วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

แอบถ่ายรถทดสอบ Lamborghini Urus รถ SUV จากค่ายกระทิงดุ

  หลายคนที่ตามข่าวรถซูเปอร์คาร์สัญชาติอิตาลีอย่าง Lamborghini น่าจะทราบว่าค่ายนี้เคยมีรถ SUV ขายในชื่อ LM002 ซึ่งมีฉายาว่า "Rambo-Lambo" และอีกไม่นานนี้รถ SUV ของ Lamborghini จะกลับมาอีกครั้ง ซึ่งตัวรถจะเดินตามรอยต้นแบบ Lamborghini Urus Concept ที่เผยโฉมเมื่อหลายปีก่อน

  จากภาพรถทดสอบที่เห็นนี้จะรู้ว่าตัวรถนั้นแทบจะยกดีไซน์มาจากต้นแบบ Urus มาเลย แต่ก็มีการปรับปรุงแนวการออกแบบและเส้นสายเพื่อให้พร้อมสำหรับการวางจำหน่ายจริงมากขึ้น ดูอย่างกันชนหน้าจะมีดีไซน์บางจุดที่แตกต่างจากรถต้นแบบพอสมควร ยังไม่นับรวมถึงมือจับประตู และดีไซน์ด้านท้ายที่มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดด้วยเช่นกัน ส่วนภายในยังไม่มีภาพออกมาให้เห็น

  นาย Maurizio Reggiani หัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนาของ Lamborghini  ให้สัมภาษณ์กับสื่ออย่าง Digital Trends ว่า Lamborghini Urus จะมากับขุมพลังทางเลือกเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.0 ลิตรทวินเทอร์โบ พละกำลัง 650 แรงม้า ก่อนที่จะถูกนำเสนอเวอร์ชั่น Plug-In Hybrid ตามหลัง

   "ผมคิดว่าดีเอ็นเอที่สมบูรณ์แบบสำหรับซูเปอร์สปอร์ตเอสยูวีจะถูกนำเสนอด้วยเครื่องยนต์ 4.0 ลิตร V8 ที่มากับพละกำลัง 650 แรงม้า ซึ่งจะให้อัตรากำลังต่อน้ำหนักที่ดีที่สุดในรถระดับเดียวกัน ส่วนรุ่น Plug-In Hybrid ที่จะตามมาในภายหลัง ถือเป็นความพยายามครั้งแรกของเราที่จะลดการปล่อยก๊าซ CO2 โดยเฉลี่ยได้ แต่อย่าคาดหวังว่าจะรีดประสิทธิภาพของเครื่อง V8 ได้ดีพอ" และ Reggiani ยังยืนยันว่าเขาต้องการให้มีปุ่มที่อาจจะเรียกว่า e-boost ซึ่งจะช่วยให้อัตราเร่งดีขึ้น 

   Lamborghini ไม่ได้กล่าวถึงความจริงว่าเขาต้องการให้ Urus เป็น SUV ที่เร็วที่สุดในตลาดซึ่งหมายความว่าจะต้องมีความเร็วสูงสุด 301 กม./ชม. ซึ่งจะต้องมากกว่าเพื่อนร่วมเครืออย่าง Bentley Bentleyga

   สำหรับเครื่อง V8 จะไม่เพียงแต่จะเร็วกว่า Plug-In Hybrid แต่มันจะเป็นรถออฟโรดที่ดีคันหนึ่งด้วย
 โดยนาย Reggiani บอกว่าแน่นอนที่ SUV เกิดมาเพื่อขับขี่บนสภาพถนนแบบออฟโรด และเป็นที่ชัดเจนว่ารุ่นออฟโร้ดที่ดีที่สุดควรจะเป็นรุ่นที่ใช้เครื่อง V8 เพราะในการขับขี่แบบออฟโรด คุณจำเป็นต้องมีน้ำหนักรถน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ฉะนั้นรุ่น  Plug-In Hybrid จะไม่รองรับการใช้งานแบบออฟโรดแต่มันก็ยังเป็นรถที่ดีคันหนึ่ง

   คาดว่า Lamborghini Urus จะเปิดตัวก่อนสิ้นปีนี้ ก่อนวางขายในไตรมาสแรกของปี 2018 ในราคาขายราวๆ 200,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6,877,322 บาทไทย ยังไม่รวมภาษี ส่วนเมืองไทยจะมีการนำเข้ามาขายหรือไม่ต้องติดตามครับ

ที่มา Carscoops

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวรถได้
ห้ามแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพนัน หรือสิ่งผิดกฎหมาย

Like Box