แน่นอนว่าตัวจะกึ่งกลางระหว่าง C-Class Cabriolet ที่ดูสปอร์ตและโฉบเฉี่ยว กับ S-Class Cabriolet ที่ดูหรูหรามีภูมิฐาน ซึ่งเจ้า E-Class Cabriolet ได้นำดีไซน์และเส้นสายของ 2 รุ่นนี้มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว สำหรับหลังคาผ้าใบของรถจะมีให้เลือก 4 สีได้แก่ สีน้ำตาลเข้ม สีน้ำเงินเข้ม สีแดงเข้ม และสีดำ สามารถเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าในเวลา 20 วินาทีที่ความเร็วจำกัดไม่เกิน 50 กม./ชม. และเมื่อพับหลังคาแล้ว พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังจากเดิม 385 ลิตรจะเหลือราวๆ 310 ลิตร
Mercedes-Benz E-Class Cabriolet จะมีความยาวตัวรถอยู่ที่ 4,826 มิลลิเมตร กว้าง 1,860 มิลลิเมตร และสูง 1,428 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,873 มิลลิเมตร โดยรวมแล้วตัวรถมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นเดิมในหลายมิติ มีความยาวตัวถังเพิ่มขึ้น 123 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 74 มิลลิเมตรและฐานล้อยาวขึ้นอีก 113 มิลลิเมตร ซึ่งส่งผลให้มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขึ้นโดยเฉพาะพื้นที่ห้องโดยสารด้านหลังที่ยาวขึ้นอีก 102 มิลลิเมตร
ใน E-Class Cabriolet ใหม่นั้นยังสามารถเลือกติดตั้งระบบ AIRCAP ที่ป้องกันไม่ให้ลมหมุนวนเข้ามาในห้องโดยสารในขณะที่เปิดหลังคาอยู่ และระบบ AIRSCARF ช่วยเป่าลมร้อนที่คอเพื่อเพิ่มความอบอุ่นในช่วงอากาศหนาวเย็น
และเป็นครั้งแรกของตัวถังเปิดประทุนที่จะมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC มาให้เป็นออปชั่นที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม ในตลาดอเมริกาจะวางจำหน่ายในรุ่น E400 ที่จะมากับเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 Bi-Turbo พละกำลัง 329 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9G-Tronic ส่วนตัวแรงอย่าง E50 AMG ที่จะมากับพละกำลัง 400 แรงม้าน่าจะตามมาในภายหลัง
ในตลาดยุโรปนั้นก็จะมีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซิน ไม่ว่าจะเป็น E220d เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร พละกำลัง 191 แรงม้า และ E300 เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จ พละกำลัง 241 แรงม้า รวมทั้งรุ่น E400 และ E50 AMG เช่นเดียวกับอเมริกา
Mercedes-Benz E-Class Cabriolet จะโชว์ตัวต่อสาธารณะชนครั้งแรกภายในงาน Geneva Motor Show 2017 ที่กำลังจะเริ่มขึ้นอีกไม่นาน และจะเริ่มวางขายในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนเมืองไทยน่าจะมีการเปิดตัวตามตลาดโลกราวๆ 3 เดือนครับ
มาร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่นี่ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวรถได้
ห้ามแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพนัน หรือสิ่งผิดกฎหมาย