คาดว่าช่วงต้นปีนี้ราวๆงาน Bangkok Motor Show 2020 น่าจะได้ยลโฉมกัน

  สิ่งที่คาดว่าจะติดตั้งเพิ่มมาให้ใน CR-V Minor Change เวอร์ชั่นไทย   คือระบบความปลอดภัย Honda Sensing หลังจากติดตั้งให้ใน Civic ไปแล้ว ระบบเหล่านี้จะประกอบไปด้วย

  • ระบบเตือนการชนรถและคนเดินถนน พร้อมระบบช่วยเบรก (CMBS : Collision Mitigation Braking System™)
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (LKAS : Lane Keeping Assist System)
  • ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ Road Departure Mitigation System (RDM) with Lane Departure Warning (LDW)
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (AHB : Auto High-Beam)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าทุกช่วงความเร็ว Adaptive Cruise Control (ACC) with Low-Speed Follow (LSF)
   ขุมพลังในตลาดสหรัฐฯนั้นมีการยกเลิกจำหน่ายเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร ทำให้เหลือเครื่องยนต์เบนซินธรรมดาบล็อกเดียวคือ เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว VTEC TURBO พละกำลังสูงสุดที่ 190 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 243 นิวตัน-เมตรที่ 1,500 - 5,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT

   และขุมพลัง Hybrid เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC พละกำลังสูงสุดที่ 145 แรงม้าที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 175 นิวตัน-เมตรที่ 3,500 รอบ/นาที ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าพละกำลัง 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 315 นิวตัน-เมตร รวมพละกำลังทั้งระบบที่ 215 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT พร้อมกับแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออน ความจุไฟฟ้า 1.3 kWh

  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังไม่ทราบว่าเวอร์ชั่นไทย จะมีสิทธิ์ยกเลิกจำหน่ายเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตรและแทนที่ด้วย 1.5 ลิตรเทอร์โบหรือเปล่า และเครื่องเบนซิน Hybrid จะมีสิทธิ์มีทำตลาดหรือไม่ สำหรับขุมพลังปัจจจุบันที่ติดตั้งก็คือ
- เครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC มากับพละกำลัง 173 แรงม้าที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 224 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมระบบ Shifting Control of Cornering Gravity & G Design Shift
- เครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-DTEC 2 STAGE TURBO มากับพละกำลัง 160 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร 2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด พร้อม Paddle Shift เอาเป็นว่าติดตามกันต่อไป ก็ต้องติดต
ามกันต่อไป
   คันต่อมาของ Honda ที่คาดว่าจะเปิดตัว Honda City Hybrid ซึ่งน่าจะเป็นก๊อกสองของ City ที่จะปล่อยออกมา แน่นอนว่า City Hybrid คงไม่ได้มาในฐานะ Eco Car Phase 2 แน่นอน แต่ด้วยตอนนี้ที่มีภาครัฐช่วยเรื่องภาษีก็น่าจะส่งผลให้ทำราคาได้ในระดับที่สมเหตุสมผล และยังสามารถอัดออปชั่นพร้อมความปลอดภัยเพิ่มเติมจาก City Turbo ได้อีกด้วย ขุมพลังเป็นไปได้ที่จะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร Hybrid i-MMD พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว เหมือน Honda Fit/Jazz โฉมใหม่ล่าสุดที่ญี่ปุ่นตอนนี้ แต่ยังไม่มีการเผยข้อมูลสมรรถนะออกมา คาดว่า City Hybrid จะเปิดตัวในไทยราวๆปลายปีนี้

   แต่ยังมีอีกคันที่ยังคงเดาสถานการณ์ไม่ได้จริงๆ ก็คือ All-New Honda Jazz ที่มีข่าวร่ำลือว่าโฉมใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวในญี่ปุ่นนั้นอาจจะไม่มาไทย ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเพราะอะไรถึงจะไม่ได้ไปต่อ แล้วอะไรจะมาแทน Jazz ล่ะ? ว่ากันว่า Honda อาจจะสร้างรถแฮตซ์แบ็คคันใหม่ภายใต้พื้นฐานของ City ซึ่งอาจมาในรูปแบบของ "City Hatchback" ก็คงจะทำนองเดียวกับ Mazda 2 หรือ Toyota Yaris ที่มีใบหน้าคล้ายกัน แต่จะต่างแค่ครึ่งคันหลังเท่านั้น

  และไม่ว่าจะมาในโฉม Jazz หรือ City Hatchback รถคันนี้จะต้องมากับเครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตร DOHC 3 สูบ 12 วาล์ว VTEC TURBO พละกำลังสูงสุด 122 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 173 นิวตันเมตรที่ 2,000-4,500 รอบ/นาที ทุกรุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT เอาเป็นว่ารอติดตามในปีนี้ครับว่าจะ Hatchback คันใหม่จะมาในทิศทางใด

Hyundai
รถใหม่ที่คาดว่าเปิดตัวในไทยปีนี้ : iONIQ Minor Change / Veloster?
  สำหรับในปีที่ผ่านาสำหรับค่าย Hyundai ก็ดูจะเน้นการทำตลาด H-1 และ Grand Starex เป็นพิเศษ แต่ก็ยังมีการแนะนำรถครอสโอเวอร์พลังงานไฟฟ้า Hyundai Kona Electric อีกด้วย

   คาดว่าในปีนี้ Hyundai ประเทศไทย จะมีการเปิดตัว Hyundai iONIQ Minor Change ที่ได้รับการปรับโฉมภายนอกใหม่ให้สดใหม่และทันสมัยมากยิ่งขึ้น แต่ที่น่าสนใจคงจะเป็นการปรับเปลี่ยนคอนโซลหน้าใหม่ยกชุดให้ดูดียิ่งกว่าเดิม

   โดยขุมพลังจะติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor แต่ได้พละกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 136 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 295 นิวตันเมตรเท่าเดิม พร้อมแบตเตอรี่ Lithium-Ion Polymer ที่มีความจุเพิ่มขึ้นเป็น 38.3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ส่งผลให้รถมีระยะทางวิ่งสูงสุดเพิ่มเป็น 311 กิโลเมตร คาดว่าช่วงต้นปีถึงกลางปีน่าจะมีการเปิดให้ลูกค้าชาวไทยจับจอง
เช่นเคย
  
   อีกคันที่น่าลุ้นอยู่ไม่น้อยก็คือ Hyundai Veloster ที่มีการนำรถมาจัดแสดงภายในงาน Motor Expo 2019 ช่วงปลายปีที่ผ่านมา   หลายท่านคงจะรู้จัก Hyundai Veloster ดีในฐานะที่เป็นรถสปอร์ตแฮตซ์แบ็ค 3 ประตู ที่จะมีประตูหลังทางฝั่งผู้โดยสารเพื่อให้ผู้โดยสารด้านหลังเข้าถึงภายในรถได้ง่ายขึ้นนั่นเอง   

  สำหรับตลาดโลกนั้น ในรุ่นพื้นฐานนั้นจะทำการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 147 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 179 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดหรือเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ส่วนรุ่น Turbo จะมาขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตรเทอร์โบชาร์จ 4 สูบ พละกำลัง 201 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 264 นิวตัน-เมตร ซึ่งยังมีฟังก์ชั่น Overboost ที่ทำให้แรงบิดเพิ่มขึ้นเป็น 274 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดหรือเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 7 สปีด ต้องมารอดูว่าไหนๆก็เอามาโชว์แล้ว จะมีโอกาสนำมาขายอีกครั้งหรือไม่

รถใหม่ในตลาดโลก (และมาไทยด้วย) :  All-New H-1/Grand Starex
   ขอยกเฉพาะที่น่าสนใจและคงมาไทยแน่นอน คันที่จะพูดถึงก็คือ All-New Hyundai H-1/Starex ที่ได้เวลาสำหรับการเปลี่ยนโฉมใหม่หมดจดแล้ว โดย  All-New Hyundai H-1/Starex มีรหัสในการพัฒนาหรือ Codename ว่า US4 จะถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานแพลตฟอร์มเดียวกับ All-New Kia Grand Carnival (Codename: KA4) ที่คาดว่าจะเปิดตัวไตรมาสที่ 3 ปีนี้ ดังนั้นดีไซน์นั้นจะไม่ได้มาทรงรถตู้ขนของจ๋าแบบโฉมปัจจุบันแล้ว แต่จะมาในแนวมินิแวน MPV สุดหรูแบบ Kia Grand Carnival และในเมื่อสลัดคราบรถตู้ออกมาเป็นรถแนว MPV หรู ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเปลี่ยนชื่อทำตลาดใหม่ด้วย

ภาพจาก blog.naver.com
     รูปลักษณ์ภายนอกจะเห็นว่าดีไซน์ด้านหน้าจะเป็นไปตาม Hyundai ยุคใหม่ที่เน้นความโฉบเฉี่ยวล้ำสมัย  ลบภาพลักษณ์เดิมๆออกไปหมดสิ้น ต่อเนื่องไปถึงเส้นสายด้านข้างที่ดูสวยงามโฉบเฉี่ยว ส่วนด้านท้ายยังไม่เห็นเพราะรอบคันก็ยังคงพรางด้วยผ้าหุ้มที่แน่นหนา แต่ดูรวมๆแล้วน่าจะสวยลงตัวขึ้นไม่น้อย  ส่วนภายในห้องโดยสารยังไม่มีภาพงานออกแบบคอนโซลหน้า มีเพียงแค่เบาะหลังที่ดูแล้วน่าจะหรูหราโดนใจไม่น้อย เครื่องยนต์ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดออกมาว่าจะได้ขุมพลังไหน แต่คาดว่าการเปิดตัวของ All-New Hyundai H-1/Starex น่าจะมีขึ้นช่วงไตรมาสที่ 3 ปีหน้าในตลาดโลกก่อน ส่วนไทยน่าจะได้พบกันปี 2021 ครับ

Isuzu
รถใหม่ที่คาดว่าเปิดตัวในไทยปีนี้ : D-Max X-Series? / All-New MU-X
   ค่าย Isuzu ในปีที่ผ่านมานั้น มีไฮไลต์สำคัญอยู่ที่การเปิดตัว All-New Isuzu D-Max ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และปรับโฉมอีกรอบให้กับ Isuzu MU-X พร้อมแนะนำ MU-X The Onyx ช่วงต้นปี แนะนำความเคลื่อนไหวค่ายนี้ก็จะวนแค่ 2 รุ่นนี้ แล้วก็รถบรรทุก

    สำหรับรถใหม่ในปีนี้ คาดว่ากระบะ Isuzu D-Max อาจจะมีการเปิดตัวรุ่นย่อยตกแต่งพิเศษอย่าง X-Series อันเป็นธรรมเนียมของกระบะ Isuzu ที่จะต้องมีรุ่นย่อยตกแต่งพิเศษนี้  และนำเอาทั้งตัวเตี้ย Spacecab Cab 4 รวมทั้ง Hi-Lander 2 และ 4 ประตูมาเป็นพื้นฐานในการตกแต่ง ซึ่งถ้าหากจะมีการเปิดตัวตามที่ว่าจริง ก็น่าจะได้เห็นกันช่วงต้นปีนี้ ราวๆปลายเดือน ม.ค.-ต้น มี.ค.

  และอีกหนึ่งไฮไลต์ในการเปิดตัวก็คือ All-New Isuzu MU-X เจเนเรชั่นใหม่ที่สร้างบนพื้นฐานของ D-Max โฉมล่าสุด ซึ่งตอนนี้ไม่มีแม้แต่รถทดสอบหรือหลุดชิ้นส่วนให้เห็น แต่จากคนรู้จักที่ทำงานผลิตเกี่ยวกับการชิ้นส่วนรถ ได้ข้อมูลประมาณว่า
* รูปทรงค่อนข้างหรูหรามาก Toyota Fortuner เตรียมตัวหนาวได้เลย
* ภายในห้องโดยสารใช้พื้นฐานคอนโซลร่วมกับ Isuzu D-Max V-Cross
* เริ่มผลิตประมาณเดือน 8 ปีหน้า
* เปิดตัวปลายปี (ก็คงช่วงปลาย ก.ย.-ต้น พ.ย. ตาม Timeline ที่ Isuzu มักใช้เปิดตัวรุ่นใหม่)
ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอให้ทุกคนใช้วิจารณญาณในการอ่านข่าวนี้ โปรดอย่าเพิ่งเชื่อ 100% ในสิ่งที่ผมพิมพ์มา ความจริงจะปรากฏเมื่อรถเปิดตัวครับ ยังไงก็ต้องรอติดตาม

Jaguar/Land Rover
Jaguar
รถใหม่ที่คาดว่าเปิดตัวในไทยปีนี้ : XE Minor Change / F-Type Minor Change
    ค่ายรถหรูแดนอังกฤษรายนี้ สำหรับในปีที่ผ่านมานั้นมีการเปิดตัวรถพลังงานไฟฟ้าล้วน Jaguar i-Pace รวมทั้งแนะนำสปอร์ตตัวแรง F-Type SVR

  คาดว่าในปีนี้น่าจะมีการแนะนำรถใหม่ดังนี้ เริ่มที่ Jaguar XE Minor Change  รถซาลูนสุดหรูน้องเล็กของค่าย ผู้เป็นคู่แข่งของ Mercedes-Benz C-Class รวมทั้ง BMW 3-Series ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมา มีการอัปเดตรูปโฉมเพื่อมาสู้กับเหล่าเยอรมันตามที่กล่าวข้างต้น  ภายนอกมีดีไซน์ที่ค่อนข้างดุดันขึ้น ด้วยโคมไฟหน้าทรงใหม่ที่ดูเฉียบคมซึ่งมีรายละเอียดไฟ LED ภายในเป็นรูปตัว J พร้อมกับปรับกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ที่มีรูรับอากาศขนาดใหญ่ขึ้น เช่นเดียวกับด้านท้ายที่มากับโคมไฟท้าย LED ทรงใหม่ที่ทรวดทรงเรียวขึ้นและดีไซน์มีลูกเล่นนูนลงมาเล็กน้อย และกันชนท้ายใหม่ที่ดูมีมิติกว่าเดิม

   ภายในห้องโดยสารจะมีการปรับเปลี่ยนพวงมาลัย 3 ก้านทรงใหม่ แดชบอร์ดตรงกลางมากับชุดหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ที่มาพร้อมกับระบบอินโฟเทนเมนต์ Touch Pro Duo ถัดลงไปจะเป็นในส่วนควบคุมระบบปรับอากาศมีชุดหน้าจอสัมผัสขนาดเล็ก 5.5 นิ้วแทนที่รุ่นเดิมที่ใช้แบบปุ่ม สำหรับตลาดไทยน่าจะทำตลาดด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จ  พละกำลังสูงสุด 180 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที คาดว่าคงได้เห็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการและราคาในช่วงต้นปีนี้

   อีกคันที่น่าจะตามมาก็คือ Jaguar F-Type Minor Change สปอร์ตคูเป้พันธุ์หรูที่ปรับโฉมภายนอกครั้งใหญ่และเพิ่งเปิดตัวในตลาดโลกปลายปีที่ผ่านมานี้เอง   การปรับโฉมใหม่ครั้งนี้เห็นการเปลี่ยนแปลงได้แบบชัดเจนมาก จากด้านหน้าที่ดูดุดันและเกรี้ยวกราดขึ้น โดยมากับกระจังหน้าพร้อมตะแกรงแบบรังผึ้งที่ขนาดใหญ่โตขึ้นกว่าเดิม สวนทางกับไฟหน้าที่ออกแบบให้เล็กและเรียวบางกว่าเดิม พร้อมกันนี้ยังมากับกันชนหน้าใหม่ที่มีช่องระบายอากาศใหญ่ขึ้น

ปัจจุบันชาวไทยจะมีทางเลือกเครื่องยนต์ที่ได้สัมผัส ดังนี้
- เครื่องเบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ เทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุด 300 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร สามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 5.7 วินาทีก่อนที่จะพุ่งสู่ท็อปสปีด 250 กม./ชม.
- ตัวแรงสุด F-Type SVR มากับเครื่องยนต์เบนซิน 5.0 ลิตร V8 ซุปเปอร์ชาร์จ พละกำลังสูงสุด 575 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร สามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม ในเวลา 3.7 วินาทีและท็อปสปีด 300 กม./ชม. โดยทุกขุมพลังจะส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด
ยังไงก็ต้องรอติดตามชมว่าจะเอาเข้ามาเมื่อไหร่

รถใหม่ในตลาดโลก (และบางคันอาจจะมาไทยด้วย) : XF Minor Change / F-Pace Minor Change
   เริ่มที่ Jaguar XF ที่ตอนนี้ได้เวลาในการปรับโฉมแล้วเพื่อเพิ่มความสดใหม่ในการต่อกรกับคู่แข่ง ซึ่งจากรถทดสอบนั้นจะเป็น XF Minor Change ตัวถังแวกอน Sportbrake ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Jaguar ยังคงฮึดสู้ที่จะขายตัวถังรูปแบบนี้ต่อแม้จะขายได้ไม่มากก็ตาม

ภาพจาก Motorauthority
   ไฟหน้าของรุ่นใหม่จากที่เห็นนั้นน่าจะมีทรวดทรงที่ดูบางลง ส่วนกระจังหน้าและกันชนหน้ายังดูไม่ออก แต่ก็น่าจะมีการออกแบบใหม่ ส่วนด้านท้ายก็จะปรับเปลี่ยนทรวดทรงให้ดูเพรียวบางลงเช่นกัน ส่วนภายในห้องโดยสารแม้ว่าจะยังไม่เห็นภาพแต่ก็เดาว่าน่าจะเปลี่ยนในทิศทางเดียวกับ XE ใหม่ คือ ได้พวงมาลัยใหม่ คอนโซลที่เน้นปุ่มควบคุมแบบดิจิตอลมากขึ้น เครื่องยนต์ก็น่าจะมีทั้งดีเซล เบนซิน รวมทั้งขุมพลังแบบ Plug-In Hybrid คาดว่ากลางปีถึงครึ่งปีหลังน่าจะมีการเปิดตัว

  อีกคันที่มีคิวปรับโฉมเช่นกันก็คือ Jaguar F-Type รถอเนกประสงค์เรือธงของค่าย ซึ่งจากภาพรถทดสอบก็ยังคงพรางค่อนข้างหนาตาอยู่ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงแน่ๆก็ ไฟหน้าที่ปรับปรุงรายละเอียดใหม่ รวมทั้งเปลี่ยนกันชนหน้าใหม่ ส่วนกระจังหน้ายังไม่เห็นชัดเจนแต่เดาว่าคงเปลี่ยนเช่นกัน ด้านท้ายก็มีการปรับรายละเอียดกันชนท้ายและไฟท้ายใหม่

ภาพจาก Motor1
  ภายในห้องโดยสารก็เช่นเดียวกับที่กล่าวไว้ใน XF ใหม่ แม้ว่าจะยังไม่เห็นภาพแต่ก็เดาว่าน่าจะเปลี่ยนในทิศทางเดียวกับ XE ใหม่ คือ ได้พวงมาลัยใหม่ คอนโซลที่เน้นปุ่มควบคุมแบบดิจิตอลมากขึ้น เครื่องยนต์ก็น่าจะมีทั้งดีเซล เบนซิน รวมทั้งขุมพลังแบบ Plug-In Hybrid สำหรับการเปิดตัวนั้นคาดว่ากลางปีถึงครึ่งปีหลังน่าจะมีการเปิดตัว

Land Rover
รถใหม่ที่คาดว่าเปิดตัวในไทยปีนี้ :  All-New Defender / Discovery Sport Minor Change
   ค่ายเอสยูวีพันธุ์หรู สำหรับปีที่ผ่านมานั้นมีการแนะนำโมเดลใหม่ของ Range Rover Evoque ส่วนในปีนี้ก็น่าจะมีอีกหลายรุ่นแนะนำ เริ่มที่คันแรกเลยคือ All-New Land Rover Defender ออฟโรดระดับตำนานของค่ายที่เพิ่งแนะนำโฉมใหม่เมื่อปีที่ผ่านมา สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มใหม่ล่าสุดชื่อ D7x ใหม่ ใน Defender 110 รุ่นฐานล้อยาวจะมากับรูปแบบที่นั่งแบบ 5 + 2 ใน 4 รูปแบบการตกแต่งเสริมที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น Explorer, Adventure, Country และ Urban ส่วนรุ่นฐานล้อสั้น Defender 110 จะตามมาในภายหลัง

  ขุมพลังจะมีทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่
- D240 เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุด 200 แรงม้า (PS) ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 10.3 วินาที
- D240 เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุด 240 แรงม้า (PS) ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 9.1 วินาที
- P300 เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุด 300 แรงม้า (PS) ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 8.1 วินาที
- P400 เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร 6 สูบแถวเรียงกับเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ twin-scroll และระบบ  Mild-Hybrid Electric Vehicle (MHEV) ไฟฟ้า 48 โวลต์ที่มากับพละกำลังสูงสุด 400 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.ได้ในเวลา 6.1 วินาที) ทั้งหมดส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีด

  คาดว่าชาวไทยจะได้สัมผัส All-New Land Rover Defender ได้ในช่วงต้นปีนี้เป็นอย่างเร็วที่สุด

  คันต่อมาก็คือ Land Rover Discovery Sport Minor Change ที่มีการปรับดีไซน์ทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสาร เพิ่มเติมเทคโนโลยีใหม่ และแนะนำขุมพลังที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ภายนอกนั้นจะมากับการปรับปรุงรายละเอียดไฟหน้า กระจังหน้า และกันชนหน้าใหม่ให้ทันสมัยขึ้นตามแนวทางของ Land Rover ยุคใหม่ เช่นเดียวกับด้านท้ายที่มีการปรับรายละเอียดโคมไฟท้ายและกันชนท้ายใหม่ ส่วนล้อก็มีลายใหม่ๆให้เลือก   ภายในห้องโดยสารมีการปรับปรุงดีไซน์ให้ทันสมัยขึ้นตามแนวทาง Land Rover ยุคใหม่เช่นเดียวกับภายนอก เข้ามาจะพบกับพวงมาลัย 3 ก้านดีไซน์ใหม่ หน้าปัดดีไซน์ใหม่แบบดิจิตอล ระบบ Touch Pro Infotainment System พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 10 นิ้ว ในส่วนปุ่มควบคุมด้านล่างถัดจากหน้าจอ Infotainment ก็ถูกเปลี่ยนเป็นจอแสดงผลดิจิตอลเหมือนกับรุ่นอื่นๆ

ขุมพลังทั้งหมดจะมีดังต่อไปนี้
- เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร (ปัจจุบันไทยวางจำหน่ายเครื่องยนต์นี้)
- เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 180 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร มาพร้อมระบบ Mild-Hybrid
- เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 240 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร มาพร้อมระบบ Mild-Hybrid
- เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 200 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร มาพร้อมระบบ Mild-Hybrid
- เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ พละกำลัง 249 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 365 นิวตันเมตร มาพร้อมระบบ Mild-Hybrid
ระบบ Mild-Hybrid พร้อมระบบไฟ 48 โวลต์จะช่วยเพิ่มพลังงานในการออกตัวของรถได้ในระยะเวลาหนึ่ง  แหล่งพลังงานจะถูกเก็บไว้ในแบตเตอรี่ที่ติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถ  

    คาดว่า Land Rover Discovery Sport Minor Change จะเปิดตัวในไทยช่วงต้นปีเป็นอย่างเร็วที่สุดครับ

Kia
รถใหม่ในไทยปีนี้ : ไม่ทราบความเคลื่อนไหว
รถใหม่ในตลาดโลก (และมาไทยด้วย) : All-New Grand Carnival
  ค่ายรถแดนโสมอย่าง Kia นั้นในปีที่ผ่านมามีการเปิดตัว Kia Soul EV รถครอสโอเวอร์พลังงานไฟฟ้า พร้อมแนะนำ Brand Ambassador อย่างวง Blackpink อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการกระตุ้นตลาดสำหรับรถรุ่นขายดีอย่าง Kia Grand Carnival

ภาพจาก SHM
   ในปีนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่าไทยจะมีการเปิดตัวรุ่นไหน แต่ในตลาดโลกนั้น คาดว่าจะมีการเปิดตัว All-New Kia Carnival กับรหัสการพัฒนาหรือ Codename คือ KA4 ซึ่งแพลตฟอร์มของ Carnival ใหม่นี้จะถูกนำไปใช้ใน Hyundai H-1/Starex เจเนเรชั่นใหม่ด้วย เมื่อดูจากรูปทรงแล้วจะเห็นว่าตัรถได้ออกแบบใหม่ให้เน้นเหลี่ยมสันขึ้นกว่าเก่า เพิ่มความบึกบึนและทะมัดทะแมงมากขึ้นกว่าเดิม ส่วนการเปิดตัวนั้น จากดังรูปที่เห็นว่ารถจะวิ่งทดสอบจนถึงช่วงเดือนกันยายนของปีนี้ ทำให้Carnival/Sedona จะเปิดตัวช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้เป็นอย่างเร็วที่สุด ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นชาวไทยก็ลุ้นเปิดตัวช่วงปี 2021 ครับ

Lamborghini
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทยปีนี้ : Huracan EVO RWD
  รถใหม่ปีนี้ของ Lamborghini ในไทยแน่นอนว่าจะต้องเป็น Lamborghini Huracan EVO Rear-Wheel Drive (RWD) เวอร์ชั่นขับเคลื่อนล้อหลังของซูเปอร์คาร์ตัวแรง เพิ่งแนะนำสดๆร้อนๆไปเมื่อช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้เอง เครื่องยนต์ก็ยกมาจากรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อแต่นำมาปรับแต่งใหม่โดยใช้เครื่องเบนซิน V10 ที่ติดตั้งกลางลำตัวรถ เป็นเครื่องที่ไร้เทอร์โบ ความจุ 5.2 ลิตร สร้างพละกำลังสูงสุด 610 แรงม้า (PS) ที่ 8,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 560 นิวตันเมตรที่ 6,500 รอบ/นาที ระบบส่งกำลังจะใช้เกียร์อัตโนมัติคลัตซ์คู่ 7 สปีดพร้อมระบบช่วยในการออกตัว Launch Control น้ำหนักตัวรถจะเบากว่ารุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ราวๆ 33 กิโลกรัม เหลือ 1,389 กิโลกรัม อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 3.3 วินาที (ช้ากว่า AWD 0.4 วินาที) และเร่งถึง 200 กม./ชม. ในเวลา 9.3 วินาที (ช้ากว่า AWD 0.3 วินาที) ส่วนท็อปสปีดจะอยู่ที่ 325 กม./ชม. เท่ากับ AWD

  Lamborghini กล่าวว่ารถขับเคลื่อนล้อหลัง RWD ได้รับการออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกสนานยิ่งขึ้นทั้งในสภาพพื้นแห้งและเปียก สิ่งเหล่านี้ประสบความสำเร็จได้ด้วยระบบควบคุมการลื่นไถล (P-TCS) ใหม่ที่ปรับแต่งมาเป็นพิเศษสำหรับรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง โดยให้แรงบิดแม้ในขณะที่รถกำลังดริฟท์ก็ตาม

 Lamborghini ได้ออกแบบดีไซน์ใหม่ให้กับ Huracan EVO RWD เล็กน้อยเพื่อแยกความแตกต่างระหว่างรุ่นขับหลังกับขับสี่ โดยมากับกันชนหน้าดีไซน์ใหม่พร้อมลิ้นกันชนด้านหน้าขนาดใหญ่ กันชนหลังตกแต่งด้วยสีดำมันวาวสูงพร้อมครีบรีดอากาศใหม่ นอกจากนี้ยังได้ล้อขนาด 19 นิ้วลายใหม่หุ้มด้วยยาง Pirelli P Zero ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษโดยมีเบรกแบบระบายอากาศและ cross-drilled ในขณะที่ยังมีออปชั่นเพิ่มเติมเป็นล้อขนาด 20 นิ้วและเบรคคาร์โบเซรามิก คาดว่าช่วงต้นปีนี้อาจจะมีการนำเข้ามาโชว์ให้ได้เศรษฐีชาวไทยได้รับชมและจับจองกัน

Mazda
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทยปีนี้ : CX-30 / MX-5 MY2020 / CX-5 MY2020-2021 / CX-8 MY2021 / BT-50?
   ค่าย Mazda ในปีที่ผ่านมานั้นมีการเปิดตัวรถใหม่ในไทยถึง 6 รุ่นด้วยกัน ที่เป็นไฮไลต์เด็ดก็คือ All-New Mazda 3 และรถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่งคันใหม่อย่าง Mazda CX-8 นอกนั้นก็จะเป็นการ Minor Change ให้กับ Mazda 2 หรือปรับอุปกรณ์ใน CX-5 พร้อมทั้งแนะนำรุ่นพิเศษ CX-3 Exclusive Mod และ MX-5 รุ่นฉลอง 30 ปี

  ในปีนี้น่าจะเป็นอีกปีที่ Mazda ประเทศไทย เปิดตัวรถหลายรุ่น ทั้งโมเดลใหม่และรุ่นปรับอุปกรณ์ เปิดประเดิมช่วงต้นปีด้วย All-New Mazda CX-30 หากใครคิดว่า Mazda CX-3 นั้นมีขนาดที่เล็กและแคบเกินไป พอจะอัพไซส์เป็น CX-5 ก็ใหญ่เกินความจำเป็นอีก และนี่ก็คือทางออกของปัญหานี้ เชิญพบกับ "All-New Mazda CX-30" ว่ากันตามขนาดแล้วนั้น All-New Mazda CX-30 จะมีตำแหน่งทางการตลาดแทรกกลางระหว่าง CX-3 และ CX-5 แต่ก็เป็นไปได้สูงว่า CX-30 นั้นจะมาแทน CX-3 ในไทยที่คันเล็กไปหน่อย

   All-New Mazda CX-30 จะเป็นรถคันที่ 2 ของ Mazda ต่อจาก Mazda 3 ที่ถูกพัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์มใหม่ล่าสุด Skyactiv-Vehicle Architecture ที่มีความแข็งแรงมากขึ้นและส่งผลต่อการขับขี่ที่ดียิ่งขึ้นด้วย จะมีความยาวตัวถัง 4,395 มิลลิเมตร กว้าง 1,755 มิลลิเมตร สูง 1,540 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,655 มิลลิเมตร และเมื่อเทียบกับ Mazda 3 เจ้า CX-30 จะมีความสูงจากพื้นรถมากกว่า 25 มิลลิเมตร อีกทั้งยังมีความจุสัมภาระด้านหลังเพิ่มขึ้นเป็น 430 ลิตร จาก Mazda 3 ที่มี 295 ลิตร

  ขุมพลังในไทยคาดว่าจะทำการติดตั้ง เครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G ขนาด 2.0 ลิตร DOHC แถวเรียง 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผันคู่อัจฉริยะ Dual S-VT และระบบไอเสีย 4-2-1 พร้อมระบบ i-STOP  พละกำลังสูงสุด 165 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 213 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ SKYACTIV-DRIVE 6 สปีดพร้อม Manual Mode Activematic รองรับน้ำมันสูงสุด E85

  ส่วนอีกเครื่องที่ต้องลุ้นว่าจะเอามาไทยหรือเปล่า ก็คือ เครื่องยนต์ดีเซล SKYACTIV-D ขนาด 1.8 ลิตร 4 สูบ พละกำลังทั้งหมด 116 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 270 นิวตัน-เมตรที่ 1,600-2,600 รอบ/นาที แต่ CX-3 เครื่องดีเซลก็ไม่ใช่รุ่นที่ขายดีมากนัก ดังนั้นก็เป็นไปได้ที่อาจจะไม่ได้ไปต่อใน CX-30 ยังไงช่วงต้นปีนี้ก็ต้องติดตามชมการเปิดตัวครับ

   และรุ่นที่น่าจับตามองมากสุดรุ่นหนึ่งในช่วงปีนี้ก็คือกระบะ All-New Mazda BT-50 จากสายข่าวเพื่อนผมที่ทำงานผลิตชิ้นส่วนรถบอกว่าจะเริ่มผลิตช่วงเดือน 4 ปีนี้ และจะเปิดตัวปีนี้แน่นอน แต่ก็เป็นข้อมูลปากเปล่า ประกอบกับที่สื่อหลายเจ้าที่คาดการณ์ว่าอาจจะไม่ทันปีนี้ น่าจะเป็นปี 2021 ฉะนั้นก็ต้องรอติดตามต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร

ภาพตัดต่อโดย Car News Update
  แต่ที่ชัดเจนแน่นอนคือกระบะ Mazda คันนี้จะพัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับ Isuzu D-Max โฉมล่าสุด เครื่องยนต์กลไกอะไรต่างๆก็จะเหมือนกัน ได้แก่
* เครื่องยนต์ดีเซล 1.9 ลิตร 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว (DOHC) ระบายความร้อนด้วยน้ำ คอมมอนเรลไดเร็คอินเจคชั่น พร้อม VGS เทอร์โบและอินเตอร์คูลเลอร์ พละกำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน – เมตร ที่ 1,800 – 2,600 รอบ/นาที
* เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว (DOHC) ระบายความร้อนด้วยน้ำ คอมมอนเรลไดเร็คอินเจคชั่น พร้อม VGS เทอร์โบและอินเตอร์คูลเลอร์ พละกำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน – เมตร ที่ 1,600 – 2,600 รอบ/นาที

   อย่างไรก็ตามคาดว่า Mazda คงจะไปปรับช่วงล่างและการขับขี่ในสไตล์ของตัวเอง รวมทั้งปรับรูปลักษณ์ให้มีความแตกต่างมากขึ้น ยังไงก็ต้องรอติดตามความเคลื่อนไหวกันต่อไป

   นอกเหนือจากนั้นก็น่าจะเป็นการแนะนำรุ่นปรับอุปกรณ์เสียส่วนใหญ่ อย่างที่ญี่ปุ่นเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาก็มีการแนะนำ Mazda MX-5 MY2020 แนะนำสีตัวถังใหม่ "สีเทา Polymetal Grey Metallic" สีใหม่ที่เพิ่งแนะนำใน Mazda 3 และ Mazda 2 Minor Change ที่เพิ่งเปิดตัวในไทยปีที่ผ่านมา มีการปรับปรุงวัสดุตกแต่งภายในใหม่ โดยโมเดลหลังคาแข็ง RF จะตกแต่งด้วยหนัง Burgundy Nappa สีแดงรวมทั้งตะเข็บสีเทาอ่อนเพื่อให้ได้บรรยากาศภายในที่หรูหรายิ่งขึ้น  ทาง Mazda ยังได้ทำการเปลี่ยนแปลงทั้งเบาะหนังสีน้ำตาลและสีดำ ปรับปรุงรูปแบบการตัดเย็บเบาะใหม่ที่ปรับปรุงความสะดวกสบายและความสปอร์ตที่มากขึ้น และยังมีสคัพเพลทสแตนเลสติดบริเวณพื้นประตูรถด้วย นอกจากนี้จะได้กุญแจโฉมใหม่ โลโก้ฟอนต์รูปแบบใหม่ รวมถึงฟังก์ชั่นการตรวจจับคนเดินเท้าตอนกลางคืนสำหรับระบบความปลอดภัย ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติ แบบ Advance (Advance SCBS : Advanced Smart City Brake Support)

  ขุมพลังของรถเวอร์ชั่นไทยแน่นอนว่าจะทำการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G 2.0 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว มากับพละกำลังสูงสุด 184 แรงม้าที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 205 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดพร้อม Manual Mode ต้องติดตามว่าจะเปิดตัวในไทยช่วงไหน

  ตามด้วย Mazda CX-5 MY2020 ที่เพิ่งเปิดตัวในญี่ปุ่นไม่นานมานี้เช่นกัน หลักๆก็จะมีการเพิ่มสีเทา Polymetal Grey Metallic เช่นกัน รวมทั้งเปลี่ยนโลโก้ด้านท้ายเป็นฟ้อนต์รูปแบบใหม่ ส่วนภายในห้องโดยสารมีทางเลือกสีภายในใหม่คือสี Silk Beige พร้อมทั้งขยายหน้าจอระบบอินโฟเทนเมนต์ตรงกลางจาก 7 เป็น 8 นิ้ว เพิ่ม Paddle Shift และปรับอีกหลายรายการ ซึ่งยังไงก็ต้องรอติดตามจากทางมาเลเซียว่าจะปรับตอนไหนและเมื่อไหร่ ถ้าให้เดาก็คงเป็นช่วงปลายปีนี้และไทยคงนำเข้ามาในฐานะรุ่นปี 2021

  และอีกคันที่อาจจะมีการอัปเดตในปีนี้ Mazda CX-8 ซึ่งเพิ่งปรับอุปกรณ์ในญี่ปุ่นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ภายนอกมีการเปลี่ยนโลโก้ด้านท้ายที่เป็นฟ้อนต์รูปแบบใหม่ เพิ่มหลังคาซันรูฟมาให้ ภายในได้มาตรวัดดิจิตอลแบบ LCD TFT พร้อมจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบสี MID (Multi Information Display) และเพิ่มออปชั่นอีกหลายอย่าง เป็นไปได้ว่าไทยอาจจะได้ทางเลือกเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร รุ่นนี้ก็ต้องรอจากทางมาเลเซียเช่นเคยว่าเขาจะเปิดตัวตอนไหน และจะมาปีนี้หรือเปล่า ถ้ามาช่วงปีนี้..ชาวไทยก็คงได้สัมผัสช่วงปลายปีนี้และไทยคงนำเข้ามาในฐานะรุ่นปี 2021 ครับ

McLaren
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทยปีนี้ : 620R
   ค่ายซูเปอร์คาร์แดนผู้ดี McLaren สำหรับตลาดไทยปีที่ผ่านมานั้น มีการเปิดตัว McLaren 720S Spider ซูเปอร์คาร์ทรงสวยในเวอร์ชั่นเปิดหลังคารับลม , McLaren GT สปอร์ตหรู GT ที่ไม่ได้มีดีแค่ความแรง แต่ยังมากด้วยพื้นที่ใช้สอยและพื้นที่จุสัมภาระมากกว่ารุ่นอื่นเป็นไหนๆ  และปลายปียังสร้างไฮไลต์ด้วยการนำเอา McLaren Senna ไฮเปอร์คาร์พันธุ์แรง 1 เดียวในไทย ราคาค่าตัวกว่า 150-200 ล้าน ซึ่งมีเจ้าของแล้วมาโชว์ให้ดูด้วย

  และในปีนี้ รถใหม่ที่คาดว่าจะมีการเปิดตัว น่าจะเป็น McLaren 620R ซูเปอร์คาร์พันธุ์แรงตัวแข่งที่ทำออกมาในเวอร์ชั่นรถถนน วิ่งบนท้องถนนได้อย่างถูกกฎหมาย ที่สำคัญผลิตจำนวนจำกัดแค่ 350 คันเท่านั้น รถรุ่นนี้จะติดตั้งเครื่องยนต์รหัส M838TE V8 3.8 ลิตร ทวินเทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 620 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 620 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 2.9 วินาทีเท่านั้น และสามารถทะยานไปถึง 200 กม./ชม. ในเวลาแค่ 8.1 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดนั้นจะอยู่ที่ 322 กม./ชม. ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ SSG (Seamless Shift Gearbox) 7 สปีด ก็หวังว่าจะมีโควตาสักคันเข้ามาจำหน่ายในไทย ราคาจำหน่ายจะอยู่ที่ 299,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 9 ล้านกว่าบาทไทย ถ้ามาไทยเดาว่าคงราวๆ 27-28 ล้านบาท
 
รถใหม่ที่จะเปิดตัวในตลาดโลกปีนี้ (และอาจมาไทยด้วย) 750LT
ภาพจาก Motorauthority
   ในตลาดโลกจะมีอีกหนึ่งคันที่จะมีการเปิดตัวก็คือ McLaren 750LT เป็นรุ่นแรกของตระกูล 720 ที่มีชื่อห้อยท้าย LT (Longtail) โดยจะมีการอัปเกรดรูปลักษณ์ภายนอกให้มีความดุดันขึ้นจาก 720S เครื่องยนต์ที่ใช้แน่นอนว่าจะติดตั้ง เครื่องเบนซิน 4.0 ลิตร V8 เทอร์โบคู่ ที่จะสร้างพละกำลัง 750 แรงม้าตามชื่อรุ่น อัตราเร่งคาดว่าจะต้องทำได้ดีกว่ารุ่น 720S ที่จาก 0-100 กม./ชม. จะอยู่ที่ 2.9 วินาที คาดว่าการเปิดตัวนั้นน่าจะมีขึ้นช่วงต้นปีถึงกลางปีนี้ครับ ส่วนลูกค้าชาวไทยก็รอติดตามได้หลังจากนั้น

Mercedes-Benz
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทยปีนี้ : AMG A 35/A 45, AMG CLA 35/AMG CLA 45 / GLA / GLB / GLE Coupe / Maybach GLS / EQC
     ค่ายดาวสามแฉกสำหรับตลาดในไทยในปีที่ผ่านมานั้น มีรถใหม่เปิดตัวมากมายหลายรุ่น ถ้าจะให้ไล่เรียงเท่าที่ทำได้ก็จะมีดังนี้

  • Mercedes-Benz A-Class Sedan รหัส 200 AMG Dynamic
  • Mercedes-Benz C 300e Sedan รุ่นประกอบในประเทศ
  • Mercedes-AMG C 43 4MATIC Sedan & Coupe  รุ่นประกอบในประเทศ
  • Mercedes-AMG C 63 S Coupe
  • Mercedes-Benz E 300e  รุ่นประกอบในประเทศ
  • Mercedes-AMG E 53 4MATIC+ Sedan รุ่นประกอบในประเทศ
  • Mercedes-AMG E 53 4MATIC+ Coupe
  • Mercedes-Benz CLS 300d รุ่นประกอบในประเทศ
  • Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+ รุ่นประกอบในประเทศ
  • Mercedes-Benz S-Class รหัส S 560e
  • Mercedes-AMG GT 53 / GT 63 S 4MATIC+ 
  • Mercedes-AMG GT S / GT C Roadster / GT R Minor Change
  • Mercedes-Benz GLC-Class Minor Change (GLC 220d) รุ่นประกอบในประเทศ
  • Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupe รุ่นประกอบในประเทศ
  • Mercedes-AMG GLC 63 S 4MATIC+ Coupe
  • Mercedes-Benz GLE 300d 4MATIC (รุ่นนำเข้าเปิดตัวกลางปี ปลายปีเปิดตัวรุ่นประกอบไทย)
  • Mercedes-Benz GLS 350d 4MATIC
  • Mercedes-AMG G 63 

  สำหรับในปีนี้คาดว่าน่าจะมีรถใหม่มากรุ่นเปิดตัวเช่นเคย ขอเริ่มที่รถตระกูล A-Class แม้ว่าเราอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็น A-Class โฉม 5 ประตูในเวอร์ชั่นปกติแทน แต่เป็นไปได้ที่เราน่าจะได้เห็นตัวแรง อย่าง Mercedes-AMG A 35 หรือ A 45 ไม่คันใดก็คันหนึ่งหรือคงจะมาทั้งหมดเลย

   สำหรับ AMG A 35 ภายใต้ห้องเครื่องจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จบล็อกใหม่ มากับพละกำลัง 306 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบดูอัลคลัตซ์ 7 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC สำหรับรถสมรรถนะสูง สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.7 วินาที ก่อนที่ความเร็วสูงสุดจะจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม.

  ส่วน AMG A 45 จะยกระดับดีไซน์ที่ดุขึ้นอีกขั้นจาก A 35 ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินรหัส M139 ความจุ 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จบล็อกใหม่ล่าสุดที่สามารถรีดสมรรถนะออกมาได้ 387 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 480 นิวตัน-เมตร หากคิดว่ายังแรงไม่พอ ยังมี 45 S ที่ทรงพลังยิ่งกว่าด้วยกำลังถึง 421 แรงม้า (PS) พร้อมแรงบิดสูงสุดถึง 500 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่แบบ AMG Speedshift 8 สปีดและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Matic  แบบแปรผันเต็มประสิทธิภาพ สำหรับ A 45 นั้นจะสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 4 วินาที ในขณะที่ A 45 S จะใช้เวลาแค่ 3.9 วินาทีเท่านั้น (CLA 45 S ใช้เวลา 4.0 วินาที) ความเร็วสูงสุดใน 45 รุ่นปกติจะถูกจำกัดด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ 250 กม./ชม. ส่วน 45 S จะสามารถไปต่อได้จนถึง 270 กม./ชม. 

Mercedes-AMG CLA 35
Mercedes-AMG CLA 45
  เช่นเดียวกับ CLA ซีดานคูเป้ไซส์กะทัดรัดที่รุ่นปกติคงไม่มาไทย ไม่เช่นนั้นคงไปแย่งยอดกับ A-Class Sedan แน่ ฉะนั้นเป็นไปได้ว่าอาจจะได้เห็นตัวแรงอย่าง AMG CLA 35 หรือไม่ก็ AMG CLA 45 เสียมากกว่า ขุมพลังก็จะเหมือนกับ A 35 และ A 45 ตามที่กล่าวข้างบนไป ต่างที่ CLA 35 จะทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 4.9 วินาที และ CLA 45 จะทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 4.1 วินาทีในรุ่นปกติและ 4.0 วินาทีใน CLA 45 S เอาเป็นว่าต้องติดตามว่าทางเบนซ์ไทยจะเอาตัวไหนเข้ามาบ้าง

  คันต่อมาที่คาดว่าน่าจะเอามานั่นคือ Mercedes-Benz GLA โฉมใหม่ที่เผยโฉมในตลาดโลกเมื่อปลายปีที่แล้ว มากับรูปโฉมที่ค่อนข้างโดดเด่นสะดุดตากว่าเดิม GLA ใหม่นั้นมีความสูงกว่ารุ่นก่อนมากกว่า 10 เซนติเมตร แต่กลับสั้นลงและกว้างขึ้น โดยมีขนาดยาว 4,410 มิลลิเมตร กว้าง 1,834 มิลลิเมตร สูง 1,611 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาว 2,729 มิลลิเมตร เทียบกับรุ่นเก่าแล้วรถสั้นลง 14 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 30 มิลลิเมตร และสูงขึ้น 104 มิลลิเมตรในขณะที่ฐานล้อยาวขึ้นอีก 30 มิลลิเมตร

  ทางด้านขุมพลังนั้น ตลาดอเมริกาจะมีทางเลือก 2 แบบ ได้แก่
- GLA 250 / GLA 250 4MATIC เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร แถวเรียง 4 สูบ พละกำลังสูงสุด 224 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด สามารถเร่งจาก 0-96 กม./ชม. ได้ในเวลาประมาณ 8.6 วินาทีก่อนที่จะพุ่งสู่ท็อปสปีด 209 กม./ชม.
- AMG GLA 35 ได้เครื่องเบนซินเทอร์โบ พละกำลัง 306 แรงม้า (PS)  แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรสามารถเร่งจาก 0-96 กม./ชม. ได้ใน 5 วินาที

  สำหรับตลาดยุโรปนั้นจะมีอีกทางเลือกคือ GLA 200 ที่มากับเครื่องยนต์เบนซิน 1.33 ลิตร พละกำลัง 163 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ใช้เวลา 8.7 วินาทีในการเร่งจาก 0-100 กม./ชม. และยังมีเครื่องดีเซลที่ทางค่ายยังไม่เปิดเผยรายละเอียด หากทางค่ายยังคงนำมาขายก็เป็นไปได้ว่าเราอาจจะได้เห็นกันในช่วงกลางปีถึงปลายปีนี้ครับ

  คันต่อมาที่ตอนนี้มีความแน่ชัดมากว่าจะมาขายในไทยแน่นอนก็คือ Mercedes-Benz GLB เป็นรุ่นที่จะเข้ามาแทรกตรงกลางระหว่าง GLA และ GLC เป็นรถ SUV ขนาดกะทัดรัดที่มาพร้อมกับฐานล้อยาว 111.4 นิ้ว (ประมาณ 2,830 มิลลิเมตร) และมากับที่นั่งทั้งหมด 7 ที่นั่ง  ด้วยการจัดวางภายในห้องโดยสารแบบ 7 ที่นั่งแล้ว โดยลูกค้าสามารถเลือกติดตั้งเบาะนั่งแบบพับราบเก็บได้ 2 ที่นั่งในแถวที่ 3 นอกจากนี้ยังมีถุงลมนิรภัยด้านข้างสำหรับเบาะแถวที่ 3 มาให้อีกด้วย และยังรวมถึงช่องวางเครื่องดื่มระหว่างเบาะหลัง ช่องเก็บของในหลายจุด และพอร์ต USB-C แต่ถ้าลูกค้าไม่อยากได้เบาะแถวที่ 3 นั้นก็สามารถเลือกซื้อแบบ 5 ที่นั่งได้ โดยเบาะแถวที่ 2 สามารถพับได้ในอัตราส่วน 40:20:40 และสามารถปรับความลาดเอียงของพนักพิงได้อีกด้วย

  ขุมพลังในตลาดโลกช่วงเปิดตัวจะมาในรุ่น  GLB 250 มากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จ 4 สูบแถวเรียง พละกำลังสูงสุด 221 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตรที่ 1,800-4,000 รอบ/นาที นอกจากนี้ยังมีตัวแรง  Mercedes-AMG GLB 35 จัดว่าเป็นเอสยูวีครอสโอเวอร์ 7 ที่นั่งไซล์กะทัดรัดตัวแรงที่มากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุด 306 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบดูอัลคลัตซ์ 8 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG Performance 4MATIC ทั้งหมดทั้งมวลนี้ส่งผลให้รถสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.ได้ในเวลา 5.2 วินาที ก่อนที่ความเร็วสูงสุดจะจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม.

  คาดว่าการเปิดตัวของ GLB จะอยู่ในช่วงต้นถึงกลางปีนี้ และต้องรอดูว่าจะมีการนำรุ่นย่อยไหนขุมพลังอะไรเข้ามาขายบ้าง

  คันต่อมาก็คือ Mercedes-Benz GLE Coupe เจเนเรชั่นใหม่ รุ่นนี้ปัจจุบันก็มีจำหน่ายในไทยอยู่แล้ว และคิดว่าคงไม่พลาดที่จะเอามาขาย โดยโฉมใหม่ล่าสุดจะมีด้านหน้าจะยกมาจาก GLE ตัวถังมาตรฐานแทบทั้งดุ้น ที่จะมากับโคมไฟหน้าใหม่ที่เรียวขึ้น พร้อมกระจังหน้าขนาดใหญ่ ซุ้มล้อขนาดใหญ่ออกแบบให้รับกับล้อที่มีขนาดตั้งแต่ 19-22 นิ้ว ออกแบบเส้นแนวหลังคาให้โค้งมนและลาดเทใกล้เคียงตัวคูเป้มากขึ้น ด้านท้ายมาพร้อมโคมไฟท้ายทรงใหม่ที่เพรียวบางและเฉียบคมกว่าเดิม ฝาท้ายที่ติดตั้งสปอยเลอร์ในตัว กันชนท้ายเสริมเติมแต่งด้วยโครเมียมพร้อมท่อไอเสียคู่ เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อน GLE Coupe โฉมใหม่นั้นยาวขึ้น 39 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 7 มิลลิเมตร และมีฐานล้อที่ยาวกว่ากัน 20 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าเป็นความแตกต่างที่ไม่มากนัก อย่างไรก็ตามตัว Coupe นั้นยังคงมีขนาดสั้นกว่า GLE ตัวถังมาตรฐาน 60 มิลลิเมตร

  ขุมพลังในตลาดโลกมี 3 แบบ คือ เครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ 3.0 ลิตร ที่มีพละกำลังแตกต่างกัน 2 แบบ ได้แก่ GLE 350 d 4MATIC พละกำลังสูงสุด 272 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 600 นิวตัวเมตร (คาดว่าไทยคงเอาเครื่องนี้มาขาย) และ GLE 400 d 4MATIC มีพละกำลังสูงสุด 330 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 700 นิวตัวเมตร ทั้งคู่ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9G ‑ TRONIC ซึ่งส่งกำลังไปยังระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ 4MATIC เป็นมาตรฐาน

  หากคิดว่ายังแรงไม่ได้ใจ ทางค่ายยังมีอีกตัวเลือกคือ GLC 53 Coupe ที่มาพร้อมกับการตกแต่งภายนอกที่ยกระดับความสปอร์ตขึ้น และกระจังหน้าซี่ลวดตั้งตรงแบบ Panamericana อันเป็นเอกลักษณ์ ติดตั้งขุมพลังเครื่องยนต์แบบ Mild-Hybrid ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 แถวเรียง แบบ Mild Hybrid มีพละสูงสุด 435 แรงม้า (PS) พร้อมแรงบิดสูงสุด 520 นิวตัน-เมตร และยังสามารถเรียกพละกำลังเพิ่มเติมจากมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่ช่วยเพิ่มพละกำลังอีก 21 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. สามารถทำได้ใน 5.3 วินาที ก่อนทะยานไปสู่ความเร็วสูงสุดที่ 250 กม./ชม. อันเป็นความเร็วที่ล็อคไว้

  ต้องรอชมว่าเมืองไทยจะนำขุมพลังไหนมาจำหน่ายบ้าง คาดว่าการเปิดตัวนั้นจะมีขึ้นราวๆกลางปีถึงปลายปีนี้ครับ

  และอีกหนึ่งคันที่มีโอกาสนำมาจำหน่ายก็คือ Mercedes-Maybach GLS 600 รถหรูภายใต้แบรนด์ Maybach ที่อยู่ในร่างของ SUV หรูขนาดใหญ่อย่าง GLS จะมากับกระจังหน้าใหม่แบบซี่ลวดแนวตั้งตามสไตล์ Maybach, คิ้วขอบหน้าต่างโครเมี่ยมและเสา B โครเมียม, เช่นเดียวกับโครเมี่ยมบริเวณคิ้วสเกิร์ตด้านข้าง, ล้ออัลลอยลายพิเศษขนาด 22 นิ้ว (23 นิ้วมีให้เป็นออปชั่น) เช่นเดียวกับบริเวณกันชนท้ายและรอบๆท่อมีการเสริมด้วยโครเมียมและมีสัญลักษณ์ Maybach บริเวณเสา D

  ขุมพลังจะทำการติดตั้งเครื่องยนต๋เบนซิน Twin-turbo V8 4.0 ลิตร พละกำลังสูงสุด 558 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 - 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 730 นิวตันเมตรที่ 2,500 - 5,000 รอบต่อนาที เครื่องบล็อกนี้ได้รับการพัฒนาสำหรับ Maybach โดยเฉพาะ รถคันนี้ยังเป็นระบบ Mild Hybrid ซึ่งจะมีการติดตั้งระบบ EQ Boost 48 โวลต์ซึ่งเพิ่มกำลัง 22 แรงม้า และแรงบิด 250 นิวตันเมตรในชั่วระยะหนึ่งได้ด้วย ขุมพลังนี้ช่วยนำพารถ Mercedes-Maybach GLS 600 ที่มีน้ำหนักตัว 2.78 ตัน เร่งจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 4.9 วินาทีเท่านั้นและความเร็วสูงสุดล็อคไว้ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ที่ 11.7 ลิตร/100 กม. (8.55 กม./ลิตร) โดยมีอัตราการปล่อย CO2 ที่ 266 กรัม/กิโลเมตร ซึ่งแน่นอนว่าถ้าหากมาไทยราคาคงไม่น้อยแน่นอน เชื่อว่าถ้ามายังไงก็มีเศรษฐีกระเป๋าหนักรอซื้อ ยังไงก็รอติดตามครับ

  ปิดท้ายด้วยรถพลังงานไฟฟ้าล้วนคันแรกของค่าย Mercedes-Benz EQC เป็นอีกคันที่มีแววสูงมากที่จะเปิดตัวในไทย คู่แข่งคงหนีไม่พ้น Audi e-tron รวมทั้ง Tesla Model X ติดตั้งขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าบริเวณเพลาแต่ละเพลา รีดสมรรถนะออกมาได้ทั้งหมด 402 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 765 นิวตัน-เมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 5.1 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจะถูกจำกัดไว้ที่ 180 กม./ชม. ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น EQC จะติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 80 กิโลวัตต์ชั่วโมงซึ่งช่วยให้รถสามารถเดินทางได้มากกว่า 450 กม. ตามมาตรฐาน New European Driving Cycle (NEDC) ของยุโรป มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

รถใหม่ในตลาดโลก (และมีบางคันอาจจะมาไทยด้วย) : All-New C-Class / E-Class Minor Change / All-New S-Class / ตัวแรง AMG GLA 45, AMG GLB 45 / AMG GLE 63 Coupe / EQA / EQB / EQS
        สำหรับรถที่จะเปิดตัวในต่างประเทศ เริ่มที่คันแรกนั่นคือ All-New Mercedes-Benz C-Class รหัสตัวถัง W206 ที่มีการเริ่มวิ่งทดสอบกันแล้ว รูปทรงภายนอกน่าจะเป็นไปตามเบนซ์ยุคใหม่ นำเอาเส้นสายจากปัจจุบันขัดเกลาให้ทันสมัยขึ้น รถจะถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม "MRA2" ที่มีความแข็งแรงขึ้นและน้ำหนักเบาลงจากการใช้วัสดุอะลูมิเนียม แต่น้ำหนักก็อาจจะไม่เบาลงมากจากการเพิ่มเติมเทคโนโลยีใหม่ๆเข้าไป

ภาพจาก Carscoops
     ส่วนภายในห้องโดยสารจะเห็นชัดว่าเริ่มหันมันใช้ปุ่มควบคุมแบบจอดิจิตอลสัมผัส รวมทั้งมากับหน้าจอกลางที่มีขนาดใหญ่โตขึ้นแบบชัดเจน เครื่องยนต์นั้นน่าจะยังไม่มีไฟฟ้าล้วน แต่ยังคงใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่มีตั้งแต่ 4 สูบ , 6 สูบในตัวแรง AMG C 53 (น่าจะแทน C 43) จนไปถึง 8 สูบ (ใน C 63 และ C 63 S) โดยอาจจะเป็นระบบ Mild Hybrid พร้อมจับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก นอกจากนี้คาดว่าน่าจะมีเครื่องยนต์ Plug-In Hybrid ที่สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนด้วยระยะที่ไกลขึ้น การเปิดตัวนั้นอย่างเร็วที่สุดอาจได้เห็นปลายปีนี้หรือไม่ก็ต้นปีหน้า ส่วนชาวไทยคงจะได้จับจองช่วงปี 2021

ภาพจาก Motor1
   คันต่อมาที่น่าจะมีการเปิดตัวปีนี้ก็คือ Mercedes-Benz E-Class ใหม่ที่จะมีการปรับโฉมหน้า Minor Change กลางอายุตลาด ปรับดีไซน์ยกแผงทั้งตัวถังซีดาน คูเป้ เปิดประทุน และแวกอน รวมทั้งตัวถังแวกอนยกสูง All-Terrain รูปโฉมด้านหน้านั้นจะมีการปรับดีไซน์ครั้งใหญ่โดยดีไซน์จะเป็นไปตาม Mercedes-Benz รุ่นใหม่

AMG E63 Wagon ภาพจาก Motorauthortiy
   เห็นได้จากไฟหน้าทรงใหม่ที่เรียวยาวขึ้น พร้อมกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ เช่นเดียวกับด้านท้ายที่จะปรับเปลี่ยนดีไซน์และรายละเอียดไฟท้ายใหม่ เด่นชัดมากโดยเฉพาะซีดานที่จะเปลี่ยนรูปแบบไฟท้ายจากเป็นก้อนแนวตั้งเป็นแนวนอน ส่วนตัวถังอื่นเป็นไฟท้ายแนวนอนอยู่แล้ว ส่วนภายในห้องโดยสารจะมีการเปลี่ยนดีไซน์พวงมาลัยใหม่ และปรับเปลี่ยนดีไซน์ Touchpad ควบคุมหน้าจอตรงกลางใหม่
AMG E 53 Coupe ภาพจาก Motorauthority
   ขุมพลังนั้นก็น่าจะไม่ต่างจากเดิม มีตั้งแต่เครื่อง 4 สูบขึ้นไป และหลายเครื่องยนต์น่าจะเป็นระบบ Mild Hybrid 48V พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่ช่วยในเรื่องอัตราเร่ง และอัตราสิ้นเปลืองที่ดีขึ้น ส่วนตัวแรง E 53 ก็จะได้เครื่อง 6 สูบ และ E 63 / E 63 S ก็จะได้เครื่อง 8 สูบเหมือนเดิม คาดว่าการเปิดตัวจะมีขึ้นช่วงต้นปีถึงกลางปีนี้ ส่วนชาวไทยก็รอติดตามได้หลังจากนั้น

ภาพจาก Motor1

    คันต่อมาก็คือ All-New Mercedes-Benz S-Class กับรหัสตัวถัง W223 ที่คราวนี้จะยกระดับรูปโฉมและเทคโนโลยีให้ล้ำขึ้นไปอีกขั้น ภายนอกจะมากับไฟหน้าใหม่ที่ดูเรียวขึ้นชัดเจน แต่จุดเด่นที่น่าสนใจภายนอกรถคงจะหนีไม่พ้นมือจับประตูดีไซน์ใหม่ที่สามารถพับเก็บซ่อนได้คล้ายกับรถหรูหลายค่าย ส่วนด้านท้ายจะมีการเปลี่ยนการวางแนวไฟท้ายใหม่เป็นแนวนอน    ไฮไลต์คงจะอยู่ที่ภายในห้องโดยสารที่ยกเครื่องใหม่ให้ดูล้ำและไฮเทคขึ้นสมกับเป็นซาลูนเรือธง เข้ามาจะพบกับหน้าจอตรงกลางแดชบอร์ดที่ออกแบบให้มีขนาดใหญ่โตขึ้นกว่าเดิมมากและกินพื้นที่มาถึงช่วงกลางฐานคอนโซลเลยทีเดียว
ภาพจาก Motor1
   เครื่องยนต์นั้นเป็นไปได้ว่าจะยังคงใช้เครื่องยนต์ดีเซลและเบนซิน 6-8 สูบเหมือนเดิม แต่มาพร้อมกับระบบ Mild-Hybrid 48V พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่ช่วยในเรื่องอัตราเร่ง และอัตราสิ้นเปลืองที่ดีขึ้น ทางด้านรุ่นฐานล้อยาวพิเศษ Maybach คาดว่าจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน V8 จนถึง V12 ส่วนตัวแรงอย่าง AMG S63 และ S 65 จะไม่ได้ไปต่อ คาดว่าการเปิดตัว S-Class เจเนเรชั่นใหม่จะอยู่ราวๆต้นปีถึงกลางปี ตามมาด้วย Maybach ทางด้านตลาดไทยนั้นก็น่าจะเป็นช่วงปลายปีนี้เป็นอย่างช้า


Mercedes-Maybach S-Class ภาพจาก Motorauthority
Mercedes-AMG GLA 45 ภาพจาก Motorauthority
   สำหรับตัวแรงนั้นยังมีอีก 2 รหัสที่ยังไม่เปิดตัวก็คือ Mercedes-AMG GLA 45 และ GLB 45 ซึ่งตอนนี้ก็ยังทดสอบกันอยู่ และในปีนี้น่าจะเปิดตัวให้สาวกผู้รักความแรงได้จับจองกันอย่างแน่นอน หากใครคิดว่า GLA 35 และ GLB 35 นั้นยังแรงไม่พอ ก็ต้องรอ 2 ตัวนี้ที่น่าจะตอบโจทย์ครับ

Mercedes-AMG GLB 45 ภาพจาก Motorauthority
  คาดว่าทั้งสองจะใช้เครื่องยนต์เบนซินรหัส M139 ความจุ 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จบล็อกใหม่ล่าสุดที่สามารถรีดสมรรถนะออกมาได้ 387 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 480 นิวตัน-เมตร หากคิดว่ายังแรงไม่พอ ยังมี 45 S ที่ทรงพลังยิ่งกว่าด้วยกำลังถึง 421 แรงม้า (PS) พร้อมแรงบิดสูงสุดถึง 500 นิวตัน-เมตร  ทุกรุ่นส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่แบบ AMG Speedshift 8 สปีดและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Matic  แบบแปรผันเต็มประสิทธิภาพ จะเปิดตัวในตลาดโลกเมื่อไหร่และจะมาไทยมั้ย? ต้องรอชม

ภาพจาก Carscoops
  ตามด้วยอีกหนึ่งตัวแรง Mercedes-AMG GLE 63 Coupe ที่แน่นอนว่าจะต้องเปิดตัวตามมาหลังจากช่วงปลายปีที่ผ่านมามีการเปิดตัว GLE 63 ไปแล้ว ขุมพลังก็จะยกมาใส่กันได้เลย โดยจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน V8 Bi-Turbo ความจุ 4.0 ลิตร โดยเครื่องจะเป็นแบบ Mild-Hybrid 48V ที่ทำงานร่วมกับ EQ Boost Starter-Alternator โดยจะได้พละกำลังเพิ่มเติม 22 แรงม้าในชั่วขณะหนึ่ง ตัวเครื่องจะมีพละกำลัง 571 แรงม้า (PS) พร้อมแรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร ในขณะที่ GLE 63 S จะได้แรงม้าเพิ่มเป็น 612 แรงม้า (PS) พร้อมแรงบิดสูงสุด 850 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด TCT 9G และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC+ ยังไงปีนี้ก็ได้เห็น

  นอกจากโมเดลใหม่ รุ่นปรับโฉม ตัวแรงทั้งหลายแล้ว ยังมีรถพลังงานไฟฟ้าของค่ายที่จะเปิดตัวด้วยเช่นกัน ซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนารถยุคใหม่ที่เริ่มให้ความสำคัญกับรถพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น มากกว่าที่จะพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปภายใน

ภาพจาก Autocar UK
  ในปีนี้เราคงจะได้เห็นรถ EV ของค่ายตราดาวเปิดตัวหลายรุ่น เริ่มที่ Mercedes-Benz EQA รถพลังงานไฟฟ้าล้วนรุ่นเล็กสุดในค่าย ซึ่งดูจากรูปทรงก็ชี้ชัดว่ารถจะใช้พื้นฐานจาก GLA โฉมล่าสุดนั่นเอง โดยนำมาปรับดีไซน์ด้านหน้าใหม่ที่จะมากับกระจังหน้าแบบไม่มีช่องระบายอากาศ และด้านท้ายที่ย้ายตำแหน่งทะเบียนมาไว้ที่กันชน

ภาพจาก Motor1
   หากต้องการตัวถังที่ใหญ่ขึ้นและมีที่นั่งให้เลือกถึง 7 ที่นั่ง ก็ยังมีอีกทางเลือกก็คือ EQB ที่เป็นการเอา GLB มาแปลงหน้าใหม่ เปลี่ยนตำแหน่งทะเบียนรถไปไว้ที่กันชนท้าย ทางด้านขุมพลังของทั้งคู่ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน แต่คาดว่าน่าจะมากับมอเตอร์ไฟฟ้าที่รองรับระยะทางวิ่งสูงสุดราวๆ 400-500 กม. ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องรอดูตอนเปิดตัว

ภาพจาก Motor1
  แต่ถ้าหากอยากได้รถไฟฟ้าล้วนที่ไม่ใช่แค่เอารุ่นปกติมาแปลง ก็ต้องรอ EQS รถพลังงานไฟฟ้าระดับเรือธงของค่าย ซึ่งจะมาในรูปแบบตัวถังซีดานคูเป้ 5 ประตู รูปทรงรถน่าจะอ้างอิงจากต้นแบบ Mercedes-Benz Vision EQS Concept แน่นอนว่าผู้ท้าชิงของคันนี้น่าจะหนีไม่พ้น Porsche Taycan, Tesla Model S รวมทั้ง Audi e-Tron GT

  Mercedes-Benz EQS จะสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มสำหรับรถพลังงานไฟฟ้าเฉพาะ นั่นคือ Modular Electric Architecture (MEA) ขุมพลังนั้นคาดว่าจะเหมือนกับต้นแบบคือ ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งบริเวณล้อคู่หน้าและหลังให้พละกำลังสูงสุดที่ 476 แรงม้า (PS) พร้อมแรงบิดสูงสุด 760 นิวตัน-เมตร ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ไม่เกิน 4.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 200 กม./ชม. ตัวรถสามารถวิ่งได้ไกลสุด 700 กม. ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP และสามารถใช้ระบบชาร์จไฟ 350 kW ชาร์จพลังงานจนถึง 80% ได้ในเวลาที่น้อยกว่า 20 นาที  การเปิดตัวคาดว่าจะมีขึ้นราวๆปลายปีนี้เป็นอย่างเร็วที่สุด หรือไม่ก็ปีหน้าเลย

MG
รถที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทยปีนี้ :  ZS Minor Change / eHS (HS PHEV)?
   ค่ายรถผู้ดีอังกฤษที่ปัจจุบันอยู่ในเงื้อมมือของแดนมังกร การพัฒนาต่างๆก็อยู่ในจีนเป็นหลัก แต่ตอนนี้หลายคนก็มองข้ามความเป็นจีน กลับมองในเรื่องงานดีไซน์ ราคาและออปชั่นที่ให้มามากกว่า และแน่นอนว่ายังมองถึงเรื่องคุณภาพรถ บริการหลังการขาย ความเสถียรตัวรถอีกด้วย จุดนี้เป็นจุดที่ค่ายต้องฝ่าด่านกันต่อไป

  ซึ่งในปีที่ผ่านมานั้น MG ก็ได้เขย่าตลาดรถพลังงานไฟฟ้า ด้วยการแนะนำ MG ZS EV กับราคาค่าตัว 1,190,000 บาท ที่ถูกกว่าหลายๆเจ้า ส่งผลให้ทำยอดขายได้เยอะทีเดียว และอีกคันที่เปรี้ยงปร้างไม่แพ้กันคือ MG HS รถอเนกประสงค์ C-SUV ในราคาระดับ B-SUV เป็นอีกคันที่เข้ามาเพิ่มยอดขายของรถในค่ายให้เป็นกอบเป็นกำขึ้น

  และในปีนี้นั้น รถใหม่ที่ทาง MG Thailand จะเปิดตัวคงหนีไม่พ้น MG ZS Minor Change ที่ได้ทำการเปิดตัวในจีนไปแล้วในปีที่ผ่านมา และเริ่มมีการนำมาวิ่งทดสอบบนถนนเมืองไทยแล้วด้วย 

    งานดีไซน์ภายนอกนั้นมีการปรับใบหน้าใหม่แทบทั้งหมด โดยมากับไฟหน้าทรงใหม่แบบ LED ที่ดูเพรียวบางขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พร้อมด้วยกระจังหน้าทรงใหม่แบบ 6 เหลี่ยม ออกแบบกรอบไฟตัดหมอกใหม่ให้ดูทันสมัยขึ้น ส่วนด้านท้ายมีการปรับรายละเอียดโคมไฟท้ายใหม่แบบ LED ให้ดูทันสมัยมากขึ้น และปรับปรุงกันชนท้ายใหม่อีกด้วย นอกจากนี้ก็จะมีล้อลายใหม่มาให้แล้วแต่รุ่นย่อย  

   เช่นเดียวกับภายในห้องโดยสารที่มีการยกระดับการตกแต่งให้ดูสวยงามหรูหรามากขึ้น มีการบุนุ่มและเดินด้ายตะเข็บจริงบริเวณคอนโซลหน้าและช่วงฐานเกียร์ หน้าปัดความเร็วในเกรดบนๆนั้นจะได้แบบดิจิตอล (ซึ่งคาดว่ามาไทยเผลอๆลงใส่แบบเข็มมาเหมือนเดิม) ตรงกลางติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ถึง 10.1 นิ้ว ในรุ่นบนๆของจีนจะได้ระบบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต Internet Car Intelligent System 3.0 มาให้ด้วย นอกจากนั้นแล้วยังมีการเพิ่มที่วางแขนพร้อมกล่องเก็บของกลางคอนโซลมาให้ อีกทั้งเปลี่ยนมาใช้เบรกมือแบบไฟฟ้า เช่นเดียวกับเบาะนั่งที่มีการดีไซน์ใหม่และเพิ่มการตกแต่งใหม่ๆ

  ขุมพลังในตลาดจีนจะมี 2 ทางเลือก
- 180DVVT เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร พละกำลังสูงสุด 120 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา และเกียร์อัตโนมัติ CVT
- 260TGI เครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร dual injection turbocharged พละกำลังสูงสุด 163 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Aisin 6 สปีด
สิ่งที่น่าสนใจคือทาง MG Thailand จะใจป้ำกล้าเอาเครื่องเบนซินเทอร์โบเข้ามาใส่ใน ZS ใหม่หรือไม่ เพราะรุ่นปัจจุบันก็มีหลายเสียงบ่นถึงเรื่องความอืดในเรื่องอัตราเร่ง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องติดตามต่อไป คาดว่าเราจะได้เห็นการเปิดตัว ZS Minor Change ช่วงต้นปี-กลางปีนี้ครับ

  อีกคันที่น่าสนใจและน่าลุ้นว่าจะเอามาขายในไทยหรือเปล่า นั่นคือ MG eHS เวอร์ชั่น Plug-In Hybrid ของ MG HS รูปทรงภายนอกไม่มีความต่างจากเวอร์ชั่นปกติเท่าไหร่นัก ความต่างที่เห็นชัดคือล้อลายใหม่เฉพาะรุ่นนี้ และสีตัวถังสีฟ้า Copenhagen Blue อันเป็นสีที่ใช้ในเวอร์ชั่นไฟฟ้าล้วนของ MG ZS ส่วนภายในห้องโดยสารก็ไม่มีความแตกต่างมากมายนัก ในเวอร์ชั่นจีนจะมีสีภายในให้เลือก 2 สี คือ สีทูโทนน้ำเงิน-ขวา และภายในสีดำเดินด้ายตะเข็บแดง


  ทางด้านขุมพลังจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตรเทอร์โบไดเร็คอินเจคชั่น ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า รวมกำลังทั้งระบบ 291 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตรที่ 1,700-4,300 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด

   เป็นอีกคันที่น่าจับตามองเพราะเชื่อว่า MG คงไม่จบแค่ ZS EV แน่นอน คงมีรุ่นอื่นๆตามมา และ eHS อาจเป็นคันต่อไป

Mitsubishi
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทยปีนี้ : Xpander Cross / Outlander 
    ค่ายสามเพชรในปีที่ผ่านมานั้นมีการแนะนำรถใหม่หลายรุ่นทีเดียว ประเดิมด้วยช่วงครึ่งหลังของปีที่มีการเปิดตัวทั้ง Mitsubishi Triton ตัวเตี้ยหน้าใหม่, Pajero Sport Minor Change ปรับโฉมพร้อมเพิ่มออปชั่นหลายรายการ, Mirage Lmited Edition ส่งท้ายก่อนรุ่นปรับโฉมจะมา, ตามด้วยกระบะตัวแต่งระดับท็อป Triton Athlete  และปิดท้ายด้วยคู่หูอีโคคาร์ Mirage & Attrage ที่ปรับดีไซน์ภายนอกครั้งใหญ่

  คาดว่าในปีนี้ก็คงจะเหมือนๆเดิม คือแนะนำรุ่นพิเศษหรืออาจจะรุ่นปรับอุปกรณ์ในกลุ่มรถของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Triton, Pajero Sport รวมทั้ง Mirage และ Attrage


  แต่นอกเหนือจากนั้นยังมีสิ่งที่น่าสนใจกว่า และเป็นไปได้สูงมากที่จะจำหน่ายในไทย นั่นคือ Xpander Cross รถอเนกประสงค์ MPV 7 ที่นั่งที่นำมาตกแต่งภายนอกซึ่งทำให้รถเข้าใกล้ความเป็น SUV มากยิ่งขึ้น และด้วยยอดขายของ Xpander ในไทยที่เรียกได้ว่าเป็นจ่าฝูงของกลุ่มนี้เลย ฉะนั้นจึงเป็นไปได้มากกว่า Xpander Cross ก็น่าจะมาเติมเต็มตลาดได้ครบครันขึ้นแน่นอน คาดว่าช่วงต้นปีถึงกลางปีนี้อาจจะได้เห็นความเคลื่อนไหวครับ

  ด้วยการตกแต่งภายนอกตามสไตล์รถอเนกประสงค์ SUV หรือ Crossover ทำให้ทาง Mitsubishi นิยามว่า Xpander Cross คือรถแนว "Crossover MPV" ซึ่งก็จะคล้ายคลึงกับ Honda BR-V ที่เป็นการนำ Honda Mobilio มาตกแต่งต่อยอด มีระยะต่ำสุดจากพื้นดินที่สูงขึ้น 20 มิลลิเมตร (กลายเป็น 225 มิลลิเมตร) ภายนอกรถตกแต่งด้วยพลาสติกกันกระแทกสีดำทั้งบริเวณประตูและซุ้มล้อ กันชนหน้าดีไซน์ใหม่ให้ดูบึกบึนขึ้นซึ่งมาพร้อมกับแผ่นกันกระแทกใต้กันชนหน้า กระจังหน้ามีการออกแบบใหม่ มีการเพิ่มราวหลังคาสีเงิน ส่วนด้านท้ายจะมากับกันชนท้ายใหม่ที่แข็งแกร่งบึกบึนขึ้นเช่นเดียวกับด้านหน้าและตกแต่งด้วยวัสดุสีดำ Piano Black ที่ฝากระโปรงท้าย

   สัดส่วนตัวรถจะกว้างกว่าปกติ 50 มิลลิเมตรจากซุ้มล้อที่กว้างขึ้น มีล้ออัลลอยปัดเงาดำลายใหม่ขนาด 17 นิ้ว พร้อมกันนี้ยังแนะนำสีตัวถังใหม่ ได้แก่ สีเทา Graphite Grey Metallic และ สีส้ม Sunrise Orange metallic ซึ่งเป็นรุ่นพิเศษของ Xpander Cross ทั้งสองสียังสามารถเลือกจับคู่กับการตกแต่งภายในทูโทนสีดำ / น้ำตาลและตกแต่งด้วยวัสดุลายตาข่ายสีเงิน ส่วนขุมพลังจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 4 สูบ MIVEC DOHC 16 วาล์ว พละกำลังสูงสุด 105 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีดและอัตโนมัติ 4 สปีด ทุกรุ่นจะใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ยังไงก็ต้องรอติดตามชม

   และอีกหนึ่งคันที่น่าจับตามองยิ่งกว่ารุ่นอื่นเป็นไหนๆ และเป็นโมเดลใหม่หมดจดที่น่าจะมาเติมเต็มไลน์อัพของค่ายได้อย่างครบครับขึ้น รถที่ว่าคือ Mitsubishi Outlander เจเนเรชั่นใหม่ ที่มีแผนจะมาผลิตขายในไทยภายในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยใช้ขุมพลังแบบ Plug-In Hybrid

ภาพจาก Motor1
 จากภาพรถทดสอบที่ถ่ายได้ทางตะวันตกตอนกลางของสหรัฐฯนั้น จะเห็นได้ชัดว่ารถจะนำเอาเส้นสายดีไซน์จากต้นแบบ Mitsubishi Engelberg Tourer Concept แต่ก็มีการปรับรายละเอียดให้มีความใกล้เคียงความเป็นรถจำหน่ายจริงมากขึ้น โดยยังคงอยู่ภายใต้ธีมการออกแบบ Dynamic Shield เหมือนเดิม ภายนอกจะมากับไฟหน้าดวงใหญ่พร้อมแถบไฟ LED Daytime Running Lights เป็นแนวยาว ด้านท้ายมากับโคมไฟท้าย LED ทรงเรียวสวย

  ขุมพลังที่จะจำหน่ายในไทยเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร 4 สูบที่ช่วยใช้ในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า หากวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าล้วนจะสามารถวิ่งได้ถึง 70 กม. แต่ถ้าหากวิ่งภายใต้โหมด Hybrid จะวิ่งได้มากถึง 700 กม. และด้วยทางภาครัฐไทยมีการสนับสนุนรถ Hybrid ทำให้เสียภาษีถูกและสามารถทำราคาได้ด้วย จึงเป็นอีกคันที่น่าจับตามองในปีนี้

Nissan
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทยปีนี้ : Kicks e-POWER / Navara Minor Change / Terra Minor Change? / Sylphy?
  ค่ายเพื่อนที่แสนดีในปีที่ผ่านมานั้น เรียกได้ว่าเปิดตัวหลายรุ่นเหมือนกัน ไล่ตั้งแต่ต้นปีกับ X-Trail Minor Change ที่มาช้ากว่าชาวบ้าน 2 ปีเต็มๆ ต่อด้วย Navara Black Edition ที่มีการปรับอุปกรณ์ใหม่ Almera ก็มีการทิ้งท้ายโมเดลเก่าด้วยการเปิดตัว Sportech SV มีการปรับอุปกรณ์ให้กับน้อง Note ส่วนช่วงปลายปีแน่นอนว่ามีความหวังหมู่บ้านอย่าง All-New Nissan Almera พร้อมเครื่องเทอร์โบ 1.0 ลิตร สร้างยอดขายและยอดจองได้อย่างงดงาม และยังมี GT-R รุ่นฉลอง 50 ปีเข้ามาจำหน่ายด้วย นอกนั้นก็จะมีการออกโปรโมชั่นกระตุ้นตลาด

  ในปีนี้เป็นอีกปีที่น่าสนใจมาก เพราะ Nissan Thailand เตรียมแนะนำให้คนไทยได้รู้จักกับเทคโนโลยี e-POWER เป็นเทคโนโลยีรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าของ Nissan แต่ยังคงใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนอยู่ ไม่ต้องเสียบปลั๊กชาร์จไฟแบบ EV หลายรุ่น ไม่ใช่เครื่อง Hybrid , Plug-In Hybrid หรือ Mild Hybrid ที่ยังคงใช้เครื่องยนต์เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อน เพราะอะไรล่ะ?

   e-POWER นั้นจะติดตั้งเครื่องยนต์เหมือนกับรถทั่วไป อย่างไรก็ตามเครื่องยนต์ไม่ใช่กำลังหลักที่ส่งไปยังล้อทั้งสี่ แต่จะเป็นตัวช่วยในการผลิตกระแสไฟฟ้าร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าส่งไปที่แบตเตอรี่ของรถซึ่งเป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน และส่งผ่านไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าอันเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อน

  ตัวอย่างเครื่อง e-POWER ที่ทำตลาดในญี่ปุ่นก็คือ เครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร HR12DE พละกำลังสูงสุด 84 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 103 นิวตัน-เมตรที่ 3,200-5,200 รอบ/นาที เครื่องตัวนี้จะไปช่วยขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งเป็นกำลังหลัก โดยปล่อยพละกำลังออกมา 136 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร เครื่องตัวนี้ติดตั้งใน Nissan Serena รถมินิแวนที่จำหน่ายในญี่ปุ่น

ภาพประกอบคือรุ่นที่ยังไม่ Minor Change เวอร์ชั่นสหรัฐฯที่เปิดตัวเมื่อปี 2018
  และรถคันแรกของ Nissan ในไทยที่จะมากับขุมพลัง e-POWER ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น Nissan Kicks ครอสโอเวอร์ไซส์กะทัดรัดผู้เป็นคู่แข่งของ Toyota C-HR, Honda HR-V และอีกหลายรุ่น และแม้ว่ารถจะเปิดตัวตั้งแต่ปี 2016 แล้ว ไทยอาจจะได้ใช้ช้ากว่าชาวบ้าน แต่ก็ถือว่าเป็นการรอที่คุ้มอยู่ เพราะรุ่นที่จะจำหน่ายเป็นรุ่นปรับโฉม Minor Change สดใหม่เลย ไม่ใช่หน้าเก่าแบบที่จำหน่ายกัน ซึ่งก็มีการนำรถมาวิ่งทดสอบในไทยแล้วด้วย เผลอๆไทยจะเปิดตัวเป็นที่แรกในโลกด้วยที่เปิดตัวรุ่น Minor Change และเป็นที่แรกในโลกที่จำหน่ายรุ่นนี้ภายใต้ขุมพลัง e-POWER เป็นไปได้ว่าช่วงต้นปีนี้อาจจะมีการเปิดตัวในไทย ยังไงก็ต้องรอชมครับ

 

   คันต่อมาที่น่าจับตามองก็คือ Nissan Navara ที่สมควรแก่เวลาในการปรับโฉม Minor Change แล้ว ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่มีภาพรถทดสอบหรือแนวคิดออกมาให้เห็น แต่ก็พอเดาได้ว่าดีไซน์คงเป็นไปตามแนวทางของ Nissan ยุคใหม่ สิ่งที่ค่อนข้างแน่นอนว่าจะเอามาแน่ๆก็คือ การแนะนำเครื่องยนต์ใหม่ ที่ยกมาจาก Terra นั่นคือ เครื่องดีเซลรหัส YS23DDTT ความจุ 2.3 ลิตร 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว เทอร์โบคู่แปรผัน VGS อินเตอร์คูลเลอร์ ให้พละกำลังสูงสุด 190 แรงม้าที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตรที่ 1,500-2,500 รอบ/นาที

   ในตลาดต่างประเทศจะมีเทอร์โบเดี่ยว 163 แรงม้าด้วย ซึ่งเดาว่า Navara ไทยก็คงเอามาใส่ อีกสิ่งที่คาดหวังว่าจะมาคือการเพิ่มเติมความปลอดภัยให้ครบครันมากขึ้นในตัวรองและท็อป ระบบเจ๋งๆที่มีใน Note และ Almera ทั้งหลายก็น่าจะใส่มาด้วย เพื่อการแข่งขันในตลาดกระบะที่สมศักดิ์ศรีขึ้น คาดไตรมาสที่ 3 ของปีคงจะได้เจอกัน

  อีกหนึ่งคันที่ต้องลุ้นว่าจะมาทันปีนี้หรือไม่ ก็คือ Nissan Terra รถ SUV พื้นฐานกระบะของค่ายที่ต้องบอกตามตรงว่าไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรหลังจากการจำหน่ายทั้งในไทยและต่างประเทศ ด้วยรูปทรงภายนอกที่ดูไม่โดดเด่นเท่าคู่แข่งและภายในที่เหมือนกระบะเกินไป เพราะความที่ต้นสังกัดพยายามอนุมัติแบบนี้มาขาย ผลก็เป็นอย่างที่เห็น จนต้องมาออกโปรโมชั่นกระตุ้นอย่างทุกวันนี้ ก่อนหน้านี้ก็เหมือนมีข่าวลือว่า Terra เตรียมปรับโฉมใหญ่สายฟ้าแลบ อาจจะมีการปรับดีไซน์ภายนอกและภายในให้แตกต่างจากกระบะมากขึ้น ถ้าหากไม่ทันปีนี้ก็คงเป็นปีหน้า แต่ปีนี้ก็อาจจะเห็นความเคลื่อนไหวอย่างรถทดสอบวิ่งก็เป็นได้ ยังไงก็ต้องรอชม

  ปิดท้ายด้วยอีกหนึ่งคันที่น่าลุ้นไม่แพ้กัน All-New Nissan Sylphy เจเนเรชั่นใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่นพี่ Nissan Altima (ที่ไม่มีวันมาขายในไทย)  แม้องค์รวมจะเหมือน Altima ย่อส่วนเลยก็จริง แต่ในเรื่องการออกแบบของ Sylphy โฉมใหม่ก็ได้ปรับลุคให้ดูอ่อนละมุนกว่ารุ่นพี่อย่างเห็นได้ชัด ในส่วนหน้าจะมากับไฟหน้าดีไซน์โฉบเฉี่ยวเรียวขึ้นกว่าเดิม ออกแบบให้รับกับกระจังหน้าทรง V-Motion อันเป็นเอกลักษณ์ ออกแบบกรอบไฟตัดหมอกและกันชนหน้าใหม่ให้ดูมีมิติเด่นชัดยิ่งขึ้น

   ขุมพลังของรถนั้น  ในตลาดจีนจะมีการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตรรหัส HR16DE เจเนเรชั่นที่ 3 มากับพละกำลังสูงสุดราวๆ 140 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ XTronic CVT แต่ตลาดเมริกาจะใช้ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบที่มีพละกำลัง 149 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 197 นิวตันเมตร (ให้กำลังเพิ่มขึ้น 20% และแรงบิดมากกว่าเดิม 16% กว่าเครื่อง 1.8 ลิตรเดิม) ซึ่งถ้ามาไทยก็เป็นไปได้ว่าจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรแบบเดยวกับอเมริกา ไม่ก็ใช้ขุมพลัง e-POWER เหนือสิ่งอื่นใด มาลุ้นกันก่อนดีกว่าว่าจะเปิดตัวทันปีนี้หรือไม่

รถใหม่ในตลาดโลก (และมาไทยด้วยในอนาคต) : All-New X-Trail/Rogue
   รถใหม่ที่จะเปิดตัวตลาดโลกขอยกมาหนึ่งคันที่หลายคนน่าจะให้ความสนใจกันไม่น้อย นั่นคือ All-New Nissan X-Trail หรือบางตลาดจำหน่ายในชื่อ Rogue แม้ในไทยจะเพิ่งเปิดตัวรุ่น Minor Change ต้นปีที่ผ่านมานี้เอง แต่ช่วยไม่ได้ครับ ตลาดโลกเขาจะเปลี่ยนโมเดลแล้ว และนี่คือภาพแอบถ่ายล่าสุดที่มีคนจับภาพได้

  จากภาพจะเห็นการออกแบบที่ดูโฉบเฉี่ยวและสปอร์ตขึ้นกว่าเดิมชัดเจน เห็นได้จากกระจังหน้า V-Motion อันเป็นเอกลักษณ์ที่มีขนาดใหญ่โตและเด่นชัดขึ้น ไฟหน้าทรงใหม่ที่ดูเรียวมากขึ้น อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สังเกตเห็นได้ชัดที่สุด คือ ตำแหน่งกระจกมองข้างที่ย้ายจากกระจกบานหน้ามาติดตั้งบริเวณประตูแทน ส่วนด้านท้ายจะมากับโคมไฟท้ายแนวนอนใหม่ที่ดูเพรียวบางกว่าเดิม

ภาพจาก Motor1
  ภายในห้องโดยสารถือว่าพลิกจากรุ่นปัจจุบันแบบคนละเรื่อง มาพร้อมกับมาตรวัดใหม่แบบดิจิตอลเต็มรูปแบบ ตรงกลางเป็นตำแหน่งของหน้าจอ Infotainment ขนาดใหญ่ คอนโซลกลางมาพร้อมกับหัวเกียร์ทรงล้ำพร้อมปุ่มปรับโหมดระบบขับเคลื่อนที่อยู่ข้างๆกัน สำหรับการเปิดตัวนั้นในตลาดสหรัฐฯจะมีการเปิดตัวปีนี้ค่อนข้างแน่นอน ส่วนเมืองไทยเดาว่าคงต้องรอยาวๆ ไปจนถึงปี 2021 ไม่ก็ปี 2022 เป็นอย่างช้าที่สุด

Peugeot
รถใหม่ที่มีโอกาสมาเปิดตัวในไทยปีนี้ : 408? / 2008?
   เป็นค่ายที่เพิ่งใส่เข้ามาในปีนี้แบบจริงๆจังๆ เพราะปีที่ผ่านมา ค่ายสิงโตฝรั่งเศสก็ได้สร้างเซอร์ไพรซ์ด้วยการเปิดตัวแทนจำหน่ายใหม่ พร้อมทั้งเปิดตัวรถอเนกประสงค์ 2 รุ่น ได้แก่ Peugeot 3008 และ 5008 สองรถ SUV ยุโรปแท้ๆ (ขอเน้นว่าแท้ๆ) ที่ทำราคาได้ใกล้เคียงกับรถ C-SUV ญี่ปุ่นเลย


   ในปีนี้เราก็ยังเดาทิศทางไม่ได้เหมือนกันว่า Peugeot ประเทศไทยจะเปิดตัวรุ่นไหนอีก แต่ถ้าให้เดาก็เป็นไปได้ว่าอาจจะมีการเปิดตัวรถอเนกประสงค์รุ่นเล็กอีกหนึ่งรุ่น นั่นก็คือ Peugeot 2008 เจเนเรชั่นใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มใหม่ล่าสุด Common Modular Platform (CMP) ส่งผลให้รถมีความยาวมากกว่ารุ่นก่อนหน้า 14 ซม. ในขณะที่มีความกว้าง 1.7 เมตร และสูง 1.54 เมตร ทุกรุ่นมีความจุสัมภาระด้านหลัง 360 ลิตรเป็นมาตรฐาน

  ถ้าอิงจากตลาดมาเลเซีย  ขุมพลังที่จะใช้คงหนีไม่พ้นเครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร PureTech 3 สูบ ที่มี 100-130 แรงม้า พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด หรือไม่ก็ 8 สปีด อันนี้ก็ต้องติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดมาเลเซียเขาก่อนครับ

  อีกคันที่มีโอกาสกลับมาจำหน่ายอีกครั้งก็คือ Peugeot 408 รถซีดานขนาดกลางของค่ายที่เคยนำมาจำหน่ายในไทยภายใต้รั้วของยนตรกิจ แต่ปัจจุบันเมื่อมาอยู่ในบ้านใหม่แล้วก็เป็นไปได้ที่จะนำเข้ามาจำหน่ายอีกครั้ง โดยจะติดตั้งเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร 4 สูบเทอร์โบ THP พละกำลังสูงสุด 165 แรงม้าและแรงบิด 245 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ยังไงก็ต้องรอชมต่อไป

Porsche
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทยปีนี้ : Taycan
    ค่ายสปอร์ตหน้ากบในปีที่ผ่านมานั้น ในตลาดไทยมีการเปิดตัว Porsche 911 โฉมใหม่รหัสตัวถัง 992 รวมทั้ง Porsche Cayenne Coupe

  สำหรับในปีนี้นั้น รถใหม่ที่ Porsche ประเทศไทยต้องเปิดตัวแน่นอนก็คือ Porsche Taycan  รถพลังงานไฟฟ้าล้วนคันแรกของค่าย ตัวรถนั้นมีการนำมาโชว์ตัวที่ประเทศไทยแล้วในโชว์รูมที่ห้างไอคอนสยาม ส่วนการเปิดตัวและเปิดราคาอย่างเป็นทางการ คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงต้นปีนี้ ซึ่งมีขุมพลังอยู่ 3 ทางเลือกคือ Taycan 4S มีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 79.2 ซึ่งมีความจุ 93.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวที่ให้ผลผลิตรวมกันสูงถึง 530 แรงม้า (PS)

   หากผู้ซื้ออยากได้กำลังเพิ่มขึ้นก็สามารถสั่งซื้อ Performance Battery Plus ที่จะยกชุดแบตเตอรี่จาก Taycan Turbo ซึ่งมีความจุ 93.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง นอกเหนือจากแบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้นยังพละกำลังเป็น 571 แรงม้า (PS) อีกด้วย ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4 วินาที ก่อนจะทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 250 กม./ชม. สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 405 กม.  สำหรับรถที่ติดตั้งแพ็คเกจ Performance Battery Plus จะวิ่งได้ไกล 462 กม. ตามมาตรฐาน Worldwide Harmonised Light Vehicle Test Procedure (WLTP)

  สำหรับ Taycan Turbo และ Turbo S จะติดตั้งชุดแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 93.4 kWh เป็นมาตรฐาน ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ที่มีพละกำลังสูงสุด 625 แรงม้า (PS) เท่ากัน จะต่างตรงที่ Taycan Turbo สามารถสร้างพละกำลังสูงสุดได้ 680 แรงม้า (PS) เมื่อเปิดระบบ Overboost มีแรงบิดสูงสุด 850 นิวตัน-เมตร เมื่อเปิดระบบ Lauch Control จะสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.2 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ใน 10.6 วินาที ก่อนจะทะยานไปที่ความเร็วสูงสุด 260 กม./ชม.

    ในขณะที่ Turbo S สามารถสร้างพละกำลังสูงสุดได้ 761 แรงม้า (PS) เมื่อเปิด Overboost เช่นกัน และมีแรงบิดมหาศาลถึง 1,050 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. พร้อมเปิด Launch Control ด้วยได้ในเวลาเพียง 2.8 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ใน 9.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 260 กม./ชม. เท่ากับรุ่น Turbo

   แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 93.4 kWh ของ Taycan มาพร้อมระบบไฟฟ้าแรงขับเคลื่อนสูง 800 โวลต์ สามารถชาร์จไฟได้ 80% ในเวลาเพียง 22 นาที และรองรับระบบการชาร์จไฟได้สูงสุด 270 กิโลวัตต์ ซึ่งหากใช้การชาร์จด่วนแค่ 5 นาทีก็สามารถวิ่งได้สูงสุดถึง 100 กิโลเมตร  แต่ถ้าใช้ระบบชาร์จไฟกระแสตรงแบบเร็ว 150 กิโลวัตต์ จะสามารถชาร์จไฟจนถึง 80% ใน 36 นาทีเท่านั้น ในขณะที่เต้าเสียบ 240 โวลต์ธรรมดาขนาด 9.6 กิโลวัตต์ต้องใช้เวลาชาร์จถึง 11 ชั่วโมง โดย   Taycan Turbo สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดเมื่อชาร์จเต็ม 450 กิโลเมตร  ในขณะที่ Turbo S สามารถวิ่งได้ 412 กม. ทั้งสองอ้างอิงตามมาตรฐาน  Worldwide Harmonised Light Vehicle Test Procedure (WLTP)

รถใหม่ในตลาดโลก (บางคันอาจจะมาไทยด้วย) : 718 Family (GTS 4.0 or Touring?/ Cayman GT4 RS) /911 Family (Targa/GTS/Turbo/Turbo S/GT3) / Panamera Minor Change / Taycan Turismo
   รถสปอร์ตรุ่นเล็กสุดอย่างตระกูล Porsche 718 อาจจะมีการเปิดตัวรุ่นใหม่ในปีนี้ อย่างที่รู้กันว่าปีที่ผ่านมา Porsche ได้มีการเปิดตัว 718 Cayman GT4 และ 718 Boxster Spyder ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ 4.0 ลิตร 6 สูบ แต่ในปีนี้เป็นไปได้ว่าจะมีการนำเครื่องบล็อกนี้ไปใส่ใน Boxster และ Cayman รุ่นรองลงไปจากที่กล่าวมาอีก เมื่อดูจากรถทดสอบที่มากับกันชนรุ่น GTS เลยเป็นไปได้ว่าอาจจะมาภายใต้ชื่อรุ่นย่อย GTS 4.0 หรืออาจมาในเกรดใหม่ชื่อ Touring

ภาพจาก Autoevolution
  โดยใน 718 Cayman GT4 และ 718 Boxster Spyder จะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร Boxer 6 สูบแบบหายใจเอง ไม่ต้องพึ่งเทอร์โบ โดยมีพละกำลังสูงสุดที่ 420 แรงม้า (PS) พร้อมแรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเม ในรุ่นใหม่ที่ว่านี้ก็น่าจะตอนกำลังลงมาเหลือราวๆ 400 แรงม้า เอาเป็นว่าต้องติดตามดูว่า 718 เครื่อง 6 สูบตัวใหม่นี้จะมาในรูปแบบไหน ต้นปีถึงกลางปีนี้อาจจะได้เห็นกัน

ภาพจาก Motor1
   กลับกัน หากใครอยากได้ 718 Cayman ที่แรงขึ้นไปอีกกว่า GT4 คำตอบของความต้องการนี้ก็คือ 718 Cayman GT4 RS จากรถทดสอบจะเห็นว่าตัวรถได้แต่งเติมภายนอกหลายจุดให้ดูดุดันขึ้นกว่า GT4 ธรรมดา ทั้งในส่วนของฝากระโปรงหน้าใหม่ครีบระบายอากาศข้างบานหน้าต่างถัดจากประตูรถ และสปอยเลอร์ท้ายดีไซน์ดุ เครื่องยนต์แน่นอนว่าจะติดตั้ง เบนซิน 4.0 ลิตร Boxer 6 สูบแบบหายใจเอง ไม่ต้องพึ่งเทอร์โบ ที่คาดว่าน่าจะมีพละกำลังราวๆ 450 แรงม้า การเปิดตัวนั้นอาจจะเกิดขึ้นปลายปีนี้

   สำหรับตระกูล 911 ในปีนี้ก็น่าจะได้เห็นรถเปิดตัวอีกหลายรุ่น หลายขุมพลัง น่าจะตามๆกันออกมาในช่วงปีนี้ ถ้าไม่ทันปีนี้ก็ต่อเรื่อยๆไปปีหน้าอีก

ภาพจาก Motor1
   นอกจากเวอร์ชั่นคูเป้หลังคาแข็งและเปิดประทุนแล้ว แน่นอนยังมีอีกเวอร์ชั่นก็คือ Targa ที่จะมากับหลังคาผ้าใบแค่ส่วนบนส่วนเดียวและพับเก็บได้ด้วยระบบไฟฟ้า ซ่อนอยู่ในช่วงกระจกหลังรถนั่นเอง ขุมพลังแน่นอนจะติดตั้งเครื่องยนต์เบซิน 3.0 ลิตร 6 สูบทวินเทอร์โบ พละกำลัง 385 แรงม้าในรุ่น Carrera และ 450 แรงม้าในรุ่น Carrera S ส่วนรุ่น GTS น่าจะเปิดตัวตามหลัง ตามที่จะกล่าวในย่อหน้าถัดไป

ภาพจาก Motor1
   โดยใครที่คิดว่า Carrera และ Carrera S ยังให้ความแรงที่ตอบสนองต่อเราไม่พอละก็ แน่นอนว่าต้องไปเล่นตัวที่แรงขึ้นอีกนิด นั่นคือ Carrera GTS แน่นอนว่าขุมพลังจะติดตั้งเครื่องยนต์เบซิน 3.0 ลิตร 6 สูบทวินเทอร์โบ เหมือนกับ Carrera/Carrera S แต่คาดว่าเครื่องยนต์น่าจะสร้างพละกำลังได้ไม่ต่ำกว่า 460 แรงม้า

Porsche 911 Turbo ภาพจาก Motor1
Porsche 911 Turbo Cabriolet ภาพจาก Motor1
ภาพจาก Instagram t_schleiche
  และยกระดับขึ้นไปอีกกับ 911 Turbo และ Turbo S ที่จะอัปเกรดดีไซน์กันชนหน้าที่มีช่องรับอากาศขนาดใหญ่ขึ้น รวมทั้งกันชนท้ายใหม่พร้อมสปอยเลอร์ขนาดใหญ่ ท่อไอเสียทรงรีเปลี่ยนเป็นท่อเหลี่ยมคู่ฝั่งละ 2 ท่อ นอกจากนั้นแล้วยังได้ล้อลายพิเศษเฉพาะรุ่นและคาลิปเปอร์เบรกใหม่ ทางด้านเครื่องยนต์คาดว่าจะติดตั้งเครื่องยนต์ 3.8 ลิตร  6 สูบทวินเทอร์โบ พละกำลังคาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 600 แรงม้าใน Turbo และ 650 แรงม้าใน Turbo S

ภาพจาก Motorauthority
   ตัวถัดมาคือตัวแรงพันธุ์ดุระดับเริ่มต้น 911 GT3 ซึ่งจะมาพร้อมภายนอกที่ดุดันกว่ารุ่นอื่นๆที่กล่าวมา ไม่ว่าจะส่วนกันชนหน้า กันชนท้าย และสปอยเลอร์ท้ายขนาดใหญ่ พร้อมท่อไอเสียคู่ตรงกลาง เครื่องยนต์น่าจะติดตั้ง เครื่องเบนซิน 4.0 ลิตร 6 สูบแบบไร้ระบบอัดอากาศ พละกำลังน่าจะออกมาได้ไม่ต่ำกว่า 550 แรงม้า พร้อมเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 8 สปีด

ภาพจาก Motor1
  แต่ถ้าหากใครอยากได้รุ่นเกียร์ธรรมดาก็ยังมีอีกตัวคือ 911 GT3 Touring Package ที่จะลดทอนความดุดันลงมาเล็กน้อย โดยถอดสปอยเลอร์ท้ายขนาดใหญ่ออก แทนที่ด้วยสปอยเลอร์ไฟฟ้าแทน โดยตระกูล 911 (992) ทั้งหมดนี้จะเรียงตัวเปิดตัวกันตลอดทั้งปีนี้เลยครับ สาวกก็รอติดตามกันได้ เศรษฐีไทยรอทุบกระปุกซื้อได้เลย

ภาพจาก Evo UK
  ต่อกันที่ Porsche Panamera ที่จะมีการปรับโฉม Minor Change มาครบทั้งตัวถังปกติและ Sport Turismo การปรับปรุงที่สำคัญจะอยู่ในส่วนของกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ และปรับดีไซน์ไฟท้ายใหม่ ส่วนภายในห้องโดยสารหลักๆคือเปลี่ยนพวงมาลัยใหม่มาใช้แบบเดียวกับ 911 โฉมล่าสุด และอาจจะมีการอัปเดตระบบอินโฟเทนเมนต์ใหม่

ภาพจาก Carscoops
  ทางด้านขุมพลังก็น่าจะเหมือนเดิม โดยมีทางเลือกดังนี้
- Panamera / Panamera 4 เครื่องยนต์เบนซิน 2.9 ลิตร V6 พละกำลัง 330แรงม้า
- Panamera 4S เครื่องยนต์เบนซิน 2.9 ลิตร V6 พละกำลัง 440 แรงม้า
- Panamera GTS เครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 พละกำลัง 460 แรงม้า
- Panamera Turbo เครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8 พละกำลัง 550 แรงม้า
- Panamera E-Hybrid เครื่องยนต์เบนซิน 2.9 ลิตร V6 รวมพละกำลังกับมอเตอร์ไฟฟ้า 462 แรงม้า
- Panamera Turbo S E-Hybrid  เครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร V8  รวมพละกำลังกับมอเตอร์ไฟฟ้า 680 แรงม้า
คาดว่าการเปิดตัวน่าจะมีขึ้นช่วงต้นปีถึงกลางปีนี้ครับ ส่วนชาวไทยเชื่อว่าทาง Porsche Thailand เขาเปิดรับจองทุกรุ่นทุกรหัสอยู่แล้ว รอติดตามได้เลย

ภาพจาก Autoblog
  คันต่อมาก็เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่น่าจับตามองก็คือ Porsche Cayenne Coupe ตัวแรงระดับฮาร์ดคอร์ ที่แรงยิ่งกว่าตัวท็อปที่มีจำหน่ายปัจจุบันอย่างรุ่น Turbo S E-Hybrid ที่สร้างพละกำลังได้กว่า 680 แรงม้า โดยอาจมาในชื่อ Cayenne Coupe GT โดยจากข่าวที่ออกมานั้น ว่ากันว่า GT คันนี้จะติดตั้งเครื่อง V8 พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า ที่รวมกันแล้วน่าจะสร้างพละกำลังได้ไม่ต่ำกว่า 800 แรงม้าเลยทีเดียว จากรถทดสอบดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ด้านท้ายนั้นมีการใส่ท่อหลอก ส่วนท่อจริงจะเป็นท่อคู่ทรงกลมตรงกลาง น่าจะพอบอกได้ว่า SUV คันนี้น่าจะไม่ธรรมดา โดยการเปิดตัวน่าจะมีขึ้นในช่วงใดช่วงหนึ่งของปีนี้

ภาพจาก Autoblog
  และอีกคันก็คือ Porsche Taycan Cross Turismo อีกหนึ่งรูปแบบตัวถังของรถพลังงานไฟฟ้าล้วน Taycan โดยครึ่งคันหน้าจะเหมือนกับ Taycan ปกติทุกอย่าง ในส่วนครึ่งคันหลังจะออกแบบให้แตกต่างออกไป โดยมาในแนวแวกอนเหมือนกับ Panamera Sport Turismo

  การออกแบบนั้นให้ดูทรวดทรงได้จากต้นแบบ Porsche Mission E Cross Turismo Concept ได้เลย ทางด้านขุมพลังคาดว่าก็จะเหมือนกับ Taycan โฉมซีดาน คาดว่าการเปิดตัวคงอยู่ในช่วงใดสักช่วงของปีนี้ครับ
  
Rolls-Royce
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทยปีนี้ : Cullinan Black Badge?
   ค่ายอัครมหายานยนต์หรูที่คนไทยส่วนใหญ่ได้แค่มองและไม่ค่อยสนใจข่าวเท่าไหร่ แต่ก็สร้างความว้าวได้ทุกครั้งที่มีการนำรถไปโชว์ในงานรถใหญๆ เมื่อปีที่ผ่านมานั้นไม่มีการเปิดตัวรุ่นใหม่ในไทยเลย แต่ก็ยังคงเน้นโชว์ตัวโมเดลใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวอย่าง Rolls-Royce Cullinan

  ในปีนี้ รุ่นใหม่ที่คาดว่าจะนำมาเปิดตัวและวางขายให้เศรษฐีกระเป๋าหนัก ก็คือ Rolls-Royce Cullinan Black Badge เอสยูวีที่หรูหราที่สุดในโลกกับรุ่นตกแต่งพิเศษในสไตล์เข้ม ซึ่งมีการตกแต่งภายนอกและปรับปรุงสมรรถนะใหม่เช่นเดียวกับรุ่นอื่นๆในค่ายที่มีชื่อห้อยท้าย Black Badge  ด้วยขุมพลังที่ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน Twin-turbo V12 ขนาดความจุ 6.75 ลิตร ที่ถูกปรับแต่งให้มีพละกำลังสูงสุด 600 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 900 นิวตันเมตร เพิ่มขึ้น 29 แรงม้า และแรงบิดเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 50 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0-96 กม./ชม.  ในเวลาเพียง 4.9 วินาทีเท่านั้นแม้จะต้องแบกน้ำหนักรถกว่า 2,753 กิโลกรัม โดยมีท็อปสปีดที่ 250 กม./ชม.

  ตัวรถก็จะมากับสีดำเงาที่ผ่านการขัดเคลือบสีด้วยมือ ตกแต่งรายละเอียดหลายจุดด้วยสีดำ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของกระจังหน้า, คิ้วขอบประตู, คิ้วขอบป้ายทะเบียนด้านท้าย, มือจับประตู, ชุดตกแต่งใต้กันชนหน้าและท่อไอเสีย เช่นเดียวกับโลโก้รถ The Spirit of Ecstasy ก็ถูกทำให้เป็นสีดำเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีล้ออัลลอยลายพิเศษแบบปัดเงาขนาด 22 นิ้วพร้อมคาลิเปอร์สีแดงและเส้นสีเหลืองบริเวณด้านข้างของตัวถัง 

   ภายในห้องโดยสารยังมีการตกแต่งด้วยสีเหลืองเพิ่มเติมบริเวณแผงหน้าปัดและแผงประตูรถ ซึ่งมาพร้อมกับหนังสีดำที่ถูกทำให้ล้อมรอบพื้นผิวที่สัมผัสให้ได้มากที่สุด พร้อมด้วยเพดานสีดำส่องสว่างประดุจดวงดาวบนท้องฟ้าอันเป็นผลมาจากการติดตั้งสายเคเบิลใยแก้วนำแสง 1,344 เส้นที่มีลักษณะคล้ายกับท้องฟ้ายามค่ำคืน และยังมีการเสริมลูกเล่นดาวตกเข้าไปบนเพดานหลังคาเพื่อเพิ่มความสมจริงขึ้นไปอีก

รถใหม่ในตลาดโลก (และมาไทยด้วย) : All-New Ghost

ภาพจาก Motor1
  ในปีนี้น่าจะมีอีกหนึ่งคันที่รอเปิดตัวก็คือ All-New Rolls-Royce Ghost จากภาพทรวดทรงการออกแบบนั้นก็ยังคงรักษาสไตล์เดิมๆไว้ แต่ด้านหน้าจะมากับแนวการออกแบบใหม่เหมือนที่เห็นใน Phantom มากับทรงไฟหน้าที่เรียวบางลงกว่าเดิม พร้อมกระจังหน้าที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่ารุ่นปัจจุบัน   ช่วงเสา A ของรถออกแบบให้มีความโน้มเอียงมากกว่าเดิม ต่อเนื่องไปถึงด้านท้ายที่ออกแบบให้มีความนุ่มนวลอ้อนช้อยกว่าเดิมและยังส่งผลต่ออากาศพลศาสตร์ที่ดีขึ้นอีกด้วย โดยรถน่าจะสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มใหม่ล่าสุดเหมือนที่ใช้ใน Phantom โฉมล่าสุด และ Cullinan

ภาพจาก Motor1
ภาพจาก Motor1
  ทางด้านภายในห้องโดยสารมีการออกแบบใหม่ให้หรูหราและทันสมัยขึ้น เห็นได้จากมาตรวัดชุดใหม่แบบดิจิตอล หน้าจอระบบอินโฟเทนเมนต์ตรงกลางที่ใหญ่กว่าเดิม ออกแบบปุ่มควบคุมใหม่ และน่าจะติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาเต็มคัน เครื่องยนต์คาดว่าจะติดตั้งขุมพลังเบนซิน 6.75 ลิตร V12 เช่นเดียวกับรุ่นอื่นๆ การเปิดตัวน่าจะมีขึ้นช่วงต้นปีถึงกลางปีนี้ ส่วนเศรษฐีชาวไทยคาดว่าน่าจะได้สัมผัสอย่างเร็วที่สุดคือช่วงปลายปีถึงต้นปีหน้า

Subaru
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทยปีนี้ : Forester MY2020 : GT Edition & Forster 2.0i-L Eyesight / XV MY2020 With Eyesight
   ค่ายดาวลูกไก่ในไทยสำหรับปีที่ผ่านมา น่าจะเป็นอีกหนึ่งปีทอง หลังจากที่มีการเปิดตัว Subaru Forester ช่วงปลายปี 2018 และเริ่มผลิตและจำหน่ายในไทยช่วงเดือนมีนาคม 2019 ถือว่าได้รับผลตอบรับที่ค่อนข้างดีทีเดียว สังเกตได้จากประชากรรถบนท้องถนนที่ค่อนข้างหนาตามากขึ้น และยังมีการแนะนำตัวแต่งพิเศษ Subaru XV GT Edition อีกด้วย

ภาพจาก Paultan
  ในปีนี้ก็น่าจะมีอีกหลายรุ่นที่มีการเปิดตัวในไทย เปิดประเดิมต้นปีด้วย Subaru Forester GT Edition ตัวตกแต่งพิเศษ เพิ่งเปิดตัวและจำหน่ายอย่างเป็นทางการที่สิงคโปร์ไม่นานนี้ โดยมีเสริมชุดแต่งภายนอกให้ดูเท่และสปอร์ตมากขึ้น ได้ล้อลายใหม่พิเศษขนาด 18 นิ้ว รวมทั้งตกแต่งภายในห้องโดยสารใหม่ ติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้วที่รองรับทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto รวมทั้งมีระบบความปลอดภัยอย่างกล้องรอบคัน 360 องศา และติดตั้งชุดความปลอดภัย Eyesight มาให้เป็นมาตรฐาน มีทั้งหมด 3 รุ่นย่อย คือ 2.0i-L EyeSight, 2.0i-S EyeSight และ 2.0i-S EyeSight Hybrid ส่วนเมืองไทยจะจำหน่ายกี่รุ่นย่อยนั้นต้องรอชมที่งาน Bangkok Motor Show 2020 ปลายเดือนมีนาคมนี้

  นอกจากนี้จะมีการแนะนำ Subaru Forester 2.0 i-L Eyesight รุ่นย่อยเกรดรองใหม่ ที่จะเพิ่มความปลอดภัย Eyesight เข้ามา เพื่อเติมเต็มความต้องการลูกค้าได้อย่างครบครันขึ้น และครอสโอเวอร์คันเล็กลงมาอย่าง Subaru XV ก็จะมีการเพิ่มรุ่นที่ติดตั้งชุดความปลอดภัย Eyesight ด้วยเช่นเดียวกัน โดยชุดความปลอดภัย Eyesight จะประกอบด้วย

  • ระบบเบรกอัตโนมัติก่อนชน Pre-Collision Braking
  • ระบบจัดการกำลังเครื่องยนต์ก่อนชน Pre-Collision Braking
  • ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงหรือออกจากช่องทางขับ Lane Sway and Departure Warning
  • ระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบแปรผัน Adaptive Cruise Control
  • ระบบการเตือนรถคันหน้าออกตัว Lead Vehicle Start Alert
ทั้งสองคันนี้รอติดตามการเปิดตัวได้ราวๆปลายปีครับ

Suzuki
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทยปีนี้ : Ciaz Minor Change
   ค่ายรถเล็ก Suzuki มีรถโมเดลใหม่เปิดตัวเมื่อปีที่ผ่านมาถึง 3 รุ่น ได้แก่ Suzuki Ertiga รถ MPV 7 ที่นั่งราคาประหยัด, Suzuki Jimny อเนกประสงค์คันจิ๋วราคาแรงที่นำเข้ามาจำนวนจำกัด 90 คันและขายหมดลงอย่างรวดเร็ว และ Suzuki Carry กระบะบรรทุกราคาน่าคบ นอกนั้นก็จะมีการเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ให้กับ Ciaz - Ciaz GL Plus รวมทั้งปรับราคา Celerio ลงมา ปลายปีมีการแนะนำ Swift GL Sport Edition แบบเงียบๆ

  ในปีนี้รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวคงหนีไม่พ้น Suzuki Ciaz Minor Change ซึ่งก็เคยพูดถึงในบทความรถใหม่ปี 2019 แล้ว แต่ก็ไม่มีการเปิดตัว คาดว่าปีนี้คงได้เวลาเปิดตัวแล้ว รูปโฉมน่าจะอ้างอิงตามเวอร์ชั่นอินเดีย โดยภายนอกจะมากับไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ LED พร้อมไฟ Daytime Running Lights ภายในโคม  กระจังหน้าถูกออกแบบใหม่ให้เชื่อมติดกับไฟหน้าตามสไตล์รถสมัยนี้ เช่นเดียวกับกันชนหน้าดีไซน์ใหม่พร้อมแถบโครเมียมบริเวณกรอบไฟตัดหมอก นอกจากนี้ด้านท้ายยังมากับโคมไฟท้ายแบบ LED และมีล้ออัลลอยลายใหม่ปัดขอบเงาดำขนาด 16 นิ้ว

  ส่วนภายในห้องโดยสารของเวอร์ชั่นอินเดียจะตกแต่งด้วยโทนสีเบจพร้อมลายไม้รอบคันรถซึ่งทำให้ดูหรูหรามากขึ้น มีการออกแบบมาตรวัดใหม่ซึ่งมีการติดตั้งหน้าจอแสดงผลการขับขี่บริเวณหน้าปัดขนาด 4.2 นิ้ว มาตรวัดสามารถปรับสีตามรูปแบบการขับขี่ได้ ส่วนฟังก์ชั่นอื่นๆที่น่าสนใจก็จะกระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ มีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control และไฟหน้าปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติมาให้ในรุ่นบนๆ

   ขุมพลังในไทยคาดว่าจะยังใช้เครื่องเดิมนั่นคือ เครื่องเบนซิน 1.25 ลิตรแบบเดียวกับ Swift มากับพละกำลัง 91 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 118 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และ เกียร์อัตโนมัติ CVT และอาจจะมีการเพิ่มระบบความปลอดภัยใหม่ๆอย่างระบบควบคุมการทรงตัวมาให้เหมือนรุ่นอื่นๆด้วย คงเป็น Eco Car Phase หนึ่งเดียวที่ยังคงเปิดตัวในปี 2020 คาดว่าการเปิดตัวอาจจะเกิดขึ้นราวๆต้นปีนี้ครับ หวังว่าจะไม่ช้าไปกว่านี้แล้ว

Toyota / Lexus
Toyota
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทยปีนี้ : Hilux Revo Minor Change/Fortuner Minor Change/New C-SUV/C-HR Minor Change
   ค่ายยักษ์ใหญ่ของเรานั้น ในปีนี้คงเป็นอีกปีที่น่าจับตามอง หลังจากปีที่ผ่านมานั้นมีโมเดลใหม่หลายรุ่นเปิดตัว ไม่ว่าจะเป็น Commuter, Majesty, Corolla Altis หรือแม้กระทั่งสปอร์ตหรู GR Supra ที่เข้ามาเสริมภาพลักษณ์ และก็มีการปรับโฉม Minor Change ให้กับ Avanza, Sienta หรือปรับอุปกรณ์ใน Vios, Fortuner ปรับหน้าใหม่ให้กับ Hilux Revo ตัวเตี้ยภายใต้ชื่อ "Z Edition" และเปลี่ยนเครื่องใหม่ให้กับ Yaris/ATIV เพื่อเข้าโครงการอีโคคาร์เฟส 2 นอกนั้นก็มีการออกชุดแต่งขาย

  ในปีนี้มีรถที่จะเปิดตัวค่อนข้างแน่นอนคือกระบะ Hilux Revo ที่จะมีการปรับโฉม Minor Change เป็นรอบที่ 2 เพื่อมาต่อกรกับพลานุภาพพลิกโลก All-New Isuzu D-Max ที่เปิดตัวในช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ก็มีภาพหลุดไฟหน้ารถออกมา แต่ไม่สามารถนำมาเผยแพร่ตรงๆได้เพื่อความปลอดภัยของตัวผู้เขียนเองครับ สิ่งที่พอบอกได้ก็คือ ไฟหน้าของรถนั้นจะเรียวขึ้นและน่าจะมีไฟเลี้ยวแบบ Sequential เหมือนใน C-HR และด้วยไฟที่เรียวขึ้นนั้น เราน่าจะได้เห็นกระจังหน้าและกันชนหน้าที่ปรับดีไซน์ใหม่ ส่วนด้านท้ายก็มีแววว่าจะปรับไฟท้ายใหม่เช่นกัน

  สิ่งที่ต้องมาลุ้นกันก็คือ การปรับปรุงครั้งนี้จะมีการเพิ่มออปชั่นและความปลอดภัยในหลากหลายรุ่นย่อยหรือไม่ เพราะรุ่นปัจจุบันนั้นก็เข้าขั้นกั๊กพอสมควร ระบบควบคุมการทรงตัว VSC ระบบป้องกันการลื่นไถล TRC ที่กั๊กไว้เฉพาะรุ่นบนๆ ก็หวังไว้ว่าในรุ่นปรับโฉมใหม่นี้อาจจะได้เห็นระบบเหล่านี้กระจายลงมาในรุ่นรองๆบ้าง หรือดีที่สุดคือติดมาให้ทุกรุ่นย่อยไปเลย เพราะรถเก๋งยังติดทุกรุ่นย่อยได้ กระบะก็ต้องทำได้ และก็หวังจะเห็นความปลอดภัยที่โดดเด่นขึ้น เช่น ระบบเตือนมุมอับสายตา ในรุ่นท็อป หรืออย่างเทพสุดเลยคือการติดตั้ง Toyota Safety Sense มาให้แบบในเก๋งระดับท็อปหลายรุ่นของค่าย

   และนอกจาก Hilux Revo ที่จะปรับโฉมแล้ว อีกคันที่จะปรับตามมาด้วยก็คือ Fortuner กับการปรับดีไซน์ Minor Change ครั้งแรกในรอบ 4-5 ปีเลยก็ว่าได้ ซึ่งก็แอบมีภาพหลุดในส่วนไฟหน้าออกมาเช่นเดียวกัน (และนำมาเผยแพร่ในนี้ไม่ได้อีกเช่นกัน) ไฟหน้าใหม่จะดูเรียวขึ้นและคงได้ไฟเลี้ยว Sequential ด้วย และแน่นอนว่าจะต้องปรับด้านหน้าใหม่ให้รับกับไฟหน้าใหม่ ด้านท้ายก็คาดว่าน่าจะปรับเช่นเดียวกับด้านหน้า

  และสิ่งที่ต้องลุ้นในรุ่นนี้ก็คือเรื่องระบบความปลอดภัย แอบหวังใจว่าในรุ่น Minor Change จะติดตั้งระบบความปลอดภัยที่จัดเต็มขึ้นเทียบเท่าคู่แข่งหลายๆเจ้า ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้เห็น Toyota Safety Sense ใส่มาให้ใน Fortuner รุ่นใหม่ จะได้ไม่น้อยหน้ารุ่นน้องอย่าง C-HR ที่มีมาให้ คาดว่าการเปิดตัวทั้ง Hilux Revo และ Fortuner Minor Change อาจเกิดขึ้นช่วงต้นปีเป็นอย่างเร็วที่สุด หรืออย่างช้าก็กลางปีนี้

  รถที่น่าจับตาที่สุดของค่ายสามห่วงในปีนี้คงหนีไม่พ้น C-SUV คันใหม่ของค่าย ที่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่รายละเอียดที่ชัดเจนว่าจะมีรูปทรงประมาณไหน แต่สิ่งที่พอจะยืนยันได้คือรถคันนี้จะไม่ใช่ RAV4 แน่นอน และไม่ใช่ RAV4 แปลงหน้าแบบที่จะขายในจีนอีกด้วย

  สิ่งที่รู้เบื้องต้นก็คือ C-SUV คันนี้จะใช้พื้นฐานเดียวกับ C-HR ทำให้ C-SUV คันนี้อาจจะเป็น C-HR เวอร์ชั่นขยายความยาวฐานล้อและขยายความยาวเพิ่มขึ้น แต่อย่างที่บอกครับ...เรายังไม่รู้เลยว่ารถคันนี้จะมาในรูปทรงประมาณไหน เพราะแม้แต่รถทดสอบก็ยังไม่มีให้เห็นเลยในวันที่กำลังพิมพ์บทความนี้อยู่ และด้วยตัวรถที่ใช้พื้นฐานของ C-HR ก็เป็นไปได้ที่รถจะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร และ 1.8 ลิตร Hybrid การเปิดตัวนั้นต้องรอติดตามว่าจะมาเมื่อไหร่ จะต้นปีหรือกลางปีไม่ก็ปลายปีเลย คงต้องติดตามครับ

  คันสุดท้ายที่น่าติดตามไม่แพ้กันก็คือ C-HR Minor Change กับการปรับดีไซน์ภายนอกใหม่ให้ดูสวยทันสมัยขึ้น  ดีไซน์ภายนอกนั้นเห็นชัดว่ามีการปรับดีไซน์กันชนหน้าใหม่พร้อมย้ายตำแหน่งไฟตัดหมอกส่งผลให้ด้านหน้าดูกว้างขึ้น เช่นเดียวกับไฟหน้าที่มีการปรับรายละเอียดใหม่เป็นแบบ LED พร้อมไฟ Daytime Running Lights ภายในโคม และชุดไฟเลี้ยวดีไซน์ใหม่เป็นเส้นเหนือชุดโคมไฟหลัก ส่วนด้านท้ายมากับไฟท้าย LED ที่ปรับปรุงรายละเอียดใหม่ให้ดูดีขึ้น เสริมด้วยสปอยเลอร์สีดำที่ลากยาวเชื่อมสองไฟท้ายเข้าด้วยกัน และแน่นอนว่ามีล้ออัลลอยลายใหม่  ภายในห้องโดยสารยังคงดีไซน์เดิม ติดตั้งชุดหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้วที่คราวนี้รองรับการเชื่อมต่อได้ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto หน้าจอยังรองรับการอัพเดทแผนที่นำทางแบบ over-the-air ทำให้ลูกค้ายุโรปสามารถใช้แผนที่เวอร์ชั่นล่าสุดได้ (ถ้ามาไทยไม่รู้จะได้แบบนี้หรือเปล่า)

  ตลาดไทยเป็นไปได้ว่าจะได้ 2 เครื่องยนต์เดิม ได้แก่
- เครื่องยนต์เบนซิน 2ZR-FBE 4 สูบแถวเรียง 1.8 ลิตร พละกำลัง 141 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 177 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT
- เครื่องยนต์เบนซิน 2ZR-FXE DOHC 4 สูบแถวเรียง Atkinson cycle  1.8 ลิตร พละกำลังสูงสุด 98 แรงม้าที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600 รอบ/นาที  ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 72 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 163 นิวตัน-เมตร แบตเตอรี่แบบนิกเกิลเมทัลไฮไดรต์ รวมกำลังทั้งระบบ 122 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ E-CVT คาดว่าการเปิดตัวอาจจะมีขึ้นราวๆปลายปีนี้ เพื่อหลีกทางให้ C-SUV คันใหม่เปิดตัวก่อน

Lexus
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทยปีนี้ : LC500 Convertible?
  ค่ายรถหรูในเครือ Toyota สำหรับปีที่ผ่านมา มีการเปิดตัวครอสโอเวอร์น้องใหม่อย่าง Lexus UX รวมทั้งมีการเปิดตัว Lexus RX Minor Change

  ในปีนี้นั้นถ้าพิจารณาจริงๆแล้วก็ไม่ทราบแน่ชัดเลยว่าทาง Lexus จะนำรุ่นไหนมาเปิดตัว เพราะหลายๆรุ่นก็เพิ่งเปิดตัวเจเนเรชั่นใหม่และรุ่น Minor Change ใหม่ไม่นานนี้ แต่ถ้าหากเป็นรุ่นที่คงไม่ค่อยมีคนซื้อมากนักก็พอจะมีอีก 1 รุ่นที่มีสิทธิ์เอามาแนะนำให้ลูกค้ากระเป๋าหนักจ่าย นั่นคือ Lexus LC500 Convertible ความแตกต่างจากรุ่นปกติแน่นอนคือรถคันนี้จะมากับหลังคาผ้าใบ 4 ชั้นออกแบบให้รับความต่อเนื่องบนเส้นสายตัวรถอย่างลื่นไหล สามารถเปิดหรือปิดด้วยระบบไฟฟ้าในเวลาประมาณ 15-16 วินาทีด้วยความเร็วสูงสุดที่ 50 กม./ชม. หลังคารถจะมีให้เลือก 2 สีคือ สีดำและสีเบจและถูกจับคู่กับสีตัวถังทั้งหมด 10 สี อีกจุดที่แตกต่างจากรุ่นหลังคาแข็งก็คือฝาท้ายที่มีการออกแบบใหม่เพื่อรองรับการเก็บหลังคาผ้าใบ

  พร้อมกันนี้ฝาท้ายรถยังมีไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED มาให้ด้วย ใช้เครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 5.0 ลิตรที่ให้กำลังพละกำลัง 478 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 539 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดที่ส่งกำลังไปยังล้อหลัง เอาเป็นว่ารอติดตามชมว่าจะเอาเข้ามาหรือเปล่า

Volvo
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทยปีนี้ : S60
   ในปีที่ผ่านมานั้นค่าย Volvo มีการแนะนำรถใหม่ช่วงปลายปีที่เป็นไฮไลต์เด็ดเลย นั่นคือ All-New Volvo V60 รถแวกอนสุดหรูในราคาเริ่มที่ 2,290,000 บาท

  โดยในปีนี้มีอีกหนึ่งรถใหม่ที่จะเปิดตัวตามมาต่อเนื่องจาก V60 ก็คือ Volvo S60 เวอร์ชั่นซีดาน 4 ประตูของตระกูล 60 เวอร์ชั่นไทยน่าจะทำตลาดภายใต้รหัส T8 Twin Engine AWD โดยมากับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ พร้อม Supercharged, Turbocharged และมอเตอร์ไฟฟ้า แรงม้าจากเครื่องยนต์จะอยู่ที่ 320 แรงม้า ที่ 5,700 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 87 แรงม้า รวมพละกำลังสูงสุดทั้งระบบ 407 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 640 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดพร้อม Geartronic แบตเตอรี่จะเป็นแบบลิเธียมไอออน 11.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง ระบบขับเคลื่อนจะเป็ยขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ AWD โดยระบบขับเเคลื่อนล้อหน้าจะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ ส่วนล้อหลังขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า คาดว่าราคาค่าตัวน่าจะอยู่ราวๆ 2 ล้านต้นๆ การเปิดตัวจะมีขึ้นช่วงต้นปีนี้อย่างแน่นอน

รถใหม่ในตลาดโลก (บางรุ่นมาไทยด้วย) : S90/V90 Minor Change
Volvo S90 ภาพจาก Motorauthority
ภาพจาก Motor1
ภาพจาก Motor1
   รถหรูเรือธงของค่ายอย่าง S90 และเวอร์ชั่นแวกอน V90 เตรียมที่จะปรับโฉมในเร็วๆนี้ จากภาพรถทดสอบจะเห็นว่า ภายนอกจะมีการปรับดีไซน์กันชนหน้าใหม่เล็กน้อย เพิ่ม Texture กระจังหน้า และปรับความสว่างไฟหน้า LED ให้เด่นชัดขึ้น ส่วนด้านท้ายจะมีการปรับรายละเอียดไฟท้ายใหม่ เครื่องยนต์เป็นไปได้ที่จะลดบทบาทเครื่องยนต์สันดาปภายในธรรมดาลง และอาจจะมีในรูปแบบของ Plug-In Hybrid และ Mild Hybrid แทน คาดว่าช่วงต้นปีถึงกลางปีนี้อาจมีการเปิดตัว ส่วนเมืองไทยก็รอติดตามได้หลังจากนั้น

Volkswagen
รถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในไทยปีนี้ : ยังไม่รู้ รู้แต่ว่าปีนี้อาจจะเปิดตัวตัวแทนจำหน่ายใหม่!
   เหตุที่ใส่ค่ายนี้กลับมาในบมความอีกครั้ง ก็เพราะว่ามีข่าวลือถึงการคัมแบ็กของการขายรถเก๋ง Volkswagen เชื่อว่าหลายคนคงเฝ้ารอคอยการทำตลาดรถเก๋งแบรนด์ Volkswagen ในไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ภายใต้บริษัท ไทยยานยนตร์ ในเครือยนตรกิจ ก่อนหน้านี้ก็เคยมีรถเก๋งขายหลากรุ่นจนสุดท้ายเหลือการจำหน่ายเพียงแค่รถตู้เพียงอย่างเดียว

   แต่ล่าสุดไม่นานนี้ก็มีข่าวว่า Volkswagen เตรียมกลับมาทำตลาดรถเก๋งอีกครั้ง แต่ไม่ได้ทำตลาดภายใต้ "ไทยยานยนตร์" แต่ผู้ที่คว้าสิทธิ์จำหน่ายรถเก๋งได้คือบริษัท AAS Auto Service โดยมีข่าวลือบริษัทแม่ VW AG เตรียมจรดปากกาแต่งตั้งบริษัทนี้ให้เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์นั่งของ Volkswagen ในไทย (หลายท่านน่าจะทราบดีว่าปัจจุบันบริษัทนี้เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Porsche และ Bentley) ซึ่งน่าจะบรรลุข้อตกลงกันได้ต้นปีนี้

  และด้วยการที่มีบริษัทแม่สนับสนุนอย่างเต็มที่น่าจะใช้เวลาในการปลุกปั้นแบรนด์ไม่นาน ดูอย่างแบรนด์ Audi ในไทยที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่ง AAS เองก็เคยมีประสบการณ์ในการขายรถระดับใกล้เคียงกันอย่าง Jaguar มาก่อน

   ถ้าหากข่าวนี้เป็นจริงก็น่าจะเป็นหนึ่งในข่าวที่เขย่าวงการยานยนต์ไทยไม่น้อย เราจะได้เห็นคู่แข่งใหม่ในกลุ่มรถหรูเพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องรอดูว่าเขาจะเอารถรุ่นไหนมาเปิดตลาดก่อน แต่ถ้าให้เดาก็คงหนีไม่พ้น VW Polo, Golf, Passat, Tiguan, Touareg เป็นต้น ยังไงก็ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด

ที่มาจากข่าวนี้ https://www.prachachat.net/motoring/news-406551

    และจบเป็นที่เรียบร้อยสำหรับข้อมูลรถรุ่นใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวภายในปี 2020 นี้ หวังว่าทุกท่านน่าจะเพลิดเพลินกับรถรุ่นใหม่ที่ผมพยายามรวบรวมมาให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกัน แน่นอนว่ากว่าจะพิมพ์ได้ขนาดนี้ก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือนเพราะมันค่อนข้างเยอะมากและต้องทำคนเดียว ไม่มีทีมงาน ไม่มีใครช่วย และก่อนจะจบ อย่างที่กล่าวตั้งแต่ย่อหน้าแรกๆว่าข้อมูลทั้งหมดอาจจะไม่ได้จริงหรือเป๊ะๆ 100% ฉะนั้นเหมือนที่เคยบอกในบทความทุกๆปีเลยว่า "จงเสพข่าวกันอย่างมีสติ" ครับ และพบกันบทความยาวๆแบบนี้ได้ใหม่"รวมรถใหม่ที่คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2021"

เรียบเรียงข้อมูลและเนื้อหาทั้งหมดโดย Car News Update 
ขอบคุณที่มาของเนื้อหารูปภาพและแหล่งข่าววงในทุกท่าน
อนุญาตให้นำเนื้อหาเหล่านี้ไปเผยแพร่ได้ไม่ว่ากัน แต่แนะนำว่าควรพิมพ์ในรูปแบบและสไตล์ของตัวเองโดยเฉพาะเว็บบางเว็บที่ชอบก๊อปข่าวไปลงในเว็บตัวเองซึ่งเพจหลายเพจทั้งเพจใหญ่เพจน้อยก็โดนกันมาเยอะ ซึ่งมีอยู่ครั้งหนึ่งผมโดนเว็บนี้เอาเนื้อหาทั้งดุ้นไปลง รูปแบบการเขียนรู้เลยว่าก๊อปปี้มาแก้คำนิดหน่อย และไม่มีการให้เครดิต ไม่มีคำขอโทษจากเว็บนั้น

ถ้าเนื้อหาเรื่องรถที่เปิดตัวเหมือนกันเราอันนี้ยังโอเคไม่ว่ากัน แต่ก๊อปทั้งประโยคทั้งย่อหน้าไปแก้นิดหน่อยมันไม่ใช่ โปรดเห็นใจคนที่อุตส่าห์นั่งพิมพ์นอนพิมพ์ด้วย กว่าจะทำเสร็จใช้เวลานาน แต่ตัวเองยกไปวางแล้วไม่ให้เครดิตคนทำเลย!!


ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวรถได้
ห้ามแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพนัน หรือสิ่งผิดกฎหมาย

Like Box