นายฮิเดสึเกะ ทาเกสึเอะ ประธานบริหาร มาสด้า เซลล์ ประเทศไทย กล่าวว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับมาสด้านั้น มาจากความมุ่งมั่นทุ่มเทอย่างจริงจังในการนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดประเทศไทย ในปีนี้มาสด้าเตรียมเปิดตัวรถใหม่อีก 7 รุ่น และยังมีเป้าหมายคือ ครองส่วนแบ่งทางการตลาดให้ได้ 5.5% ซึ่งเป็นเป้าที่สูงที่สุดที่เคยมีมา ตั้งเป้ายอดขายรวมปีนี้ 44,000 คัน เพิ่มขึ้น 10% ในขณะที่เดือนมกราคมปี 2559 นี้ ยอดขายมาสด้ายังคงร้อนแรง พุ่งสูงถึง 3,491 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 27% ครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดถึง 7% ส่งผลให้วันนี้มาสด้าสามารถจำหน่ายรถยนต์ภายใต้เทคโนโลยีสกายแอคทีฟทุกรุ่นไปแล้วมากกว่า 52,000 คัน" ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องนี้ ถือเป็นอีกบทพิสูจน์ความแข็งแกร่ง มาสด้าเชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ คือนวัตกรรมที่ดีที่สุดของโลกยานยนต์ในปัจจุบัน ที่จะสามารถตอบสนองทุกความต้องการของผู้ขับได้อย่างแท้จริง ซึ่งมาสด้าก็ได้นำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใส่ไว้ในรถอเนกประสงค์เอสยูวี CX-5 ใหม่ จนกลายเป็นรถยนต์เพียงรุ่นเดียวที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยี และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่มากที่สุดในคลาส ถือเป็นผู้นำและสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการถยนต์เมืองไทย
นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กล่าวว่า การเปิดตัว New Mazda CX-5 ในครั้งนี้ จะเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดรถอเนกประสงค์ ด้วยรูปลักษณ์ความเป็นสปอร์ต อุปกรณ์อำนวยความสะดวก และอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยต่างๆ ที่ไม่เคยมีในรถยนต์ประเภทนี้ และการเปิดตัวมาสด้า CX-5 ใหม่ในวันนี้ ถือเป็นรุ่นที่หลอมรวมทุกองค์ประกอบเด่นๆ ซึ่งประกอบด้วย เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ, รูปลักษณ์ที่ถูกออกแบบได้อย่างงดงามโดยโคโดะ ดีไซน์, ลงตัวทุกช่องการติดต่อสื่อสารด้วยระบบ MZD Connect อันเป็นเอกลักษณ์ของสายพันธุ์มาสด้า พร้อมแนวคิดใหม่ "Achievement in Control ทุกความสำเร็จ...คุณควบคุมได้" ให้คุณได้ขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จในทุกมิติด้วยคำจำกัดความที่คุณกำหนดเองได้
ภายนอกของรถมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ไฟหน้าชุดใหม่แบบโปรเจคเตอร์ LED ปรับระดับสูงต่ำอัตโนมัติทำให้ตัวรถดูดีขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนกระจังหน้าใหม่จากเดิมเป็นลายรังผึ้ง กลายเป็นลายเส้นตรง นอกจากนี้แล้วยังมีการปรับรายละเอียดบริเวณกรอบไฟตัดหมอกใหม่เป็นแบบ LED ส่วนด้านท้ายนั้นมีการเปลี่ยนโคมไฟท้ายแบบ LED ส่วนล้ออัลลอยของรถยังคงลายเดิมที่มีขนาด 17 และ 19 นิ้วตามแต่ละรุ่นย่อย
ภายในห้องโดยสารมีการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างชัดเจนสุดๆ ทุกรุ่นจะได้หน้าจอสี Center Display แบบสัมผัส พร้อมปุ่มควบคุม Center Commander และที่สำคัญคือระบบอินโฟเทนเมนต์ MZD Connect ที่เชื่อมต่อได้หลากหลาย ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่านบลูทูธ (Bluetooth) ระบบสั่งการด้วยเสียง (Voice Recognition) ช่องต่อ USB AUX ส่วนเครื่องเล่น DVD กับระบบนำทางจะมีให้เฉพาะรุ่นท็อปเท่านั้น และในรุ่นท็อปสุดยังสามารถเต็มอิ่มความบันเทิงได้กับระบบเสียง BOSE รอบทิศทาง พร้อมลำโพง 9 ตำแหน่ง
สำหรับขุมพลังของรถ คราวนี้ Mazda ได้ตัดตัวเลือกเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตรออกไป เหลือแค่เครื่องยนต์ 2 แบบ ได้แก่
- เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน 2.0 ลิตร พร้อมระบบวาล์วแปรผันคู่อัจฉริยะ Dual-S-VT ให้กำลัง 165 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ/นาที ประหยัดน้ำมันถึง 14.5 กม./ลิตร และรองรับน้ำมัน E85
- เครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล 2.2 ลิตร เทอร์โบชาร์จเจอร์แบบสองขั้น และอินเตอร์คูลเลอร์ ระบบวาล์วไอเสียแปรผัน VVL (Variable Valve Lift) ให้กำลัง 175 แรงม้าที่ 4,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตัน-เมตรที่ 2,000 รอบ/นาที ประหยัดน้ำมันถึง 17.5 กม./ลิตร และผ่านมาตรฐานข้อบังคับมลพิษ EURO6
สำหรับระบบความปลอดภัยของรถนั้น คราวนี้ทาง Mazda ได้ติดตั้งระบบความปลอดภัยมาให้มากมายตั้งแต่รุ่นล่างๆกันเลยทีเดียว โดยทุกรุ่นจะได้ระบบความปลอดภัยดังนี้
- ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ABSM (Advanced Blind Spot Monitoring)
- ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
- ระบบป้องกันล้อล็อก 4W-ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD
- ระบบควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ DSC (Dynamic Stability Control)
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
- ระบบช่วยออกตัวของรถขณะอยู่บนทางลาดชัน HLA (Hill Launch Assist)
- ระบบควบคุมเกียร์ AAS (Active Adaptive Shift)
- ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินเตือนอัตโนมัติ เมื่อเบรกกะทันหัน ESS (Emergency Signal System)
- ระบบเตือนแรงดันลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitoring System)
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
- ระบบช่วยออกตัวของรถขณะอยู่บนทางลาดชัน HLA (Hill Launch Assist)
- ระบบควบคุมเกียร์ AAS (Active Adaptive Shift)
- ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินเตือนอัตโนมัติ เมื่อเบรกกะทันหัน ESS (Emergency Signal System)
- ระบบเตือนแรงดันลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitoring System)
- กล้องมองหลัง
- ระบบเบรกมือไฟฟ้า
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย รวม 6 ตำแหน่ง
- ระบบเบรกมือไฟฟ้า
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย รวม 6 ตำแหน่ง
ส่วนระบบความปลอดภัยที่มีเฉพาะบางรุ่นย่อยก็จะมี
- ระบบเซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้า 4 จุด และด้านหลัง 4 จุด (รุ่น 2.0 S ขึ้นไป)
- ระบบล็อค และปลดล็อคประตูอัตโนมัติ (รุ่น 2.0 S ขึ้นไป)- ระบบปรับมุมลำแสงไฟหน้าอัตโนมัติตามการเลี้ยวของรถ AFS (Adaptive Front-lighting System) (รุ่น 2.0 S และ 2.2 XD)
และระบบความปลอดภัยที่มีเฉพาะรุ่นท็อป 2.2 XDL 4WD ได้แก่
- ระบบปรับไฟหน้า LED อัจฉริยะ ALH (Adaptive LED Headlamps)
- ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน LDWS (Lane Departure Warning System)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LAS (Lane-keep Assist System)
- ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติ SCBS (Smart City Brake Support)
- ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง SCBS-R (Smart City Brake Support-Reverse)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ DAA (Driver Attention Alert)
Mazda CX-5 Minor Change มีสีตัวถังให้เลือก 5 สีด้วยกัน ได้แก่ ฟ้า Blue Reflex ซึ่งเคยเป็นรุ่นสีพิเศษใน Motor Expo 2015, สีเงิน Aluminum Metallic, สีดำ Jet Black, สีเทา Meteor Gray Mica และสีใหม่ ขาว White Arctic แบ่งการจำหน่ายออกเป็น 4 รุ่นย่อย
- รุ่น 2.0 C ราคา 1,220,000 บาท (เพิ่มจากเดิม 20,000 บาท)
- รุ่น 2.0 S ราคา 1,330,000 บาท (เพิ่มจากเดิม 30,000 บาท)
- รุ่น 2.2 XD ราคา 1,530,000 บาท (รุ่นย่อยใหม่)
- รุ่น 2.2 XDL 4WD ราคา 1,690,000 บาท (เพิ่มจากเดิม 30,000 บาท)
มาร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่นี่ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวรถได้
ห้ามแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพนัน หรือสิ่งผิดกฎหมาย