All-New Land Rover Defender จะสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มใหม่ล่าสุดชื่อ D7x ใหม่ Defender โดยจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้งในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า (ราวๆมีนาคม 2020) ใน Defender 110 รุ่นฐานล้อยาวจะมากับรูปแบบที่นั่งแบบ 5 + 2 ใน 4 รูปแบบการตกแต่งเสริมที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น Explorer, Adventure, Country และ Urban ส่วนรุ่นฐานล้อสั้น Defender 90 จะตามมาในภายหลัง
การออกแบบภายนอกยังคงรักษาดีไซน์ทรงกล่องแบบรุ่นเก่า แต่ได้พลิกการออกแบบใหม่หมดจดตั้งแต่หัวจรดท้ายให้สมกับรถยุคศตวรรษที่ 21 ภายนอกมากับโคมไฟหน้าทรงเหลี่ยมพร้อมรายละเอียดไฟทรงกลมแบบ LED ในโคม กันชนหน้ามีดีไซน์ที่ดูแข็งแกร่งบึกบึน เช่นเดียวกับด้านข้างที่มีกับซุ้มล้อทรงเหลี่ยม เส้นสายด้านข้างที่ดูเหลี่ยมแต่ร่วมสมัยแบบรถยุคนี้ ต่อเนื่องไปถึงด้านท้ายที่มากับไฟท้ายแบบ LED ที่วางในแนวตั้ง พร้อมทั้งล้ออะไหล่ที่ติดตั้งมาให้ท้ายรถ
ทางด้านล้ออัลลอย ทาง Land Rover มีทางเลือกให้มากถึง 12 รูปแบบ ตั้งแต่ล้อกระทะเหล็กสีขาวขนาด 18 นิ้วจนถึงล้ออัลลอย 5 ก้านขนาด 22 นิ้ว สีภายนอกประกอบด้วยเฉดสีเมทัลลิกใหม่ 3 สีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของ Defender ได้แก่ สีฟ้า Tasman Blue, สีเขียว Pangea Green และ สีเงิน Gondwana Stone) และยังมีสีขาว Fuji White, สีเทา Eiger Grey, สีดำ Santorini Black และสีเงิน Indus Silver อีกด้วย
ภายในห้องโดยสารเป็นอีกหนึ่งจุดที่มีวิวัฒนาการจากรุ่นเก่าค่อนข้างมากทีเดียว โดยมีดีไซน์ที่ล้ำสมัยมากขึ้น เข้ามาก็จะพบกับชุดหน้าปัดแบบดิจิตอล หน้าจอสัมผัสตรงกลางแดชบอร์ด รวมทั้งจอแสดงผล head-up display ที่ทำงานภายใต้ระบบปฏิบัติการ Land Rover Electronic Vehicle Architecture (EVA 2.0) ซึ่งยังรองรับการอัปเดตระบบแบบไร้สาย Software-Over-The-Air (SOTA) อีกด้วย ภายในยังออกแบบให้มีปุ่มควบคุมต่างๆให้น้อยที่สุดเพื่อเน้นการสั่งการผ่านทางจอสัมผัสแทน นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถสั่งออปชั่นเบาะนั่งตรงกลางแถวหน้าหรือ Jump Seat ได้ใน Defender 110 แต่จะได้เป็นมาตรฐานในรุ่น First Edition Defender 90
ซึ่งที่กล่าวมานั้นจะส่งผลให้แถวหน้านั้นนั่งได้ 3 คน ซึ่งหมายความว่า Defender 110 จะสามารถมีที่นั่งได้ทั้งหมด 5 ที่นั่ง ,6 ที่นั่ง หรือ 5+2 ที่นั่ง ในขณะที่ Defender 90 จะสามารถรองรับได้ 6 ที่นั่ง เมื่อไม่ได้ใช้งาเบาะดังกล่าวสามารถพับลงได้เพื่อใช้เป็นที่วางแขน ที่วางของ รวมทั้งที่วางแก้ว 2 ตำแหน่ง นอกจากนี้ Defender 90 จะเสนอออปชั่นหลังคาผ้าแบบพับได้แบบเต็มผืนเอาใจคนอยากเปิดหลังคารับลม
ลูกค้ายังสามารถเลือกการตกแต่งโทนสีภายในได้ 3 แบบที่แตกต่างกัน ตัวเลือกการตกแต่งก็จะมีผ้าแบบ Resolve เป็นมาตรฐานในขณะที่ตัวถัดขึ้นไป "S" และ "SE" จะตกแต่งด้วยหนัง Grained ผสมกับผ้าทอ Robust ชนิดทนทานซึ่งมีเส้นใย Decitex ซึ่งมีความแข็งแรงและไม่สึกหรอง่าย
ในขณะที่เกรด "HSE" จะใช้หนังคุณภาพสูงแบบวินด์เซอร์ และเกรด Defender X จะใช้หนังคุณภาพสูงแบบวินด์เซอร์หนังพร้อมกับ Steelcut Premium Textile Accent เพื่อความทนทานที่มากขึ้น นอกจากนี้ยังมี Trim การตกแต่งด้วยวัสดุวีเนียร์และให้เลือกมากมายไม่ว่าจะเป็นไม้วอลนัทผิวหยาบหรือผิวไม้โอ๊คสีธรรมชาติ
และแน่นอนความสามารถในด้านออฟโรดนั้น Defender โฉมใหม่ก็ทำดีไม่แพ้รุ่นเก่าหรือรุ่นอื่นในไลน์อัพของ Land Rover เลย ด้วยแพลตฟอร์ม D7x ที่ทำจากอะลูมิเนียมทั้งหมด ทำให้มีรถมีระยะห่างจากพื้นดิน 291 มิลลิเมตร มีมุมปะทะที่ 38 องศา มุมคร่อม 28 องศา และมุมจาก 40 องศา (ในระดับความสูงออฟโรดโดยถอดฝาปิดจุดพ่วงใต้ท้องรถ) โดย Defender 110 รองรับการลุยที่ระดับความลึกสูงสุดที่ 900 มิลลิเมตร
โครงสร้าง monocoque แบบอลูมิเนียมทั้งหมดที่มีน้ำหนักเบาของแพลตฟอร์ม D7x ใหม่ยังส่งผลให้ตัวถัง All-New Land Rover Defender แข็งที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา เพิ่มความแข็งแกร่งกว่าการออกแบบตัวถังดั้งเดิมถึง 3 เท่า อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความสามารถในการลากจูงด้วยโดยมีความสามารถในการลากจูงสูงสุด 3,720 กิโลกรัม
Defender โฉมใหม่ยังเป็นรถรุ่นแรกที่มากับระบบ Configurable Terrain Response ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยให้ผู้ขับขี่ปรับแต่งการตั้งค่ารถให้เหมาะสมกับสภาพการขับขี่แบบออฟโรด เทคโนโลยีออฟโรดที่มีมาให้จะประกอบด้วย Center Slip Limited (หรือระบบ Center and Rear Slip Limited เป็นออปชั่นเสริม) ที่สามารถเปิดใช้งานได้โดยใช้ควบคุมผ่านหน้าจอสัมผัสส่วนกลาง, ระบบการลุยน้ำลึก Wade Sensing, ระบบควบคุมความเร็วตามสภาพถนนLand Rover All-Terrain Progress Control และ ระบบกล้อง ClearSight Ground View
นอกจากนี้ Defender โฉมใหม่ยังมีตัวเลือกการตั้งค่า 3 แบบสำหรับการตอบสนองคันเร่งและเกียร์ การควบคุมพวงมาลัยและการยึดเกาะถนนอีกด้วย
ทางด้านขุมพลังนั้น ในสหรัฐอเมริกาลูกค้าจะมีทางเลือกเครื่องยนต์ 2 แบบ ได้แก่
- รุ่น P300 เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุด 300 แรงม้า (PS) ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 8.1 วินาที
- รุ่น P400 เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร 6 สูบแถวเรียงกับเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ twin-scroll และระบบ Mild-Hybrid Electric Vehicle (MHEV) ไฟฟ้า 48 โวลต์ที่มากับพละกำลังสูงสุด 400 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.ได้ในเวลา 6.1 วินาที) เครื่องยนต์ทั้งสองส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีด
สำหรับยุโรปและตลาดอื่น ๆ จะมีทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรพละกำลัง 2 ระดับได้แก่ 200 แรงม้า (PS) ในรุ่น D200 และ 240 แรงม้า (PS) ใน D240 ส่วนขุมพลังแบบ Plug-In Hybrid จะตามมาในช่วงปีหน้า
ระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่ติดตั้งจะระบบด้วย ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันและเตือนภัยก่อนการชนด้านหลัง Adaptive Cruise Control and Rear Pre-Collision Monitor, ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง Rear Traffic Monitor, เตือนผู้โดยสารด้านหลังเมื่อเปิดประตูหลังขณะอยู่ในการจราจร Clear Exit Monitor, ระบบเบรกฉุกเฉิน Emergency Braking, ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในเลน Lane Keep Assist, ระบบจดจำป้ายจราจร Traffic Sign Recognition, ระบบเตือนผู้ขับขี่เมื่อเกิดความเมื่อยล้า Driver Condition Monitor และเซ็นเซอร์ช่วยจอดรถที่ด้านหน้าและด้านหลัง
All-New Land Rover Defender มีทั้งหมด 6 เกรด ได้แก่ Defender, Defender S, Defender SE, Defender HSE, Defender X และ Defender First Edition ราคาเริ่มต้นในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 49,900 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,517,000 บาทไทย) สำหรับ Defender 110 P300 และเริ่มที่ 45,240 ปอนด์ (ประมาณ 1,699,000 บาท) ในสหราชอาณาจักรสำหรับ Defender 110 D200 ส่วน Defender 90 คาดว่าจะเริ่มต้นที่ประมาณ 40,000 ปอนด์ (ประมาณ 1,503,000 บาท)
ทางด้านล้ออัลลอย ทาง Land Rover มีทางเลือกให้มากถึง 12 รูปแบบ ตั้งแต่ล้อกระทะเหล็กสีขาวขนาด 18 นิ้วจนถึงล้ออัลลอย 5 ก้านขนาด 22 นิ้ว สีภายนอกประกอบด้วยเฉดสีเมทัลลิกใหม่ 3 สีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของ Defender ได้แก่ สีฟ้า Tasman Blue, สีเขียว Pangea Green และ สีเงิน Gondwana Stone) และยังมีสีขาว Fuji White, สีเทา Eiger Grey, สีดำ Santorini Black และสีเงิน Indus Silver อีกด้วย
ซึ่งที่กล่าวมานั้นจะส่งผลให้แถวหน้านั้นนั่งได้ 3 คน ซึ่งหมายความว่า Defender 110 จะสามารถมีที่นั่งได้ทั้งหมด 5 ที่นั่ง ,6 ที่นั่ง หรือ 5+2 ที่นั่ง ในขณะที่ Defender 90 จะสามารถรองรับได้ 6 ที่นั่ง เมื่อไม่ได้ใช้งาเบาะดังกล่าวสามารถพับลงได้เพื่อใช้เป็นที่วางแขน ที่วางของ รวมทั้งที่วางแก้ว 2 ตำแหน่ง นอกจากนี้ Defender 90 จะเสนอออปชั่นหลังคาผ้าแบบพับได้แบบเต็มผืนเอาใจคนอยากเปิดหลังคารับลม
ลูกค้ายังสามารถเลือกการตกแต่งโทนสีภายในได้ 3 แบบที่แตกต่างกัน ตัวเลือกการตกแต่งก็จะมีผ้าแบบ Resolve เป็นมาตรฐานในขณะที่ตัวถัดขึ้นไป "S" และ "SE" จะตกแต่งด้วยหนัง Grained ผสมกับผ้าทอ Robust ชนิดทนทานซึ่งมีเส้นใย Decitex ซึ่งมีความแข็งแรงและไม่สึกหรอง่าย
ในขณะที่เกรด "HSE" จะใช้หนังคุณภาพสูงแบบวินด์เซอร์ และเกรด Defender X จะใช้หนังคุณภาพสูงแบบวินด์เซอร์หนังพร้อมกับ Steelcut Premium Textile Accent เพื่อความทนทานที่มากขึ้น นอกจากนี้ยังมี Trim การตกแต่งด้วยวัสดุวีเนียร์และให้เลือกมากมายไม่ว่าจะเป็นไม้วอลนัทผิวหยาบหรือผิวไม้โอ๊คสีธรรมชาติ
และแน่นอนความสามารถในด้านออฟโรดนั้น Defender โฉมใหม่ก็ทำดีไม่แพ้รุ่นเก่าหรือรุ่นอื่นในไลน์อัพของ Land Rover เลย ด้วยแพลตฟอร์ม D7x ที่ทำจากอะลูมิเนียมทั้งหมด ทำให้มีรถมีระยะห่างจากพื้นดิน 291 มิลลิเมตร มีมุมปะทะที่ 38 องศา มุมคร่อม 28 องศา และมุมจาก 40 องศา (ในระดับความสูงออฟโรดโดยถอดฝาปิดจุดพ่วงใต้ท้องรถ) โดย Defender 110 รองรับการลุยที่ระดับความลึกสูงสุดที่ 900 มิลลิเมตร
โครงสร้าง monocoque แบบอลูมิเนียมทั้งหมดที่มีน้ำหนักเบาของแพลตฟอร์ม D7x ใหม่ยังส่งผลให้ตัวถัง All-New Land Rover Defender แข็งที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา เพิ่มความแข็งแกร่งกว่าการออกแบบตัวถังดั้งเดิมถึง 3 เท่า อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความสามารถในการลากจูงด้วยโดยมีความสามารถในการลากจูงสูงสุด 3,720 กิโลกรัม
Defender โฉมใหม่ยังเป็นรถรุ่นแรกที่มากับระบบ Configurable Terrain Response ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยให้ผู้ขับขี่ปรับแต่งการตั้งค่ารถให้เหมาะสมกับสภาพการขับขี่แบบออฟโรด เทคโนโลยีออฟโรดที่มีมาให้จะประกอบด้วย Center Slip Limited (หรือระบบ Center and Rear Slip Limited เป็นออปชั่นเสริม) ที่สามารถเปิดใช้งานได้โดยใช้ควบคุมผ่านหน้าจอสัมผัสส่วนกลาง, ระบบการลุยน้ำลึก Wade Sensing, ระบบควบคุมความเร็วตามสภาพถนนLand Rover All-Terrain Progress Control และ ระบบกล้อง ClearSight Ground View
นอกจากนี้ Defender โฉมใหม่ยังมีตัวเลือกการตั้งค่า 3 แบบสำหรับการตอบสนองคันเร่งและเกียร์ การควบคุมพวงมาลัยและการยึดเกาะถนนอีกด้วย
ทางด้านขุมพลังนั้น ในสหรัฐอเมริกาลูกค้าจะมีทางเลือกเครื่องยนต์ 2 แบบ ได้แก่
- รุ่น P300 เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุด 300 แรงม้า (PS) ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 8.1 วินาที
- รุ่น P400 เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร 6 สูบแถวเรียงกับเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ twin-scroll และระบบ Mild-Hybrid Electric Vehicle (MHEV) ไฟฟ้า 48 โวลต์ที่มากับพละกำลังสูงสุด 400 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.ได้ในเวลา 6.1 วินาที) เครื่องยนต์ทั้งสองส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีด
สำหรับยุโรปและตลาดอื่น ๆ จะมีทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรพละกำลัง 2 ระดับได้แก่ 200 แรงม้า (PS) ในรุ่น D200 และ 240 แรงม้า (PS) ใน D240 ส่วนขุมพลังแบบ Plug-In Hybrid จะตามมาในช่วงปีหน้า
ระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่ติดตั้งจะระบบด้วย ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันและเตือนภัยก่อนการชนด้านหลัง Adaptive Cruise Control and Rear Pre-Collision Monitor, ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง Rear Traffic Monitor, เตือนผู้โดยสารด้านหลังเมื่อเปิดประตูหลังขณะอยู่ในการจราจร Clear Exit Monitor, ระบบเบรกฉุกเฉิน Emergency Braking, ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในเลน Lane Keep Assist, ระบบจดจำป้ายจราจร Traffic Sign Recognition, ระบบเตือนผู้ขับขี่เมื่อเกิดความเมื่อยล้า Driver Condition Monitor และเซ็นเซอร์ช่วยจอดรถที่ด้านหน้าและด้านหลัง
All-New Land Rover Defender มีทั้งหมด 6 เกรด ได้แก่ Defender, Defender S, Defender SE, Defender HSE, Defender X และ Defender First Edition ราคาเริ่มต้นในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 49,900 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,517,000 บาทไทย) สำหรับ Defender 110 P300 และเริ่มที่ 45,240 ปอนด์ (ประมาณ 1,699,000 บาท) ในสหราชอาณาจักรสำหรับ Defender 110 D200 ส่วน Defender 90 คาดว่าจะเริ่มต้นที่ประมาณ 40,000 ปอนด์ (ประมาณ 1,503,000 บาท)
ที่มา Carscoops
ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของข่าวสารยานยนต์ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวรถได้
ห้ามแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพนัน หรือสิ่งผิดกฎหมาย