ดีไซน์ภายนอกไม่ได้มีความแตกต่างจากเมืองไทยมากเท่าไหร่นัก สำหรับเกรด F L XL จะมีดีไซน์ภายนอกที่เหมือนเกรด S V V+ ของเมืองไทย ตำแหน่งไฟ Daytime Running Lights (DRL) แบบ LED จะมีกรอบโครเมียมเสริมเข้ามาให้ด้วย และยังมีไฟหน้าแบบ LED ให้มาตั้งแต่เกรด L แล้ว
ส่วนเกรด S และ RS จะมีดีไซน์ที่สปอร์ตขึ้น ซึ่งก็จะคล้ายกับรุ่น RS และ RS+ บ้านเรา ดีไซน์กระจังหน้าจะแตกต่างจากบ้านเราเล็กน้อย รวมทั้งกันชนหน้าและกรอบไฟตัดหมอก LED มีการเสริมโครเมียมมาให้ จุดเด่นสำคัญของเกรดรุ่นนี้คงจะเป็นไฟท้ายแบบ LED สไตล์ใหม่ที่ออกแบบให้แตกต่างจากไฟท้ายเดิม กันชนท้ายใหม่มีแผงทับทิมด้านหลังมาให้ด้วย
สำหรับล้อนั้น ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้วรวมทั้งฝาครอบล้อได้รับการออกแบบใหม่ และล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้วยังใช้ลายเดิมแต่พ่นสีเข้มขึ้นเหมือนเมืองไทยเลย ตลาดญี่ปุ่นยังมีทางเลือกสีใหม่ ได้แก่ สีม่วงแดง Rouge Amethyst Metallic, สีฟ้า Sky Ride Blue Metallic, สีเหลือง Premium Yellow Pearl II, สีเงิน Lunar Silver Metallic และสีเทา Shining Grey Metallic
ภายในห้องโดยสารยังคงการออกแบบเดิมแต่มีการตกแต่งภายในไม่เหมือนกับเมืองไทยโดยเฉพาะรุ่น Hybrid ที่มีการใช้หนังสีน้ำตาลตกแต่งรอบคันรถ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณพวงมาลัย เบาะนั่งและแฝงประตู นอกจากนี้ยังมีออปชั่นหน้าจอสัมผัสพร้อมระบบนำทาง รองรับการเชื่อมต่ Apple CarPlay และ Android Auto
เครื่องยนต์ในตลาดญี่ปุ่นมีให้เลือกทั้งเบนซินธรรมดาและไฮบริด และมีระบบขับเคลื่อนให้เลือกทั้งแบบขับหน้าและขับเคลื่อนสี่ล้อ ซึ่งก็จะมีเครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร Atkinson-cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ มากับพละกำลัง 100 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 119 นิวตันเมตรที่ 5,000 รอบ/นาที อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยในโหมด JC08 ของญี่ปุ่นอยู่ที่ 24.6 กม./ลิตร
อีกเครื่องยนต์คือเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตรพร้อมระบบหัวฉีด direct injection มากับพละกำลัง 132 แรงม้าที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 155 นิวตันเมตรที่ 4,600 รอบ/นาที อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่ 22.2 กม./ลิตร
และขุมพลังไฮบริดที่มากับเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร พละกำลัง 110 แรงม้า พร้อมแรงบิด 130 นิวตัน-เมตร และมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 30 แรงม้า แรงบิด 160 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติดูอัลคลัตซ์ 7 สปีด เมื่อรวมกำลังกับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจะได้พละกำลัง 137 แรงม้าพร้อมแรงบิดสูงสุด 170 นิวตัน-เมตร มากับอัตราสิ้นเปลือง 37.2 กม./ลิตร มากกว่ารุ่นก่อนที่ทำได้ 36.4 กม./ลิตร นอกจากนี้ระบบไฮบริดยังมีการปรับปรุงให้มีอัตราเร่งที่สมูทขึ้นและมีความทนทานมากขึ้นด้วย
ทางด้านระบบความปลอดภัย ค่ายได้แนะนำระบบ Honda Sensing ซึ่งก็จะมีระบบ Adaptive Cruise Control (ACC), ระบบเตือนการชนด้านหน้าและตรวจจับคนเดินถนนด้วยกล้องและเรดาร์พร้อมระบบช่วย
ราคาค่าตัวของ Honda Fit Minor Change ในญี่ปุ่นมีดังนี้
รุ่นเครื่องยนต์ 1.3 ลิตร
- 13G F ราคาเริ่มต้นที่ 1,428,840 เยน หรือประมาณ 434,000 บาทไทย
* รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 1,623,240 เยน หรือประมาณ 493,000 บาท
- 13G L (มี Honda Sensing มาให้) ราคาเริ่มต้นที่ 1,653,480 เยน หรือประมาณ 502,000 บาทไทย
* รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 1,847,880 เยน หรือประมาณ 561,000 บาท
- 13G S (มี Honda Sensing มาให้) ราคาเริ่มต้นที่ 1,790,640 เยน หรือประมาณ 544,000 บาทไทย
* รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 1,985,040 เยน หรือประมาณ 603,000 บาท
รุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร
- 15G XL (มี Honda Sensing มาให้) ราคาเริ่มต้นที่ 1,853,280 เยน หรือประมาณ 563,000 บาทไทย
* รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 2,015,280 เยน หรือประมาณ 612,000 บาท
- 15 RS (มี Honda Sensing มาให้) ราคาเริ่มต้นที่ 2,050,920 เยน หรือประมาณ 623,000 บาทไทย
รุ่นเครื่องยนต์ Hybrid
- Hybrid ราคาเริ่มต้นที่ 1,699,920 เยน หรือประมาณ 516,000 บาทไทย
* รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 1,894,320 เยน หรือประมาณ 575,000 บาท
- Hybrid F ราคาเริ่มต้นที่ 1,815,480 เยน หรือประมาณ 551,000 บาทไทย
* รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 2,009,880 เยน หรือประมาณ 610,000 บาท
- Hybrid L (มี Honda Sensing มาให้) ราคาเริ่มต้นที่ 2,079,000 เยน หรือประมาณ 631,000 บาทไทย
* รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 2,241,000 เยน หรือประมาณ 680,000 บาท
- Hybrid S (มี Honda Sensing มาให้)ราคาเริ่มต้นที่ 2,205,360 เยน หรือประมาณ 670,000 บาทไทย
* รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 2,367,360 เยน หรือประมาณ 719,000 บาท
ที่มา Honda JP / Paultan
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวรถได้
ห้ามแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพนัน หรือสิ่งผิดกฎหมาย