การเปลี่ยนแปลงภายนอกที่เห็นชัดเจนก็คือ โคมไฟหน้าทรงใหม่แบบ Multibeam LED ซึ่งมีให้เลือกเป็นออปชั่นเสริม ไฟหน้าใหม่ที่ดูเพรียวขึ้นทำให้กระจังหน้าของรถดูใหญ่และโดดเด่นกว่าเดิม ในส่วนของกันชนหน้าก็มีการออกแบบใหม่ให้ดูทันสมัยขึ้น มีการเสริมโครเมียมเพิ่มความหรูหรา ยิ่งในรุ่น Maybach จะเสริมโครเมียมมากกว่ารุ่นปกติ รุ่น AMG ก็จะออกแบบกันชนหน้าให้ดูเท่และดุดันซึ่งแอบคล้ายคลึงกับรุ่นน้อง E-Class
ต่อเนื่องจนถึงด้านท้ายจะมีการปรับปรุงรายละเอียดกันชนท้ายใหม่ ออกแบบรายละเอียดโคมไฟท้ายใหม่ให้ดูทันสมัยขึ้น โดยเป็นไฟท้ายแบบ LED 3 เส้นสวยงาม นอกจากนี้ยังมีล้ออัลลอยลายใหม่ที่มีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 17 จนไปถึง 20 นิ้วเลย
ภายในห้องโดยสารมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนก็คือจอแสดงผลความละเอียดสูงแบบดิจิตอล 12.3 นิ้ว ที่แบ่งเป็น 2 จอด้วยกัน มีการออกแบบจอใหม่ให้เหมือนรุ่นน้อง E-Class ที่เปิดตัวไป พวงมาลัยออกแบบทรงใหม่ที่มาพร้อมระบบมัลติฟังก์ชันแบบสัมผัส ควบคุมโดยการกวาดนิ้วเหมือนจิ้มสมาร์ทโฟน ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมระบบอินโฟเทนเมนต์โดยไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย การตกแต่งภายในห้องโดยสารได้มีการออกแบบการตัดเย็บหนังบุนุ่มรอบคันให้ดูน่ามองมากยิ่งขึ้น รวมทั้งมีการใช้โทนสีใหม่ๆในการตกแต่งห้องโดยสาร
และนอกจากระบบนวด ENERGIZING Comfort Control ใน S-Class แล้ว ยังมีการนำเสนอฟังก์ชันใหม่ซึ่งเป็นครั้งแรกของโลกในรถระดับเดียวกัน ซึ่งจะผสานความสะดวกสบายเข้าไว้ด้วยกันโดยมีระบบปรับอากาศ เบาะนั่ง ระบบปรับอุ่น แสงไฟในห้องโดยสารและบรรยากาศเสียงดนตรี โดยระบบเหล่านี้จะตั้งค่าร่วมกันให้เหมาะสมกับอารมณ์และความต้องการของผู้ขับขี่รถ ผู้ขับขี่สามารถเลือกโปรแกรมนี้ได้ 6 แบบด้วยกัน ได้แก่ Freshness, Warmth, Vitality, Joy, Comfort และ Training ในส่วนระบบหลังสุด Training สามารถแยกย่อยออกไปอีกเป็น การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การกระตุ้นกล้ามเนื้อ และความสมดุลของร่างกาย โดยระบบจะใช้เวลาคำนวณเป็นเวลา 10 นาที และจะแสดงผลผ่านหน้าจอสี
Mercedes-Maybach |
สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลจะมีรุ่น S350d 4Matic ความจุ 3.0 ลิตร V6 มากับพละกำลัง 286 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตัน-เมตร อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่ 18.18 กม./ลิตร มีค่าการปล่อยไอเสีย CO2 อยู่ที่ 145 กรัม/กม. ตามด้วยรุ่น S400d 4Matic มากับความจุเครื่องยนต์เท่ากัน แต่มากับพละกำลัง 340 แรงม้า พร้อมแรงบิด 700 นิวตัน-เมตร อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่ 17.86 กม./ลิตร มีค่าการปล่อยไอเสีย CO2 อยู่ที่ 147 กรัม/กม. โดยทั้งสองเครื่องยนต์ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับกฎหมายการปล่อยมลพิษในอนาคต (RDE - Real Driving Emissions) อีกด้วย
นอกจากนี้ Mercedes-Benz ยังมีเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ และ Plug-In Hybrid ที่มีระยะทางวิ่งด้วยระบบไฟฟ้า 50 กิโลเมตรรอเปิดตัวในอนาคตด้วย
Mercedes-Benz S-Class ใหม่ได้ยกระดับระบบช่วยเหลือการขับขี่ให้ก้าวเข้าสู่การขับขี่กึ่งอัตโนมัติมากขึ้น โดยมีระบบช่วยเหลือการขับขี่หลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วยลดความเร็วเพื่อไม่ให้ประชิดรถคันหน้า DISTRONIC Active Proximity Assist,ระบบช่วยควบคุมพวงมาลัย Active Steer Assist, ระบบช่วยควบคุมการเปลี่ยนเลน Active Lane Change Assist, ระบบช่วยเหลือเหตุฉุกเฉินและ ระบบเตือนด้วยป้ายจราจรTraffic Sign Assist นอกจากนี้เจ้าของ S-Class ใหม่จะสามารถใช้ฟังก์ชัน Remote Parking Assist เพื่อนำรถไปจอดในพื้นที่จำกัด หรือจอดในโรงรถ โดยควบคุมผ่านทางสมาร์ทโฟนได้
นอกเหนือจากนั้นแล้ว S-Class ใหม่ยังมีฟังก์ชันช่วยให้รถเอียงไปตามการเลี้ยวของรถได้ถึง 2.65 องศา เพื่อลดแรงเหวี่ยงที่จะเข้ามาภายในห้องโดยสาร และยังมีฟังก์ชันการชาร์จแบบไร้สายมาให้ และยังมี ระบบ Multifunction Telephony , Bluetooth handset ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ อีกทั้งยังอัพเดตเครื่องเสียง Burmester 3D ใหม่ด้วย
Mercedes-AMG S63 4MATIC+
ต่อด้วยที่เวอร์ชั่นแรงอย่าง Mercedes-AMG S63 4MATIC+ และ S65 ก็ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใหม่ๆและเปิดตัวไปพร้อมๆกับ S-Class รุ่นอื่นๆ โดย S63 จะทดแทนเครื่องยนต์ 5.5 ลิตร Biturbo V8 ด้วยเครื่องยนต์ใหม่ความจุ 4.0 ลิตร Biturbo V8 มากับพละกำลังสูงสุด 612 แรงม้า เพิ่มขึ่น 27 แรงม้าจากรุ่นที่แล้ว พร้อมแรงบิดสูงสุดถึง 900 นิวตัน-เมตรที่ช่วยทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ภายในเวลาเพียง 3.5 วินาที นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดใหม่ เป็นเกียร์สปอร์ต AMG SPEEDSHIFT MCT 9 สปีดที่ทำงานร่วมกันระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG Performance 4MATIC+
Mercedes-AMG S65
และเรือธงอย่าง S65 จะมากับเครื่องยนต์ 6.0 ลิตร V12 Biturbo ยังคงมากับพละกำลัง 630 แรงม้า พร้อมด้วยแรงบิดสูงสุดถึง 1,000 นิวตัน-เมตร
สำหรับตัวแรง AMG ทั้งหลายจะมากับท่อไอเสียใหม่ที่ออกแบบให้มีน้ำหนักเบา ระบบกันสะเทือนได้ปรับปรุงใหม่ให้รองรับการระบบช่วยเอียงตัวรถอย่างที่กล่าวไว้ก่อนหน้า และยังมีมีระบบบังคับเลี้ยวแบบตอบสนองต่อความเร็วอย่างฉับไว (Speed-Sensitive Steering) ระบบเบรคประสิทธิภาพสูง (ลดน้ำหนักwx 20%) และฟังก์ชัน RACE START
ดีไซน์ภายนอกได้มีการออกแบบใหม่ให้ดูดุดันมากยิ่งขึ้น ทุกรุ่นจะมากับไฟหน้าแบบ Multibeam LED ออกแบบกันชนหน้าทรงใหม่ให้ดูดุดันน่าเกรงขามซึ่งมีดีไซน์คล้ายคลึงกับปีกเครื่องบินเจ็ท กันชนหลังมีการออกแบบครีบรีดอากาศ Diffuser ใหม่พร้อมท่อคู่ทรงเหลี่ยม ล้อในรุ่น S63 จะมากับขนาด 19 นิ้วเป็นมาตรฐานและรุ่น S65 จะมากับล้อ 20 นิ้ว แบบ 16 ก้าน
ภายในห้องโดยสารจะมากับชุดเบาะ AMG Power Sports Seats พวงมาลัยพาวเวอร์แบบ 3 ก้านดีไซน์สปอร์ตพร้อมแพดเดิลชิพ มีฟังก์ชันการแสดงผลเครื่องยนต์ อุณหภูมิน้ำมันเกียร์ ความเร่งตามแนววืถีโค้งและความเร่งเข้าสู่ศูนย์กลางของตัวรถ กำลังเครื่องยนต์ แรงบิด แรงดันลมยางและอื่นๆอีกมากมาย
Mercedes-Benz S-Class Minor Change น่าจะลงโชว์รูมท้องถิ่นอย่างยุโรปในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ส่วนเมืองไทยน่าจะเปิดตัวตามหลังไม่คลาดกันมากเท่าไหร่นัก สาวกตราดาวต้องติดตามกันต่อไปครับ
ที่มา Carscoops / Digitaltrends
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวรถได้
ห้ามแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพนัน หรือสิ่งผิดกฎหมาย