ภายนอกของรถหล่อด้วยกระจังหน้าอันเป็นซิกเนเจอร์ของค่าย แบบ Sprindle Grille ทรงนาฬิกาทรายนั่นเอง มากับไฟหน้าแบบโฉบเฉี่ยว ให้ความสปอร์ตไม่น้อยพร้อมไฟ Daytime Running Lights สไตล์หัวลูกศร ช่วยเพิ่มความปลอดภัยขณะขับขี่ในเวลากลางวัน ไฟหน้าแบบ High Intensity Discharge (HID) ปรับระดับความสูงของไฟต่ำอัตโนมัติได้ Auto Wiper ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติที่ตรวจจับระดับน้ำฝนบนกระจก Stabilizer Fin ช่วยจัดระเบียบการไหลของลม เพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่ให้มั่นคงมากขึ้น พร้อมลดเสียงลมปะทะ เส้นสายตัวรถมากับเส้นสายที่โค้งมนลงตัว ดูสปอร์ต และด้านท้ายก็ดูดีไม่น้อยครับ โดยรวมก็เฉียบคมตั้งแต่หน้ายันท้ายเลยทีเดียว
ภายในนั้นออกแบบให้เน้นความหรูหราสวยงาม ใช้วัสดุคุณภาพสูง ออกแบบภายใต้แนวคิด Cabin Spaciousness มิติห้องโดยสารที่มีสัดส่วนความยาวเป็นพิเศษ เป็นผลจากการออกแบบของฐานล้อที่ยาวขึ้น 45 มม. ทำให้ภายในห้องโดยสารมีความกว้างขวางมากขึ้น เบาะด้านหน้ามีความยาวเพิ่มขึ้น 30 มม. และพื้นที่โดยสารด้านหลังตรงช่วงหัวเข่ากว้างขึ้น 60 มม. และเบาะหน้าสามารถปรับให้ต่ำลงได้อีก 15 มม. ส่งผลให้พื้นที่เหนือศีรษะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ภายในห้องโดยสารใช้ไฟแบบ Ambient Light ไฟแสงสว่างที่คอนโซลและแผงประตูหน้า มีหน้าจอ Electro Multi-Vision (EMV) พร้อมระบบ Navigation System จอแสดงผลขนาด 8 นิ้ว รองรับแผนที่ ข้อมูลการจราจร และความบันเทิงเต็มรูปแบบ Remote Touch Interface (RTI) ควบคุมการสั่งงานภายในรถ เบาะหนัง Semi-Aniline เบาะหนังแท้พิเศษ Memory Seat ในเบาะคู่หน้า จดจำตำแหน่งการปรับเบาะของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร เพื่อความสะดวกสบาย Rear Seat Controller แผงควบคุมระบบการทำงานต่างๆ ภายในรถ บริเวณที่พักวางแขนตรงกลางด้านหลัง ม่านประตูหลัง และปุ่มกดปิดฝาท้ายไฟฟ้า
ด้านขุมพลังนั้นมากับขุมพลังตัวเดียวกับ Camry ก็คือ เครื่องยน์เบนซิน 4 สูบขนาด 2,494 ซีซี พละกำลัง 160 แรงม้า PS ที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 213 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า (Electric Motor) 105 กิโลวัตต์ ให้กำลังรวมทั้งระบบ 205 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์แบบ E-CVT (Electrically-controlled Continuously Variable Transmission) ที่พัฒนาระบบเกียร์ทดกำลังให้มีขนาดเล็กลงและน้ำหนักเบายิ่งขึ้น แต่สามารถรองรับการทำงานของเครื่องยนต์ที่มีกำลังสูงขึ้น และยังมากับอัตราเร่งที่ 0-100 กม/ชม. ใน 8.5 วินาที มาตรฐานระดับ ยูโร 5
สำหรับแบตเตอรี่ไฮบริดแบบ Ni-MH (Nickel–Metal Hydride) มากับเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าทส่งผลให้ตัวแบตมีน้ำหนักเบาและทนทานยิ่งขึ้น สามารถเลือกรูปแบบการขับขี่ 4 โหมด ได้แก่ โหมด EV สำหรับการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า โหมด Eco สำหรับความประหยัด โหมด Normal สำหรับการขับขี่แบบปกติ และโหมด Sport เพื่อการขับขี่ที่เร้าใจ
ระบบความปลอดภัยนั้นจัดมาเพียบตามประสารถหรู เพื่อการขับขี่ที่เร้าใจ ถุงลมเสริมความปลอดภัย 10 ตำแหน่ง...ผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าจะได้รับการปกป้องจากถุงลมนิรภัยแบบ Dual-stage SRS ถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS บริเวณหัวเข่าและถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS ด้านข้าง และถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS ด้านข้างสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง และม่านถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS บริเวณหน้าต่างทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
Lexus ES300h มีให้เลือก 10 สี ได้แก่ Silver Blue Metallic,Red Mica Crystal Shine,Fire Agate Metallic,Lapis Lazuli Mica ,White Pearl Crystal Shine,Mercury Gray Mica,Platinum Silver Metallic,Sleek Ecru Metallic,Starlight Black Glass Flake และ Black กับอีก 2 สีภายใน คือ Ivory และ Black และมากับ 2 รุ่น ได้แก่ Lexus ES300h Luxury ราคา 3,490,000 บาท และ Lexus ES300h Premium ราคา 3,890,000 บาทครับ
แนะนำ ติชม แสดงความคิดเห็น และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแฟนเพจ Cars New Update ที่นี่!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวรถได้
ห้ามแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพนัน หรือสิ่งผิดกฎหมาย