เรื่องหน้าตาและส่วนประกอบต่างๆไม่กล่าวอะไรมากเพราะเหมือนกับตัวดีเซลหมดทุกอย่าง แต่ความแตกต่างก็คือล้อกระทะขนาด 15 นิ้วพร้อมฝาครอบที่เพิ่มเข้ามาในรุ่นต่ำสุด Standard ของตัวเบนซิน ส่วนรุ่น High และ High Plus ก็จะเป็นล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้วแทน
ภายในห้องโดยสารยังคงมีของเล่นต่างๆครบถ้วน(ในรุ่นท็อป) มากับจอสัมผัส 7 นิ้วตรงกลางพร้อม MZD Connect เชื่อมต่อได้สารพัด และมี Active Driving Display ตามเคย และยังคงมีงานประกอบในห้องโดยสารที่เนี้ยบเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือปุ่ม Sport Mode ตรงฐานเกียร์นั่นเองครับ
ด้านเครื่องยนต์นั้นมากับเครื่องยนต์เบนซิน SkyActiv-G 1.3 ลิตร พละกำลัง 93 แรงม้าที่ 5,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 121 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที มากับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่น่าจะอยู่ราวๆ 23.25 กม./ลิตร ซึ่งประหยัดเข้าเงื่อนไขอีโคคาร์ เฟส 2 เป็นที่เรียบร้อยครับ อีกเรื่องคือ ระบบเบรกดิสก์เบรก 4 ล้อจะไม่มี แต่จะแทนที่ด้านหลังเป็นแบบดรัมเบรกแทน และเครื่องตัวนี้รองรับถึงแค่ E20 เท่านั้นครับ
สำหรับระบบความปลอดภัยก็เหมือนกับตัวดีเซลทุกอย่าง ตั้งแต่ระบบเบรก ABS EBD ระบบควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ DSC (Dynamic Stability Control) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System) ระบบช่วยออกตัวของรถขณะอยู่บนทางลาดชัน HLA (Hill Launch Assist) ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินเตือนอัตโนมัติ เมื่อเบรกกะทันหัน ESS (Emergency Signal System) พวงมาลัยยุบตัวแปรผันตามการทำงานของถุงลมนิรภัย เข็มขัด นิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ และยังมากับโครงสร้างตัวถัง SKYACTIV-BODY น้ำหนักเบาแต่แข็งแรง รวมทั้งช่วงล่าง SKYACTIV-CHASSIS เซ็ตให้การขับขี่เป็นไปอย่างสนุกสนาน
สำหรับค่าตัวของ Mazda 2 SkyActiv-G 1.3 มีให้เลือก 3 รุ่นย่อยเท่ากันทั้ง 2 ตัวถัง ได้แก่ รุ่น Standard ราคา 550,000 บาท รุ่น High ราคา 610,000 บาท และรุ่น High Plus ราคา 665,000 บาทครับ
อยากติดตามข่าวสารรถใหม่ อัพเดตเร็วทันใจ คุยสารพัดเรื่องรถ
กดไลค์แฟนเพจของ Cars New Update ด้านล่างได้เลยครับ!!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวรถได้
ห้ามแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพนัน หรือสิ่งผิดกฎหมาย