การเปลี่ยนแปลงที่เห็นเด่นชัดคือโคมไฟหน้าใหม่แบบ LED High Performance ที่มีการออกแบบรายละเอียดใหม่ให้ทันสมัยขึ้น กระจังหน้าสีดำเงาใหม่เพิ่มความหรูหรา กันชนหน้าถูกออกแบบใหม่ซึ่งมีดีไซน์คล้ายกับ E-Class All-Terrain ที่เปิดตัวก่อนหน้านี้ ส่วนด้านท้ายมีการปรับไฟท้ายใหม่ให้ดูเข้มขึ้น และปรับรายละเอียดบนกันชนท้ายเสียใหม่ สำหรับตัวแรง GLA45 มีจะมีการปรับกันชนหน้า-กันชนท้าย ไฟหน้าและไฟท้ายใหม่ ทุกรุ่นจะมีล้ออัลลอยลายใหม่มาให้ด้วย
ภายในห้องโดยสารยังคงดีไซน์เดิมๆไม่เปลี่ยนแปลง มีการติดตั้งกล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา แสดงผลผ่านหน้าจอขนาด 8 นิ้ว สวิตซ์เบาะปรับไฟฟ้าใหม่แบบโครเมียมสีเงิน และเบาะนั่งภายในรถมีการปรับปรุงวัสดุให้มีคุณภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีออปชั่นเบาะตัดเย็บด้วยมือพร้อมด้วย Trim การตกแต่งแบบอะลูมิเนียมหรือลายไม้ และก็ยังมี Carbon Fiber ให้เลือกด้วยเช่นกัน
สำหรับทางเลือกรุ่นย่อยและขุมพลัง นั้นยังคงมีให้เลือกหลากรุ่นเช่นเคย สำหรับรุ่นดีเซลก็จะมี GLA 180 D, GLA 200 D, GLA 200 D 4MATIC, GLA 220D และ GLA 220D 4MATIC ส่วนรุ่นเบนซินก็จะมี GLA 180, GLA 200 GLA 250, GLA 250 4MATIC และตัวแรงอย่าง Mercedes-AMG GLA 45 4MATIC นอกจากนี้ยังมีการแนะนำรุ่นใหม่ GLA220 4Matic มากับพละกำลัง 184 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 300 นิวตัน-เมตร
ทางด้านตัวแรงอย่าง Mercedes-AMG GLA 45 4Matic ก็มีการอัพเกรดขุมพลังเบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบ 4 สูบ มากับพละกำลัง 381 แรงม้า พร้อมแรงบิด 475 นิวตัน-เมตร พาพุ่งทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.4 วินาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติคลัตซ์คู่ 7 สปีดที่มีอัตราทดเกียร์ต่ำในช่วงเกียร์ 3-7 เพื่อช่วยในอัตราเร่งที่ดีขึ้น
นอกจากนั้นแล้วยังมีการแนะนำแพ็คเกจการตกแต่ง "Yellow Night Edition" ที่จะมากับทางเลือกสีตัวถังสี Night Black หรือ Cosmos Black จับคู่กับสีทูโทน Graphite Grey และ Yellow
สำหรับในเมืองไทยน่าจะมีการแนะนำ Mercedes-Benz GLA Minor Change ช่วงต้นปีถึงกลางปีนี้ครับ
ที่มา Carscoops
มาร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่นี่ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวรถได้
ห้ามแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพนัน หรือสิ่งผิดกฎหมาย