วันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Range Rover Minor Change อัปเดตความสดใหม่และทันสมัยให้เอสยูวีพี่ใหญ่

  หลังจากที่ก่อนหน้านี้ค่าย Land Rover ได้ทำการปรับโฉม Range Rover Sport ไปแล้ว ทีนี้ก็ถึงคิวของพี่ใหญ่ Range Rover ที่มีการปรับโฉมภายนอกและภายในใหม่ให้มีความทันสมัยและน่าสนใจมากขึ้น และได้เพิ่มเติมเทคโนโลยีใหม่ๆที่น่าสนใจเข้ามาด้วย

  ดีไซน์ภายนอกไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก โดยมีการปรับโฉมให้เป็นไปตามทิศทางการออกแบบของ Range Rover ยุคใหม่ โดยมากับกระจังหน้าทรงใหม่ที่คล้ายคลึงกับ Range Rover Velar ออกแบบรายละเอียดโคมไฟหน้าใหม่แบบ Pixel-laser LED ที่มีไฟ LED ในโคมรวมทั้งหมด 144 ดวงและไฟ Laser Diode ซึ่งสามารถปิดการทำงานได้เพื่อไม่ให้แยงตาผู้ขับขี่รถคันอื่น

  นอกจากนี้ยังมีการออกแบบกันชนหน้าใหม่เล็กน้อย และออกแบบฝากระโปรงหน้าให้ลดความนูนลงมาจากรุ่นเดิม ประตูคู่หน้าที่มีลาย "ช่องระบายอากาศปลอม" จากเดิมที่มี 3 แถวก็ได้ถูกเพิ่มเป็น 4 แถว และด้านท้ายมีการออกแบบรายละเอียดไฟท้ายใหม่ และท่อไอเสียที่ดูกลมกลืนกับกันชนท้ายมากขึ้น

  ภายในห้องโดยสารมากับชุดเบาะนั่งใหม่ที่ดูกว้างขึ้นและบุโฟมภายในใหม่เพื่อโอบกระชับสรีระได้ดีกว่าเดิม เบาะนั่งด้านหน้ามากับ Memory , ฟังก์ชั่นนวดและปรับอุ่นมาให้เป็นมาตรฐาน นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงฟังก์ชั่นนวดที่มีอยู่แล้วใหม่ และเพิ่มฟังก์ชั่น "Hot Stone" เข้ามา ตัวควบคุมการปรับเบาะนั่งถูกย้ายไปไว้ที่แผงประตูเหมือนกับรถ Mercedes-Benz

  สำหรับเบาะแถวหลังนั้น ลูกค้าสามารถเลือกออปชั่น Executive Class Seating โดยที่เท้าแขนตรงกลางสามารถพับขึ้นไปด้วยระบบไฟฟ้า เพื่อรองรับการโดยสาร 5 ที่นั่ง เบาะหลังยังสามารถปรับเอนได้สูงสุดถึง 40 องศา จากเดิม 17 องศา และเช่นเดิมใครอยากนั่งสบายขึ้นก็ไปเลือกรุ่นฐานล้อยาวที่มีระยะฐานล้อเพิ่มขึ้น 200 มิลลิเมตร และมีระยะพื้นที่วางขาด้านหลังเพิ่มอีก 186 มิลลิเมตร

  คอนโซลหน้าได้หันมาใช้ระบบสัมผัสมากขึ้นเหมือน Range Rover Velar ตรงกลางคอนโซลมากับชุดหน้าจอสัมผัสขนาด 10 นิ้ว 2 จอ โดยส่วนบนเป็นของระบบความบันเทิงในรถ และจอล่างเป็นส่วนที่ควบคุมระบบปรับอากาศ เบาะนั่ง และระบบต่างๆภายในรถ นอกจากนี้ยังมีพวงมาลัยทรงใหม่ หน้าปัดดิจิตอลขนาด 12 นิ้วและ Head-Up Display ขนาด 10 นิ้วติดมาให้ด้วย

  ฟังก์ชั่นใหม่ๆที่มีการนำเสนอภายในรถก็จะมี ระบบควบคุมด้วยเสียงที่ทำงานเร็วขึ้น รองรับการจดจำภาษาอังกฤษและภาษาจีนกลาง , หน้าจอสัมผัสคู่(ฝังที่พนักพิงศีรษะเบาะหน้า)สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง , ระบบสั่งการเปิดปิดหลังคาซันรูฟด้วยการเคลื่อนไหวมือ Gesture Control , ระบบฟอกอากาศภายในห้องโดยสาร , ตู้เย็นที่ึคอนโซลกลาง , ไฟภายในห้องโดยสาร Ambient Light แบบ 3 โซน และช่องต่ออุปกรณ์ 17 จุด (18 จุดในรุ่นฐานล้อยาว) ที่รวมไปด้วยช่องต่อ UBS , HDMI , ช่องต่อไฟ 12 V และรูปลั๊กสำหรับเสียบสายชาร์จโน็ตบุ๊ค (Laptop) และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ขาดไม่ได้เลยคือกุญแจรถแบบ Activity Key ในรูปแบบสายรัดข้อมือเหมือนใน Jaguar F-Pace

  สำหรับระบบความปลอดภัยนั้นจะมีการติดตั้งระบบเบรกอัตโนมัติ Autonomous Emergency Braking และ ระบบเตือนไม่ให้ออกนอกเลน Lane Departure Warning มาเป็นมาตรฐานในทุกรุ่น ระบบอื่นๆนอกเหนือจากนี้ก็จะมี
- ระบบตรวจจับมุมอับสายตา Blind Spot Monitor
- ระบตรวจจับอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ Driver Condition Monitor 
- ระบบจดจำป้ายจราจร Traffic Sign Recognition
- ระบบเบรกฉุกเฉินขณะขับขี่ที่ความเร็วสูง High-Speed Emergency Braking
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถอยู่ในจุดอับสายตา Blind Spot Assist
- ระบบรักษารถให้อยู่ในเลน Lane Keep Assist
- ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติAdaptive Cruise Control with Queue Assist.
- กล้องมองภาพขณะถอยจอด 360 องศา
- ระบบช่วยเตือนในขณะถอยรถ Rear Traffic Monitor 
- ระบบ Clear Exit Monitor ที่แจ้งเตือนผู้โดยสารด้านหลังเมื่อเปิดประตูหลังขณะอยู่ในการจราจร
- ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ  Park Assist Automated Parallel and perpendicular parking

  อีกไฮไลต์สำคัญก็คือการแนะนำขุมพลัง Plug-In Hybrid ในรุ่น P400e Plug-In Hybrid ที่มาแทนรุ่น SDV6 Hybrid Diesel โดยมากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุด 300 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร และมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 116 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีด รวมพละกำลังทั้งระบบ  404 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 640 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 6.8 วินาที ความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 220 กม./ชม. ตัวรถมีการติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 13.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 51 กิโลเมตรและทำความเร็วสูงสุดได้ 137 กม.ชม. ในโหมดไฟฟ้าล้วน

  เช่นเดียวกับรถ Plug-In Hybrid ส่วนใหญ่ รุ่น P400e สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยระบบไฮบริด (เครื่องยนต์+มอเตอร์ไฟฟ้า) และ ระบบไฟฟ้าล้วน โดยจะมีฟังก์ชั่นประหยัดแบตเตอรี่ (energy-reserving Save function) และ Predictive Energy Optimisation ซึ่งใช้ระบบนำทางช่วยการทำงานของระบบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานแบตเตอรี่มากขึ้น และลูกค้าสามารถเสียบปลั๊กชาร์จผ่านตะแกรงกระจังหน้า สามารถชาร์จไฟเต็มในเวลา 7 ชั่วโมง 30 นาทีผ่านที่ชาร์จกระแสไฟบ้าน หรือ 2 ชั่วโมง 45 นาทีโดยใช้แท่นชาร์จขนาด 32 แอมป์

  ขุมพลังอื่นๆก็ยังคงมีเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร ซูเปอร์ชาร์จ V6 พละกำลัง 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร (มีรุ่น 380 แรงม้าด้วย), เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตรเทอร์โบ V6 พละกำลัง 258 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 600 นิวตัน-เมตรและ 306 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร และรุ่น SDV6 ที่มากับเครื่องยนต์ดีเซล 4.4 ลิตร V8 พละกำลัง 339 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 740 นิวตัน-เมตร

  ปิดท้ายด้วยเบนซินขนาด 5.0 ลิตรแบบซูเปอร์ชาร์จ V8 มากับพละกำลังเพิ่มขึ้นอีก 15 ตัวเป็น 525 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 625 นิวตันเมตร และตัวแรงสุด SVAutobiography มากับเครื่องตัวเดียวกันแต่มีพละกำลัง 565 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร โดยรุ่นนี้มีการออกแบบตะแกรงกระจังหน้าใหม่แบบ Graphite Atlas ใหม่และกุญแจแบบอะลูมิเนียมพร้อมสัญลักษณ์ SVO

  Range Rover ทุกรุ่นรองรับการลุยน้ำในระดับความลึกสูงสุดได้ถึง 900 มิลลิเมตร แม้ว่าทางบริษัทจะแนะนำให้เครื่องยนต์เบนซินธรรมดาในการลุยน่าจะดีกว่าเพื่อป้องกันการซึมของน้ำเข้าไปในรถผ่านท่อไอเสีย ทุกรุ่นจะมีการติดตั้งระบบป้องกันการลื่นไถลบนพื้นผิวที่มีแรงเสียดทานต่ำ Low Traction Launch System เพื่อรองรับการขับขี่บนพื้นหญ้า กรวดหรือหิมะได้

  Range Rover Minor Change ยังไม่มีการประกาศราคาออกมา ส่วนเมืองไทยนั้นยังไงก็ต้องมีการนำเข้ามาขายอย่างแน่นอน แค่รอชมว่าจะนำเข้ามาตอนไหนเท่านั้นเอง

ที่มา Paultan

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวรถได้
ห้ามแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพนัน หรือสิ่งผิดกฎหมาย

Like Box