ดีไซน์ภายนอกนั้นมีแนวการออกแบบที่ค่อนข้างแปลกและโดดเด่นกว่า MG รุ่นอื่นๆ และอาจจะมีกลิ่นอายจากรถค่ายอื่นๆมาผสมผสานในรถคันนี้ ไฟหน้าของรถในรุ่นบนๆจะติดตั้งไฟแบบโปรเจคเตอร์พร้อมไฟ Daytime Running Lights ภายในโคม กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ขนาดใหญ่ พร้อมกันชนหน้าทรงสวยซึ่งดูเข้ารถด้านหน้ารถเอามากๆ
เส้นสายด้านข้างนั้นมีความโค้งมนและโฉบเฉี่ยวน่าจับตามอง ในส่วนของด้านท้ายจะมากับชุดไฟท้าย LED พร้อมกันชนท้ายดีไซน์สปอร์ต สำหรับในรุ่นท็อปจะมีความพิเศษคือการติดตั้งหลังคาแบบ Panoramic Roof ขนาดใหญ่มาให้ด้วย
ภายในห้องโดยสารมีดีไซน์ที่ค่อนข้างสวยงามและทันสมัย ปุ่มต่างๆดูจะจัดการให้ใช้งานได้ง่าย เข้ามาจะพบกับพวงมาลัย 3 ก้านดีไซน์ใหม่ คอนโซลหน้ามากับการบุนุ่มด้วยวัสดุแบบ Soft Touch ในรุ่นท็อปจะมีความพิเศษด้วยการตกแต่งโทนสีเบาะภายในเป็นสีทูโทนดำน้ำตาล สำหรับระบบอินโฟเทนเมนต์ทุกรุ่นจะมากับหน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน เชื่อมต่อ Bluetooth และรองรับ Apple CarPlay
แต่ไฮไลต์สำคัญที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ ระบบ i-SMART ซึ่งเป็นระบบการเชื่อมต่อแบบใหม่ล่าสุดของ MG ที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมรถยนต์ในไทย โดยการควบคุมฟังก์ชั่นต่างๆภายในรถด้วยการสั่งด้วยเสียงภาษาไทย โดยวิธีใช้งานจะเริ่มต้นด้วยการพูดคำว่า "Hello MG" ตามด้วยคำสั่งที่เราต้องการ โดยเราสามารถสั่งการเปิดซันรูฟ เปิดระบบเครื่องเสียง ระบบปรับอากาศ ระบบโทรออก-รับสายและระบบนำทาง
เรายังสามารถสั่งการผ่านจอ Touchscreen โดยจะสามารถสั่งเปิดระบบนำทางพร้อมรายงานการจราจรแบบ Real Time , แนะนำร้านอาหารและที่พักบนแผนที่นำทาง , ระบบเลขาส่วนตัว i-Call , ระบบโทรออก-รับสายกรณีฉุกเฉิน
และยังไม่พอ เรายังสามารถสั่งการผ่านทาง Smartphone ของเราได้ด้วย โดยสามารถสั่งสตาร์ทเครื่องยนต์และเปิดระบบปรับอากาศ , ระบบล็อคและปลดล็อคประตู , ระบบวางแผนการเดินทาง Travel Plan , ระบบขอบเขตอิเล็กทรอนิกส์และระบบค้นหารถ Find My Car , ระบบตรวจสอบสถานะรถยนต์และเตือนความผิดปกติรถยนต์
สำหรับขุมพลังนั้นจะมากับเครื่องยนต์เบนซินรหัส 15S4C DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว VTi-TECH ความจุ 1.5 ลิตร มากับพละกำลังสูงสุด 114 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตรที่ 4,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดพร้อม Manual Mode รองรับเชื้อเพลิงสูงสุด E85
สำหรับระบบความปลอดภัยนั้นถือว่าจัดมาให้ค่อนข้างดี โดยมีระบบดังต่อไปนี้
- ระบบป้องกันล้อล็อค ABS และระบบกระจายแรงเบรก EBD
- ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA
- ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System)
- ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control)
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
- ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
- ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System) เฉพาะรุ่น 1.5 X
- ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือนเมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal)
- ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light)
- จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX
- เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับพร้อมผ่อนแรงอัตโนมัติ
- เข็มขัดนิรภัยแถวหลังแบบ 3 จุด 3 ตำแหน่ง
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
- ถุงลมนิรภัยด้านข้างและม่านถุงลมนิรภัย เฉพาะรุ่น 1.5 X
- กล้องมองหลัง รุ่น 1.5 D และ 1.5 X
- สัญญาณเตือนกะระยะถอยหลัง
- กุญแจนิรภัยแบบ Immoblizer และสัญญาณกันขโมย
MG ZS มีสีให้เลือกทั้งหมด 3 สีได้แก่ สีแดง Scarlet Red, สีน้ำเงิน Marina Blue, สีบรอนซ์เงิน Silver Metallic, สีขาว Arctic White และสีดำ Black Knight
*เฉพาะรุ่น C มีจำหน่ายแค่สีสีบรอนซ์เงิน Silver Metallic และ สีขาว Arctic White
MG ZS แบ่งการจำหน่ายทั้งหมด 3 รุ่นย่อยด้วยกัน ได้แก่
- 1.5 C ราคา 679,000 บาท
- 1.5 D ราคา 729,000 บาท
- 1.5 X ราคา 789,000 บาท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวรถได้
ห้ามแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพนัน หรือสิ่งผิดกฎหมาย